How I Spent My Summer Vacation อาจเป็นงานที่ไม่สมบูรณ์มากนัก เพราะเรื่องราวบางส่วนในหนังไม่ได้คลี่คลาย โดยเฉพาะบุรุษนิรนามพระเอกของเรื่องที่จนจบแล้วเขาก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่! แต่ก็นับว่าหนังเรื่องนี้เป็นการกลับมาด้วยความยอดเยี่ยมของเมล กิ๊บสัน ที่แม้เรื่องนี้จะดูแก่ลงไปมากแต่เรื่องนี้กับรู้สึกว่าป๋าแกหล่อขึ้นซะงั้น! รวมถึงผู้กำกับแอนเดรียน กรันเบิร์ก ที่ได้หนังเรื่องนี้เป็นใบเบิกทางชิ้นดีสู่งานกำกับภาพยนตร์เรื่องต่อไป!
Red Dog เป็นผลงานการกำกับของผู้กำกับชาวออสเตรเลียอย่าง คริฟท์ สแตนเดอร์ ที่หลังจากไปจับงานหนังดราม่าแนวตะลุยกวาดรางวัลของออสเตรเลียอยู่นาน ในปีนี่เขาจึงเปลี่ยนแนวมาเป็นการหยิบเรื่องราวสุดประทับใจที่เกิดขึ้นจริงใน ออสเตรเลีย ที่คนไหนที่เกิดในออสเตรเลียคงไม่มีใครไม่รู้จักกับ เจ้าหมาขนแดง ที่ทำให้ Red Dog กลายเป็นหนังที่ทำเงินสูงสุดในปี 2011 ของออสเตรเลีย ที่ทำเงินไปถึง 21 ล้านเหรียญ แถมยังตะลุยกวาดรางวัลความประทับใจอีกมากมายในบ้านเกิด ซึ่งถ้าหากใครที่เคยดู Hachi มาก่อน และได้มาดู Red Dog ก็คงไม่แปลกถ้าหากคุณจะได้กลิ่นความเหมือนระหว่าง Red Dog และ Hachi เพียงแต่ว่าในหนัง Red Dog ผู้กำกับ คริฟท์ สแตนเดอร์ ไม่ได้อยากให้คนดูรู้สึกเครียด หรือ ง่วงมากเกินไป ผู้กำกับจึงได้ใส่มุกตลกเข้ามากมาย
ต่างจากหนังแนวหมาเรียกน้ำตาอีกเรื่องอย่าง Hachi ที่เล่นใส่แต่ฉากความประทับใจระหว่าง เจ้าของ และ สุนัข ที่เมื่อถึงฉากย้อนความทรงจำที่หนังพยายามบิวท์ให้คนดูน้ำตาแตก ใน Hachi มันจึงทำสำเร็จ แต่ใน Red Dog มันต่างกันค่อนข้างมากนะ
แต่โดยรวมสำหรับใครที่ช่วงนี้ต้องการหาหนังแนวน่ารักๆ คลายเครียดๆ ผมว่า Red Dog ก็น่าจะเป็นหนังที่เหมาะกับคุณ แต่ถ้าหากใครต้องการดู Red Dog เพื่อหวังจะต่อมน้ำตาแตกแบบ Hachi ก็คงต้องผิดหวังกันไปมากๆ เพราะมันกลับไม่ใช่อย่างนั้นเลยสักนิด Red Dog เข้าฉายแล้วเฉพาะ House RCA เท่านั้น
ที่จริงในวันนี้ก็กะจะไปดูแค่หนังจากออสเตรเลียอย่าง Red Dog เรื่องเดียว แต่เนื่องด้วยค่าเดินทางอันแสนแพงกว่าจะได้ไปเยือนโรงหนัง เฮ้าส์ อาร์ซีเอ จึงช่วยไม่ได้ที่จะต้องขอจัดอีกเรื่องเพื่อที่จะให้คุ้มกับค่ารถ และเรื่องนั้นก็คือหนังแนวโรแมนติค มิวสิเคิล จากเกาะอังกฤษอย่าง You Instead ที่ฉายเฉพาะที่เฮ้าส์
You Instead หรือในอีกหลายๆชื่อที่ใช้ในแต่ละประเทศทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น Tonight Youre Mine และ Rock n Love เป็นผลงานการกำกับของผู้กำกับชาวอังกฤษอย่าง เดวิด แม็คเคนซี่ จาก Young Adam และหนังสยองขวัญอย่าง Asylum ที่มาในคราวนี้เขาได้ลองหยิบจับผลงานหนังแนว โรแมนติค มิวสิเคิล เป็นเรื่องแรก โดยเลือกที่จะใช้ฉากหลังเป็นเทศกาลดนตรีที่ยิ่งใหญ่ใน สก๊อตแลนด์ อย่าง T in the Park ที่หนังเรื่องนี้ได้ใช้เวลาถ่ายทำทั้งเรื่องไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ และเหตุการณ์ทั้งหมดก็จะเกิดอยู่แต่ในเทศกาลดนตรี T in The Park นี่แหละ แต่ที่เห็นว่าหนังใช้เวลาถ่ายทำเพียงแค่ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ ก็อย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปว่าหนังทำออกมาชุ่ยๆ มาหลอกขายคนดู หรืออะไร เพราะความเห็นส่วนตัวผม ตัวหนังมันยังถือว่าดูเพลินๆกว่าหนังตั้งใจทำหลายๆของฮอลลีวู้ดอีกนะ
และสิ่งที่สามารถชูโรง ให้คนดูพ้นจาการจับผิดบทแย่ๆ และ เนื้อเรื่องที่มีช่องโหว่เต็มไปหมดใน You Instead คงหนีไม่พ้นการที่ผู้กำกับ เดวิด แม็คเคนซี่ ได้เลือกใช้ฉากหลังเป็นเทศกาลคอนเสิร์ตอย่าง T in The Park และเทศกาลคอนเสิร์ตนั่นแหละ ที่เป็นสิ่งที่ เดวิด แม็คเคนซี่ สามารถเลือกถ่ายทอดออกมาในหนัง ผสมไปกับการเล่าเนื้อเรื่องได้ค่อนข้างโอเคเลยทีเดียว และถ้าหากผมพูดว่า You Instead จะเป็นสารคดีที่พาคนดูทัวร์ชมเทศกาล T in The Park ก็คงไม่ผิด เพราะเนื้อเรื่อง 40% ส่วนใหญ่ของหนังจะเน้นไปที่การถ่ายทอด ความรู้สึกของคนที่ไปเที่ยวงาน T in the Park สลับไปกับการถ่ายคอนเสิร์ตที่เกิดขึ้นจริง
ซึ่งนักร้องที่ได้ติดกล้องมาสร้างความสนุกกับคนดูก็มีอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็น อัล กรีน , เคลวิน แฮร์ริส หรือแม้แต่ พาโลมา เฟทท์ และผสมไปด้วยเพลงประกอบอีกมากมาย โดยที่เด็ดสุดคงหนีไม่พ้นเพลง You Instead ที่ขับร้องโดย ลุค เทรดอะเวย์ จากวง The Make ในหนังนั้นเอง โดยถ้าหากผมจะจัดหนังเรื่อง You Instead ให้อยู่กับกลุ่มเดียวกับหนังจำพวก Coyote Ugly และหนังมิวสิเคิลอีกหลายๆเรื่องคงไม่ผิด เพราะความเห็นส่วนตัวของผมเลยนั้นคือ You Instead ถือว่าเป็นหนังห่วยที่ดูค่อนข้างสนุก โดยเฉพาะคนรักเสียงดนตรี และ ชอบฟังดนตรีจากฝั่งของอังกฤษ คงจะถูกใจตัวหนังไปมากกว่าผมถึง 2 เท่า
แต่โดยรวมแล้ว You Instead ถือว่าเป็นหนังแนวโรแมนติค มิวสิเคิล ที่ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเป็น สารคดีที่พาทัวร์ชมเทศกาลคอนเสิร์ต T in the Park ที่ถือว่าทำออกมาได้เพลินๆเพราะเสียงดนตรี และ ความน่ารักของนักแสดง ถึงแม้ว่าตัวหนังจะมี ช่องโหว่ และ ความไม่สมเหตุสมผลของบทอยู่มากพอสมควร
สิ่งที่เป็นที่กล่าวถึงของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เป็นตัวช่วยสร้างกระแสให้ กับเรื่อง ก็คือ ฉากจบหลายแบบ ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใดเพราะลูกเล่นนี้มีใช้กันทั่วไปเช่น มิวสิควีดีโอหรือเกม แต่การที่ภาพยนตร์ I Miss You เลือกจะนำลูกเล่นนี้มาใช้โดยมีทำฉากจบออกมาถึง 3 แบบด้วยกัน และนำออกฉายด้วยนั้น ผมมองว่าเป็นการนำเสนอที่น่าสนใจ แต่?มันควรจะไปอยู่เป็นของแถมในดีวีดีมากกว่า! ในขั้นตอนพัฒนาบทภาพยนตร์นั้นไม่แปลกที่เราจะมีการเล่าเรื่องที่สามารถนำไป สู่ตอนจบที่หลากหลาย ตามแต่จินตนาการจะนึกคิดขึ้นมาได้ แต่ไม่ว่าจะมีสักกี่ร้อยบทสรุป ผู้สร้างก็ควรจะมอบจุดหมายปลายทางที่ชัดเจนให้กับหนังและให้ตรงกับสิ่งที่ ต้องการสื่อไปถึงผู้ชม ซึ่งบทสรุปของเรื่องนั้นจะดีหรือไม่ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ชมเป็นคนที่นำไปตีความต่อไปจะเหมาะกว่า การทำแบบนี้มันแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในตัวหนังของผู้สร้าง!
อย่างไรก็ตาม I Miss You รักฉันอย่าคิดถึงฉัน?น่าจะ เป็นที่ถูกใจของผู้ชมโดยเฉพาะผู้หญิงเป็นพิเศษ กับความรักอันแสนโรแมนติคจนความตายมิอาจพรากของหมอธนาและหมอนก เป็นภาพยนตร์แนวรักหลอนที่เต็มไปด้วยประโยคเกี่ยวกับความรักคมๆ ที่อาจกระทบใจของใครหลายๆ คนได้ไม่ยาก นับว่าเป็นผลงานของผู้กำกับ?มณฑล อารยางกูร?ที่ทำได้ดีกว่าผลงานก่อนๆ แม้จะหลงทิศทางไปบ้างก็ตา