Aqua.c1ub.net
*
  Wed 03/Dec/2025
หน้า: 1   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: UV กับ Ozone ครับ อะไรดีกว่ากัน  (อ่าน 8676 ครั้ง)
miniyai ออฟไลน์
Club Member
« เมื่อ: 27/03/14, [20:07:51] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

เคยอ่านข้อมูลมาก่อนแล้วครับ แล้วบวกกับหลายร้านบอก ยูวีดีกว่า บางร้านบอกโอโซนครอบคลุมกว่า ผมเลยจะขอข้อมูลจาก เพื่อน พี่ๆ น้องๆ  hah1สักหน่อยอ่ะครับ ส่วนตัวผมใช้UVอยู่ครับ ใช้มาจะ2ปีแล้วครับ หรือจะใช้ทั้ง2เลย xxx2
icestal2 ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #1 เมื่อ: 27/03/14, [22:55:55] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

อยากรุ้เหมือนกัน กำลังคิดอยุ่ว่าจะว่าจะเอา uv หรือโอโซนดีครับ

เเต่สุดท้ายใช้ 2 ตัว ควบคู่กันเเจ่มสุดครับ

เเต่ผมก้ออยากรู้ว่าถ้าเลือกเอาอย่างเดียวก่อนเอาอันไหนดีครับ

ขอคำเเนะนำด้วยครับ
Romeo_Pop ออฟไลน์
Level 5 Moderator
« ตอบ #2 เมื่อ: 27/03/14, [23:07:03] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

Cradit: K.i_brabus ผู้เรียงเรียงเขียนข้อมูลนี้ขึ้นผมเพียงยกข้อความมารวมไว้ในหัวข้อนะครับ
UV กับ  Ozone
 
ทั้งสองอย่าง มีหลักการทำงานที่แตกต่างกันครับ มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป

เริ่มจาก UV ก่อน
หลอดกำเนิดแสง UV ที่ใช้ในการฆ่าเชื้อโรคในตู้ปลา จะให้รังสี UV-C ออกมา ซึ่งโดยปกติแล้ว รังสี UV-C จากแสงอาทิตย์ตามธรรมชาติ จะถูกดูดกลืนโดยโอโซน ในชั้นบรรยากาศของโลก ทำให้ไม่สัมผัสกับมนุษย์โดยตรง

UV-C มีอันตรายต่อเซลล์ของสิ่งมีชีวิตบนโลก หากมนุษย์สัมผัสกับแสงโดยตรง ก็อาจจะทำให้เกิดการไหม้เกรียมของผิวหนัง หรือหากมองด้วยตาเปล่าก็อาจจะทำให้เกิดอาการเยื่อบุตาอักเสบ และสามารถทำลายเซลล์ต่างๆของสิ่งมีชีวิตได้อย่างรุนแรง ดังนั้น หลอดยูวีที่ใช้ในตู้ปลา จึงต้องบรรจุอยู่ในกระบอกทึบ เพื่อป้องกันอันตรายจากตรงจุดนี้

เวลาใช้งาน ก็ทำได้โดยการส่งน้ำให้ไหลผ่านเข้าไปในกระบอกอย่างช้าๆ ไข่หรือตัวอ่อนของปรสิต แพลงตอน เชื้อโรค หรือแบคทีเรียต่างๆ เมื่อสัมผัสกับแสงยูวี เซลล์ก็จะถูกทำลายและตายไป

จึงถือเป็นการฆ่าเชื้อในน้ำที่มีประสิทธิภาพวิธีหนึ่ง แต่ก็ต้องเลือกขนาดของยูวี และอัตราการไหลเวียนของน้ำให้เหมาะสมกับขนาดปริมาณน้ำในตู้ด้วย (หากน้ำไหลผ่านเร็วเกินไป เชื้อต่างๆจะมีเวลาสัมผัสกับแสงน้อย อาจจะทำให้ไม่ตาย)

การใช้ยูวีฆ่าเชื้อในน้ำ เป็นวิธีที่ปลอดภัยต่อสิ่งมีชีวิตในตู้ อาจจะใช้เวลามากหน่อย แต่ก็ถือว่ามีประสิทธิภาพ

หลอด UV ก็มีอายุการใช้งาน เช่นเดียวกับหลอดไฟทั่วๆไป เมื่อใช้งานไปซักระยะหนึ่ง หลอดจะค่อยๆเสื่อม ทำให้ประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคลดลง โดยทั่วไปแล้ว จึงควรจะมีการเปลี่ยนหลอดทุกๆ 1 ปีครับ


ส่วน โอโซน (Ozone)
โอโซน (O3) เป็นก๊าซที่ไม่เสถียร สลายตัวได้ค่อนข้างเร็ว มีคุณสมบัติเป็น oxidizing agent (สารที่ทำให้สารอื่นรวมตัวกับอ็อกซิเจน)
 
ในความเป็นจริงแล้ว โอโซนคือก๊าซพิษ หากมีปริมาณมากพอก็อาจจะเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตต่างๆได้ แต่หากใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ก็สามารถนำไปทำประโยชน์ได้มหาศาล

ดังนั้น โอโซนจึงมีคุณสมบัติในการช่วยฆ่าเชื้อโรคในน้ำ และยังทำลายสารพิษ สี กลิ่น สารเคมี ฯลฯ ในน้ำด้วย

การใช้โอโซนในปริมาณที่เหมาะสม และมีความแรงเพียงพอ จึงช่วยฆ่าเชื้อโรค และตัวอ่อนของปรสิตต่างๆในน้ำได้อย่างรวดเร็วโดยที่ไม่เป็นอันตรายกับปลาหรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แถมยังช่วยบำบัดคุณภาพน้ำ กำจัดของเสีย สี และสารเคมีต่างๆในน้ำอีกด้วย

แต่การใช้โอโซนโดยไม่มีตัววัดค่า หรือตัวควบคุมค่า(ORP Controller) ก็มีข้อเสียคือ หากใช้ในปริมาณน้อยเกินไป เชื้อโรคหรือปรสิตต่างๆก็อาจจะไม่ตาย หรือหากใช้ในปริมาณมากเกินไป ก็อาจจะเป็นอันตรายต่อปลา หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆในตู้ อุปกรณ์ในการวัด หรือควบคุมค่าโอโซน ส่วนใหญ่ก็จะมีราคาค่อนข้างสูง

ดังนั้น การจะใช้โอโซนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด จึงสามารถทำได้เฉพาะผู้ที่มีตัวควบคุมค่าโอโซนเท่านั้น
แต่หากใช้เปิดโดยการกะระยะเวลา หรือคาดคะเนเอา โดยไม่มีตัวควบคุม ก็อาจจะได้ประโยชน์ในแง่การช่วยบำบัดคุณภาพน้ำ แต่การฆ่าเชื้อโรคอาจจะทำได้ไม่เต็มที่นัก

เมื่อรู้จักคุณสมบัติ และหลักการทำงานของทั้งสองตัวแล้ว ก็ลองตัดสินใจด้วยตัวเองดูครับ ว่าจะเลือกใช้อันไหน หรือจะใช้ทั้งสองตัวเลย

ปล.ไม่มีใครตอบหรือกำหนดได้ ว่าตู้ต้องคุณต้องมี หริอไม่มี อุปกรณ์อะไรบ้าง เพราะแต่ละตู้ หรือผู้เลี้ยงแต่ละคน ก็ย่อมมีปัจจัยต่างๆ ที่แตกต่างกัน แต่เมื่อเราเข้าใจถึงประโยชน์และหลักการทำงานของมันแล้ว ก็ควรจะตัดสินใจได้ด้วยตัวเองครับ ว่าเราเหมาะสมที่จะเลือกใช้อุปกรณ์ชิ้นไหน
patsakorn ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #3 เมื่อ: 28/03/14, [10:25:29] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ขอบคุนสำหรับความรุ้คับ
icestal2 ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #4 เมื่อ: 28/03/14, [18:53:49] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

Cradit: K.i_brabus ผู้เรียงเรียงเขียนข้อมูลนี้ขึ้นผมเพียงยกข้อความมารวมไว้ในหัวข้อนะครับ
UV กับ  Ozone
 
ทั้งสองอย่าง มีหลักการทำงานที่แตกต่างกันครับ มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป

เริ่มจาก UV ก่อน
หลอดกำเนิดแสง UV ที่ใช้ในการฆ่าเชื้อโรคในตู้ปลา จะให้รังสี UV-C ออกมา ซึ่งโดยปกติแล้ว รังสี UV-C จากแสงอาทิตย์ตามธรรมชาติ จะถูกดูดกลืนโดยโอโซน ในชั้นบรรยากาศของโลก ทำให้ไม่สัมผัสกับมนุษย์โดยตรง

UV-C มีอันตรายต่อเซลล์ของสิ่งมีชีวิตบนโลก หากมนุษย์สัมผัสกับแสงโดยตรง ก็อาจจะทำให้เกิดการไหม้เกรียมของผิวหนัง หรือหากมองด้วยตาเปล่าก็อาจจะทำให้เกิดอาการเยื่อบุตาอักเสบ และสามารถทำลายเซลล์ต่างๆของสิ่งมีชีวิตได้อย่างรุนแรง ดังนั้น หลอดยูวีที่ใช้ในตู้ปลา จึงต้องบรรจุอยู่ในกระบอกทึบ เพื่อป้องกันอันตรายจากตรงจุดนี้

เวลาใช้งาน ก็ทำได้โดยการส่งน้ำให้ไหลผ่านเข้าไปในกระบอกอย่างช้าๆ ไข่หรือตัวอ่อนของปรสิต แพลงตอน เชื้อโรค หรือแบคทีเรียต่างๆ เมื่อสัมผัสกับแสงยูวี เซลล์ก็จะถูกทำลายและตายไป

จึงถือเป็นการฆ่าเชื้อในน้ำที่มีประสิทธิภาพวิธีหนึ่ง แต่ก็ต้องเลือกขนาดของยูวี และอัตราการไหลเวียนของน้ำให้เหมาะสมกับขนาดปริมาณน้ำในตู้ด้วย (หากน้ำไหลผ่านเร็วเกินไป เชื้อต่างๆจะมีเวลาสัมผัสกับแสงน้อย อาจจะทำให้ไม่ตาย)

การใช้ยูวีฆ่าเชื้อในน้ำ เป็นวิธีที่ปลอดภัยต่อสิ่งมีชีวิตในตู้ อาจจะใช้เวลามากหน่อย แต่ก็ถือว่ามีประสิทธิภาพ

หลอด UV ก็มีอายุการใช้งาน เช่นเดียวกับหลอดไฟทั่วๆไป เมื่อใช้งานไปซักระยะหนึ่ง หลอดจะค่อยๆเสื่อม ทำให้ประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรคลดลง โดยทั่วไปแล้ว จึงควรจะมีการเปลี่ยนหลอดทุกๆ 1 ปีครับ


ส่วน โอโซน (Ozone)
โอโซน (O3) เป็นก๊าซที่ไม่เสถียร สลายตัวได้ค่อนข้างเร็ว มีคุณสมบัติเป็น oxidizing agent (สารที่ทำให้สารอื่นรวมตัวกับอ็อกซิเจน)
 
ในความเป็นจริงแล้ว โอโซนคือก๊าซพิษ หากมีปริมาณมากพอก็อาจจะเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตต่างๆได้ แต่หากใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ก็สามารถนำไปทำประโยชน์ได้มหาศาล

ดังนั้น โอโซนจึงมีคุณสมบัติในการช่วยฆ่าเชื้อโรคในน้ำ และยังทำลายสารพิษ สี กลิ่น สารเคมี ฯลฯ ในน้ำด้วย

การใช้โอโซนในปริมาณที่เหมาะสม และมีความแรงเพียงพอ จึงช่วยฆ่าเชื้อโรค และตัวอ่อนของปรสิตต่างๆในน้ำได้อย่างรวดเร็วโดยที่ไม่เป็นอันตรายกับปลาหรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ แถมยังช่วยบำบัดคุณภาพน้ำ กำจัดของเสีย สี และสารเคมีต่างๆในน้ำอีกด้วย

แต่การใช้โอโซนโดยไม่มีตัววัดค่า หรือตัวควบคุมค่า(ORP Controller) ก็มีข้อเสียคือ หากใช้ในปริมาณน้อยเกินไป เชื้อโรคหรือปรสิตต่างๆก็อาจจะไม่ตาย หรือหากใช้ในปริมาณมากเกินไป ก็อาจจะเป็นอันตรายต่อปลา หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆในตู้ อุปกรณ์ในการวัด หรือควบคุมค่าโอโซน ส่วนใหญ่ก็จะมีราคาค่อนข้างสูง

ดังนั้น การจะใช้โอโซนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด จึงสามารถทำได้เฉพาะผู้ที่มีตัวควบคุมค่าโอโซนเท่านั้น
แต่หากใช้เปิดโดยการกะระยะเวลา หรือคาดคะเนเอา โดยไม่มีตัวควบคุม ก็อาจจะได้ประโยชน์ในแง่การช่วยบำบัดคุณภาพน้ำ แต่การฆ่าเชื้อโรคอาจจะทำได้ไม่เต็มที่นัก

เมื่อรู้จักคุณสมบัติ และหลักการทำงานของทั้งสองตัวแล้ว ก็ลองตัดสินใจด้วยตัวเองดูครับ ว่าจะเลือกใช้อันไหน หรือจะใช้ทั้งสองตัวเลย

ปล.ไม่มีใครตอบหรือกำหนดได้ ว่าตู้ต้องคุณต้องมี หริอไม่มี อุปกรณ์อะไรบ้าง เพราะแต่ละตู้ หรือผู้เลี้ยงแต่ละคน ก็ย่อมมีปัจจัยต่างๆ ที่แตกต่างกัน แต่เมื่อเราเข้าใจถึงประโยชน์และหลักการทำงานของมันแล้ว ก็ควรจะตัดสินใจได้ด้วยตัวเองครับ ว่าเราเหมาะสมที่จะเลือกใช้อุปกรณ์ชิ้นไหน

ขอบคุณครับพี่ป็อบ สงสัยโดน โอโซนก่อนดีกว่า อิอิ
Mayouza ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #5 เมื่อ: 28/03/14, [19:19:44] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

+1ไปเลยครับสำหรับความรู้ใหม่ๆ
mai2610 ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #6 เมื่อ: 28/03/14, [20:04:22] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

เอาของผมเสริมก็แล้วกันนะ เคยสงสัยนานแระ

http://aqua.c1ub.net/forum/index.php?topic=198288.0

เคยใช้ทั้ง 2 แบบ มาจบที่ Ozene เปิดตอนอาการเปลี่ยน หรือตอนเห็นจุดขาว
รักษาคุณภาพน้ำให้ดี หายเองได้ครับ
หน้า: 1   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: