1. ไฟไม่พอ:
จริงๆแล้วทุกคนก็คงพอคาดได้ แล้วทำไมต้องเอามาเขียนด้วยหละ [งง] ผมมั่นใจดีว่าทุกท่านที่มีความสนใจที่จะเลี้ยงไม้น้ำคงมีข้อมูลเกี่ยวกับชนิดของแสงสว่าง และความเข้ม ที่ก็พอมีหลักการในการเปรียบเทียบปริมาณวัตต์กับปริมาณน้ำคร่าวๆ ซึ่งจริงๆก็แค่บรรทัดฐานใช้ได้ก็แต่เพียงตู้ขนาดกลางเท่านั้น รวมไปถึงระยะเวลาที่ควรให้แสงสว่างนะครับ สรุปง่ายๆคือถ้าต่ำกว่า 0.8 เป็นอันว่าไม่น่ารอด
ส่วนระยะเวลาในการสังเคราะห์แสงนั้นไม่ควรน้อยกว่า 4 ช.ม. และไม่ควรเกิน 12 ช.ม.(ในกรณีที่ต้นไม้เต็มตู้เท่านั้น) น้อยกว่า4 ช.ม. กับไม่เปิดเลยมีค่าไม่ต่างกัน ที่ต่างกันคือเราไปเพิ่มความร้อนให้กับตู้โดยไม่จำเป็น เพราะต้นไม้ต้องการการเตรียมตัว (และเป็นขั้นตอนที่ต้นไม้ใช้พลังงานมากพอสมควร) ก่อนที่จะเริ่มกระบวนการสังเคราะห์แสงประมาณ 2 ช.ม. หลังจากเริ่มได้รับแสงที่พอเพียง ดังนั้นการเปิดไฟระยะเวลาน้อยไปจึงมีแต่ผลเสีย และสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์ เช่นกันการเปิดไฟเกินกว่า 12 ช.ม.ก็ไม่มีผลดี เพราะเกินกว่านั้นต้นไม้ก็ไม่สังเคราะห์แสงต่อ แต่กลับช่วยให้ตะไคร่แพร่พันธุ์ได้อย่างดี n032
ที่สำคัญที่สุดมากพอๆกับช่วงสังเคราะห์แสง คือต้นไม้ต้องการการพักผ่อนเพื่อซ่อมแซมเซลส่วนที่เสียหาย และจัดสรรพลังงานเพื่อไปใช้ในส่วนต่างๆ ดังนั้นจึงจะสังเกตได้ว่าต้นไม้มีอัตราการเจริญเติบโตตอนไฟปิดมากกว่าตอนไฟเปิด อย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นเมื่อแสงสว่างไม่พอ หรือชั่วโมงการให้แสงไม่พอ จึงเป็นสาเหตุทำให้ต้นไม้พยายามยืดขึ้นสู่ผิวน้ำเพื่อหาแหล่งกำเนิดแสงที่มีอยู่มากกว่าใต้น้ำ
ปล้องยืดยาว ใบลีบ
http://www.barrreport.com/showthread.php/8703-Internodal-distance-vs-HQI-light
ใบ และลำต้นปรกติ
http://aqua.c1ub.net/forum/index.php?topic=127613.0
2. คาร์บอนไม่พอ:
ผมคิดว่าการยืดของต้นไม้เกิดจากข้อนี้ซะมากกว่า หลักการเดียวกันครับ เพราะเนื่องจากในอากาศมีคาร์บอนไดออกไซด์จำนวนมาก มากกว่าในน้ำเยอะมาก ที่นี้เมื่อมีแสงสว่างมากพอ แต่ไม่มีคาร์บอนไดออกไซด์ ต้นไม้ก็ไม่สามารถเริ่มกระบวนการสังเคราะห์แสงได้ จึงพยายามยืดขึ้นหาแหล่งที่มีคาร์บอนที่อุดมสมบูรณ์เหนือผิวน้ำ ผมอยากเน้นในจุดนี้มากๆ เพราะไฟไม่ใช่แต่เพียงปัจจัยเดียวที่ทำให้ต้นไม้โต และไม่ยืด บ่อยครั้งที่การแก้ปัญหาคือการเพิ่มปริมาณไฟ แต่มองข้ามปริมาณคาร์บอนจึงทำให้ระบบขาดความสมดุลย์ และไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างได กลับสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องตะไคร่ และการขาดสารอาหารกลายเป็นผลเสียต่อเนื่องแก้ปัญหาไม่จบซะด้วยซ้ำ
อันที่จริงต้นไม้ส่วนใหญ่สามารถปรับตัวกับสภาพที่มีแสงไปทางค่อนไปทางน้อย หากคาร์บอนมีอย่างอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นเพียงการเพิ่มปริมาณคาร์บอนจึงช่วยให้ต้นไม้สามารถปรับตัวอยู่ในภาวะที่แสงสว่างน้อยได้ดียิ่งขึ้น (น้อยนี้คือไม่ต่ำกว่า 0.8นะครับ 036)
http://www.aquariumplantsandsupplies.com/product_info.php?pName=nano-co2-diffuser
3. ออกซิเจนไม่พอ:
ผมว่าเป็นสาเหตุที่ถูกมองข้ามมากที่สุด ต้องอย่าลืมว่าต้นไม้ก็เป็นสิ่งมีชีวิต ดังนั้นจึงมีความต้องการออกซิเจนไม่น้อยไปกว่าความต้องการคาร์บอนไดออกไซด์ ในสภาวะที่อุณหภูมิปรกติ เวลาที่ต้นไม้สังเคราะห์แสงซึ่งได้ออกซิเจนเป็นผลพลอยได้ จึงทำให้ปริมาณออกซิเจนสะสมในน้ำมีเพียงพอ (ง่ายๆ ถ้าเห็นต้นไม้คายฟอง แสดงว่าปริมาณออกซิเจนมากเกินพอและไม่สามารถละลายน้ำได้อีกต่อไป จึงเห็นว่ามันคายฟอง) แต่ในช่วงหน้าร้อน ที่ปริมาณออกซิเจนในน้ำหมดไปโดยเร็วเนื่องจากความร้อนทำให้ออกซิเจนแยกตัวออกจากน้ำได้โดยง่าย ต้นไม้จึงต้องยืดขึ้นเพื่อหาแหล่งออกซิเจนใหม่เหนือผิวน้ำ ในอีกมุมมองนึงจึงอาจพูดได้ว่าอากาศร้อน และอุณหภูมิน้ำที่สูงขึ้น มีผลทางอ้อมต่อไม้น้ำ และสัตว์น้ำ แต่เป็นเพราะจำนวนออกซิเจนที่ขาดแคลนทำให้เกิดการสูญเสียโดยไม่จำเป็นต่างหาก
http://aqua.c1ub.net/forum/index.php?topic=127613.0
ดังนั้นวิธีที่ง่ายที่สุดในการแก้ไข คือการเพิ่มปริมาณอ๊อกซิเจนในน้ำ ด้วยการยกเอ้าท์โฟลขึ้นสูงให้น้ำกระทบผิวเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนออกซิเจน หรือการเพิ่มอ๊อกซิเจนโดยเครื่อง มากกว่าและง่ายกว่าการทำให้น้ำเย็นเพราะต้องอาศัยอุปกรณ์ราคาแพง ลองดูนะครับแล้วจะประหลาดใจว่าพวกสัตว์น้ำและต้นไม้ก็สามารถอยู่ได้อย่างสบายๆในอากาศร้อนๆแบบนี้
http://paul-chan.net/?cat=5
พอมองออกแล้วนะครับว่า แสงสว่าง, ความร้อน, คาร์บอนไดออกไซด์, ออกซิเจน มีผลต่อกันและกัน เป็นความสัมพันธ์โดยรวม ไม่สามารถแยกปัจจัยออกจากกันได้ ที่นี้อะไรมันขาดอะไรมันเกินลองปรับใช้ดูครับ หน้าร้อนอากาศร้อนแบบนี้ตู้เราจะได้ไม่มีปัญหามากครับ [on_055]
[วิ่งชิลๆ] Happy Aquascaping to All