พอดีไปเจอมานะครับเลยเอามาแบ่งเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ
อาหารเป็นปัจจัยหลักของสิ่งมีชีวิต คนและสัตว์ทุกชนิดมีความต้องการอาหารเพื่อการบริโภคในชีวิตประจำวัน โดยอาหารที่มีคุณภาพดีและเหมาะสมกับชนิดของสัตว์ จะช่วยให้สัตว์นั้นมีการเจริญเติบโตตามธรรมชาติได้ดี ปัจจุบันอาหารสัตว์น้ำถือได้ว่ามีการพัฒนาและมีความสำคัญทางด้านธุรกิจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอาหารปลาสวยงามจะมีความหลากหลาย มากกว่าอาหารสัตว์น้ำประเภทอื่น เพราะลักษณะการเลี้ยงปลาสวยงามเป็นการเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่แคบๆ สภาพแวดล้อมไม่เหมือนธรรมชาติ โดยเฉพาะในเรื่องของการได้รับแสงแดดค่อนข้างน้อย การขาดดินและขาดอาหารธรรมชาติ ทำให้อาหารจำเป็นต้องมีส่วนประกอบต่างๆครบถ้วน ตั้งแต่สารอาหาร เกลือแร่ และไวตามิน อีกทั้งยังต้องมีขนาดที่เหมาะสมที่ปลาจะกินได้ ไม่จมตัวง่าย ไม่ทำให้คุณภาพของน้ำเปลี่ยนแปลงเร็ว รวมทั้งปลาสามารถย่อยและใช้ประโยชน์จากอาหารชนิดนั้นได้ดี นอกจากนั้นปลาสวยงามที่นิยมเลี้ยงยังมีความหลากหลาย ทั้งในเรื่องของนิสัยการกินอาหาร และขนาดของปลา จึงทำให้มีรูปแบบของอาหารปลา สวยงามออกมาหลายชนิด และค่อนข้างมีราคาแพงมากเมื่อเทียบกับอาหารสัตว์น้ำชนิดอื่นๆ
อาหารสัตว์น้ำโดยทั่วไปแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1. อาหารสำเร็จรูป
2. อาหารธรรมชาติ
1 อาหารสำเร็จรูป
ปัจจุบันอาหารสำเร็จรูปมีความสำคัญควบคู่ไปกับการเลี้ยงปลาสวยงาม เพราะเมื่อมีการซื้อปลาสวยงามเมื่อใดก็จำเป็นต้องซื้ออาหารสำหรับเลี้ยงปลาสวยงามด้วย และเนื่องจากอาหารปลาสวยงามมีราคาค่อนข้างสูง จึงทำให้มีการแข่งขันพัฒนาอาหารสำเร็จรูปชนิดต่างๆออกมาหลายชนิด โดยส่วนใหญ่จะเน้นคุณภาพเกี่ยวกับการเร่งสีของปลา คือทำให้ปลามีสีสันสดใส การสร้างวุ้น และยังมีการเน้นเจาะจงใช้เลี้ยงเฉพาะกลุ่มปลาหรือชนิดปลา เช่น เลี้ยงกลุ่มปลา Tetra และ Danio ได้แก่พวกปลานีออน และปลาซิว กลุ่มปลา Cichlid ได้แก่ พวกปลาหมอ ยิ่งระบุมีความเจาะจงและเน้นคุณภาพพิเศษต่างๆมากเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้อาหารชนิดนั้นมีราคาสูงขึ้น ซึ่งเมื่อพิจารณาถึงราคาของอาหารปลาสวยงามที่จำหน่ายกันในปัจจุบัน จะพบว่ามีราคาแพงที่สุดในบรรดาอาหารสัตว์ที่จำหน่ายกันอยู่ เช่น อาหารปลา Tetra ราคาซองละ 180.00 บาท มีน้ำหนักเพียง 100 กรัม คิดเป็นราคากิโลกรัมละ 1,800.00 บาท อาหารปลาทองชนิดเร่งสีและวุ้น ราคาซองละ 60.00 บาท มีน้ำหนัก 100 กรัม คิดเป็นราคากิโลกรัมละ 600.00 บาท อาหารปลาสวยงามที่จัดว่ามีราคาถูก จะราคาซองละ 10.00 - 12.00 บาท มีน้ำหนัก 100 กรัมเช่นกัน ซึงเมื่อคิดราคาต่อกิโลกรัมจะมีราคาถึง 100.00 - 120.00 บาท ก็ยังคงมีราคาแพงกว่าอาหารสัตว์อื่นๆเช่นกัน
ภาพที่ 1 ลักษณะอาหารปลาสวยงามแบบต่างๆ
ชนิดของอาหารสำเร็จรูปของปลาสวยงามที่มีจำหน่ายตามท้องตลาดมีอยู่ 3 ประเภท
1.1 อาหารเม็ดจมน้ำ อาหารชนิดนี้เหมาะสำหรับปลาสวยงามที่หากินอาหารตามพื้นก้นตู้เช่นปลาหมู ปลาปล้องอ้อย ปัจจุบันไม่ค่อยนิยมใช้เพราะปลากินไม่ทัน อาหารจะตกค้างลงในวัสดุกรองมาก มักมีปัญหาเรื่องน้ำเน่าเสีย
1.2 อาหารเม็ดลอยน้ำ อาหารชนิดนี้เหมาะสำหรับปลาทุกประเภท มักมีคุณสมบัติลอยตัวอยู่ผิวน้ำได้ประมาณ 3 - 5 ชั่วโมง แล้วแต่ชนิดอาหาร ทำให้ปลากินอาหารได้ดี และผู้เลี้ยงสังเกตุได้ว่าให้อาหารพอเพียงหรือไม่ ปัจจุบันจึงมักผลิตเป็นอาหารเม็ดลอยน้ำ
1.3 อาหารผง อาหารชนิดนี้เหมาะสำหรับใช้อนุบาลลูกปลา มีลักษณะเป็นผงละเอียด อาจให้กระจายตัวที่ผิวน้ำหรือผสมน้ำหมาดๆปั้นเป็นก้อนก็ได้ โดยถ้าเป็นลูกปลากินพืช เช่น ลูกปลาตะเพียนทอง ลูกปลาทอง และลูกปลาคาร์พ ควรให้กระจายตัวที่ผิวน้ำ แต่ถ้าเป็นลูกปลากินเนื้อ เช่น ลูกปลาแขยง และลูกปลาดุก ควรปั้นก้อนให้ อาหารชนิดนี้จำเป็นสำหรับผู้ เลี้ยงปลาสวยงามที่ผลิตลูกปลาออก จำหน่าย
2 อาหารธรรมชาติ
เป็นอาหารที่มีชีวิต ปกติสามารถเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ปัจจุบันมีการเพาะเลี้ยงอาหารธรรมชาติเหล่านี้ เพราะมีความต้องการในปริมาณค่อนข้างมากและสม่ำเสมอ จัดเป็นอาหารที่มีประโยชน์และมีความสำคัญต่อธุรกิจการเพาะเลี้ยงปลาสวยงามในปัจจุบัน ถึงแม้ว่าอาหารสำเร็จรูปจะมามีบทบาทมากขึ้นและได้รับความนิยมค่อนข้างมาก ตามที่ได้กล่าวไปแล้วก็ตามที แต่ก็ยังมีผู้เลี้ยงปลาสวยงามอีกเป็นจำนวนมาก ที่ยังนิยมใช้อาหารมีชีวิตหรืออาหารธรรมชาติเป็นอาหารปลา เพราะเชื่อว่าปลาจะมีสุขภาพดีและมีสีสันสดใสกว่าการใช้อาหารสมทบ และน้ำจะมีการสะสมของสิ่งหมักหมมน้อยลง นอกจากนั้นอาหารมีชีวิตบางชนิดยังมีความจำเป็นในการใช้อนุบาลลูกปลา ช่วยให้ลูกปลามีอัตรารอดสูงและเจริญเติบโตรวดเร็วมาก นอกจากนั้นอาหารมีชีวิตบางชนิดยังสามารถส่งออกไปตลาดต่างประเทศได้ง่าย ทั้งเพื่อนำไปใช้เลี้ยงปลาสวยงาม และเพื่อใช้ผสมเป็นส่วนประกอบของอาหารสำเร็จรูป นับว่าอาหารธรรมชาติยังมีความจำเป็นในธุรกิจการเลี้ยงปลาสวยงามเป็นอย่างยิ่ง
อาหารธรรมชาติที่สำคัญได้แก่
2.1 ไดอะตอม และ ยูกลีนา เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กมากมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น พบได้หนาแน่นตามบ่อเลี้ยงปลาที่มีการให้อาหารอย่างเต็มที่ โดยจะขึ้นเป็นฝ้าสีน้ำตาลแกมเขียว แต่ถ้าได้รับแสงแดดจัดๆจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแกมแดง แล้วถูกลมพัดไปหนาแน่นอยู่ตามริมบ่อทางท้ายลม มีประโยชน์สำหรับใช้อนุบาลลูกปลาที่ค่อนข้างมีขนาดเล็กมากๆ เช่นลูกปลาตะเพียนทอง ลูกปลาม้าลาย ลูกปลากระดี่แคระ ลูกปลากัด และลูกปลาซิวต่างๆ ซึ่งในช่วงที่ลูกปลาออกจากไข่ใหม่ๆในระยะ 2 - 3 วันแรก จะยังไม่สามารถกินไข่แดงหรือไรน้ำชนิดต่างๆได้ ควรตักฝ้าน้ำซึ่งจะมีไดอะตอมและยูกลีนาอยู่มากมาให้ลูกปลากิน โดยเทผ่านกระชอนผ้าขาวบางเพื่อให้มีการกระจายตัว และป้องกันศัตรูของลูกปลาจะลงไปในบ่อได้ ให้กินอยู่ประมาณ 2 - 3 วัน ลูกปลาจะเติบโตขึ้นจนสามารถกินไรชนิดอื่นหรืออาหารผงต่อไป ก็จะทำให้ลูกปลาแข็งแรงและมีอัตราการรอดมาก
2.2 ไรแดง เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่พอจะสังเกตุเห็นด้วยตาเปล่า เพราะมีขนาดประมาณ 1.2 มิลลิเมตร จัดเป็นแพลงตอนสัตว์ ในธรรมชาติมักพบตามแหล่งน้ำที่เริ่มเน่าเสีย และมีจุลินทรีย์มาก เป็นอาหารที่เหมาะสมสำหรับอนุบาลลูกปลา และเลี้ยงปลาสวยงามที่มีขนาดเล็ก เช่นปลาม้าลาย ปลานีออน ปลาซิวข้างขวาน ปลาสอด และปลาหางนกยูง
2.3 ลูกน้ำ เป็นตัวอ่อนของยุงซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี เป็นอาหารธรรมชาติที่ได้รับความนิยมใช้เลี้ยงปลาสวยงามมานาน จะพบได้มากตามแหล่งน้ำเน่าเสีย และตามแหล่งน้ำขัง ปัจจุบันยังมีความจำเป็นใช้เลี้ยงปลาบางชนิด เช่น ปลากัด ปลาปอมปาดัวร์
2.4 หนอนแดง เป็นตัวอ่อนของริ้นน้ำจืด ลักษณะคล้ายลูกน้ำแต่ตัวมีสีแดงสด และมักสร้างปลอกอยู่ตามพื้นก้นบ่อ พบได้ทั่วไปตามแหล่งที่มีน้ำขัง เป็นอาหารที่มีคุณค่า ที่ได้รับความนิยมใช้เลี้ยงปลาสวยงามทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ
2.5 อาร์ทีเมีย เป็นไรน้ำเค็ม ปกติพบตามทะเลสาบน้ำเค็มที่มีความเค็มค่อนข้างสูง จนไม่มีสัตว์น้ำประเภทอื่นอาศัยอยู่ได้ ตัวอ่อนจะมีขนาดประมาณ 0.3 มิลลิเมตร มีความสำคัญสำหรับการใช้อนุบาลลูกปลา แต่เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะมีขนาดประมาณ 1.2 เซ็นติเมตร เหมาะสำหรับใช้เป็นอาหารเลี้ยงปลาสวยงามได้ดี นอกจากนั้นในช่วงฤดูแล้งซึ่งน้ำจะมีความเค็มสูงมาก อาร์ทีเมียจะปล่อยไข่ที่มีตัวอ่อนอยู่ภายใน โดยไข่จะลอยเป็นแพอยู่ตามผิวน้ำ สามารถรวบรวมไข่ดังกล่าวมาอบแห้งเก็บไว้ เมื่อต้องการใช้ก็นำมาฟักตัวในน้ำทะเลปกติหรือน้ำที่มีความเค็ม 30 ppt ใช้เวลาประมาณ 24 ชั่วโมงตัวอ่อนจะฟักตัวออกมา จึงเป็นอาหารธรรมชาติที่สามารถเพาะให้ได้ในปริมาณมากตามที่ต้องการ และในเวลาที่ต้องการได้ดีที่สุด ทำให้เป็นอาหารธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อธุรกิจการประมงมากที่สุด
ปัจจุบันมีการศึกษาและวิจัย จนสามารถดำเนินการเพาะเลี้ยงอาหารธรรมชาติที่สำคัญได้หลายชนิด จัดได้ว่ามีความเกี่ยวเนื่องกับการเลี้ยงปลาสวยงามและเป็นการส่งเสริมอาชีพทางการประมงด้วย
3 เทคนิคการเพาะเลี้ยงและการใช้ไรแดง
ไรแดงเป็นอาหารธรรมชาติที่มีประโยชน์อย่างยิ่งในการอนุบาลลูกปลาวัยอ่อน และในธุรกิจการเลี้ยงปลาสวยงาม เพราะมีคุณค่าทางโภชนาการสูงทำให้ลูกปลาเจริญเติบโตรวดเร็วมาก และมีอัตราการรอดสูง มีความสำคัญสำหรับผู้เพาะเลี้ยงปลากัด ปลาปอมปาดัวร์ ปลาเทวดา และปลาออสการ์ อย่างมาก ในอดีตสามารถรวบรวมไรแดงได้จากแหล่งน้ำทิ้งใกล้อาคารบ้านเรือน โรงฆ่าสัตว์ และตามคูน้ำรอบๆกรุงเทพฯ ซึ่งพบว่ามีปัญหาที่สำคัญคือมีปริมาณไม่แน่นอน และมักมีโรคพยาธิโดยเฉพาะพวกหนอนสมอ และเห็บปลาติดมาด้วย มีผลทำให้เกิดการระบาดของโรคพยาธิในบ่ออนุบาลได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้นปริมาณไรแดงยังมีแนวโน้มลดลง เนื่องจากน้ำเน่าเสียมากเกินไปจนไรแดงไม่สามารถอยู่ได้ ในขณะที่ความต้องการไรแดงมีมากขึ้นเรื่อยๆ หน่วยงานของกรมประมงจึงได้ทำการศึกษาวิจัยหาแนวทางการเพาะเลี้ยงไรแดง จนปัจจุบันประสบผลสำเร็จสามารถแนะนำให้เกษตรกรนำไปดำเนินการได้ เป็นอาชีพอย่างหนึ่งที่ทำรายได้ค่อนข้างดีมาก
3.1 การจัดลำดับทางอนุกรมวิธาน ไรแดงจัดเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกกุ้ง หรือที่เรียกรวมว่า Crustacean มีชื่อสามัญว่า Water flea เป็นแพลงตอนสัตว์ ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ตัวอ่อนที่ฟักจากไข่มีขนาด 0.22 - 0.35 มิลลิเมตร เมื่อโตเต็มวัยจะมีขนาดประมาณ 0.8 - 1.5 มิลลิเมตร ลำตัวมีสีแดงเรื่อๆเนื่องจากมีสารพวกฮีโมโกลบิน (Hemoglobin)กระจายอยู่ทั่วร่างกาย โดยสารฮีโมโกลบินจะมีมากเมื่อน้ำมีออกซิเจนอยู่น้อย และจะมีน้อยเมื่อน้ำมีออกซิเจนมาก ดังนั้นไรแดงที่ช้อนมาจากแหล่งน้ำเสียจะมีสีแดงเข้มชัดเจน แต่ถ้านำมาเลี้ยงในน้ำสะอาดจะมีสีน้ำตาลอ่อน ไรแดงที่พบตามธรรมชาติโดยทั่วไปของประเทศ และที่นิยมนำมาเพาะเลี้ยงมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Moina macrocopa ซึ่งจัดลำดับชั้นได้ดังนี้
Phylum : Arthropoda
Subphylum : Mandibulata
Class : Crustacea
Subclass : Brachiopoda
Order : Cladocera
Suborder : Calyptomera
Family : Daphnidae
Genus : Moina
3.2 ลักษณะภายนอก
ลักษณะทั่วไป ลำตัวค่อนข้างกลมและจะแบนทางด้านข้าง มีเปลือกปกคลุมตัว
ส่วนหัว ค่อนข้างกลม มีตาแบบตารวม(Compound Eye)สีดำเด่นชัดซึ่งสามารถขยับไปมาได้ ระยางค์ที่พบที่ส่วนหัว คือ
Antennule หรือหนวดคู่แรก อยู่เหนือช่องปาก มีลักษณะเป็นแท่งสั้นๆข้อเดียว ปลายสุดมี Sensory bristle เป็นขนเล็กๆทำหน้าที่รับความรู้สึก เพศผู้จะมีหนวดคู่แรกนี้ใหญ่กว่าเพศเมีย
Antenna หรือหนวดคู่ที่ 2 มีขนาดใหญ่ทำหน้าที่ในการว่ายน้ำ ปลายจะแตกเป็น 2 แขนง (Biramous) และจะมี Plumose bristle ซึ่งเป็นขนค่อนข้างยาวแตกแขนงออกไป
Mandible อยู่เหนือปาก
Maxilla อยู่ใต้ Mandible
ส่วนอก จะมีเปลือก (Carapace) คลุมไว้ เปลือกมีลักษณะเป็นแผ่นบางใส 2 แผ่นยึดติดกันทางด้านหลัง ส่วนทางด้านท้องจะเปิดให้ระยางค์อกยื่นออกมาได้ ที่ส่วนอกนี้มี 6 ปล้อง แต่มีระยางค์ 5 คู่ โดยคู่ที่ 3 และ 4 จะมีขนาดใหญ่และทางด้านข้างมีขนเรียงเป็นแถว ช่วยกรองอาหาร จัดเป็น Filter setae
ส่วนท้อง อยู่ค่อนไปทางท้าย มีลักษณะเป็นแผ่นงอขึ้นข้างบน ปลายสุดแยกเป็น 2 แฉก เรียก Caudal rami ส่วนท้ายสุดของด้านท้องจะมีหนามเล็กๆ เรียก Postabdominal spine หลายอันแล้วแต่ชนิดของไร ใต้ลงมาจะมี Tactile setae จำนวน 2 เส้นทำหน้าที่รับสัมผัส
โดยทั่วไปเมื่อสภาพแวดล้อมปกติ คือมีอาหารสำหรับไรน้ำอยู่มาก และมีอุณหภูมิค่อนข้างสูง จะพบไรแดงเพศเมียมากกว่าเพศผู้ คือมักมีไรแดงเพศเมียอยู่ถึง 95 % ส่วนเพศผู้มีอยู่เพียง 5 %
3.3 การแพร่พันธุ์ของไรแดง ไรแดงมีการแพร่พันธุ์ได้ 2 แบบ คือ
3.3.1 การแพร่พันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ จะเกิดในภาวะปกติที่มีอาหารสมบูรณ์ และอุณหภูมิค่อนข้างสูง (ในฤดูร้อน) โดยไรแดงเพศเมียจะสร้างไข่ขึ้นในช่องเก็บไข่ (Brood chamber) ทางด้านหลังของลำตัว ไข่จะสามารถพัฒนาไปเป็นตัวอ่อนโดยไม่จำเป็นต้องได้รับการผสมกับเชื้อของเพศผู้ เรียก Parthenogenesis ตัวอ่อนจะฟักตัวออกมาเป็นเพศเมีย ว่ายน้ำออกจากตัวแม่ ปกติไรแดงจะมีอายุได้ 4 - 6 วัน จะสามารถแพร่พันธุ์ได้ 1 - 4 ครั้ง ให้ลูกครั้งละ 8 - 14 ตัว ตัวอ่อนที่เกิดใหม่จะเจริญเป็นตัวเต็มวัยภายใน 24 ชั่วโมง
3.3.2 การแพร่พันธุ์แบบอาศัยเพศ ในสภาพปกติจะเกิดน้อย ได้ตัวอ่อนทั้งเพศผู้และเพศเมีย แต่เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป เช่น อาหารลดลง อุณหภูมิต่ำลง หรือความเป็นกรดเป็นด่างเปลี่ยนไป ไรเพศเมียจะมีการสร้างไข่ที่มีผนังหนาเพียง 1 - 2 ใบแล้วเกิดการผสมกับเชื้อจากตัวผู้ ไข่จะยังไม่ฟักตัว จะหลุดจากตัวแม่เป็น Ephippium egg หรือ Winter egg ตกลงไปอยู่ตามพื้นก้นบ่อ ส่วนตัวแม่จะตายไป เมื่อสภาพแวดล้อมมีความเหมาะสมไข่ก็จะฟักตัวออกมา
3.4 วิธีการเพาะเลี้ยงไรแดง
3.4.1 การเพาะเลี้ยงไรแดงในบ่อซีเมนต์ โดยใช้อาหารผสม มีขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 การเตรียมบ่อผลิต ใช้ได้ตั้งแต่ขนาด 1 - 50 ตารางเมตร (อาจใช้หน่วยเป็นตัน : น้ำปริมาตร 1 ลูกบาศก์เมตร = 1 ตัน) ถ้าเป็นบ่อซีเมนต์สร้างใหม่จะมีความเป็นด่างสูงมากเกินไป ต้องแช่น้ำทิ้งไว้ 2 - 3 สัปดาห์โดยล้างทิ้งและเปลี่ยนน้ำใหม่ทุกสัปดาห์ แต่ถ้าต้องการเร็วให้หมักด้วยเปลือกมะละกอ หรือเปลือกสับปะรด ทิ้งไว้ 7 - 10 วันโดยล้างทิ้งทุก 3 วัน ส่วนบ่อเก่าที่เคยใช้แล้วควรล้างทำความสะอาดแล้วตาก 1 - 2 วัน
ขั้นที่ 2 การเตรียมน้ำ ควรใช้น้ำธรรมชาติ คือ น้ำจากบ่อดิน หรือหนองน้ำ สูบใส่บ่อโดยปล่อยผ่านผ้ากรอง เพื่อป้องกันไรชนิดอื่นหรือศัตรูของไรแดง จนได้ระดับประมาณ 30 เซนติเมตร ( 1 ฟุต ) ถ้าต่ำไปน้ำจะร้อนมาก ถ้าสูงมากไปไรแดงจะเสียกำลังงานในการเคลื่อนที่ จากนั้นปรับความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำโดยใช้ปูนขาวปริมาณ 1 กิโลกรัม ต่อน้ำ 5 ตัน ตัวอย่างเช่น บ่อขนาด 20 ตารางเมตร ระดับน้ำ 30 เซนติเมตร
จะมีปริมาตรน้ำ = 20 X 0.30 ลูกบาศก์เมตร (ตัน)
= 6 ตัน
\ ต้องใส่ปูนขาว = 1 X 6/5 = 1.2 กิโลกรัม
ใช้ปูนขาวจำนวนที่ต้องการแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน แล้วกวนเอาเฉพาะน้ำไปสาดลงบ่อ จากนั้นทำให้น้ำเขียวโดยเติมปุ๋ยสูตร 15-15-15 ประมาณ 5 กรัม ต่อ 1 ตารางเมตร และปุ๋ยยูเรีย (สูตร 45-0-0) ประมาณ 3 กรัม ต่อ 1 ตารางเมตร
*
ขั้นที่ 3 การเตรียมอาหาร ใช้อาหารผสม ได้แก่ รำละเอียด 2 ส่วน ปลาป่น 1 ส่วน และกากถั่วเหลือง 1 ส่วน ในปริมาณ 80 กรัม ต่อตารางเมตร
เช่น บ่อขนาด 20 ตารางเมตร จะต้องเตรียมอาหารโดยคำนวณดังนี้
บ่อขนาด 1 ตารางเมตร จะใช้อาหาร 80 กรัม
บ่อขนาด 20 ตารางเมตร จะใช้อาหาร = 80 X 20 กรัม
= 1,600 กรัม ( 1.6 กิโลกรัม )
จากสูตรอาหารที่กำหนด รำละเอียด 2 ส่วน +ปลาป่น 1 ส่วน + กากถั่วเหลือง 1 ส่วน
รวม = 4 ส่วน
นั่นคือ อาหารผสม 4 กรัม ใช้ลำละเอียด = 2 กรัม
อาหารผสม 1,600 กรัม ใช้รำละเอียด = 2 X 1,600/4 = 800 กรัม
อาหารผสม 4 กรัม ใช้ปลาป่น = 1 กรัม
อาหารผสม 1,600 กรัม ใช้ปลาป่น = 1 X 1,600/4 = 400 กรัม
อาหารผสม 4 กรัม ใช้กากถั่วเหลือง = 1 กรัม
อาหารผสม 1,600 กรัม ใช้กากถั่วเหลือง = 1 X 1,600/4 = 400 กรัม
สรุป ในบ่อที่จะเพาะไรแดงซึ่งมีขนาด 20 ตารางเมตร จะต้องใช้อาหารผสม
โดยใช้ รำ 800 กรัม ผสมปลาป่น 400 กรัม และกากถั่วเหลือง 400 กรัม
หมักอาหารผสมดังกล่าวในถุงพลาสติก โดยใส่น้ำเป็น 2 เท่าของอาหาร เช่น อาหารผสมที่จะใช้มีน้ำหนัก 1,600 กรัม ฉนั้นต้องใช้น้ำเท่ากับ 3,200 กรัม หรือเท่ากับ 3.2 ลิตร (น้ำ 1 ลิตรหนักเท่ากับ 1,000 กรัม) หมักไว้นาน 2 - 3 วัน (อย่างน้อยที่สุด 1 วัน) หมั่นเขย่าถุงทุกวัน จากนั้นกรองน้ำที่หมักอาหารผสมผ่านผ้าไนล่อน เอาส่วนกากออก แล้วนำน้ำไปสาดลงบ่อที่เตรียมไว้
ขั้นที่ 4 การเติมพันธุ์ไรแดง หาไรแดงมาเติมลงบ่อผลิต โดยใช้ไรแดงน้ำหนักสด(ช้อนไรแดงผ่านกระชอนน้ำพอหมาดๆ)ปริมาณ 10 - 60 กรัม ต่อตารางเมตร เช่น บ่อขนาด 20 ตารางเมตร จะใช้ไรแดงประมาณ 200 - 1,200 กรัม ( 2 ขีด - 1.2 กิโลกรัม ) เมื่อเก็บเกี่ยวจะได้ผลผลิตประมาณ 10 เท่า ( 2 - 12 กิโลกรัม )
*
ขั้นที่ 5 การควบคุมบ่อผลิต คือการควบคุมให้สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ต่อเนื่องทุกวัน เป็นเวลา 10 - 15 วัน โดย
� การเก็บเกี่ยวผลผลิตให้เก็บเกี่ยววันละประมาณ 1/2 ของผลผลิตที่มี โดยครั้งแรกจะเก็บเกี่ยวประมาณวันที่ 3 หรือ 5 หลังจากเติมพันธุ์ไรแดง
� การเติมอาหาร หลังจากเติมน้ำหมักจากอาหารผสมแล้ว จะต้องเตรียมอาหารหมักไว้อีกประมาณ 10%ของครั้งแรก เช่นจากบ่อขนาด 20 ตารางเมตร ครั้งแรกใช้อาหารผสม 1,600 กรัม ดังนั้นอาหารผสมที่จะต้องหมักไว้ใช้ในวันต่อๆไป จะใช้วันละ 160 กรัมหมักเตรียมไว้วันละถุง เมื่อนำไปเติมแล้วก็หมักใหม่เช่นนี้ไปทุกวัน
� การถ่ายน้ำ เมื่อทำการเก็บเกี่ยวไรไปแล้ว 4 - 5 วัน ควรถ่ายน้ำออกระดับ 5 - 10 เซนติเมตร แล้วเติมน้ำใหม่
3.4.2 การเพาะเลี้ยงไรแดงในบ่อซีเมนต์ โดยใช้น้ำเขียว
ควรเตรียมวัสดุและอุปกรณ์ต่อไปนี้
1. บ่อผลิต ถ้าจะสร้างบ่อใหม่ควรเป็นบ่อกลมหรือรูปไข่ เพื่อความสะดวกในการหมุนเวียนน้ำ แต่ถ้ามีบ่อเหลี่ยมอยู่แล้วก็ใช้ได้ และควรมีความสูงของบ่อประมาณ 60 เซนติเมตร
2. แอร์ปั๊ม สำหรับช่วยให้เกิดการหมุนเวียนน้ำ ป้องกันการตกตะกอนของน้ำเขียวและช่วยเร่งการขยายพันธุ์ กำลังของเครื่องควรให้เหมาะสมกับขนาดบ่อ เพื่อให้มีกำลังลมพอเพียงที่จะทำให้น้ำหมุนเวียนได้ทั่วบ่อ
3. ผ้ากรอง น้ำที่จะปล่อยลงบ่อผลิตไรจะต้องมีการกรองโดยผ้ากรองทุกครั้ง รวมทั้งน้ำเขียวเพื่อป้องกันไรน้ำชนิดอื่นๆและศัตรูของไรแดง
4. น้ำเขียว เป็นแพลงตอนพืชที่จัดว่าเป็นสาหร่ายเซลล์เดียว ขนาดเล็กจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่แพร่พันธุ์ขยายจำนวนได้รวดเร็วมากเมื่อมีอาหารเหมาะสม เพิ่มจำนวนมากมายจนทำให้น้ำกลายเป็นสีเขียว ชนิดของสาหร่ายเซลล์เดียวที่พบนี้มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Chlorella sp.
5. ไรแดง สำหรับเป็นเชื้อให้แพร่พันธุ์ในบ่อผลิต
6. กากผงชูรส (ซึ่งเรียก อามิ - อามิ ) เป็นกากจากการผลิตผงชูรส ซึ่งมีแร่ธาตุไนโตรเจน 4.2 % และฟอสฟอรัส 0.2 % เวลาใช้จะใช้ทั้งน้ำและตะกอนร่อนรวมกัน
7. อาหารสมทบ ได้แก่รำ ปลาป่น และกากถั่วเหลือง
8. ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ ได้แก่ - ปุ๋ยนา สูตร 16-20-0
- ปุ๋ยซุปเปอร์ฟอสเฟต สูตร 0-46-0
- ปุ๋ยยูเรีย สูตร 46-0-0
การใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์แต่ละครั้งจะต้องละลายน้ำก่อน
9. ปูนขาว ใช้เพื่อปรับความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำ การใช้ควรแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืนแล้วกวนเอาเฉพาะน้ำสาดลงบ่อผลิต
การเพาะไรแดงโดยใช้น้ำเขียว ยังแบ่งออกเป็น 3 แบบ คือ
(1) การเพาะแบบไม่ต่อเนื่อง เป็นการเพาะไรแดงแบบเก็บเกี่ยวครั้งเดียว ควรมีบ่ออย่างน้อย 4 บ่อ เพื่อหมุนเวียนให้ได้ผลผลิตทุกวัน การเพาะแบบนี้ให้ปริมาณไรแดงจำนวนมากและแน่นอน มีสูตรอาหารที่ใช้ได้ผลหลายสูตร ดังตัวอย่างที่จะใช้ในบ่อขนาด 50 ตารางเมตร
สูตรที่ 1 อามิ - อามิ 5 ลิตร ปุ๋ยนา(16-20-0) 2.0 กิโลกรัม รำ 5.0 กิโลกรัม และปูนขาว 3.0 กิโลกรัม สูตรนี้จะให้ผลผลิตไรแดง 11.0 - 13.0 กิโลกรัมต่อบ่อ
สูตรที่ 2 อามิ - อามิ 20 ลิตร ปุ๋ยนา(16-20-0) 1.5 กิโลกรัม ยูเรีย(46-0-0) 1.5 กิโลกรัม ซุปเปอร์ฟอสเฟต(0-46-0) 130 กรัม และปูนขาว 3.0 กิโลกรัม สูตรนี้จะให้ผลผลิตไรแดง 12.0 - 13.0 กิโลกรัมต่อบ่อ
สูตรที่ 3 ยูเรีย(46-0-0) 3.0 กิโลกรัม ปุ๋ยนา(16-20-0) 1.5 กิโลกรัม รำ 5.0 กิโลกรัม และปูนขาว 3.0 กิโลกรัม สูตรนี้จะให้ผลผลิตไรแดง 10.0 - 12.0 กิโลกรัมต่อบ่อ
วิธีดำเนินการคือ เตรียมบ่อแล้วเติมน้ำให้ได้ระดับ 20 เซนติเมตร เติมปุ๋ยสูตรใดสูตรหนึ่งแล้วเติมน้ำเขียวลงไปประมาณ 1 - 2 ตัน เปิดเครื่องแอร์ปั๊มให้น้ำเกิดการหมุนเวียน ปล่อยไว้ 3 วันน้ำเขียวจะเจริญเต็มที่ จากนั้นเติมเชื้อไรแดงประมาณ 1.5 - 2.0 กิโลกรัม ปล่อยทิ้งไว้อีก 3 วันไรแดงจะแพร่พันธุ์จนสามารถเก็บเกี่ยวได้
(2) การเพาะแบบต่อเนื่อง เป็นการเพาะไรแดงแบบเก็บเกี่ยวผลผลิตหลายวันภายในบ่อเดียวกัน ควรมีบ่ออย่างน้อย 4 บ่อเช่นกัน การเพาะแบบนี้ต้องระวังเรื่องคุณภาพน้ำ อาจมีการถ่ายน้ำและเพิ่มน้ำใหม่ลงบ่อผลิต วิธีดำเนินการเช่นเดียวกับแบบไม่ต่อเนื่อง แต่การเก็บเกี่ยวจะเก็บเกี่ยวไรแดงที่เกิดขึ้นเพียงครึ่งเดียว จากนั้นลดระดับน้ำลงประมาณ 10 เซนติเมตร แล้วเติมน้ำใหม่และน้ำเขียวอย่างละ 5 เซนติเมตร ทำเช่นนี้ทุกวันจนกว่าสภาวะแวดล้อมในบ่อผลิตจะไม่เหมาะสม จึงล้างบ่อแล้วเริ่มใหม่ วิธีนี้จะได้ผลผลิตประมาณ 25 กิโลกรัมต่อบ่อ ในระยะเวลา 12 วัน
(3) การเพาะแบบเพิ่มระดับน้ำ เป็นการเพาะไรแดงโดยแบ่งการใส่ปุ๋ยออกเป็น 2 ช่วง แต่ละช่วงห่างกัน 3 วัน และใช้ระดับน้ำสูงเป็น 60 เซนติเมตร ในบ่อผลิตขนาด 50 ตารางเมตรจะใช้ปุ๋ยในช่วงที่ 1 และช่วงที่ 2 ดังตารางต่อไปนี้
ที่มา : กรมประมง (2535)
วิธีดำเนินการคือเตรียมบ่อแล้วเติมน้ำระดับ 60 เซนติเมตร แล้วเติมน้ำเขียว 1 - 2 ตัน เปิดเครื่องแอร์ปั๊มให้น้ำหมุนเวียน เติมปุ๋ยชนิดต่างๆในปริมาณที่ปรากฎในช่วงที่ 1 ทิ้งไว้ 3 วันแล้วเติมปุ๋ยชนิดต่างๆในปริมาณที่ปรากฎในช่วงที่ 2 ทิ้งไว้อีก 2 วันแล้วเติมเชื้อไรแดง 3 - 5 กิโลกรัม ปล่อยไว้ 3 วันไรแดงจะขยายพันธุ์จนเก็บเกี่ยวได้ ให้ผลผลิตประมาณ 28 - 34 กิโลกรัมต่อบ่อ
3.4.3 การเพาะเลี้ยงไรแดงในบ่อดิน
บ่อดินที่จะใช้เพาะเลี้ยงไรแดงควรมีขนาดประมาณ 200 - 800 ตารางเมตร มีขั้นตอนคือ
- ทำความสะอาดบ่อแล้วตากบ่อไว้ประมาณ 1 สัปดาห์
- เติมน้ำโดยปล่อยผ่านผ้ากรองให้ได้ระดับประมาณ 25 - 40 เซนติเมตร
- เติมน้ำเขียวประมาณ 2 ตัน แล้วเติมอาหารตามตารางต่อไปนี้
ตารางที่ 2 ชนิดปุ๋ยและปริมาณที่จะใช้เพาะไรแดงในบ่อดินขนาดต่างๆ
ถ้าไม่มีอามิ - อามิให้ใช้มูลไก่แทนตามตัวเลขในวงเล็บ แล้วใส่น้ำเขียวประมาณ 2 ตัน
ถ้าไม่มีน้ำเขียว หมักน้ำทิ้งไว้ 3 วัน
ดัดแปลงจาก : กรมประมง (2535)
- เติมเชื้อไรแดงประมาณ 2 กิโลกรัม แล้วปล่อยทิ้งไว้ 3 วัน
- เริ่มเก็บเกี่ยวไรแดงได้ตั้งแต่วันที่ 4 หลังจากเติมเชื้อไรแดง จะเก็บเกี่ยวได้ 3 - 4 วันไรแดงจะเริ่มลดจำนวนลง ควรเติมอาหารลงไปโดยเติมเพียงครึ่งหนึ่งของครั้งแรก ไรแดงก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นอีกภายใน 2 - 3 วัน ทำเช่นนี้ไปได้อีก 1 - 2 ครั้งก็ควรจะล้างบ่อแล้วเริ่มต้นใหม่
3.5 การนำไรแดงมาใช้ ไรแดงที่ได้จากการเพาะเลี้ยงจะมีโรคและพยาธิ ที่จะเป็นอันตรายต่อปลาค่อนข้างน้อยกว่าไรแดงที่ช้อนจากแหล่งน้ำเสีย แต่ถ้าต้องการความปลอดภัยควรล้างไรแดงด้วยสารละลายด่างทับทิม อัตรา 0.1 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร ซึ่งจะได้สารละลายสีชมพูอ่อน แช่ไรแดงไว้ประมาณ 5 - 10 นาทีโดยให้อากาศด้วย จากนั้นจึงช้อนไปเลี้ยงลูกปลา การใช้ไรแดงยังนิยมให้ไรแดงในสภาพสดมากกว่า
3.6 การลำเลียงไรแดง มี 2 ลักษณะ คือ
3.6.1 การลำเลียงไรแดงเพื่อนำไปเป็นแม่พันธุ์สำหรับการผลิต จะต้องทะนุถนอมเพื่อให้ไรแดงมีความแข็งแรงและบอบช้ำน้อย จะได้มีจำนวนรอดมากทำให้ผลผลิตสูง ปกติไรแดงที่รอดชีวิตจะให้ผลผลิตเป็น 10 เท่า ซึ่งวิธีการลำเลียงที่ดีควรใช้ถุงพลาสติกอัดก๊าซออกซิเจน และใช้ตู้แช่อุณหภูมิต่ำ ประมาณ 10 - 20 องศาเซลเซียส อาจใช้ถังโฟมใส่น้ำแข็งแทนได้ เมื่อถึงที่หมายจึงนำถุงพลาสติกออกแช่ในน้ำปกติ เพื่อค่อยๆทำให้อุณหภูมิน้ำในถุงสูงขึ้นเท่ากับบ่อผลิต แล้วจึงปล่อยไรลงบ่อ
3.6.2 การลำเลียงไรแดงเพื่อนำไปเป็นอาหารสัตว์น้ำ ต้องการเพียงไรแดงสดจึงใช้ได้ทั้งวิธีใส่ถุงพลาสติกอัดออกซิเจน และวิธีแช่แข็ง โดยเฉพาะวิธีแช่แข็งนิยมใช้ส่งไรแดงไปต่างประเทศ เมื่อต้องการใช้จะนำก้อนไรแดงแช่แข็งใส่ลงในตู้ปลา ไรแดงจะค่อยๆละลายหลุดออกมาและปลาจะมาตอดกิน
3.7 การเก็บรักษาไรแดง ไรแดงที่ผลิตได้คราวละมากๆนอกจากจะใช้ในสภาพสดแล้ว ก็ยังสามารถเก็บรักษาไว้นานๆได้ เมื่อใดที่ต้องการใช้ก็นำออกมาใช้ได้ทันที วิธีที่นิยมใช้เก็บรักษาไรแดง คือ
3.7.1 ใช้วิธีการแช่แข็ง วิธีนี้สามารถเก็บไว้ได้นานและไรยังสดอยู่ นิยมทำโดยช้อนไรให้แห้งพอหมาดๆ จากนั้นแบ่งใส่ถุงพลาสติกหรือกล่องพลาสติก แล้วนำไปแช่แข็ง เมื่อต้องการใช้ก็นำไปใส่ลงในน้ำได้ทันที ไรแดงจะค่อยๆละลายลงไปโดยปลาจะมาคอยกิน
3.7.2 ใช้วิธีการเก็บในอุณหภูมิต่ำประมาณ 10 องศาเซลเซียส โดยเติมน้ำให้ไรประมาณ 50 % แล้วใส่ถุงพลาสติกอัดออกซิเจน จะทำให้สามารถเก็บไรได้มากขึ้น โดยไรจะมีชีวิตอยู่ได้นานประมาณ 4 วัน
4 เทคนิคการเพาะเลี้ยงและการใช้หนอนแดง
หนอนแดงเป็นอาหารธรรมชาติ ที่มีประโยชน์ต่อการเลี้ยงปลาสวยงามอย่างมาก เพราะมีคุณค่าทางโภชนาการสูง เหมาะสำหรับเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์เพื่อให้มีการพัฒนาของเซลล์สืบพันธุ์ที่ดี และเป็นอาหารที่ปลาสวยงามส่วนใหญ่ชอบกิน เป็นอาหารที่นิยมใช้ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ เพราะทำให้ปลาเจริญเติบโตเร็ว มีสีสันสดใส ไม่ทำให้น้ำเน่าเสียหรือมีตะกอนมากเหมือนกับอาหารธรรมชาติบางชนิด แต่เนื่องจากหายากและมีราคาค่อนข้างแพง จึงนิยมใช้เลี้ยงเฉพาะปลาที่มีราคาแพงหรือกินอาหารสำเร็จรูปยาก เช่น ปลาปอมปาดัวร์และปลาเทวดา ในอดีตจะรวบรวมหนอนแดงได้จากพื้นก้นแหล่งน้ำ โดยเฉพาะแหล่งน้ำเสียแต่ปัจจุบันหาได้ยากขึ้น ในขณะที่ความต้องการหนอนแดงกลับมีมากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้มีการเพาะเลี้ยงหนอนแดงเป็นการค้าขึ้นมาเช่นกัน
4.1 การจัดลำดับทางอนุกรมวิธาน หนอนแดงจัดเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังประเภทสัตว์หน้าดิน (Benthos) จะอาศัยอยู่ตามพื้นก้นบ่อหรือแหล่งน้ำทั่วๆไป หนอนแดงเป็นตัวอ่อนของแมลงที่มีลักษณะคล้ายยุง เรียกว่า “ริ้น” มีทั้งชนิดที่เป็นน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม ชนิดที่พบมากในน้ำจืดมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chironomous spp. มีลักษณะคล้ายยุงแต่มีขายาวกว่า ไม่ทำอันตรายหรือดูดเลือดมนุษย์ ริ้นเพศเมียไม่ต้องการเลือดเป็นอาหารเหมือนยุงเพศเมีย ส่วนริ้นเพศผู้มีหัวเล็กและมีหนวดเป็นพู่(Plumose) ริ้นพวกนี้มักชอบเกาะอยู่ตามที่มืดชายน้ำ แล้วเพศเมียจะวางไข่ตามผิวน้ำ ลักษณะไข่จะมีวุ้นหุ้มต่อกันเป็นสาย เกาะติดอยู่ตามลำต้นหรือใบของพันธุ์ไม้น้ำตามผิวน้ำ โดยจะวางไข่คราวละ 400 - 500 ฟอง ใช้เวลาฟักตัวประมาณ 50 ชั่วโมง ตัวอ่อนที่ออกจากไข่มีความยาวประมาณ 1.0 มิลลิเมตร และเมื่อโตเต็มวัยจะมีขนาดประมาณ 1.0 - 1.2 เซนติเมตร หนอนแดงที่พบโดยทั่วไปมีชื่อสามัญว่า Midge แต่เนื่องจากลำตัวมักมีสีแดงสด จึงอาจเรียกว่า Blood Worm จัดลำดับชั้นได้ดังนี้
Phylum : Arthropoda
Class : Insecta
Order : Diptera
Family : Chironomidae
Genus : Chironomus
4.2 ลักษณะภายนอก
หนอนแดงมีลำตัวยาว ส่วนหัวแยกจากลำตัวชัดเจน และมีตาเห็นเป็นจุดสีดำ 1 คู่ ส่วนอกขยายใหญ่ มีอวัยวะหายใจยื่นยาวออกมาเป็นท่อเล็กๆ 1 คู่ มีอวัยวะทำหน้าที่คล้ายขา (Pseudopods หรือ False Legs) อยู่ 2 คู่ คู่แรกอยู่ที่ปล้องแรกของส่วนอก คู่ที่ 2 อยู่ที่ปล้องสุดท้ายของส่วนท้อง นอกจากนั้นหนอนแดงยังสามารถว่ายน้ำได้ โดยการบิดตัวไปมา
4.3 วงชีวิต
ภาพที่ 2 แสดงวงชีวิตของหนอนแดง
4.4 การเพาะเลี้ยงหนอนแดง ส่วนใหญ่นิยมใช้บ่อดินเพราะจะให้ผลผลิตค่อนข้างสูง มีขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 การเตรียมบ่อ ขนาดที่เหมาะสมควรอยู่ระหว่าง 1,000 - 1,600 ตารางเมตร ปรับคันบ่อให้สามารถเก็บน้ำได้ประมาณ 30 เซนติเมตร หว่านด้วยปูนขาวประมาณ 10 - 15 กิโลกรัม ตากบ่อไว้ประมาณ 1 สัปดาห์
ขั้นที่ 2 หว่านปุ๋ย ใช้ปุ๋ยมูลสัตว์ ซึ่งที่นิยมใช้กันในปัจจุบันได้แก่มูลไก่แห้ง ปริมาณ 1,000 - 1,500 กิโลกรัม หว่านกระจายให้ทั่วบ่อ แล้วเติมน้ำเข้าบ่อให้ได้ระดับ 30 เซนติเมตร ริ้นน้ำจืดจะมาวางไข่ติดตามต้นและใบหญ้าบริเวณผิวน้ำที่ขอบบ่อ หลังจากนั้นประมาณ 2 วัน ตัวอ่อนของริ้นน้ำจืดจะฟักตัวออกจากไข่ ซึ่งจะพอดีกับที่บ่อจะมีแบคทีเรีย และ แพลงตอนต่างๆซึ่งเกิดจากการใส่มูลไก่ ตัวอ่อนจะได้รับอาหารเจริญเติบโตและสร้างปลอกอยู่ตามพื้นก้นบ่อ ในเวลา 7 - 10 วันจะมีขนาดประมาณ 1.0 เซนติเมตร เหมาะที่จะนำไปใช้ในการเลี้ยงปลาสวยงาม
ขั้นที่ 3 การเก็บผลผลิต จะเริ่มเก็บเกี่ยวหนอนแดงประมาณวันที่ 10 - 15 หลังจากเติมน้ำ ซึ่งจะขึ้นกับฤดูกาล วิธีการเก็บรวบรวมหนอนแดง ตอนแรกจะใช้สวิงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 40 - 50 เซนติเมตร ทำด้วยผ้าไนล่อนสีฟ้าขนาดช่องตาประมาณ 1 - 2 มิลลิเมตร ช้อนลงไปที่พื้นก้นบ่อให้ลึกลงไปในดินประมาณ 2 - 3 เซนติเมตร แล้วทำการร่อนโดยเขย่าสวิงไปมาบริเวณผิวน้ำ จะทำให้ดินและโคลนที่ถูกช้อนขึ้นมากระจายตัวผ่านไนล่อนของสวิงออกไป ส่วนหนอนแดงถึงแม้ขนาดของลำตัวจะเล็กพอที่จะลอดช่องตาออกไปได้เช่นกัน แต่เนื่องจากมีความยาวและชอบม้วนตัว จึงทำให้ไม่สามารถลอดออกไปได้ ดังนั้นในสวิงจะเหลือเศษวัสดุที่มีขนาดใหญ่ เช่น ใบไม้ ขนไก่ รวมทั้งหนอนแดง ก็ใช้กระชอนผ้าขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 20 เซนติเมตร ช้อนทั้งหมดไปใส่ภาชนะไว้แล้วเก็บเศษวัสดุที่ไม่ต้องการออก ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนทั่วทั้งบ่อ
ขั้นที่ 4 การปรับสภาพบ่อ เมื่อทำการเก็บเกี่ยวหนอนแดงเสร็จแล้ว ระบายน้ำในบ่อทิ้งให้ลดระดับลงประมาณ 10 เซนติเมตร จากนั้นหว่านด้วยมูลไก่แห้งอีก 200 - 300 กิโลกรัมแล้วเติมน้ำให้ได้ระดับเดิม
จากนั้นจะสามารถดำเนินการตามขั้นที่ 3 และ 4 อีก โดยสามารถทำได้ประมาณ 3 ครั้ง ซึ่งจะได้ผลผลิตหนอนแดงประมาณ 200 กรัม / ตารางเมตร / ครั้ง ใช้เวลาทั้งสิ้นประมาณ 30 วัน เก็บเกี่ยวหนอนแดงได้ 3 ครั้ง
ขั้นที่ 5 การเตรียมบ่อ จะดำเนินการย้อนกลับไปขั้นที่ 1 โดยควรตากบ่อไว้นานประมาณ 10 - 15 วัน แล้วดำเนินการต่อไปตามขั้นตอน
4.5 การเก็บรักษาหนอนแดง กระทำได้ 5 วิธี คือ
4.4.1 การเก็บสด จะเก็บหรือเลี้ยงหนอนแดงในภาชนะ เช่นกะละมังขนาดใหญ่ ให้อากาศเช่นเดียวกับการเลี้ยงปลา แล้วใช้อาหารผงที่ใช้สำหรับอนุบาลลูกปลาดุกเป็นอาหารเลี้ยงหนอนแดง จะเลี้ยงหนอนแดงไว้ได้อย่างดี ถึงแม้หนอนแดงบางส่วนจะลอกคราบ กลายเป็นหัวโม่ง เพื่อจะลอกคราบอีกครั้งแล้วกลายเป็นตัวเต็มวัย หนอนแดงที่กลายเป็นหัวโม่งสามารถช้อนไปเป็นอาหารปลาได้ดี เพราะในระยะที่เป็นหัวโม่งหนอนแดงจะชอบอยู่ที่ผิวน้ำ ทำให้ช้อนได้ง่ายและปลาชอบกินด้วย
4.4.2 การเก็บแห้ง ใช้ผ้าขาวบางชุบน้ำให้ชุ่มแล้วห่อหนอนแดงไว้ จากนั้นเอาใส่ภาชนะเก็บไว้ในตู้เย็นหรือถังโฟม ให้มีอุณหภูมิประมาณ 10 - 15 องศาเซลเซียส จะเก็บไว้ได้ 3 - 5 วันโดยที่หนอนแดงยังมีชีวิตอยู่
4.4.3 การเก็บแช่แข็ง จะเก็บหนอนแดงโดยการรวบรวมใส่ถุงพลาสติกหรือใส่กล่องพลาสติกแล้วนำไปแช่แข็ง วิธีนี้หนอนแดงจะตายหมด แต่ยังสดและมีคุณค่าทางอาหารดีอยู่ เมื่อนำไปเลี้ยงปลาก็ยังชอบกินเช่นเดิม
4.4.4 การแช่แข็งแบบพิเศษ เป็นการเก็บรักษาหนอนแดงเพื่อการส่งออก โดยการแช่แข็งด้วยไนโตรเจนเหลว วิธีนี้หนอนแดงจะฟื้นประมาณ 40 % แต่จะไม่แข็งแรงเพียงแต่มีการเคลื่อนไหวทำให้ปลาชอบกิน
4.4.5 การอบแห้ง เป็นการเก็บหนอนแดงโดยการอบแห้งแล้วบรรจุกระป๋องสุญญากาศ เป็นวิธีการที่นิยมทำเป็นการค้าในปัจจุบัน หนอนแดงที่ผ่านการอบแห้งแล้วนี้ปลายังชอบกินเช่นกัน
ภาพที่ 3 การรวบรวม การบรรจุถุง การแช่แข็งและการนำหนอนแดงไปเลี้ยงปลา
5 เทคนิคการเพาะเลี้ยงและการใช้อาร์ทีเมีย ( Artemia )
อาร์ทีเมียจัดว่าเป็นอาหารธรรมชาติที่สำคัญที่สุดต่อธุรกิจการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ โดยเฉพาะมีคุณสมบัติที่พิเศษกว่าอาหารธรรมชาติชนิดอื่นๆ คือ ตัวอ่อนมีขนาดเล็กมีความยาวประมาณ 0.4 - 0.5 มิลลิเมตร เหมาะสำหรับใช้อนุบาลลูกสัตว์น้ำแทบทุกชนิด เมื่อเจริญเป็นตัวเต็มวัยจะค่อนข้างมีขนาดใหญ่มีความยาวประมาณ 0.8 - 1.2 เซนติเมตร เหมาะที่จะใช้เป็นอาหารเลี้ยงปลาสวยงาม นอกจากนั้นไรที่สมบูรณ์เพศแล้วยังสามารถแพร่ขยายพันธุ์ทั้งในแบบออกลูกเป็นตัว คือให้ตัวอ่อนออกมาเลย หรือแพร่พันธุ์แบบออกลูกเป็นไข่ โดยไข่ที่ปล่อยออกมาจะมีตัวอ่อนอยู่ภายในฟองละ 1 ตัว เป็นไข่ที่สามารถนำมาเก็บรักษาไว้ได้เป็นระยะเวลานาน เมื่อใดที่ต้องการตัวอ่อนจึงนำมาดำเนินการฟัก ก็จะได้ตัวอ่อนตามต้องการและมีความแน่นอน ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือ อาร์ทีเมียยังสามารถดำรงชีวิตอยู่ในความเค็มระดับต่างๆที่กว้างมาก มีการเจริญเติบโตรวดเร็วและไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรค ทำให้ดำเนินการเพาะเลี้ยงได้ง่าย ปัจจุบันได้มีการเลี้ยงอาร์ทีเมียกันบ้างแล้วในนาเกลือตามจังหวัดแถบชายทะเล ซึ่งส่วนใหญ่จะเลี้ยงเพื่อการรวบรวมอาร์ทีเมียตัวเต็มวัย สำหรับจำหน่ายในสภาพสดเพื่อนำไปเป็นอาหารสัตว์น้ำต่างๆ โดยเฉพาะอาหารของปลาสวยงาม
5.1 การจัดลำดับทางอนุกรมวิธาน อาร์ทีเมียเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังจำพวกกุ้งชนิดหนึ่ง มีชื่อสามัญว่า Brine Shrim หรือ Artemia พบทั่วโลกทุกทวีปรวม 47 ประเทศ โดยพบเฉพาะแหล่งน้ำเค็มหรือน้ำเค็มจัดจำนวน 244 แห่ง แต่ที่มีปริมาณมากและพอที่จะรวบรวมส่งออกจำหน่าย มีเพียงไม่กี่แห่ง ที่สำคัญได้แก่ San Francisco Bay และ Great Salt Lake ประเทศสหรัฐอเมริกา และที่ Buahal Bay ประเทศจีน
Ruppert & Barnes, 1974 ได้จัดลำดับทางอนุกรมวิธานของอาร์ทีเมียไว้ดังนี้
Phylum : Arthropoda
Class : Crustacea
Sub-class : Branchiopoda
Order : Anostraca
Family : Artemiidae
Genus : Artemia
Specie : salina
5.2 ลักษณะภายนอก
ภาพที่ 4 แสดงลักษณะภายนอกของ Artemia
อาร์ทีเมียมีลำตัวแบนเรียวยาวคล้ายใบไม้ ลำตัวใสแกมชมพู ไม่มีเปลือกแข็งหุ้มลำตัว (Shelless) แต่มีเนื้อเยื่อบางๆหุ้มไว้ ว่ายน้ำเคลื่อนที่ในลักษณะหงายท้อง ลำตัวแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ
- ส่วนหัว (Head) แบ่งออกได้เป็น 6 ปล้อง มีตาเดี่ยวและตารวมที่มีก้านตา 1 คู่ และหนวด 2 คู่
- ส่วนอก (Thorax) แบ่งออกเป็น 11 ปล้อง แต่ละปล้องมีระยางค์ปล้องละ 1 คู่ ทำหน้าที่ทั้งในการว่ายน้ำ หายใจ และช่วยกรองอาหารเข้าปาก
- ส่วนท้อง (Abdomen) แบ่งออกเป็น 8 ปล้อง ปล้องแรกเป็นที่ตั้งของอวัยวะเพศ ปล้องที่ 2 - 7 ไม่มีระยางค์ และปล้องที่ 8 มีแพนหาง 1 คู่
ความแตกต่างระหว่างเพศ โดยปกติเพศผู้จะมีขนาดเล็กกว่าเพศเมีย และหนวดคู่ที่ 2 ของเพศผู้จะมีขนาดใหญ่คล้ายตะขอใช้เกาะเพศเมีย ทำให้ดูว่ามีส่วนหัวขนาดใหญ่ และเพศเมียจะมีถุงไข่ที่ปล้องแรกของส่วนท้อง
5.3 การแพร่พันธุ์ อาร์ทีเมียสามารถแพร่ขยายพันธุ์ได้ 2 แบบ คือในสภาวะปกติที่ความเค็มตั้งแต่ 20 - 120 ppt จะแพร่พันธุ์โดยออกลูกเป็นตัว ตัวอ่อนจะฟักออกจากไข่ในถุงไข่ของตัวแม่แล้วว่ายน้ำออกมา ไรที่จะแพร่พันธุ์แบบนี้จะสังเกตได้ว่าไข่ที่อยู่ในถุงไข่มีสีขาว เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไป เช่น ความเค็มสูงขึ้นมากกว่า 130 ppt หรือมีการแพร่พันธุ์จนมีปริมาณ ตัวอาร์ทีเมียอยู่อย่างหนาแน่น หรือปริมาณอาหารลดลง หรืออุณหภูมิลดต่ำลงมาก หรือคุณสมบัติของน้ำไม่เหมาะสม อาร์ทีเมียส่วนใหญ่จะแพร่พันธุ์แบบออกลูกเป็นไข่ โดยจะปล่อยไข่ที่แก่แล้วออกจากถุงไข่ ไข่จะมีเปลือกหนาและจะไม่ฟักตัวจนกว่าสภาพแวดล้อมจะเหมาะสม ไรที่จะแพร่พันธุ์แบบนี้จะสังเกตได้ว่าไข่ที่อยู่ในถุงไข่มีสีน้ำตาลเข้ม
ภาพที่ 5 แสดงวงชีวิตของ Artemia
การรวบรวมไข่ที่ Great Salt Lake ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นทะเลสาบที่มีพื้นที่มากถึง 4,000 ตารางกิโลเมตร น้ำมีความเค็มอยู่ระหว่าง 150 - 200 ppt ฤดูการเก็บเกี่ยวไข่ไรจะเริ่มตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ถึง เดือนมกราคม ซึ่งอากาศหนาวเย็นทำให้อาร์ทีเมียออกลูกเป็นไข่ บริษัทต่างๆประมาณ 10 บริษัท ที่ได้รับสัมปทานจะส่งเครื่องบินออกสำรวจหากลุ่มไข่ของ อาร์ทีเมีย ซึ่งมักจะลอยเป็นกลุ่มๆในทะเลสาบความยาวกลุ่มละประมาณ 2 - 3 กิโลเมตร เมื่อพบจะปักทุ่นจับจองเป็นเจ้าของ แล้วแจ้งไปยังเรือให้นำทุ่นลอยลักษณะเดียวกับที่ใช้กันคราบน้ำมัน กันเอาไข่ไว้แล้วใช้เครื่องปั๊มดูดไข่เข้ามาเก็บในถุงกลางลำเรือ ล้างสิ่งสกปรกออกด้วยน้ำเกลือเข้มข้นก่อนเก็บไว้ในห้องเย็นต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส ประมาณ 2 เดือน แล้วนำมาตรวจสอบอัตราการฟักเพื่อคัดเกรดคุณภาพ จากนั้นจึงบรรจุกระป๋องสุญญากาศส่งไปจำหน่ายทั่วโลก
5.4 วิธีการฟักไข่อาร์ทีเมีย การใช้อาร์ทีเมียในปัจจุบันมักได้จากการซื้อไข่ไรที่บรรจุอยู่ในกระป๋องสุญญากาศ เมื่อต้องการตัวอ่อนของอาร์ทีเมียเมื่อใด ก็นำไข่ไรที่ซื้อไว้มาฟักตัว ซึ่งควรทำตามขั้นตอนต่อไปนี้
- เตรียมภาชนะฟักไข่ ส่วนมากจะใช้ภาชนะทรงกลมที่มีขนาดเล็ก มีความจุประมาณ 5 - 20 ลิตร ยกเว้นฟาร์มขนาดใหญ่ที่จำเป็นต้องเพาะครั้งละมากๆ จะใช้ถังไฟเบอร์ขนาด 100 - 200 ลิตร
- เตรียมน้ำ โดยใช้น้ำทะเลปกติ หรือน้ำจืดผสมด้วยเกลือให้มีความเค็ม 25 ppt (คือ น้ำ 1 ลิตร จะใช้เกลือ 25 กรัม)
- ใส่ไข่อาร์ทีเมียที่เตรียมไว้ ในปริมาณประมาณ 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 5 ลิตร
- ใส่สายลม เพื่อให้ออกซิเจน และทำให้เกิดการหมุนเวียนของน้ำในภาชนะ ซึ่งจะทำให้ไข่ไรไม่ตกตะกอน แต่ลอยหมุนเวียนไปมาในน้ำตลอดเวลา
- ใช้เวลา 24 - 36 ชั่วโมง ไรจะฟักตัวออกจากไข่ จะสังเกตได้ว่าน้ำในภาชนะที่ใช้ฟักไข่มีสีส้ม เนื่องจากตัวอ่อนของอาร์ทีเมียที่ออกจากไข่ใหม่ๆ ตัวจะมีสีส้มเข้ม เหมาะที่จะนำไปใช้อนุบาลลูกปลา
5.5 การแยกตัวอ่อนของอาร์ทีเมียออกจากเปลือกไข่ ตัวอ่อนของไรที่ได้จากการฟักตัวจะมีเปลือกไข่ปะปนอยู่ด้วย จำเป็นต้องแยกตัวอ่อนออกจากเปลือกไข่ เพราะลูกปลาไม่สามารถย่อยเปลือกไข่ได้ และที่สำคัญคือเปลือกไข่มักมีแบคทีเรียอยู่มาก จะทำให้ปลาติดเชื้อได้ง่าย จึงต้องแยกเปลือกไข่ออกทิ้ง โดยทำตามขั้นตอนดังนี้
- ยกสายลมออก เพื่อให้น้ำหยุดการหมุนเวียน
- ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 15 - 20 นาที ตัวอ่อนของไรจะว่ายน้ำลงไปรวมกลุ่มอยู่ตามก้นภาชนะ ส่วนเปลือกไข่ที่ไรฟักตัวออกไปแล้วจะลอยอยู่ผิวน้ำ สำหรับไข่ที่ไม่ฟักตัวและตะกอนต่างๆจะตกตะกอนอยู่ก้นภาชนะ
- ใช้สายยางเล็กๆหรือสายลมดูดเอาตัวอ่อนอาร์ทีเมียโดยวิธีกาลักน้ำที่ก้นภาชนะ แล้วกรองไว้ด้วยกระชอนผ้าตาถี่
- นำตัวอ่อนอาร์ทีเมียที่อยู่ในกระชอนไปแกว่งล้างน้ำจืด 2 - 3 ครั้ง ก่อนนำไปเลี้ยงลูกปลา
5.6 เทคนิคการแยกตัวอ่อนอาร์ทีเมียออกจากเปลือกไข่ เนื่องจากมักเกิดปัญหาเรื่องการติดเชื้อเพราะแยกเปลือกไข่ออกไม่หมด จึงจำเป็นต้องหาวิธีที่จะแยกเปลือกไข่ให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งทำได้ดังนี้
- เมื่อยกสายลมออกแล้วให้ตะแคงภาชนะไปทางด้านที่มีแสงเข้ามา เพราะตัวอ่อนอาร์ทีเมียชอบว่ายน้ำเข้าหาแสง จะทำให้ไรว่ายน้ำลงไปรวมกันในส่วนลึกเกือบหมด ทำให้สะดวกในการดูดตัวไรออกมาได้ง่ายขึ้น
- เมื่อยกสายลมออกแล้วใช้กระดาษทึบแสงปิดรอบภาชนะ เว้นเฉพาะทางด้านก้นภาชนะไว้ประมาณ 3 เซนติเมตร จะทำให้ไรส่วนใหญ่ว่ายน้ำลงไปรวมที่ช่องแสงที่ก้นภาชนะ ทำให้รวบรวมไรได้ง่ายขึ้น
ภาพที่ 6 แสดงวิธีการแยกตัวอ่อนอาร์ทีเมียออกจากเปลือกไข่
5.7 การเลี้ยงอาร์ทีเมียให้เป็นตัวเต็มวัย การใช้อาร์ทีเมียตัวเต็มวัยเป็นอาหารปลาสวยงามกำลังได้รับความนิยมมาก เพราะอาร์ทีเมียมีคุณค่าทางโภชนาการค่อนข้างสูงและปลาชอบกิน อีกทั้งปลายังสามารถย่อยได้ดีเหลือกากขับถ่ายออกมาน้อย ดังนั้นหากผู้เลี้ยงปลาสวยงามต้องการเลี้ยงอาร์ทีเมียไว้เลี้ยงปลาสวยงามด้วยตนเอง ก็สามารถทำได้ไม่ยุ่งยากมากนัก ตามขั้นตอนต่อไปนี้
การเตรียมบ่อเลี้ยง บ่อที่จะใช้เลี้ยงอาร์ทีเมียอาจใช้กะละมังพลาสติกขนาดใหญ่ หรือใช้ถังซีเมนต์กลม(ถังส้วม)ก็ได้ ซึ่งทั้งกะละมังและถังส้วมจะมีรูปทรงเป็นทรงกระบอก การคำนวณหาปริมาตรน้ำในบ่อเลี้ยงนี้จะใช้สูตร
ปริมาตรน้ำ = 22/7 x r x r x h
เมื่อ r = รัศมีของปากบ่อ (ครึ่งหนึ่งของเส้นผ่าศูนย์กลาง)
h = ความสูงของระดับน้ำที่จะใส่ในบ่อ
ตัวอย่าง จะเลี้ยงอาร์ทีเมียในถังซีเมนต์กลม ซึ่งมีความกว้างที่ปากถัง(เส้นผ่าศูนย์กลาง)เท่ากับ 80 เซนติเมตร โดยจะใส่น้ำระดับสูง 30 เซนติเมตร
\ถังซีเมนต์จะมีความจุน้ำ = 22/7 X 40 X 40 X 30
= 150,864 ลูกบาศก์เซนติเมตร(ซีซี)
จาก ปริมาตร 1 ลิตร = 1,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร(ซีซี)
\ถังซีเมนต์จะมีความจุน้ำ = 150,864 /1,000 ลิตร
= 150.86 ลิตร
นั่นคือ ถังซีเมนต์จุน้ำได้ประมาณ 150 ลิตร
*
การเตรียมน้ำเค็ม เมื่อแช่ถังซีเมนต์จนหมดฤทธิ์ปูนแล้ว ใส่น้ำจืดแล้วเติมเกลือแกงหรือเกลือทะเล(หาซื้อได้จากร้านขายอาหารสัตว์)ให้น้ำมีความเค็มในระดับ 60 - 80 ppt ซึ่งเป็นระดับความเค็มที่อาร์ทีเมียมีการเจริญเติบโตดีและมีอัตราการรอดสูง
จากตัวอย่างข้างต้น ถังซีเมนต์มีความจุน้ำ 150 ลิตร ถ้าต้องการเตรียมน้ำให้มีความ เค็ม 80 ppt จะต้องใส่เกลือเท่าใด
การคิด ความเค็ม 80 ppt หมายความว่า ปริมาตรน้ำ 1 ลิตร จะต้องใส่เกลือ 80 กรัม
- ถังซีเมนต์ดังกล่าวจะต้องเติมเกลือ = 80 X 150 กรัม
= 12,000 กรัม
จาก ปริมาณเกลือ 1 กิโลกรัม = 1,000 กรัม
\ ถังซีเมนต์ดังกล่าวจะต้องเติมเกลือ = 12,000 / 1,000 กิโลกรัม
= 12.0 กิโลกรัม
นั่นคือ เติมเกลือลงในถังซีเมนต์จำนวน 12 กิโลกรัม แล้วเติมน้ำให้ได้ระดับ 30 เซนติเมตร กวนน้ำให้เกลือละลายจนหมด ก็จะได้น้ำที่มีความเค็ม 80 ppt ตามต้องการ
การเตรียมอาหาร น้ำที่เตรียมเสร็จแล้วนั้นจะไม่มีอาหารธรรมชาติอยู่เลย จะต้องเตรียมให้มีอาหารธรรมชาติสำหรับเป็นอาหารของอาร์ทีเมีย โดยใช้อาหารผง(อาหารผงสำหรับอนุบาลลูกปลาดุก หาซื้อได้จากร้านขายปลาสวยงาม หรือร้านขายอาหารสัตว์) ใส่ลงไปในน้ำจำนวน 2 ช้อนโต๊ะ แล้วใส่สายลมเพื่อทำให้น้ำเกิดการหมุนเวียน เป็นการช่วยผสมน้ำเกลือที่เตรียมให้เป็นเนื้อเดียวกัน และช่วยกระจายอาหารให้สลายตัวเกิดอาหารธรรมชาติได้ดี ปล่อยทิ้งไว้ 3 - 4 วัน
หมายเหตุ บ่อเลี้ยงอาร์ทีเมียควรตั้งอยู่ภายนอกอาคาร เพื่อให้ได้รับแสงแดดบ้างพอควร จะทำให้เกิดแพลงตอนพืชได้ดีซึ่งเป็นอาหารที่สำคัญของไร
เติมเชื้อไร ถ้ามีไข่อาร์ทีเมีย ให้ใช้ไข่ไรประมาณ 1 / 4 ช้อนชา นำไปฟักในภาชนะใช้น้ำประมาณ 5 ลิตรและเตรียมให้มีความเค็ม 25 ppt ใช้เวลาประมาณ 30 ชั่วโมง ไรจะฟักตัวหมด ควรแยกตัวอ่อนไรออกจากเปลือกไข่ ( ดูหัวข้อ 5.5.5 และ 5.5.6 ) ตัวอ่อนไรที่ได้นี้อย่าพึ่งปล่อยลงบ่อเลี้ยงทันที เพราะความเค็มที่ใช้ฟักไข่กับความเค็มที่บ่อเลี้ยงต่างกันมาก ควรปรับความเค็มก่อน โดยใช้ถังพลาสติกที่ใช้ตักน้ำโดยทั่วๆไป ซึ่งจะมีความจุประมาณ 10 - 12 ลิตร นำตัวอ่อนไรที่แยกออกมาจากเปลือกไข่ โดยใช้สายยางดูดให้ได้น้ำมาด้วยประมาณ 2 ลิตร ใส่ลงในถังพลาสติก แล้วตักน้ำจากบ่อเลี้ยงที่มีความเค็ม 80 ppt เติมลงในถังครั้งละ 1 ลิตร โดยเติมชั่วโมงละครั้ง และใส่ลมให้น้ำเกิดการหมุนเวียนผสมกัน ทำไปประมาณ 8 - 10 ครั้ง น้ำในถังก็จะมีความเค็มใกล้เคียงกับในบ่อเลี้ยง ก็สามารถเทลงบ่อเลี้ยงได้
ถ้าไม่มีไข่อาร์ทีเมีย หาซื้ออาร์ทีเมียตัวเต็มวัยที่มีขายสำหรับนำไปใช้เลี้ยงปลา นำมาปล่อยลงบ่อเลี้ยง ก่อนปล่อยจะต้องมีการปรับความเค็มน้ำเช่นกัน เพราะไรที่นำมาขายจะถูกปรับมาอยู่ในความเค็มประมาณ 30 ppt
การเติมอาหาร ไรที่ปล่อยเลี้ยงจะต้องมีการให้อาหาร โดยใช้อาหารผงเช่นเดิม ซึ่งในบ่อซีเมนต์ตามตัวอย่างควรให้อาหารวันละประมาณ 1 / 2 ถึง 1 ช้อนชา ขึ้นกับขนาดและปริมาณไร อาหารผงที่ให้จะเป็นทั้งอาหารไรโดยตรง และส่วนที่เหลือจะทำให้เกิดอาหารธรรมชาติได้ ต้องระวังเรื่องน้ำเน่าเสีย หากสังเกตุเห็นว่าอาหารเหลือมากและน้ำมีกลิ่นเหม็นมากควรงดให้อาหารประมาณ 3 วัน แล้วเริ่มให้ใหม่ทีละน้อย
การเก็บเกี่ยวไร การช้อนไรไปใช้นั้นหากปล่อยไรโดยใช้ตัวอ่อนที่ฟักจากไข่ จะใช้เวลาประมาณ 15 - 20 วัน ไรจะเติบโตเป็นตัวเต็มวัย ขึ้นกับปริมาณความหนาแน่นและอาหาร จากนั้นจะสามารถทยอยช้อนไรไปเป็นอาหารปลาได้เรื่อยๆ ไรที่เหลือจะแพร่พันธุ์เพิ่มจำนวนขึ้นมาเอง ส่วนการปล่อยโดยใช้ไรเต็มวัยก็เช่นเดียวกัน จะใช้เวลาประมาณ 15 - 20 วันเช่นกัน ไรที่ปล่อยก็จะแพร่พันธุ์ให้ไรเพิ่มขึ้นจนสามารถเก็บเกี่ยวได้
5.8 การเตรียมอาร์ทีเมียก่อนนำไปใช้เป็นอาหารปลา ก่อนนำอาร์ทีเมียไปใช้เลี้ยงปลาจะต้องปรับน้ำในตัวไรให้มีความเค็มลดลง เนื่องจากอาร์ทีเมียถูกเลี้ยงในน้ำที่มีความเค็มสูงมาก หากไม่ทำให้ตัวไรจืดลงปลาจะไม่ชอบกินหรือกินได้น้อย ถ้าใช้วิธีช้อนไรมาแช่ในน้ำจืดสนิททันทีทันใด ไรจะเคลื่อนไหวช้าลงแล้วจะตายภายใน 20 - 30 นาที ความเค็มในตัวไรยังลดลงไม่มากนัก การลดความเค็มในตัวไรลงทำได้โดยการใช้ภาชนะเล็กๆ เช่นขันหรือถัง ตักน้ำจากบ่อเลี้ยงไรมาประมาณ 1 / 10 ของภาชนะที่จะใช้ แล้วเติมน้ำจืดให้เกือบเต็ม คนให้เข้ากันแล้วใส่สายลม จะได้น้ำกร่อยที่มีความเค็มประมาณ 5 - 8 ppt จากนั้นช้อนไรที่จะให้ปลากินมาใส่ไว้ ซึ่งที่ความเค็มระดับนี้ไรจะมีชีวิตอยู่ได้ จะมีการว่ายน้ำไปมาตามปกติ ช่วยให้ความเค็มในตัวลดลงได้ดี ควรปล่อยเลี้ยงไว้ประมาณ 2 - 3 ชั่วโมงจึงนำไปเลี้ยงปลา สำหรับความเค็มในระดับที่เตรียมใหม่นี้ไรจะมีชีวิตอยู่ได้ 1 - 3 วัน ดังนั้นอาจปล่อยไรทิ้งไว้ในตอนเช้าสำหรับใช้เป็นอาหารปลาในตอนเย็น และแช่ไว้ในตอนเย็นสำหรับใช้เป็นอาหารในตอนเช้า ก็จะทำให้ปลากินไรได้ดีและปลอดภัย
5.9 การเพาะเลี้ยงอาร์ทีเมียในบ่อดิน ปัจจุบันมีฟาร์มเพาะเลี้ยงอาร์ทีเมียภายในประเทศอยู่ประมาณ 20 ฟาร์ม ในเขตจังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม และเพชรบุรี สามารถผลิตอาร์ทีเมียได้วันละ 400 - 1,000 กิโลกรัม การเลี้ยงอาร์ทีเมียในบ่อดินมีการจัดการดังนี้
การเตรียมบ่อ มักใช้บ่อขนาด 1 - 6 ไร่ ลึกประมาณ 1 เมตร โดยมักขุดบ่อให้มีความยาวไปตามทิศทางลม
การเตรียมน้ำ ใช้น้ำที่มีความเค็มอยู่ระหว่าง 80 - 120 ppt ดังนั้นต้องมีแปลงตากน้ำทะเลเช่นเดียวกับการทำนาเกลือ เพื่อให้น้ำมีความเค็มสูงขึ้นตามที่ต้องการแล้วจึงปล่อยเข้าบ่อเลี้ยง ตรวจสอบค่า pH ให้มีค่าอยู่ระหว่าง 8.0 - 9.0
การปล่อยไรลงบ่อ ถ้าปล่อยไรเต็มวัย จะใช้ไรประมาณ 6 กิโลกรัม / ไร่ แต่ถ้าใช้ไข่มาฟักเพื่อปล่อยตัวอ่อน จะใช้ไข่ไรประมาณ 150 - 200 กรัม / ไร่
การให้อาหาร มีวิธีการทำได้ 2 แบบ คือ
วิธีแรก ให้โดยใส่ลงในบ่อเลี้ยงโดยตรง จะค่อยๆทยอยใส่ทีละน้อย ไรจะกินอาหารไปโดยตรงส่วนหนึ่ง ส่วนที่เหลือจะสลายทำให้เกิดอาหารธรรมชาติ อาหารที่ใช้ได้แก่มูลไก่ ประมาณ 200 กิโลกรัม / ไร่ / เดือน ร่วมกับกากผงชูรส ประมาณ 30 - 90 ลิตร / ไร่ / เดือน
อีกวิธีหนึ่งคือ มีบ่อหมักอาหารต่างหาก จะใส่อาหารลงบ่อหมักให้เน่าเกิดแพลงตอน แล้วจึงทยอยสูบไปลงบ่อเลี้ยง การให้อาหารทั้ง 2 วิธี จะให้มากน้อยและบ่อยครั้งเพียงใด ขึ้นอยู่กับฤดูกาล และปริมาณอาหารที่มีอยู่ในบ่อ โดยสังเกตจากสีของน้ำและความโปร่งแสง นอกจากนั้นจะมีการใช้ไม้คราดอาหารที่พื้นก้นบ่อให้ฟุ้งกระจาย อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 - 3 ครั้ง ในปัจจุบันยังนิยมทำคอกไว้มุมบ่อสำหรับหมักหญ้าและเศษพืช เพื่อให้เกิดอาหารธรรมชาติมากขึ้น
การเก็บเกี่ยวผลผลิต หลังจากปล่อยเลี้ยงไปประมาณ 15 วัน ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวไรออกไปจำหน่ายได้ โดยจะได้ผลผลิตประมาณ 50 - 100 กิโลกรัม / ไร่ / เดือน และในสภาพแวดล้อมที่ผิดปกติ จะสามารถรวบรวมไข่ไรได้ ประมาณ 5 - 10 กิโลกรัม / ไร่ / เดือน (น้ำหนักเปียก)
5.10 การลำเลียงอาร์ทีเมีย วิธีการลำเลียงอาร์ทีเมียที่นิยมกระทำกัน คือ การลำเลียงในสภาพสด โดยบรรจุถุงพลาสติก ถุงละ 1 กิโลกรัม แล้วเติมน้ำ 5 ลิตร ในถุงจะบรรจุถุงน้ำแข็งอยู่ 2 ถุง แล้วจึงอัดออกซิเจนใส่ถุง จากนั้นนำถุงไปบรรจุลงในลังโฟมซึ่งรองพื้นด้วยน้ำแข็งอีก 6 ถุง ความเย็นจะทำให้ไรสลบ ช่วยลดความบอบช้ำ ทำให้ลำเลียงไปได้ไกลๆ นิยมใช้กับการลำเลียงระยะทางไกลหรือการส่งออก แต่ถ้าลำเลียงระยะใกล้ๆจะใช้วิธีการอัดออกซิเจนเพียงอย่างเดียวก็พอแล้ว
อ้างอิง: http://home.kku.ac.th/pracha/Food.htm
|