รู้สึกว่า สมช.ใหม่ๆ เหมือนยังไม่ค่อยเข้าใจกันเท่าไหร่ เกี่ยวกับระบบกรอง สำหรับเรื่องของทะเลทั้งที่มีลิงค์ที่่มีประโยชน์มากมายทั้งที่ปักหมุดไว้ และไม่ได้ปักหมุด(ซึ่งก็มีประโยชน์เหมือนกัน)
เผื่อได้เข้าใจกันมากขึื้น จะไปเติมใน FAQ อันเดิมบางที ถ้ามันยาวไป ก็ไม่น่าอ่าน ความรู้สึกมัน.....ยาวจังไว้อ่านวันหลัง n032 จึงขอรวบรวมและเรียบเรียงใหม่ให้เข้าถึงและเข้าใจในระบบกรองที่เราๆท่านๆกำลังใช้อยู่ หรือกำลังจะเลือกใช้ ว่าทำไมต้อง..แบบนั้น ทำไมต้อง..อันนี้ เพราะอะไรจึงต้อง..แบบนี้เท่านั้น ทำไมเราไม่ใช้..อันนั้น ........ ลองอ่านดู อาจจะมีคำตอบครับ ว่าทำไม
ระบบกรอง ของ ระบบตู้ทะเล
ผมของเลือกใช้คำว่าระบบ นะครับ ทั้งคำว่าระบบกรอง และ ระบบตู้ทะเล เพราะมันไม่ใช่เรื่องของอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว มันเป็นเรื่องของหลายๆอย่าง เอามารวมๆกันเป็นหนึ่งเดียว เหมือนศาสตร์และศิลป์ที่เกิดขึ้นพร้อมๆกัน
ระบบกรอง - ระบบกรองประกอบกันขึ้นจากชิ้นส่วนหลายๆชิ้นเอามารวมกัน ทั้งเรื่องเล็กๆอย่าง เชื้อโรค(แบคทีเรีย) ไปจนถึงชิ้นใหญ่ๆอย่างสกิมเมอร์ ระบบกรองที่ดีทำให้เราและสิ่งมีชีวิตที่เราไปอัญเชิญมาทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข
ระบบกรองที่ดี ทำให้อะไรๆในการเลี้ยงตู้ทะเลของเราง่ายขึ้น สบายขึ้น เพราะระบบกรองคือหัวใจสำคัญเลยทีเดียว เป็นตัวตัดสินว่าตู้ไหนอยู่ยาว ตู้ไหนไปเร็ว
ระบบกรอง มันมีกี่แบบ ? .... หลังจากคำถามนี้เกิดขึ้น ผมก็ไปค้นหาและรวมรวมมาให้ โดยมาก็เป็นภาษาไทยนี่แหละและส่วนน้อยเป็นภาษาที่ผมไม่ค่อยลึกซึ้งเท่าไหร่ อ่านไปอ่านมาเริ่มงง สรุปว่า
ระบบกรองแบ่งเป็น
- Mechanical Filteration
เขาบอกไว้ว่าเป็นการกรองโดยใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อกรองเอาสิ่งต่างๆที่ไม่จำเป็นสำหรับตู้ ทั้งเรื่องอึปลา เศษตะไคร่ เศษอาหาร ตะกอนต่างๆ ฯลฯ เอาไปผ่านการกรองชั้นแรกคือ การกรองหยาบโดยใช้ฟองน้ำ-ใยกรอง จากนั้นจึงนำไปผ่านวัสดุกรองตัวอื่น เพื่อปรับปรุงคุณภาพน้ำให้ดีขึ้น ส่วนสำคัญที่สุดคือของการกรองแบบนี้คือ ส่วนในที่เป็นที่อยู่ของอาณาจักรแบคทีเรียไม่ไม่ควรล้างด้วยน้ำประปา
ปล. เขาว่าไว้ว่าควรต้องทำความสะอาดวัสดุกรองหยาบเป็นระยะ เพื่อลด+นำออกสิ่งสกปรกต่างๆออกจากตู้ของเรา
- Chemical Filteration
เป็นการกรองโดยใช้เคมีเข้ามาช่วย เพื่อลดสารพิษต่างๆ ที่พบได้โดยมากคือ คาร์บอน-เพื่อดูดซับสารพิษ หรือซีโอไลท์-เพื่อลดแอมโมเนียส่วนเกิน(ผมแปลได้แบบนี้แต่คิดว่าคงไม่เหมาะกับตู้ทะเลเท่าไหร่ แค่ยกเป็นตัวอย่างเฉยๆ)
- Biological Filteration
เป็นระบบการกรองโดยใช้แบคที่เรีย เพื่อสร้างวงจรไนโตรเจน ในตู้ เป็นการกรองเพื่อให้ลดความเป็นพิษของของเสียในตุ้ ทำให้ความเป็นพิษลดลง เพื่อให้สิ่งมีชีวิตในตู้เราอาศัยอยู่ได้โดยมีผลกระทบน้อย-น้อยที่สุด สำหรับวงจรไนโตรเจนก็มีหลายๆบทความให้อ่านกันมามากแล้ว จริงๆไม่อยากพูดถึง แต่เอาซักหน่อยสั้นๆ นะ
1.อึปลา+ของเสียปะการัง+เศษอาหาร+คะไคร่ที่ตาย+ปลาตาย+แบคทีเรียตาย+สารโปรตีนต่างๆ จะถูกวงจรไนโตรเจนทำให้อยู่ในรูปของแอมโมเนีย (NH4/NH3) ตัวนี้เป็นพิษกับสิ่งมีชีวิตอย่างมาก โดยการใช้แบคทีเรียที่ต้องการอ๊อกซิเจน พบได้ในน้ำ-ผิวนอกของวัสดุกรอง
2. ต่อมาก็ทำให้กลายเป็น ไนไตร์ท(NO2) ซึ่งมีความเป็นพิษกับสิ่งมีชีวิตน้อยกว่าข้อ1 โดยการใช้แบคทีเรียที่ต้องการอ๊อกซิเจนเหมือนกัน
3. ถูกทำให้กลายเป็น ไนเตรท(NO3) ซึ่งมีความเป็นพิษกับสิ่งมีชีิวิต แต่น้อยกว่าข้อ1และ2 พอถึงขั้นไนเตรทแล้วปลาปูกุ้งหอยอยู่ได้แบบสบายตัวกว่า แต่ไนเตรทยังมีความเป็นพิษกับปะการังอยู่ การจะเปลี่ยนรูปของไนเตรทให้กลายเป็นก๊าซไนโตรเจน(N2)แล้วอัญเชิญออกไปจากตู้เราได้ ต้องใช้แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ไม่มีอ๊อกซิเจนทำงาน
พอถึงจุดนี้ เราจึงมักพบว่าทำไมต้องรันระบบเป็นเดือน ... การรันน้ำ หรือ จะเรียกอย่างไรก็ตาม เป็นการเตรียมพร้อมส่วนของการกรองแบบชีวภาพ เตรียมพร้อมเรื่องของปริมาณแบคทีเรียในกระบวนการไนโตรเจน ให้เพิ่มจำนวนมากพอพร้อมรับของเสียที่จะกำลังเกิดขึ้นในตู้ วงจรของไนโตรเจนใช้เวลาคร่าวๆก็ประมาณ1เดือนนั่นแหละครับ และปริมาณแบคทีเรียก็จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงจนได้จำนวนที่พอเหมาะกับของเสียในตู้ ดังนั้นการรันน้ำไม่ใช่เตรียมแต่น้ำผสมเกลือเปล่าๆ หรือใช้น้ำทะเลก็สามารถเลี้ยงปลาได้ทันที เข้าใจกันนะครับ ว่าระบบการกรองไม่ใช่อยู่ที่น้ำ แต่อยู่ที่ส่วนอื่นครับ
ทีนี้เมื่อเรารู้ว่าการกรองโดยใช้อุปกรณ์ เคมี หรือ แบคทีเรียเป็นอย่างไร นักเลี้ยงรุ่นก่อนๆก็เอาทั้ง3มาประยุกต์เพื่อนำมาใช้งานให้เหมาะสมกับตู้ เรามาดูกันว่าไอ้กรองต่างๆทั้งหลาย สรุปว่ามันเป็นการกรองแบบไหนทำงานยังไง
- การกรองใต้กรวด
หลักการง่ายๆ ถูกๆ คือ มีตะแกรงรองที่พื้นซักทีนึง เอากรวดเอาทรายมาปูทับไว้เพื่อความสวยงาม + ปั๊มเพื่อดึงเศษต่างๆให้ลงมาอยุ่ใต้ตะแกรง ให้แบคทีเรียค่อยๆทำงานย่อยสลาย เป็นการซ่อนที่สมบูรณ์แบบมั่กๆ แต่หากไม่มีการจัดการตะกอนที่ใต้ตะแกรงให้ดีจะเกิดการสะสมจำนวนมากของของเสีย เหมือนกับฝังกับระเบิดเอาไว้ รอเวลาระเบิดครับ แต่วิธีการกรองแบบนี้จะมีข้อเสียอยู่บ้างหากเป็นตู้ที่มีปริมาณสิ่งมีชีวิตไม่มาก ก็น่าจะสามารถรองรับได้ครับ เพียงแต่ต้องมีการดูแลพิเศษเพิ่มเติม เพื่อชดเชยข้อด้อยของการกรองแบบนี้ครับ เช่นมีการถ่ายน้ำเป็นประจำสม่ำเสมอ ลงปลาน้อยๆ ลงปลาที่มีของเสียไม่มาก ฯลฯ
รูปแบบกรองที่ทำงานในลักษณะนี้นอกจากการใช้ตะแกรงแล้ว พวกกรองฟองน้ำ ก็ใช้หลักการเดียวกันคือใช้อากาศ/น้ำเพื่อดึง-ดูดตะกอนต่างๆเข้ามาผ่านวัสดุกรองเก็บเอาไว้ ดีกว่าใต้ทรายนิดนึงเพราะล้างได้ง่ายกว่า หรือกรองแขวนก็น่าจะออกในแนวๆนี้ คือ ดึงของเสียในตู้มาเก็บไว้รอเอาไปล้าง
ตัวอย่างตู้ที่ใช้การกรองแบบใต้กรวด หากสังเกตุจะพบว่าตู้มีขนาดใหญ่พอควรและจำนวนปลามีไม่มากอีกทั้งตัวเล็กๆและเป็นชนิดปลาที่ไม่ได้ผลิดของเสียออกมามากๆ
http://www.captivereefs.com/forum/basics/hang-under-gravel-filter-and-anemone-27142/#.U2xSXaIst74 รายละเอียดตู้ของเขา แต่รู้สึกว่าจะยังมีปัญหาอยู่เรื่องการทำความสะอาดใต้ตะแกรงและ PO4=8 ส่วน NO2 NO3 NH แกวัดได้0 มีการเปลี่ยนน้ำครั้งละ 5แกลลอน(ประมาณ20ลิตร)ทุกอาทิตย์
- การกรองแบบ Wet/Dry เริ่มมีการใช้วัสดุกรองอื่นๆมาใช้ เช่น ลูกบอลชีวภาพ(ฺBioball), กรวดหินต่างๆ จุดประสงค์เพื่อให้เป็นที่อยู่แบบถาวรของแบคทีเรียที่อาศัยอ๊อกซิเจนได้จำนวนมากทำให้ สามารถลดของเสียในส่วนที่เป็น แอมโมเนียและไนไตร์ท ลงได้อย่างดีในระดับนึงทีเดียว รูปแบบของการกรองแบบนี้มีลักษณะที่เราๆท่านๆพบเห็นกันบ่อยๆคือ กรองมุม-กรองถัง-กรองนอก แต่ยังคงพบปัญหาต่อไปคือ การคงอยู่ของไนเตรท และ การลดลงของ pH เนื่องจากปริมาณของแบคทีเรียจำนวนมากก็ต้องใช้อ๊อกซิเจนจำนวนมากเช่นกันและแบคทีเรียเองหายใจออกมาเป็น คาร์บอนไดอ๊อกไซด์ ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด หากการแลกเปลี่ยนอากาศกับน้ำระหว่างขึ้นตอนWet/Dryทำได้ไม่ดี ค่าpHจะค่อยๆลดลง เนื่องจากความเป็นกรดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เหมาะกับตู้ทะเลที่ต้องการความเป็นด่างมากกว่า (pH = 8.0 - 8.4)
อย่างไรก็ดี การใช้งานการกรองแบบ Wet/Dry ข้อดีคือสามารถลดแอมโมเนียและไนไตร์ทได้เร็วกว่าแบบกรองใต้กรวด เพียงแต่ต้องมีการจัดการเรื่องของการสะสมตะกอนไว้ที่ตัววัสดุกรองซึ่งส่วนมากใช้กันเป็นเศษปะการังหักแบบถุงๆ เปลี่ยนเป็นหินเป็นที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อลดการสะสมตะกอน และมีการเปลี่ยนน้ำอย่างสม่่ำเสมอเพื่อช่วยนำเอาไนเตรทออกจากตู้ได้ การกรองแบบ Wet/Dry ก็เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มีงบน้อย หรือมีพื้นที่จำกัด เพียงแต่ ต้องจัดการปัญหาด้านบนให้ได้และเลือกลงชนิดและจำนวนของปลาให้เหมาะสมกับการกรองแบบนี้ไม่ให้ทำงานหนักเกินไปจนส่งผลเสียกับระบบตู้เรา
รูปแบบกรองต่างๆที่ทำงานในลักษณะการกรอง Wet/Dry
- การกรองโดยใช้ สกิมเมอร์ เป็นการเอาเครื่องมือเข้ามาช่วยโดยใช้วิธีและหลักการต่างๆ ตามนี้
http://aqua.c1ub.net/forum/index.php?topic=207758.0 <-- ว่ากันด้วยเรื่องของ Protein Skimmer หรือ Foam Fractionator ของคุณ copcong ครับ
การกรองทั้ง2แบบข้างต้นคือ กรองใต้กรวด และ กรองWet/Dry มีข้อจำกัดในเรื่องของการที่ไม่สามารถกำจัดของเสียออกจากระบบตู้ของเราได้ดีพอ จึงไม่สามารถสนองความต้องการของผู้เลี้ยงตู้ทะเลได้ เพราะอะไรก็สวยงามไปหมด แต่เอามาลงตู้เราไม่ได้เพราะข้อจำกัดของระบบกรองข้างต้น จึงจำเป็นต้องมีอุปกรณ์เสริมคือตัวสกิมเมอร์นี้เอง ที่เป็นการตัดของเสียออกจากระบบในช่วงต้นๆก่อนที่จะเปลี่ยนรูป อีกทั้งยังช่วยเพิ่มปริมาณของอ๊อกซิเจนเข้าสู่ระบบตู้เราได้ทำให้ลดปัญหาเรื่องของค่า pH ไปได้ในระดับนึงเลยทีเดียว
หากแต่การใช้สกิมเมอร์เพียงอย่างเดียวคงไม่สามารถตอบโจทย์ทุกข้อให้กับผู้เลี้ยงได้ เพราะยังต้องอาศัยหลักการกรองอื่นๆเพิ่มเสริมและเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการกรองสมบูรณ์มากขึ้น ทำให้เราลงสิ่งมีชีวิตได้มากขึ้น
รูปแบบต่างๆของสกิมเมอร์
- การกรองโดยใช้ UV และ Ozone แม้จะไม่ได้กรองเอาในส่วนของการกรองหยาบ แต่การกรองสำหรับตู้ทะเลคงต้องรวมถึงการทำน้ำให้สะอาดปราศจากสิ่งที่เป็นอันตราย หลายๆครั้งที่ผู้เลี้ยงพบปัญหาเรื่องสุขภาพของสิ่งมีชีวิตในตู้เป็นโรคต่างๆ(ที่เกิดจากเชื้อโรค + ไม่นับรวมถึงคุณภาพน้ำที่ไม่เหมาะสมกับการเลี้ยง) หลายๆท่านจึงต้องอาศัยอุปกรณ์ที่ช่วยกำจัดเชื้อโรคที่ไม่ดีออกจากตู้ ก็ต้องอาศัยการใช้ UV และ/หรือ Ozone มาใช้ร่วมกับการกรองแบบอื่น เพื่อเสริมประสิทธิภาพการกรองให้เต็มที่ ส่วน UV+Ozone เป็นอย่างไร ทำงานอย่างไร รบกวนไปอ่านต่อที่
http://aqua.c1ub.net/forum/index.php?topic=198288.0 <-- UV กับ Ozone ที่คุณ mai2610 ตั้งคำถามไว้
- การกรองโดยใช้สาหร่าย หากความหมายของการกรองเพื่อให้ได้คุณภาพน้ำที่ดีขึ้น การใช้สาหร่าย(รวมถึงพืชทุกอย่าง) ก็เป็นทางเลือกนึงสำหรับการกรอง
การกรองโดยใช้สาหร่าย เป็นการใช้งานสาหร่ายหรือพืชในตุ้ให้ช่วยทำงานในเรื่องที่เกี่ยวกับการดึงของเสียออกจากตู้เราในระหว่างที่เรายังไม่ได้เปลี่ยนน้ำ โดยสาหร่ายต้องอาศัยของเสียในตู้เราเพื่อการเจริญเติบโต หลักๆของของเสียที่ถูกสาหร่ายใช้งานก็คือ ไนเตรทและฟอสเฟต เพียงแต่การใช้งานสาหร่าย นอกจากต้องอาศัยแสงสว่างแล้ว ยังต้องมีการดูแลเพิ่มเติมอีกด้วยเนื่องจากสาหร่ายที่เราเลี้ยงก็ประกอบไปด้วยสารโปรตีนเหมือนกัน ซึ่งเมื่อสาหร่ายบางส่วนตายไป ก็จะกลับเข้าสู่วงจรไนโตรเจนเหมือนเช่นของเสียชนิดอื่นๆที่เกิดขึ้นในตู้ อีกทั้งสาหร่ายบางชนิดเมื่อตายหรือมีการฉีกขาด ก็จะปล่อยของเสียกลับคืนเข้าตุ้อีกเช่นกัน แม้จะมีข้อดีและข้อเสียอยู่ แต่การเลี้ยงสาหร่ายยังมีประโชยน์อีกอย่างกับตู้ทะเลคือเป็นแหล่งอาศัย-เพาะพันธ์ Pods ที่เป็นสัตว์เล็กๆในตู้ ซึ่งทั้งสาหร่ายและ Pods ยังเป็นอาหารให้กับสิ่งมีชีวิตในตู้เราได้อีกด้วย
ส่วนรายละเอียดการเลี้ยงสาหร่าย ยังมีรายละเอียดเพิ่มเติมอีก รบกวนไปอ่านต่อได้ที่กระทู้
http://aqua.c1ub.net/forum/index.php?topic=127031.0 <--
ระบบการเลี้ยงปะการังและสิ่งมีชีวืตจากทะเล เสริมภาค1 ของคุณ Mixer ครับ
นอกจากการเลี้่ยงสาหร่ายในตู้ทั้งตู้หลักหรือในช่องกรอง ยังสามารถใช้ Algae Turf Scrubber (ATSหรือแผ่นล่อตะไคร่) เพื่อกำหนด+สร้างตะไคร่น้ำให้อยู่ในบริเวณที่ต้องการ แต่ต้องมีการดูแลเป็นประจำโดยการลอกตะไคร่ออกจากแผ่นเมื่อปริมาณเริ่มเยอะขึ้น อาจจะยุ่งยากนิดนึง ซึ่งคล้ายกับการเลี้ยงสาหร่ายที่ต้องดึงสาหร่ายที่หนาแน่นเกินไป แต่ก็เป็นวิธีนึงในการใช้พืชเพื่อลดของเสีย
- การกรองโดยใช้หินเป็น ทรายเป็น แม้การจัดหินเป็นรูปทรงต่างๆ หรือการปูพื้นด้วยทราย/กรวดเพื่อให้ตู้ทะเลของเราดูสวยงาม แต่การจัดเหล่านั้น ก็ถือเป็นการกรองเช่นกัน เพราะในตัวหินและทรายเหล่านั้นก็มีระบบการกรองแบบชีวภาพอาศัยอยู่เช่นกันและเป็นระบบกรองที่มีประสิทธิภาพมากเสียด้วยในระบบตู้ทะเล เพราะหากมีการจัดการที่ดี สามารถลดของเสียต่างๆในตู้ได้หลายตัวเลยทีเดียวทั้ง แอมโมเนีย-ไนไตร์ท-ไนเตรท
พอหลังจากเราเลือกใช้งานการกรองต่างๆแล้ว บางครั้งตู้ที่สวยงามของเรา อาจจะเต็มไปด้วยการกรองหลายแบบ อุปกรณ์หลายอย่าง จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้มีการนำตู้กรองล่างมาใช้งานร่วมกัน เพื่อให้เป็นที่วางอุปกรณ์ต่างๆ รวมถึงอาจจะเป็นพื้นที่เพื่อเลี้ยงสาหร่าย เพื่อให้ตู้หลักของเรา แสดงแต่ส่วนที่น่าดู ส่วนอุปกรณ์เบื้องหลังต่างๆ เราก็เอาซ่อนไว้ที่กรองล่างนั่นเอง
ต่อไปว่ากันที่ Style นะเอาเฉพาะส่วนสำคัญตามความสามารถของผม ว่ามันมีแบบไหนกันมาบ้างสำหรับตู้ทะเล มันเป็นความเป็นมาเป็นไปของการนำเอาการกรองต่างๆมารวมลงในระบบตู้ทะเล
- The Traditional Style มันนานมากแล้วที่มีการเอาอะไรมาเลี้ยงไว้ในตุ้ นักเลี้ยงแรกๆก็มีการนำแบคทีเรียที่อาศัยอ๊อกซิเจนมาใช้ร่วมกับการกรองหยายหรือการกรองใต้ทรายมาใช้ ร่วมกับ ปั๊มน้ำเพื่อหมุนเวียนน้ำและแลกเปลี่ยน-เพิ่มอ๊อกซิเจนในน้ำ โดยการใช้หัวทรายบ้าง (โบราณมากกกกก) ต่อมาจึงพบว่าการทำความสะอาดวัสดุกรองเป็นการทำลายแบคที่เรียที่มีประโยชน์ไปพร้อมๆกัน เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจที่ทุกครั้งที่ความสะอาดเราดันไปทำให้มันสะอาดเกินไปจนกลายเป็นผลเสีย ต้องเริ่มนับ1นับ2ใหม่ทุกครั้ง หากไม่ทำความสะอาดมันก็หมักหมมอยู่ข้างใต้
- The Dutch-Style เริ่มมีการใช้การกรอง Wet/Dry เข้ามาปรับใช้ทำให้มีประสิทธิภาพในการกรองมากกว่า The Traditional Style มีการแลกเปล่ี่ยนนั่นนู่นนี่กันรู้สึกว่ามันเหมือนจะดีขึ้น แต่พบว่าลดปัญหาของแอมโมเนียลงได้ แต่ดันไปเกิดปัญหาอันใหม่คือ การลดลงของ pH และไนเตรทที่ไม่ยอมจากไป ส่งผลให้การเลี้ยงปลาสามารถอยู่ได้ครับในระดับที่ไนเตรทไม่เข้มข้นจนเกินไป ส่วนปะการัง ยังมีปัญหา
- The Berlin-Style ในปี 1970 คุณ Peter Wilkens ที่ทำงานอยู่ในเยอรมนี แกได้ออกแบบระบบการเลี้ยงใหม่โดยแกนำเอาหินเป็นมาใช้เพื่อการกรองชีวภาพ และไม่เลือกการกรองใต้ทราย+Wet/Dry มาใช้ แต่ใช้สกิมเมอร์เพื่อเอาสารโปรตีนออกจากระบบ และนำ activated carbon มาใช้ร่วมด้วย อีกทั้งยังใช้แคลเซียม - น้ำปูนใส(limewater-ไม่รู้แปลถูกรึเปล่า)เพื่อรักษาค่า pH KH และแคลเซียม และแล้ววิธีนี้ก็ใช้กันอย่างแพร่หลายในระบบปิด
- The Smithsonian-Style ต่อมา Dr. Walter Adey แห่งสถาบันสมิทธโซเนียน ได้นำเอาการคะไคร่(Algae)มาใช้งาน โดยรู้จักกันทั่วไปในนาม The Algal Turf Scrubber โดยการปลูกตะไครเพื่อใช้ช่วยดึงของเสียออกจากระบบ ส่วนสิ่งที่แกเลือกใช้กับระบบนี้คือ หินเป็น น้ำทะเล และ แพลงตอน (ท่าจะยากไปหน่อยสำหรับเราๆ)
- The Monaco-Style Dr.Jean Jaubert แห่ง The National Aquarium of Monaco ได้นำเอาการใช้ทรายเป็นปูพื้นเพื่อให้เกิดภาวะอ๊อกซิเจนต่ำ(น่าจะเป็นDSB)เพื่อเลียนแบบธรรมชาติ ซึ่่งวิธีนี้แกว่าไว้ว่าทำให้มีไนเตรทและฟอสเฟตต่ำ อีกทั้งยังมีระดับแคลเซียมและalkalinityสูง อัตราการเจริญเติมโตของปะการังก็สูง โดยไม่ต้องใช้การเปลี่ยนน้ำหรือเพิ่มแคลเซียมต่างหาก
- The Natural Style เป็นการนำเอาข้อดีของแต่ละรูปแบบ มาใช้ผสมกัน ทำให้นักเลี้ยงในอมริกาเหนือที่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก มีการรายงานถึงความสำเร็จในการเลี้ยงสิ่งต่างๆที่ก่อนหน้านี้ถือว่าเป็นเรื่องยากที่จะเลี้ยงในระบบปิด โดยปกติ ระบบการเลี้ยงแบบใหม่นี้จะประกอบไปด้วยการใช้หินเป็น การปูพื้นด้วยทราย aragonite รวมถึงการใช้โปรตีนสกิมเมอร์ และมีการเติมน้ำปูนใส่เพื่อปรับค่าน้ำ หรือ รวมไปถึงการใช้แคมเซียมรีแอคเตอร์ จากนั้นก็เริ่มมีรายงานถึงการเลี้ยง SPS และสามารถขยายพันธ์ SPS ในระบบปิดได้
******
หลังจากเราพอทราบกันคร่าวๆแล้ว ว่า ระบบการกรอง วิธีการกรอง และการนำเอารวมกันเพื่อประยุกต์ใช้กับตู้ทะเลของเราแล้ว ต่อไป ก็ต้องมาดูเรื่องของวัสดุกรองนะครับ ว่าวัสดุกรองมันมีอะไร ยังไงบ้าง ข้อดีข้อเสียเป็นอย่างไร เหมาะไม่เหมาะกับตู้ทะเลของเราหรือไม่ อย่างไร
วัสดุกรองต่างๆ
เมื่อเราทราบเกี่ยวกับระบบกรองต่างๆ วิธีการนำมาใช้ และความเป็นมา ต่อไปเราก็ต้องมาดูเรื่องของวัสดุกรองกันครับ และวัสดุกรองชนิดไหน เหมาะกับการนำมาใช้ในตู้ทะเลของเรา ด้วยเหตุผลอะไร
**อ้างอิงจาก http://www.pantown.com/board.php?id=56629&area=4&name=board48&topic=9&action=view **
-หินพัมมิส หรือ หินภูเขาไฟ
เป็นหินลาวาที่มีการแข็งตัวอย่างรวดเร็วทำให้เกิดรูพรุนมากมายในเนื้อหิน มีความเบา(ลอยน้ำในช่วงแรกแต่พอแช่น้ำไปนานๆจะจมลง) มีพื้นที่สัมผัสสูง เป็นที่อยู่ของแบคทีเรียได้เป็นอย่างดี ประกอบไปด้วย
SiO2 Content 62.53 %
CaO Content 3.88 %
MgO Content 0.43 %
Na2O Content 1.14 %
K2O Content 0.58 %
Fe2O3 Content 3.51 %
Al2O3 Content 24.57 %
MnO2 Content 0.12 %
TiO2 Content Less than 0.05
Loss on Ignition 2.92 %
หินพัมมิสนั้นมีค่าเป็นกลาง จึงไม่เปลี่ยนแปลงค่า pH ของน้ำภายในตู้ครับ ใช้งานง่ายเพียงแค่ใส่ลงในถุงตาข่ายจากนั้นนำไปล้างน้ำ โดยให้น้ำไหลผ่านหลายๆน้ำ ก็สามารถนำมาใช้งานได้แล้วครับ นอกจากนี้ยังมีราคาไม่แพง แต่เมื่อใช้ไปในเวลานานๆอาจจะมีสลายตัวกลายเป็นเศษผงบ้าง
ข้อดี -- มีรูพรุนสูง หน้าสัมผัสเยอะ เป็นที่อยู่ของแบคทีเรียได้ดี ราคาไม่แพง
ข้อด้อย -- มีธาตุต่างๆมากมาย บางทีอาจจะมากเกินไป อีกทั้งมีความเป็นกลางซึ่งตู้ทะเลต้องการค่า pH ที่ 8.0-8.4 และใช้ไปนานๆ อาจจะมีการสลายตัวเป็นเศษผงได้ เดาว่าคงมีบางส่วนละลายปนไปในน้ำของเราด้วย [on_007]
-เซรามิกริงแบบรูพรุน
เป็นวัสดุสังเคราะห์ที่ทำขึ้นมาให้มีรูพรุน เพื่อใช้เป็นที่อยู่ของแบคทีเรียฝ่ายดี มีคุณสมบัติเป็นกลาง ไม่ทำให้ค่า pH เปลี่ยน นอกจากทำหน้าที่เป็นกรองชีวภาพแล้ว ยังมีหน้าที่กระจายน้ำเพื่ออ๊อกซิเจนได้อีกด้วย ราคาไม่แพงครับ
ข้อดี -- มีรูพรุน แบคทีเรียอาศัยได้ดี ทั้งช่วยกระจายน้ำเพิ่มอ๊อกซิเจนได้อีกด้วย(Wet/Dry)
ข้อด้อย -- ตะกอนบางส่วนมันติดที่วัสดุ กลายเป็นหมักหมมไปแทน
-คีรีก้า
ข้อมูลเฉพาะของหินนี้ มีพื้นที่ผิวขนาด 440 ตารางเมตร/ลิตร โดยการหาพื้นที่ผิวใช้วิธี Gas Adsorption ซึ่งเป็นมาตรฐานการหาพิ้นที่ผิวของสารกรอง โดยมีการรับรองผลการหาด้วย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะ และวัสดุแห่งชาติ (MTEC) สังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หินตัวนี้ เป็นหินที่ธรรมชาติย่อยให้กลายเป็นดิน ทำให้เกิดสารประกอบที่มีโยชน์มากมาย สำหรับสัตว์น้ำเป็นอย่างมาก โดยสารประกอบที่มีอยู่ในหินชนิดนี้ เป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบันคือ Calcium Montmorillonite Cllay เป็นสารประกอบที่ช่วยเร่งการเจริญเติบโต และภูมิคุ้มกันตัวปลา ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้เลี้ยงปลาคาร์ฟ
สุดยอดวัสดุกรอง หินแร่ภูเขาไฟ คีรีก้า ( พัมมิส ทัฟฟ์ )
คุณสมบัติ
-มีพื้นที่ผิวขนาด 440 ตารางเมตร/ลิตร
-ช่วยให้ระกรองเซ็ตตัวได้เร็วมากกก ใช้เวลาเพียง 3-6 วัน
-ไม่เพิ่มค่า pH และไม่เป็น pH Buffer
-เพิ่มสีสันของปลาให้สวยงามขึ้น
-มีความเป็นรูพรุนสูง
-ให้แร่ธาตุที่เป็นประโยชน์กับสัตว์น้ำและต้นไม้น้ำ
-ช่วยจับผงฝุ่นที่ลอยอยู่ในน้ำให้ตกตะกอนจนน้ำใส
-เป็นที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมของจุลินทรีย์ แบคทีเรีย ที่ช่วยในการย่อยสลายของเสีย เช่น เศษอาหาร ขี้ปลา
-ช่วยกักเก็บแร่ธาตุ ปุ๋ยน้ำ ได้เป็นอย่างดีและค่อยๆปลดปล่อยให้ต้นไม้นำไปใช้
-มีส่วนช่วยเพิ่มสีสันสวยงามให้กับสัตว์น้ำ
-ไม่เป็นอันตรายกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด
ข้อดี -- มีผิวสัมผัสเยอะ มีรูพรุนเยอะ ให้แร่ธาตุที่เป็นประโยชน์กับสัตว์น้ำและไม้น้ำ(ไม่ใช่ทะเล) ฯลฯ
ข้อเสีย -- ไม่เพิ่มค่า pH และไม่เป็น pH Buffer แต่ทะเลต้องการ pHที่สูง และแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์กับไม้น้ำแต่คงไม่เหมาะกับตู้ทะเล ที่ต้องการแร่ธาตุที่จำเป็นแค่ข้างๆถุงเกลือ
- อะควาเคลย์
Aquaclay ผลิตจากวัตถุดิบจากธรรมชาติทางตอนใต้ของประเทศเยอรมัน โดยเป็นดินที่มีอายุมากกว่า 150ล้านปี นำมาผ่านกรรมวิธีต่างๆ และเผาที่ความร้อนสูงถึง 1200 องศาเซลเซียส มีรูพรุนสูงทำให้มีพื้นที่สูงถึง 280 ตารางเมตร ที่ซึ่งแบคทีเรียจะสร้างอาณาจักร และทำการย่อยสลายแอมโมเนีย, ไนไตรท์ และไนเตรท
Aquaclay ถูกผลิตมาเป็นเม็ดกลม ซึ่งการวิจัยได้ชี้ว่าวัสดุกรองทรงกลมจะให้ประสิทธิภาพสูงสุดในการบำบัด เนื่องจากพื้นผิวเปิดรับกับการไหลของน้ำอย่างไม่จำกัด และง่ายต่อการทำความสะอาด ไม่ทำให้ค่า pH เปลี่ยนแปลง ไม่ทำให้น้ำกระด้าง มีคุณสมบัติของดินครบถ้วน ทำให้ปลารับรู้ถึงสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม (เนื่องจากผลิตจากดินและถูกนำมาเผาในอุณหภูมิที่สูง ดังนั้นการใช้บางลักษณะอาจทำให้น้ำในตู้ปลามีอุณหภูมิต่ำลงกว่าที่เคยใช้วัสดุกรองเดิม อันเนื่องมาจากการคายความร้อนและการรักษาความเย็นในตัวเอง) เหมาะสำหรับระบบการบำบัดแบบต่างๆ และมีขนาดให้เลือกตามต้องการ
Aquaclay มีรูพรุนจำนวนมาก ที่จะให้แบคทีเรียอาศัยอยู่ โดยภายในเม็ดกลมของAquaclay จะเป็นที่อยู่อาศัยที่มีคุณสมบัติเฉพาะสำหรับ Anaerobic bacteria ที่จะสลาย ไนเตรท แต่ภายนอกประกอบไปด้วยรูพรุนจำวนมากซึ่งจะเป็นที่อยู่ของ Aerobic bacteria จะเปลี่ยนสภาพของ แอมโมเนีย และไนไตร์ทไปเป็นไนเตรท
ไม่ว่าคุณจะมีระบบกรองแบบใด Aquaclay สามารถใช้ีร่วมกับระบบกรองของคุณได้ทุกแบบไม่ว่าจะเป็นระบบ wet dry, wet wet, moving bed และอื่นๆ เพียงแค่เลือกขนาดของ Aquaclay ให้เหมาะสมกับระบบกรองของคุณ สามารถใช้ได้ทั้งกับ ตู้ปลา และบ่อปลาทุกแบบ
ข้อดี -- คล้ายๆกันหมดเลยคือ เป็นที่อยู่ของแบค ฯลฯ
ข้อเสีย -- ค่า pH ไม่ทำให้น้ำกระด้าง แต่ทะเลต้องกระด้าง
-เศษปะการัง
เป็นวัสดุกรองที่มีรูพรุน มีน้ำหนัก การใช้งานควรล้างน้ำมากๆ มีคุณสมบัติเป็น pH buffer ทำให้น้ำกระด้างขึ้น ค่าpH สูงขึ้นได้ครับ ปัจจุบันมีการรณรงค์ให้เลิกใช้เพื่อช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเล
ข้อดี -- เป็น pH Buffer ทำให้น้ำกระด้าง เหมาะกับการใช้งานกับตู้ทะเล รูพรุนเป็นที่อยู่ของแบคทีเรียทั้งแบบใช้และไม่ใช้อ๊อกซิเจน
ข้อเสีย -- เหมือนจะดี แต่มันเล็กไป มันหมักหมม มันเป็นเหมือนระเบิดเวลา เราเอาเศษปะการังในถุงๆไปล้างก็ไม่ได้เดี๋ยวแบคฯตาย/หายหมด ถ้าไม่เอาไปล้าง ถ้าลองใช้ดูจะรู้ว่าเวลาเราไปยุ่งกับไอ้ถุงเศษปะการังปุ๊บ ตะกอนต่างๆในถุงมันจะออกมาปั๊บเลย ทีนี้กลายเป็นเอาของเสียออกมาจัดการใหม่ เพิ่มงาน งานเข้าไปซะงั้น....ซวยเบย..
วัสดุกรองที่กล่าวมาทั้งหมด มีประโยชน์และมีข้อเสียรวมๆกัน ถามว่าทำไมผมติทุกอันเลย นั่นน่ะสิ ต้องเข้าใจก่อนว่าวัสดุกรองที่เวลาเราอ่านๆเจอ ส่วนมาก99%เขาเขียนถึงตู้ปลาน้ำจืด หรือไม่ก็ ตู้ไม้น้ำ ครับ มันคนละตู้ครับ
เอาใหม่ วัสดุกรองชนิดไหนเหมาะกับตู้ทะเลที่สุด
หินเป็น และ ทรายเป็นครับ เหมาะกับการนำมาเป็นวัสดุกรองในระบบตู้ทะเลมากที่สุด เพราะ
-มีรูพรุนสูง มีพื้นที่ให้แบคทีเรียทั้งชนิดที่ใช้และไม่ใช้อ๊อกซิเจนอาศัยได้ ทำให้สามารถลดได้ทั้ง แอมโมเนีย-ไนไตร์ท-ไนเตรท
-มีค่า pH ที่เหมาะสมกับตู้ทะเลที่สุด
-ไม่มีการปล่อยแร่ธาตุอื่นๆที่ไม่เหมาะกับตู้ทะเล เช่นพวก โลหะหนักต่างๆ ซึ่งอาจจะมีผลกระทบกับสิ่งมีชีวิตในตู้
หินเป็นคือ หินเป็นก้อนๆ ไม่ใช่เศษๆขนาดนิ้วก้อยนะครับ เป็นก้อนๆ ก้อนละหลักสิบ-หลักร้อยนั่นแหละ จะเป็นหรือจะตายเอามาลงตู้เดี๋ยวมันก็เป็นเองครับ หากเราใช้หินเป็นคุณภาพดีๆ มันก็เป็นวัสดุกรองที่นำมาใช้ได้เลย ทำงานได้เลยทันที แต่หากได้หินตายมา ก็ล้างให้สะอาดที่สุดตามความสามารถของแต่ละบุคคลครับ ล้างดีก็อาจจะไม่มีผลเสีย ล้างไม่ดีอาจจะมีเน่านิดๆในระยะแรก แต่ไม่นานมันก็จะหายไปเองครับ สุดท้ายทั้งหมดก็จะกลายเป็น หินเป็น เพื่อเป็นวัสดุกรองอย่างดีให้กับตู้ทะเลของเราครับ
ทรายเป็นคือ ทรายที่เอามาปูพื้นครับ ขาวหรือดำ ได้หมด เป็นหรือตาย ก็ได้หมด จะเป็นทรายหรือเป็นเศษปะการังเบอร์ 0 ไปจนเบอร์ 000 ก็ทำงานเหมือนกันกับหินเป็นครับ แต่ข้อดีข้อเสียของการปูพื้นทราย ต้องลองค้นหาเอาครับ จะปูหนา ปูบาง หรือไม่ปูพื้น ล้วนมีข้อดีข้อเสียปนๆกัน เจ้าของตู้ต้องเลือกเอาครับ ว่าชอบแบบไหน หรือ ยอมรับแบบไหนได้
ลองไปอ่านเอาที่
http://aqua.c1ub.net/forum/index.php?topic=225188.0
ผมเขียนไว้แล้ว และไม่อยากเขียนซ้ำ เดี๋ยวมั่วแล้วไม่เหมือนเดิม... [on_026]
อ้างอิงข้อมูลที่พอจะจำได้คือ
1. http://www.pantown.com/board.php?id=173&area=4&name=board4&topic=152&action=view
2. http://www.pantown.com/board.php?id=56629&area=4&name=board48&topic=9&action=view
3. เวปไทยที่ไม่ค่อยเกี่ยวกับตู้ทะเลเท่าไหร่ แต่จำไม่ได้แล้วว่าหน้าไหนบ้าง
4. เวปประเทศนอก ลืมไปแล้ว หาอีกทีก็ไม่เจอ เอาเป็นว่า "ขอบคุณครับ" or "Thank you very very much" ขอบคุณสำหรับข้อมูล ขอโทษหากแปลผิด
5. หนังสือ Natural Reef Aquariums ของ คุณ John H. Tullock -- อันนี้ต้องขอบคุณที่มีข้อมูลให้ และขอโทษหากแปลผิดเหมือนกัน
** จบครับ **
|