Aqua.c1ub.net
*
  Sun 03/Aug/2025
หน้า: 1 ... 187 188 189 190 191 ... 201   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: มาเล่นเกมทายภาพจากภาพยนตร์เรื่องดังกัน  (อ่าน 758133 ครั้ง)
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5640 เมื่อ: 03/12/13, [13:25:09] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?

The Specialist จอมมหาประลัย
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5641 เมื่อ: 03/12/13, [13:28:38] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?

The Hunger Games: Catching Fire 2 เกมล่าเกม 2 แคชชิ่งไฟเออร์
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5642 เมื่อ: 03/12/13, [13:34:22] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?

MAX PAYNE แม็กซ์เพย์น คนมหากาฬถอนรากทรชน
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5643 เมื่อ: 03/12/13, [13:36:05] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?

PLANET TERROR โคโยตี้ แข้งปืนกล
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5644 เมื่อ: 03/12/13, [13:40:16] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?

Goal เกมส์หยุดโลก
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5645 เมื่อ: 03/12/13, [13:53:04] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?



ถูกต้องครับ

chernobyl diaries เมืองร้าง มหันตภัยหลอน

ที่มาหรือจุดเริ่มต้นของหนังสักเรื่องก่อนที่จะสร้างขึ้นมานั้น จำเป็นต้องมีเรื่องราวที่จะนำมาบอกเล่า และหากเรื่องราวที่จะนำมาบอกเล่านั้นมีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จริงใน ประวัติศาสตร์ ความน่าสนใจของตัวหนังก็จะมีมากยิ่งขึ้นและฝ่ายการตลาดของหนังก็จะสามารถทำ การประชาสัมพันธ์หนังได้ง่ายขึ้นด้วย เช่นเดียวกับเรื่อง Chernobyl Diaries ที่ได้นำเหตุการณ์จริงในอดีตที่เคยเกิดขึ้นที่มีชื่อเรียกว่า โศกนาฏกรรมที่เชอร์โนบิล (Chernobyl Disaster) มาเป็นจุดขาย!

Chernobyl Diaries กำกับโดย แบรดลี่ย์ พาร์คเกอร์ (Bradley Parker) อดีตผู้กำกับกองสองของ Let Me In (2010) ที่ได้รับโอกาสขึ้นมาเป็นผู้กำักับหนังเต็มตัวเป็นครั้งแรก เรื่องราวเิริ่มต้นเมื่อกลุ่มนักท่องเที่ยว คริส (เจสซี่ แมคคาร์ทนี่ย์)และแฟนสาวนาตาลี (โอลิเวีย เทย์เลอร์ ดัดลี่ย์) พร้อมด้วยเพื่อน อแมนด้า (เดวิน เคลลี่ย์) ที่เดินทางไปทั่วยุโรปจนมาถึงเมืองเคียฟ ประเทศยูเครน เพื่อพบกับ พอล (โจนาธาน ชาโดวสกี้) พี่ชายของคริส ซึ่งพอลก็เป็นเจ้าบ้านที่ดีด้วยการแนะนำทัวร์สุดพิเศษ เมืองพริพยาท (Prypiat) อันเป็นส่วนหนึ่งของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลที่ตอนนี้กลายสภาพเป็น เมืองร้าง โดยการนำของ ยูริ (ดิมิทรี่ เดียทเชนโก้) หัวหน้าทัวร์เจ้าถิ่น ซึ่งพวกเขาหารู้ไม่ว่าการตัดสินใจไปทัวร์ในครั้งนี้อาจเป็นการออกทัวร์ครั้งสุดท้ายในชีวิต!

ย้อนอดีตกันสักนิด! วันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1986 หรือเมื่อ 26 ปีก่อน นิคมเชอร์โนบิล ซึ่งตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำนีเปอร์ ใกล้เมือง พริเพียต ทางตอนเหนือของ ยูเครน ใกล้ชายแดน เบลารุส ซึ่งในขณะนั้นยูเครน และ เบลารุสยังเป็นส่วนหนึ่งของ สหภาพโซเวียต ได้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ขึ้นที่โรงไฟฟ้าโรงที่ 4 ได้ระเบิดขึ้น เกิดไฟไหม้อย่างต่อเนื่องหลายวันและมีการรั่วไหลของสารกัมมันตภาพรังสีที่ มากเกินกว่าจะควบคุม มีผู้เสียชีวิตทันทีกว่าครึ่งร้อย และต้องอพยพผู้คนที่อาศัยอยู่แถวนั้น สุดท้ายพื้นที่ดังกล่าวได้กลายสภาพเป็นเมืองร้าง ปัจจุบันบางพื้นที่ได้ถูกปรับสภาพจนสามารถอาศัยอยู่ได้ แต่บางส่วนนั้นยังคงเป็นพื้นที่หวงห้ามเนื่องจากยังมีสารกัมมันตรังสีตก ค้างอยู่เป็นจำนวนมหาศาล เหตุการณ์นี้ได้ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างและเป็นระยะเวลายาวนาน และมีประชาชนได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก โดยเมื่อปี 2005 สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA : International Atomic Energy Agency) และ องค์การอนามัยโลก (WHO : World Health Organization) ได้ประมาณการว่ามีผู้ได้รับผลกระทบจากการระเบิดโดยตรงมากกว่า 600,000 คน มีผู้เสียชีวิตทันทีจากการระเบิด 56 คน และมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งจากการสัมผัสกัมมันตรังสีกว่า 4,000 คน

เมื่อพิจารณากับเหตุการณ์ข้างต้นก็พอจะเข้าใจว่าทำไมเรื่องราวของเชอร์โน บิลถึงได้มีเสน่ห์ และถูกนำมาเสริมเติมแต่งสร้างเรื่องราวในหลายรูปแบบโดยเฉพาะเกมคอมพิวเตอร์ ที่หากใครเคยเล่นเกมคอมพิวเตอร์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าเชอร์โนบิลมา ก่อนเมื่อเห็นตัวอย่างหนังก็พอจะเดาเนื้อเรื่องได้เลย! อย่างไรก็ตามเพียงแค่ตัวอย่างหนังที่ออกมาให้ชม ก็นับว่าเป็นหนังอีกเรื่องที่ทำตัวอย่างออกมาได้น่าสนใจดีทีเดียว แม้จะรู้สึกว่าเรื่องราวคล้ายๆ กับเกมบ้างก็เถอะ แต่ก็หวังว่าใน Chernobyl Diaries จะมีอะไรที่มากกว่าตัวอย่างหนังมี เมื่อได้ โอเรน เพลี่ (Oren Peli) ผู้สร้างไตรภาคสุดหลอน Paranormal Activity มาดูแลงานสร้างและร่วมเขียนบทภาพยนตร์

ช่วงแรกของหนังปูเรื่องราวความสัมพันธ์ของตัวละครไว้น่าสนใจ ทั้งเรื่องของคริสที่หวังจะขอแฟนสาวนาตาลีแต่งงานที่มอสโก จึงได้แวะมาบอกพี่ชายที่จากบ้านไปนาน ความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องคริสและพอลที่รู้สึกว่าพอลจะเคยทำอะไรไว้ไม่ดี กับครอบครัวจนต้องออกมาใช้ชีวิตคนเดียวเพียงลำพัง ที่พอลดูจะพยายามแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นพี่ที่พึ่งพาได้ และการสานสัมพันธ์ของพอลที่มีต่อสาวอแมนด้าที่แม้ว่าฝ่ายหญิงดูจะไม่มีใจแต่ ทั้งคู่ก็มีบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายคลึงกัน หนังวางให้ผู้ชมเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่ร่วมเดินทางไปทัวร์ด้วยกัน ฉะนั้นการทำความรู้จักให้เราทราบที่มาที่ไปของตัวละครก็นับว่าเป็นสิ่งที่ ถูกต้อง ซึ่งช่วงแรกของทัวร์เป็นไปด้วยความสนุกสนาน แม้จะมีสิ่งที่เป็นลางบอกเหตุไม่ดีอยู่บ้างก็ตาม จนทำให้นึกไปว่าเรากำลังจะได้ดูหนังเขย่าขวัญชั้นดีอีกเรื่อง แต่นั่นคือความเข้าใจที่ผิด!

หนังมาพร้อมกับลูกเล่นๆ เดิม มุมกล้องเดิมๆ ซึ่งจะตอบสนองได้ดีต่อผู้ที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสดูหนังประเภทนี้ แต่หากเป็นคนที่เคยดูหนังแนวนี้มาก่อนจะไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรกับวิธีการ เล่าเรื่อง และถึงแม้เป็นแบบนั้นหนังก็ยังทำได้ดีในระดับหนึ่ง ในการสร้างเงื่อนไขมาบีบคั้นต่อสถานการณ์ในเรื่อง เมื่อพื้นที่โดยรอบเป็นโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ยังคงมีสารกัมมันตรังสีตก ค้างอยู่ที่สามารถสร้างอันตรายต่อผู้ที่เข้าใกล้ เมืองร้างซึ่งอยู่ในเขตหวงห้ามที่ห่างจากความช่วยเหลือจากโลกภายนอก และความมืดมิดที่สร้างความไม่น่าไว้วางใจให้หนักข้อขึ้นไปอีก และด้วยการที่เรื่องราวโฟกัสไปที่กลุ่มทัวร์เพียงจุดเดียวก็เป็นอีกเงื่อนไข หนึ่งที่ทำให้ผู้ชมรู้เรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าเท่าๆ กับที่ตัวละครในเรื่องรู้ ซึ่งนั่นยิ่งเพิ่มความอยากรู้อยากเห็นให้มากขึ้นไปอีกว่าสิ่งที่มาโจมตีตัว ละครนั้นมันคืออะไร? เป็นซอมบี้ วิญญาณ หรือคนที่กลายสภาพหลังจากได้รับสารกัมมันตรังสี!

ด้วยเหตุผลข้างต้นทำให้เราสามารถติดตามการหลบหนีออกจากโรงไฟฟ้า และพยายามเอาใจช่วยให้มีใครสามารถรอดออกไปได้บ้าง แต่ด้วยความสมเหตุสมผลที่ Chernobyl Diaries ดูจะมีปัญหา! พลอยทำให้ความรู้สึกดีๆ ที่มีต่อหนังในช่วงต้นค่อยๆ ลดลงเมื่อเข้าสู่กลางเรื่องและแทบไม่เหลือเมื่อฉากสุดท้ายได้จบลง อันเรื่องจากการกระทำของตัวละครดูไร้สติเกินไป เพียงแค่เสียงแปลกๆ ที่ได้ยินก็ทำให้ตัวละคร 2 ตัว เลือกที่จะออกจากสถานที่ปลอดภัย ไปเผชิญกับสิ่งที่ไม่รู้ว่าคืออะไรข้างนอกท่ามกลางความมืดมิด และรอดกลับมาเพียง 1 คน แถมบาดเจ็บสาหัสเป็นตัวถ่วงของทีมไป หรืออีกเหตุการณ์ที่เห็นได้ชัดถึงความไร้สติการที่กลุ่มตัวละครได้แผนที่ของ โรงไฟฟ้าแต่ไม่สามารถนำมาใช้ประโยชน์อะไรได้เลย ทุกคนต้องการที่จะหนีออกจากที่แห่งนี้แต่สุดท้ายกลายเป็นถลำลึกเข้าเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัว (ได้ยังไง?) นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ยิบย่อยอีกพอสมควรที่หากเราตกอยู่ในสถานการณ์เดียว กับตัวละครคงรู้ถึงอันตรายและไม่มีทางทำแน่ๆ

กลายเป็นว่าสิ่งที่ดีที่สุดใน Chernobyl Diaries คือ เรื่องราวที่หยิบจับขึ้นมาทำหนัง ตัวอย่างหนังและช่วงแรกของเรื่อง ที่พอจะให้้เรารู้สึกตื่นเต้นวนติดตาม แต่หลังจากนั้นจนไปสู่บทสรุปในตอนท้าย?ลืมมันไปเถอะ!! เมื่อดูจบแล้วเกิดความรู้สึกหดหู่ หดหู่ในที่นี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับชะตาของตัวละครในเรื่อง แต่หดหู่กับวิธีการนำเสนอของหนังที่ทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างไปกับการสร้าง เสียงกรีดร้องและความน่าสะพรึงกลัวที่ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกว่านั่นคือความ บันเทิง! และเลือกที่จะละเลยองค์ประกอบดีๆ ที่สร้างขึ้นมาเอง ทั้งความสัมพันธ์ของตัวละครที่พอมีอะไรให้จับต้อง รายละเอียดที่สามารถเติมแต่งให้ได้กับสิ่งมีชีวิตปริศนาในโรงไฟฟ้าเชอร์โน บิล และสุดท้ายความลึกลับของตัวโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิลที่ถูกทิ้งร้างนั้น เบื้องหลังมีอะไรซุกซ่อนอยู่ ที่เมื่อจบแล้วพบแต่ความว่างเปล่าคงเหลือแต่คำถามที่ไม่ได้คำตอบเช่นเดียว กับสารกัมมันตรังสีที่ตกข้างอยู่ในโรงไฟฟ้า!

2.5/10
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5646 เมื่อ: 03/12/13, [13:53:16] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?


ถูกต้องครับ

How I Spent My Summer Vacation คนมหากาฬระอุ

การกลับมาอีกครั้งของนักแสดงรุ่นลายครามอย่างป๋าเมล กิ๊บสัน (Mel Gibson) นับว่าน่าสนใจ กับภาพยนตร์ที่เห็นตัวอย่างในทีแรกแล้วไม่รู้ว่าหนังต้องการนำเสนออะไร ถือว่า How I Spent My Summer Vacation มีหน้าหนังที่ไม่ดึงดูดเลยสักนิด แถมดูเป็นเกรดบีเมื่อเทียบกับชื่อชั้นของป๋าเมล แต่?เมื่อชมไปเรื่อยๆ กลับพบว่าหนังเรื่องนี้มีดีกว่าที่คิด!

How I Spent My Summer Vacation หรืออีกชื่อหนึ่งว่า Get the Gringo กำกับโดย? แอนเดรียน กรันเบิร์ก (Adrian Grunberg) ผู้กำกับกองสองของ Apocalypto (2006) ที่ได้รับโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำกับเต็มตัว นอกจากนี้ยังพัฒนาบทภาพยนตร์ร่วมกับป๋าเมล เริ่องราวของบุรุษนิรนาม? (เมล กิ๊บสัน) ที่ได้ปล้นเงินกว่า $2 ล้านดอลล่าร์ และถูกตามล่าจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอเมริกัน จนต้องหลบหนีข้ามไปยังประเทศเม็กซิโก แต่ก็ถูกตำรวจเม็กซิโกจับพร้อมเชิดเงินทั้งหมดไปและได้ถูกส่งตัวไปยังเรือนจำพิเศษชื่อดัง เอล ปัวบลิโต้ (El Pueblito) แต่เงินมหาศาลที่ได้มาไม่ชอบมักนำภัยมา เมื่อตำรวจ นักโทษผู้มีอิทธิในเรือนจำ เจ้าของเงินที่ถูกขโมยมา รวมถึงตัวของบุรุษนิรนามผู้ขโมย ต่างก็ต้องการเงินจำนวนนี้ การต่อสู้แย่งชิงที่มีชีวิตเป็นเดิมพันในเรือนจำจึงเริ่มขึ้น!

มนุษย์มีอิสรภาพโดยชอบธรรม แม้เขาคือผู้กระทำการผิดกฎหมาย เพราะอิสรภาพที่เขาได้รับ อาจทำให้เขากลับตัวมาเป็นคนดีของสังคมยามเมื่อพ้นผิด! หากเชื่อดังนั้น เอล ปัวบลิโต้ เรือนจำ? หรือ สถานกักกัน ในเม็กซิโก ก็คือสิ่งที่ตอบสนองต่อความเชื่อนี้ แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม เมื่ออำนาจของเงิน และสัญชาตญาณดิบของคน ได้นำความอิสระที่ได้รับมาสร้างอำนาจและชนชั้นปกครองที่เต็มไปด้วยอบายมุข ต่างๆ ในรูปแบบพิเศษเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด

กว่า 90 % ของ How I Spent My Summer Vacation เกิดขึ้นในสถานที่ที่กล่าวถึงในข้างต้น พระเอกหรือว่าผู้ร้าย? ของเรื่อง ถูกส่งตัวไปที่สถานกักกันนี้ การเป็นคนอเมริกันที่ติดคุกในเม็กซิโกหากไม่มีทักษะพิเศษเห็นทีจะถูกกดขี่จน ไม่ได้ผุดได้เกิด โชคดีที่ บุรุษนิรนามเป็นอดีตพลแม่นปืนที่มีทักษะการเอาตัวรอดสูง เราจึงสามารถเพลิดเพลินกับการตามติดชีวิตของเขาที่สามารถทำให้สถานกักกันกลายเป็นสวนสวนสนุกได้!

ป๋าเมล กิ๊บสัน แม้จะต้องทำหน้าที่ทั้งอำนวยการสร้างและร่วมเขียนบท แต่ก็ยังสามารถมอบบทบาทการแสดงที่ยอดเยี่ยม ทำให้อินไปกับเรื่องได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากนัก ส่วนหนึ่งเพราะเรื่องราวที่มีประเด็นให้ติดตามไปได้เรื่อยๆ การแย่งชิงเงินจำนวนมหาศาลที่ได้มาจากธุรกิจผิดกฎหมาย ของกลุ่มนักโทษผู้มีอิทธิพลใน เอล ปัวบลิโต้, ผู้รักษากฎหมายที่ไม่รักษากฎ, เจ้าของเงินที่ต้องการทวงคืน, พนักงานราชการโกงกิน ทั้งหมดช่วยขับเคลื่อนเรื่องราวให้ออกมาสนุก ลุ้นชวนติดตาม แม้ตัวละครที่เกี่ยวข้องจะมีมากมายแต่ตัดต่อมาได้ไม่สับสน ในส่วนของฉากแอ็กชั่นในเรื่องนับว่าทำได้มันส์สะใจถึงอารมณ์มาก ซึ่งฉากแอ็กชั่นสามารถรับใช้เรื่องราวได้อย่างดี ทำให้ตลอดการชมไม่มีช่วงน่าเบื่อเลย

หนังทำได้ดีในการวางปมเรื่องที่มีที่มาที่ไป และมีน้ำหนักพอให้เชื่อในการกระทำของตัวละคร ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่บทภาพยนตร์ที่ดีพึงมี และ How I Spent My Summer Vacation ก็เป็นเช่นนั้น นอกจากนี้การสร้างสถานการณ์การแย่งชิงเงินกันจนเป็นเรื่องราวใหญ่โต ที่ทำให้หน่วยงานของรัฐทนไม่ไม่ไหว ต้องให้ทหารเข้ามาทำลายวงจรอันเหลวแหลกที่เกิดจากแนวคิดในการสร้าง เอล ปัวบลิโต้ลง เป็นส่วนที่ยอดเยี่ยมที่สุดของหนังเรื่องนี้ ที่ผสานเรื่องราวเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์กับเหตุการณ์จำลองตามท้องเรื่องให้แนบเนียนเป็นเนื้อเดียวกัน นอกจากนี้ยังสอดแทรกอารมณ์ขันฉลาดๆ เข้ามาทำให้เรื่องราวไม่หนักจนเกินไป

มองอีกมุมหนึ่ง How I Spent My Summer Vacation นับเป็นหนังที่ฉายให้เห็นถึงความเสื่อมทรามของคน ที่เต็มไปด้วยความโลภ โกรธ หลง ต้องการอำนาจปกครองและกดขี่คนอื่น อันไม่มีจุดสิ้นสุด โดยใช้สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เช่น อาวุธ ยาเสพติด เงินตรา และความรุนแรง เป็นเครื่องมือในการนำพาตัวเองไปสู่สิ่งเหล่านั้น ผ่านสถานกักกันที่ชื่อ เอล ปัวบลิโต้

แม้ เอล ปัวบลิโต้ จะล่มสลายไปนานแล้ว สิ่งต่างๆ ที่อยู่ในเอล ปัวบลิโต้ น่าจะจบสิ้นลงไปด้วย แต่ไม่ใช่! เพราะสิ่งที่ร้ายโดยแท้คือ คนที่ทำกับคนด้วยกัน และคงไม่มีใครปฏิเสธว่าสถานการณ์แบบในเอล ปัวบลิโต้ ยังคงมีอยู่และไม่ได้จำกัดอาณาเขตเพียงไม่กี่ตารางเมตร แต่มันกินอาณาเขตเท่ากับโลกนี้ และมันยังคงเพิ่มขึ้นทุกวันตราบเท่าที่ความโลภ โกรธ หลง ของคนยังคงอยู่

How I Spent My Summer Vacation อาจเป็นงานที่ไม่สมบูรณ์มากนัก เพราะเรื่องราวบางส่วนในหนังไม่ได้คลี่คลาย โดยเฉพาะบุรุษนิรนามพระเอกของเรื่องที่จนจบแล้วเขาก็ยังคงเป็นปริศนาอยู่! แต่ก็นับว่าหนังเรื่องนี้เป็นการกลับมาด้วยความยอดเยี่ยมของเมล กิ๊บสัน ที่แม้เรื่องนี้จะดูแก่ลงไปมากแต่เรื่องนี้กับรู้สึกว่าป๋าแกหล่อขึ้นซะงั้น! รวมถึงผู้กำกับแอนเดรียน กรันเบิร์ก ที่ได้หนังเรื่องนี้เป็นใบเบิกทางชิ้นดีสู่งานกำกับภาพยนตร์เรื่องต่อไป!

8.5/10
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5647 เมื่อ: 03/12/13, [13:53:37] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?


ถูกต้องครับ

Art Idol อยากให้เธอรู้ว่ากูติสท์

พูดถึงไอดอล เราแต่ละคนก็คงมีใครสักคนเป็นไอดอล เป็นแบบอย่างที่เราชื่นชมและยอมรับ ความเป็นไอดอลอยู่ที่ความสามารถ, หน้าตา สิ่งพิเศษที่เขามี ซึ่งแตกต่างหรือโดดเด่นจากคนอื่น ส่วนจะมีใครเป็นไอดอลในด้านไหน ก็ขึ้นอยู่กับประสพการณ์-การเรียนรู้-สิ่งแวดล้อม ที่เราผ่าน เด็กวัยรุ่นบางคนอาจจะมีดาราหน้าตาดี ที่มีความสามารถทางด้านการร้องเพลงเป็นไอดอล ในขณะที่วัยรุ่นอีกคนอาจมีรุ่นพี่หัวไม้เป็นไอดอลก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเขาโตมากับอะไร

หนังเรื่องอาร์ทไอดอล อยากให้เธอรู้ว่ากูติสท์ เป็นผลงานเรื่องแรกในชื่อของ “โมโนพิคเจอร์” ค่ายหนังที่ปรับโฉมและนโยบายการผลิตใหม่ ภายใต้การดูแลของ ศิริ เหลืองสวัสดิ์ โดยที่จะเน้นงานของคนรุ่นใหม่ ไอเดียเจ๋ง และมีทีมที่คอยดูแลเรื่องบท และคุณภาพของหนัง อาร์ทไอดอลฯ เป็นผลงานที่เปิดโอกาสให้ผู้กำกับหน้าใหม่อย่าง อนิวรรต กรกำแหง, สาธิต แก้วรุ่ง และ เอกสิทธิ์ สมเพ็ชร ที่ทำงานทางด้านครีเอทีฟ และมีประสพการณ์ทำหนังสั้นกันมา ได้มาทำหนังเกี่ยวกับ เด็กหนุ่มที่มีอาร์ทติสท์เป็นไอดอล การฉายในโรง ภาพสีสันสด จอกว้าง 2.35:1 จอกว้างยาวสุด เหมาะดูในโรงใหญ่ ไม่มีซับไตเติ้ลภาษาอังกฤษ

อาร์ทไอดอล เป็นเรื่องเกี่ยวกับ “อาร์ท” (บอส-ชนกันต์) เด็กหนุ่มวัยรุ่นจบมอปลาย ที่ยังค้นไม่พบว่าตนเองอยากจะเป็นอะไร ลองทำอะไรสักอย่าง แป๊บๆก็ล้มเลิก แต่เมื่อพบว่า “หมี่” (หยก-ณัฐปภัสร์) สาวที่ตนเองประทับใจ กล่าวชื่นชมความเจ๋งของศิลปะ ก็รู้ทันทีว่าฉันจะเป็นอาร์ทติสท์เพื่อให้หมี่มองว่าตนเองเจ๋ง โดยที่มีเพื่อนสาวข้างบ้านอย่าง “ฝุ่น” (กิ๊ก-กรกมล) คอยล่องลอย เป็นกำลังใจอยู่ข้างหลังข้างข้างเสมอมา และเมื่ออาร์ทพบว่า การเป็นอาร์ทติสท์แบบ “พี่โม่” (เทพ-พงศ์เทพ) แห่งทรีเอ็ม (สามหนุ่ม โม่ ไม้ แม๊กซ์) มันช่างเจ๋งเสียนี่กระไร จึงขอเสนอตัวไปเป็นศิษย์ และเรียนรู้กับทีมศิลปะทรีเอ็ม อยู่กับความติสท์แตกของอาร์ทติสท์ แล้วอาร์ทก็ได้เติบโตขึ้นเป็นอาร์ทติสท์ฝีมือเยี่ยม เพียงแต่ปัญหาคืองานที่ออกมามันไม่อาจแสดงถึงตัวตน จึงทำให้เขาต้องทบทวนว่า ความเป็นตัวตนที่แท้จริงของตนคืออะไรกันแน่ เขาหลงลืมอะไรบางอย่างไป

หนังบรรจุแง่คิดที่เกี่ยวกับการค้นหาตัวตนและการถูกยอมรับ ผสมไปกับความสนุกมุขตลกสถานการณ์ โดยตัวชูโรงแห่งยุคอย่าง แอนนา ชวนชื่น ซึ่งเป็นอีกครั้งที่มุขสำเนียงจีนถูกใช้ซ้ำ (ยุคนี้มีพี่แกแทบทุกเรื่องเลยเนอะ) แต่ก็เป็นคำใหม่ๆ ที่ยังได้ขำกันใหม่ ยิ่งมาร่วมกับแร๊พเปอร์แห่งยุคอย่างฟักกลิ้ง ฮีโร่ ที่ได้โชว์ความสามารถในการแร๊พบทสนทนาออกมาได้ และฉากแฟนตาซีเพลงที่ออกจะดูเว่อร์อลังการของตัวละคร น่าเสียดายที่ฉากเพลงน่าจะมีขึ้นซับไทยบ้าง เพราะเสียงร้องของบางตัวละคร ใส่อารมณ์หรือเร็วซะจนฟังแทบไม่ออกว่าพูดอะไร แต่ก็นะ ใช่ว่าทุกคนจะชอบฉากที่ตัวละครอยู่ๆก็โดดขึ้นมาร้องเพลงในหนังไทย

ยังไม่หมด มีตัวละครที่สร้างสีสันอีกมาก ทั้งสาวใช้สุดเซ็กส์ซี่ชาวพม่า, ความบ้าสมาชิกแก็งค์ทรีเอ็ม และครอบครัวของพระเอก ส่วนความสดใหม่ของพระเอกนางเอกก็ทำให้เราเชื่อได้อยู่ว่า ยังเป็นวัยรุ่นที่ยังไม่ประสากับโลกจริงและพร้อมจะเติบโต อ่อ.. แอบเห็นผู้กำกับโผล่มาในหนังเรื่องนี้ด้วย ทั้งยังมีสัญลักษณ์ แฝงนัยยะลงไปให้คนดูได้สังเกตุและขบคิด รวมไปถึงงานศิลปะหลายชิ้นหลายประเภท ที่ได้ปรากฎอยู่ในหนัง แต่ก็อาจเป็นมุมลบได้ หากคนดูไม่รู้สึกอินกับเรื่องงานศิลปะ อาจจะไม่เก็ทว่าสิ่งที่พวกเขาชื่นชมอยู่ มันเจ๋งตรงไหน มันมีโลกแบบนี้อยู่จริงหรือ

วามต้องการสูงสุดอย่างหนึ่งของมนุษย์คือ การต้องการการยอมรับจากผู้อื่น อาร์ทเห็นว่าการเป็นอาร์ทติสท์จะทำให้เขาได้มาซึ่งการยอมรับ? ถ้าเปรียบกับคนวัยทำงาน เราต่างก็ค้นหาหนทางก้าวสู่ตำแหน่งและอำนาจ เพื่อต้องการการยอมรับ เราทำทุกวิถีทาง ฝืนทำอะไรก็ได้เพื่อความสำเร็จนั้น แต่เมื่อส่องกระจกดูตัวเราอีกที กลับไม่ใช่ตัวเราที่รู้จักอีกต่อไป เรากลายเป็นคนอื่นไปแล้ว ในโลกที่ความสำเร็จคือจุดสุดยอด และวิธีไหนก็ได้เพื่อที่หนึ่ง บางครั้งบางทีเราก็เชื่อมั่นในบางสิ่งอยู่ แต่เสียงข้างนอกที่มากระทบใจเรา มันทำให้สูญเสียความเชื่อมั่นนั้นไป และเราก็กลายเป็นคนธรรมดา ที่ใช้วิธี-วิถีเหมือนใครๆ น่าเสียดาย หากเราไขว่คว้าการยอมรับจากผู้อื่น แต่กลับลืมว่าครอบครัวและคนใกล้ชิดเราเองนี่แหละ ที่พร้อมจะยอมรับในตัวเราอยู่เสมอ

การเป็นไอดอลมีราคาที่ต้องจ่าย ไอดอลจ่ายอะไรออกไปมากมาย ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์, ความสามารถ, ความเป็นส่วนตัว, การรักษาภาพลักษณ์, วิญญาณ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือ ชื่อเสียง, การยอมรับ และเงินทอง ไม่ว่าจะเป็นไอดอลหรือคนธรรมดา ก็จงอยู่อย่างมีชีวิตที่แท้จริง

ตัวละครหนึ่งในหนังกล่าวว่า ศิลปะคือ ความจริงใจที่จะสื่อสารความรู้สึกของเราให้คนอื่นรับรู้ และหนังเรื่องนี้ก็คือศิลปะในแบบของผู้กำกับเรื่องนี้ครับ

 8 /10
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5648 เมื่อ: 03/12/13, [13:56:43] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?


ถูกต้องครับ

moonrise kingdom คู่กิ๊กซ่าส์ สารพัดแสบ

เป็นหนังที่ตั้งตารออย่างใจจดใจจ่อ ตั้งแต่ที่รู้ว่าเป็นหนังเปิดเทศกาลหนังเมืองคานส์ครั้งล่าสุด กับ Moonrise Kingdom หนังแนวแฟนตาซีกลับหัว ที่ค่าย เอ็ม พิคเจอร์ส ใจดี ซื้อหนังเรื่องนี้ของผู้กำกับ เวส แอนเดอร์สัน มาให้เราชมกันแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เข้าฉายเฉพาะในโรงภาพยนตร์เครือ Apex สยามสแควร์

ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่เกิดขึ้นบนเกาะนอกชายฝั่งนิวอิงค์แลนด์ในฤดูร้อนปี 1965 บอกเล่าเรื่องราวของเด็กอายุ 12 ขวบสองคนที่ตกหลุมรักกัน ทั้งคู่แอบทำสัญญาลับด้วยกันและได้หนีตามกันไปอยู่ในป่า ขณะที่เจ้าหน้าที่หลายฝ่ายพยายามตามหาตัวพวกเขา พายุรุนแรงก็พัดเข้าโจมตีชายฝั่ง และทุกอย่างในเกาะที่สงบสุขแห่งนี้ก็เปลี่ยนแปลงไป บรูซ วิลลิสรับบทผู้กองชาร์ป นายอำเภอท้องถิ่น เอ็ดเวิร์ด นอร์ตันรับบท วอร์ด หัวหน้ากลุ่มลูกเสือกากี บิล เมอร์เรย์และฟรานซิส แม็คดอร์มานด์รับบท มิสเตอร์และมิสซิสบิช็อปพ่อแม่ของเด็กผู้หญิง ทีมนักแสดงของเรื่องนี้ยังรวมถึงทิลดา สวินตัน, เจสัน ชวอร์ทซ์แมนและบ็อบ บาลาบัน

Moonrise Kingdom เป็นหนังของผู้กำกับสุดโก๋อย่าง เวส แอนเดอร์สัน จากอนิเมชั่น สต๊อป โมชั่น อย่าง Fantastic Mr.Fox และหนังดราม่า อินดี้ เรื่อง The Darjeeling Limited ที่เพิ่งเป็นหนังเรื่องแรกของ เวส แอนเดอร์สัน ที่ได้หลุดรอดมาฉายในบ้านเรา หลังจากที่เขากำกับหนังมาแล้วถึง 7 เรื่อง (ไม่รวมหนังสั้น) ก็ไม่ได้มีเรื่องไหนที่หลุดรอดเข้ามาฉายบ้านเราได้เลยแม้แต่เรื่องเดียว โดยถ้าหากผมบอกว่า Moonrise Kingdom เป็นหนังที่สร้างมาเพื่อคนดูเฉพาะกลุ่มก็คงไม่แปลก เพราะว่าถ้าหากให้มองในมุมมองของผม Moonrise Kingdom ถือว่าเป็นหนังที่เหมาะกับผู้ชมที่เคยดูหนังของผู้กำกับ เวส แอนเดอร์สัน มาก่อนแล้วอย่างน้อย 3-4 เรื่อง เพื่อให้รู้แนวทางในการนำเสนอสุดโก๋ของผู้กำกับ เพราะถ้าหากคุณไม่เคยดูมาก่อนก็อาจจะอุทานออกมาได้ว่า ‘นี้มันหนังอะไรวะเนี่ย’

เพราะว่าสิ่งที่ยังคงโดดเด่นในหนังของ เวส แอนเดอร์สัน แทบทุกเรื่อง และรวมไปถึง Moonrise Kingdom ด้วย ก็คงหนีไม่พ้นด้านของงานการกำกับ และ แก่นเนื้อหา ที่หนังจะพยายามสื่อสารให้กับคนดู ที่ออกมาในสไตล์แบบ เรียบง่าย , สบายๆ แถมยังออกแนวชิวๆไม่ซีเรียส แต่เนื้อในของหนังนั้นกลับแฝงไปด้วยสาระ และ ปัญหา ให้คิดอยู่เสมอแทบทั้งเรื่อง แต่สิ่งที่ Moonrise Kingdom สามารถทำออกมาได้พิเศษกว่าหนังเรื่องอื่นของ เวส แอนเดอร์สัน ก็คงหนีไม่พ้นการที่ผู้กำกับยังได้ใส่อารมณ์ขันแนวกวนๆปนความเป็นตลกร้าย และความเป็นหนังแนวแฟนตาซีกลับหัวเข้ามา เพื่อให้คนดูเข้าถึงได้ไม่อยากเกินไปอีกด้วย

โดยหลังจากอนิเมชั่นเรื่อง Fantastic Mr.Fox ได้มีเรื่องราวการเสียดสีเกี่ยวครอบครัว และ ความเป็นมนุษย์นิดๆหน่อยๆ สำหรับ Moonrise Kingdom ก็จะเป็นหนังที่ออกมาในแนวเสียดสีเรื่องราวเกี่ยวกับ เด็กใจแตกเพราะสังคม การเลี้ยงดู ผ่านตัวละครเด็กที่ไม่มีใครคบทั้ง 2 คนมาเจอกัน พร้อมทั้งยังผสมไปกับเรื่องราวเกี่ยวกับการที่หนังพยายามจะบอกว่า ไม่ว่าเราจะเรียน หรือว่าฝึกซ้อมมามากแค่ไหน แต่ถ้าหากเราไม่ลองมาเผชิญกับของจริงดู สิ่งที่เราเรียนมาทั้งหมดก็จะไม่เกิดประโยชน์ เฉกเช่นกับการผจญภัยของเด็ก 2 คนนี้ ที่คนนึงเป็นลูกเสือเก่งกาจ ส่วนอีกคนเป็นหญิงสาวรักการผจญภัย ที่เมื่อพวกเขาได้มาลองผจญภัยแบบจริงๆดูก็กลับพบว่า ถึงแม้ว่าเราจะเรียนในตำรามาให้ร้อยปี ร้อยชาติ ก็ยังไม่ได้ความรู้เท่ากับการมาเผชิญกับการที่เราลงมือทำจริงๆเลยสักนิดเดียว

ซึ่งสิ่งที่สามารถทำให้ Moonrise Kingdom โดดเด่นได้ไม่แพ้กันคงหนีไม่พ้นด้านของ เพลงประกอบ ที่เลือกใช้อารมณ์ความเป็นสไตล์ เวส แอนเดอร์สัน ได้อย่างสุดโต่ง พร้อมทั้งนักแสดงรับเชิญมากมายในหนังเรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็น เอ็ดเวิร์ด นอร์ตัน ในบทหัวหน้าหมู่ , บรูซ วิลลิส ในบทของ ตำรวจเกาะ , ทิลด้า สวินตัน ในบทของ นักประชาสงเคราะห์ หรือแม้แต่ขาประจำของหนังเวส แอนเดอร์สัน อย่าง บิล เมอร์เร่ ในบทของคุณพ่อที่ไม่เคยสนใจลูกสาว ก็ต่างเป็นอีกเครื่องเทศนึงที่สามารถปรุงแต่งรสให้ Moonrise Kingdom ออกมากลายเป็นอาหารธรรมดาๆจานนึง ที่แฝงไปด้วยความอร่อยอย่างน่าเหลือเชื่อเลยก็ว่าได้

และโดยสรุปแล้วสำหรับผม Moonrise Kingdom จึงกลายเป็นหนังแนวแฟนตาซีกลับหัวของผู้กำกับ เวส แอนเดอร์สัน ที่ถือว่าทำออกมาได้ดีตามมาตรฐานของผกก.ด้วยการเล่าเรื่องแบบสบายๆ แต่แฝงไปด้วยประเด็นมากมายให้ขบคิด แต่ถ้าหากใครที่ไม่เคยดูหนังของผู้กำกับคนนี้มาก่อน ความชอบอาจจะลดลงก็ได้

9/10
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5649 เมื่อ: 03/12/13, [13:57:03] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?


ถูกต้องครับ

red dog เพื่อนซี้หัวใจหยุดโลก

โดยส่วนตัวผมเป็นคนที่ค่อนข้างรักหมา และชอบสัตว์มากพอสมควร และหลังจากเมื่อ 2-3 ปีที่แล้วเคยมีหนังแนวหมารักเจ้าของที่สะกิดใจผมมากนั่นคือ Hachi และผมก็หวังจะได้ความรู้สึกเศร้าๆแบบนั่นอีกครั้งจากหนังออสเตรเลียที่สร้างมาจากเรื่องจริงเช่นเดียวกับเรื่องดังกล่าวอย่าง Red Dog หรือในนาม ไอ้แดง

เรื่องของเจ้าขนแดง เริ่มต้นขึ้นในเหมืองแร่ คนงานทุกคนรู้จักมันเป็นอย่างดี แต่ก็ไม่ทราบว่ามันเป็นหมาของใคร หรือมาจากไหน ความเป็นมาของเจ้าขนแดง ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก มันอาศัยอยู่กับหนุ่มอเมริกันที่ชื่อ จอห์น (จอช ลูคัส) ซึ่งทำงานเป็นคนขับรถเมล์ เขาเลี้ยงดูมันอย่างดี กระทั่งวันหนึ่ง เขาทิ้งมันไว้ที่บ้าน และสัญญากับมันว่า เขาจะออกไปทำธุระสำคัญก่อนจะกลับมารับมันรอแล้วรอเล่า เจ้าขนแดงก็ไม่เห็นวี่แววของเจ้าของผู้เป็นที่รัก มันจึงออกตามหาเขา อย่างไม่สนใจระยะทางหรือระยะเวลา Red Dog เป็นหนังที่ได้รับความนิยมมากทีเดียวในออสเตรเลีย เข้าชิง 8 รางวัลจากสถาบันภาพยนตร์ออสเตรเลียเลยทีเดียว

Red Dog เป็นผลงานการกำกับของผู้กำกับชาวออสเตรเลียอย่าง คริฟท์ สแตนเดอร์ ที่หลังจากไปจับงานหนังดราม่าแนวตะลุยกวาดรางวัลของออสเตรเลียอยู่นาน ในปีนี่เขาจึงเปลี่ยนแนวมาเป็นการหยิบเรื่องราวสุดประทับใจที่เกิดขึ้นจริงใน ออสเตรเลีย ที่คนไหนที่เกิดในออสเตรเลียคงไม่มีใครไม่รู้จักกับ เจ้าหมาขนแดง ที่ทำให้ Red Dog กลายเป็นหนังที่ทำเงินสูงสุดในปี 2011 ของออสเตรเลีย ที่ทำเงินไปถึง 21 ล้านเหรียญ แถมยังตะลุยกวาดรางวัลความประทับใจอีกมากมายในบ้านเกิด ซึ่งถ้าหากใครที่เคยดู Hachi มาก่อน และได้มาดู Red Dog ก็คงไม่แปลกถ้าหากคุณจะได้กลิ่นความเหมือนระหว่าง Red Dog และ Hachi เพียงแต่ว่าในหนัง Red Dog ผู้กำกับ คริฟท์ สแตนเดอร์ ไม่ได้อยากให้คนดูรู้สึกเครียด หรือ ง่วงมากเกินไป ผู้กำกับจึงได้ใส่มุกตลกเข้ามากมาย

และมุกตลกเหล่านั้นเอง ก็ถือว่าเป็น ดาบสองคม ของตัวหนังที่มีทั้งข้อดี และ ข้อเสีย มากมาย โดยข้อดีของการที่ผู้กำกับได้ใส่มุกตลกแนวน่ารักๆ ที่สามารถขำได้ทุกวัยเข้ามานั่นคือ มันเป็นสิ่งที่สามารถทำให้คนดูไม่รู้สึกเบื่อ แถมหนำซ้ำยังสามารถทำให้คนดูรู้สึกหลงรัก เจ้าหมาขนแดง จากความน่ารักของมุกตลกๆน่ารักทั้งหลายได้ค่อนข้างดีอีกด้วย และนักแสดงสมทบของหนังมากมายไม่ว่าจะเป็น โนอาร์ เทเลอร์ , ลุค ฟอร์ด หรือแม้แต่ เรเชล เทเลอร์ ก็ถือว่ารับส่งบทความประทับใจที่มีต่อเจ้าหมาแดงได้ค่อนข้างดี และคนดูสามารถสัมผัสถึงการรับส่งบทน่ารักๆนี่ได้ไม่ยาก แถมเจ้าหมาแดงของเรื่องก็มีความสามารถพอตัวเลยหละ

แต่ว่าสำหรับใครที่ต้องการมาดู Red Dog เพื่อหวังที่จะให้หนังกอบโกยน้ำตาแตกจากเราไปได้แบบ Hachi ก็ต้องขอบอกว่า น่าจะผิดหวัง อยู่พอสมควร เพราะว่าข้อเสียจากการที่หนังใส่มุกตลกที่ทำให้คนดูไม่เครียดอย่างแรกเลยนั่นคือ ฉากการเรียกน้ำตาของหนัง มันจึงดูแล้วไม่ค่อยมีน้ำหนักในการเรียกน้ำตาของหนังมากนัก เพราะในฉากเรียกน้ำตาส่วนใหญ่ของหนัง หนังเล่นใส่เสียงดนตรีประกอบเข้ามาค่อนข้างเบา และเน้นที่จะให้คนดูเศร้าเพราะให้คนดูรู้สึกว่ามีความผูกพันธ์กับตัวละครอย่าง จอห์น และ หมาแดง มาก ทั้งที่จริงผู้กำกับไม่รู้เลยว่า มุกตลก ทั้งหลายที่เขาใส่เข้ามานั่นแหละมันกลับกลายเป็นสิ่งที่ฆ่าฉากการเรียกน้ำตาเสียเอง เพราะมุกตลกส่วนใหญ่จะเน้นขายแต่ ความเกรียน และ ความฮา ของคนและหมา โดยที่ขาดแคลนฉากความประทับใจระหว่างคนกับหมาไปมาก

ต่างจากหนังแนวหมาเรียกน้ำตาอีกเรื่องอย่าง Hachi ที่เล่นใส่แต่ฉากความประทับใจระหว่าง เจ้าของ และ สุนัข ที่เมื่อถึงฉากย้อนความทรงจำที่หนังพยายามบิวท์ให้คนดูน้ำตาแตก ใน Hachi มันจึงทำสำเร็จ แต่ใน Red Dog มันต่างกันค่อนข้างมากนะ

แต่โดยรวมสำหรับใครที่ช่วงนี้ต้องการหาหนังแนวน่ารักๆ คลายเครียดๆ ผมว่า Red Dog ก็น่าจะเป็นหนังที่เหมาะกับคุณ แต่ถ้าหากใครต้องการดู Red Dog เพื่อหวังจะต่อมน้ำตาแตกแบบ Hachi ก็คงต้องผิดหวังกันไปมากๆ เพราะมันกลับไม่ใช่อย่างนั้นเลยสักนิด Red Dog เข้าฉายแล้วเฉพาะ House RCA เท่านั้น

เรื่องนี้ผมให้ 8/10 ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5650 เมื่อ: 03/12/13, [13:57:10] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?


ถูกต้องครับ

you instead รักแล้วร็อคเลย

ที่จริงในวันนี้ก็กะจะไปดูแค่หนังจากออสเตรเลียอย่าง Red Dog เรื่องเดียว แต่เนื่องด้วยค่าเดินทางอันแสนแพงกว่าจะได้ไปเยือนโรงหนัง เฮ้าส์ อาร์ซีเอ จึงช่วยไม่ได้ที่จะต้องขอจัดอีกเรื่องเพื่อที่จะให้คุ้มกับค่ารถ และเรื่องนั้นก็คือหนังแนวโรแมนติค มิวสิเคิล จากเกาะอังกฤษอย่าง You Instead ที่ฉายเฉพาะที่เฮ้าส์

ในงานคอนเสิร์ต ที อิน เดอะ พาร์ก (อีเวนต์ทางดนตรีที่จัดเป็นประจำทุกปีในสก๊อตแลนด์ แหล่งรวมของเด็กแนวจากทั่วหมู่เกาะอังกฤษ และนักดนตรีชั้นแนวหน้า) นักดนตรีร็อคหนุ่มชื่อ อดัม (ลูค เทรดอะเวย์) เจอเรื่องซวยๆ อย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อเขาต้องโดนจับใส่กุญแจมือคู่กับ โมเรลโล่ (นาตาลี ทีน่า) นักร้องหญิงสุดเหวี่ยงที่มางานนี้ ไม่มีใครหากุญแจไขพันธนาการนี้ออกได้ หนุ่มสาวคู่นี้จึงต้องเดินมือติดกันเป็นเวลา 1 วันเต็ม เพื่อรอเวลาขึ้นเวที ตลอด 24 ชั่วโมงนั้น พวกเขาทะเลาะกัน ทำความรู้จักกัน ทะเลาะกันอีกรอบ เมาด้วยกัน ตระเวนดูดนตรีในเวทีต่างๆ ด้วยกัน งอนกัน และรักกัน และอีกหลากเหตุการณ์ที่จะเกิด

You Instead หรือในอีกหลายๆชื่อที่ใช้ในแต่ละประเทศทั่วโลกไม่ว่าจะเป็น Tonight You’re Mine และ Rock ‘n’ Love เป็นผลงานการกำกับของผู้กำกับชาวอังกฤษอย่าง เดวิด แม็คเคนซี่ จาก Young Adam และหนังสยองขวัญอย่าง Asylum ที่มาในคราวนี้เขาได้ลองหยิบจับผลงานหนังแนว โรแมนติค มิวสิเคิล เป็นเรื่องแรก โดยเลือกที่จะใช้ฉากหลังเป็นเทศกาลดนตรีที่ยิ่งใหญ่ใน สก๊อตแลนด์ อย่าง T in the Park ที่หนังเรื่องนี้ได้ใช้เวลาถ่ายทำทั้งเรื่องไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ และเหตุการณ์ทั้งหมดก็จะเกิดอยู่แต่ในเทศกาลดนตรี T in The Park นี่แหละ แต่ที่เห็นว่าหนังใช้เวลาถ่ายทำเพียงแค่ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ ก็อย่าเพิ่งตีโพยตีพายไปว่าหนังทำออกมาชุ่ยๆ มาหลอกขายคนดู หรืออะไร เพราะความเห็นส่วนตัวผม ตัวหนังมันยังถือว่าดูเพลินๆกว่าหนังตั้งใจทำหลายๆของฮอลลีวู้ดอีกนะ

และสิ่งที่สามารถชูโรง ให้คนดูพ้นจาการจับผิดบทแย่ๆ และ เนื้อเรื่องที่มีช่องโหว่เต็มไปหมดใน You Instead คงหนีไม่พ้นการที่ผู้กำกับ เดวิด แม็คเคนซี่ ได้เลือกใช้ฉากหลังเป็นเทศกาลคอนเสิร์ตอย่าง T in The Park และเทศกาลคอนเสิร์ตนั่นแหละ ที่เป็นสิ่งที่ เดวิด แม็คเคนซี่ สามารถเลือกถ่ายทอดออกมาในหนัง ผสมไปกับการเล่าเนื้อเรื่องได้ค่อนข้างโอเคเลยทีเดียว และถ้าหากผมพูดว่า You Instead จะเป็นสารคดีที่พาคนดูทัวร์ชมเทศกาล T in The Park ก็คงไม่ผิด เพราะเนื้อเรื่อง 40% ส่วนใหญ่ของหนังจะเน้นไปที่การถ่ายทอด ความรู้สึกของคนที่ไปเที่ยวงาน T in the Park สลับไปกับการถ่ายคอนเสิร์ตที่เกิดขึ้นจริง

ซึ่งนักร้องที่ได้ติดกล้องมาสร้างความสนุกกับคนดูก็มีอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็น อัล กรีน , เคลวิน แฮร์ริส หรือแม้แต่ พาโลมา เฟทท์ และผสมไปด้วยเพลงประกอบอีกมากมาย โดยที่เด็ดสุดคงหนีไม่พ้นเพลง You Instead ที่ขับร้องโดย ลุค เทรดอะเวย์ จากวง The Make ในหนังนั้นเอง โดยถ้าหากผมจะจัดหนังเรื่อง You Instead ให้อยู่กับกลุ่มเดียวกับหนังจำพวก Coyote Ugly และหนังมิวสิเคิลอีกหลายๆเรื่องคงไม่ผิด เพราะความเห็นส่วนตัวของผมเลยนั้นคือ You Instead ถือว่าเป็นหนังห่วยที่ดูค่อนข้างสนุก โดยเฉพาะคนรักเสียงดนตรี และ ชอบฟังดนตรีจากฝั่งของอังกฤษ คงจะถูกใจตัวหนังไปมากกว่าผมถึง 2 เท่า

แต่ถ้าหากว่าคุณไม่ใช่แฟนเพลงอังกฤษ และหวังที่จะดู You Instead เพื่อความโรแมนติค ผสมเข้ากับความเป็นมิวสิเคิลได้ดีก็ต้องค่อนข้างผิดหวัง เพราะอย่างที่บอกว่ามันเป็นหนังห่วยที่ดูสนุก เพราะฉะนั้น You Instead มันจึงเป็นหนังที่เต็มไปด้วยช่องโหว่ของบท เริ่มตั้งแต่การที่ 2 นักร้องได้ถูกล๊อคข้อมือเข้าด้วยกัน แต่ไม่สามารถหาคีมตัดเหล็กภายในงาน หรือว่าสิ่งของที่สามารถตัดเหล็กได้เลย ซึ่งมันเป็นเหตุผลที่ค่อนข้างไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไหร่นัก แถมการที่หนังเริ่มเข้าตัวบทตั้งแต่ 3 นาทีแรกถือว่าเป็นความคิดที่ผิดพอสมควร เพราะอีก 77 นาทีที่เหลือของหนัง มันกลับเต็มไปด้วยตัวบทที่เหมือนจะดำเนินทางไปไม่ค่อยถูก จึงวนเวียนอยู่แค่การตามหาคีมตัดเหล็ก และการที่หนังพยายามยัดเยียดประเด็นการเข้าใจกันของ 2 นักร้องที่ไม่ค่อยลงตัวเท่านั้นเองครับ

แต่โดยรวมแล้ว You Instead ถือว่าเป็นหนังแนวโรแมนติค มิวสิเคิล ที่ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเป็น สารคดีที่พาทัวร์ชมเทศกาลคอนเสิร์ต T in the Park ที่ถือว่าทำออกมาได้เพลินๆเพราะเสียงดนตรี และ ความน่ารักของนักแสดง ถึงแม้ว่าตัวหนังจะมี ช่องโหว่ และ ความไม่สมเหตุสมผลของบทอยู่มากพอสมควร

เรื่องนี้ผมให้ 7/10 ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5651 เมื่อ: 03/12/13, [13:57:27] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?


ถูกต้องครับ

อันธพาล

ในยุคสมัยหนึ่งของไทย ที่อำนาจของกฎหมายยังไม่ครอบคลุมและผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ยังมีไม่ มากนัก การดำเนินธุรกิจผิดกฎหมายสามารถทำเงินให้อย่างมหาศาล แต่ก็เสี่ยงต่อการโกงและการตรวจสอบของภาครัฐ และในเมื่อเป็นเรื่องของผลประโยชน์กลุ่มผู้มีอิทธิพลจึงจำเป็นต้องพึ่งเหล่า นักเลงหรือที่เรียกว่า ?นักเลง? ในการดูแลและควบคุมให้อยู่ในระเบียบ นอกจากนี้ยังถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการทะเลาะวิวาทระหว่างกลุ่มผู้มี อิทธิพลด้วยกัน อันเต็มไปด้วยความรุนแรงและเล่นกันถึงชีวิต! เรื่อง อันธพาล ก็เป็นภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวเส้นทางที่น่าพิศมัยของลูกผู้ชายแต่เต็มไปด้วยอันตรายนี้!

อันธพาล กำกับโดย ก้องเกียรติ โขมศิริ ที่เคยสร้างชื่อกับผลงานชั้นดีอย่าง เฉือน (2552) และ ไชยา (2550) ?เล่าเรื่องราวของยุคสมัยที่อันธพาลมีเกลื่อนในสังคมไทยที่มี แดง (สมชาย เข็มกลัด) และ จ๊อด (กฤษดา สุโกศล แคลปป์) เป็นอันธพาลหัวแถว และเป็นแรงบันดาลใจให้ ธง (สาครินทร์ สุธรรมสมัย) และ เปี๊ยก ( กฤษฎา สุภาพพร้อม) สองเพื่อนซี้ที่ฝันว่าสักวันจะต้องเป็นอันธพาลที่มีชื่อเสียงเหมือนแดงกับ จ๊อดให้ได้ แต่แล้วเมื่อการกวาดล้างเหล่านักเลงของรัฐบาลได้เริ่มขึ้น พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่ายุคอันธพาลนั้นสิ้นสุดลงแล้ว!

คำถามที่ผุดขึ้นมาในหัวเมื่อเรื่องราวดำเนินไปได้สักระยะก็คือ หนังต้องการเล่าเรื่องในรูปแบบไหน? เมื่อมันไม่ได้เดินตามขนบการเล่าเรื่องแบบปกติ เนื่องจากมีส่วนของผสมของการเล่าเรื่องแบบสารคดีลงไป นอกจากนี้ยังมีบุคคลที่ผ่านยุคสมัยนั้นมาบอกเล่าเรื่องราวเสริมความน่าเชื่อ ถือให้กับหนังอยู่เป็นระยะ แต่หนังก็มีการเล่าเรื่องที่สะท้อนมุมมองของตัวละคร ซึ่งนั่นทำให้ อันธพาล กลายเป็นหนังลูกผสม! เมื่อมองจากมุมนี้ก็พอจะมองข้ามในการวางเรื่องที่โดดไปโดยมาไปได้ หากให้สรุป อันธพาล ก็คือหนังกึ่งสารคดีที่ถ่ายทอดเรื่องราวของยุคสมัยที่อันธพาลรุ่งเรืองโดย เน้นไปที่ตัวละครนักเลงรุ่นเก๋าจ็อดและนักเลงหน้าใหม่เปี๊ยก

การเลือกถ่ายทอดหนังแบบลูกผสมนั้นน่าสนใจหากนำเสนอออกมาได้อย่างลงตัวแต่ นั่นไม่ใช่งานที่ง่ายเลย หนังมีหลายประเด็นให้เล่าเยอะเกิน ทั้งเรื่องผลประโยชน์ของธุรกิจ ความบาดหมางในกลุ่มนักเลง เหตุการณ์ล้างบางนักเลงครั้งใหญ่ แม้กระทั่งเรื่องของความรัก ทำให้หนังโดยรวมขาดเอกภาพในการนำเสนอ ส่งผลให้ผู้ชมขาดอารมณ์ร่วมที่มีต่อหนัง

แต่ไม่ได้หมายความว่านั่นคือข้อเสียของหนัง ผมกลับมองว่ามันทำให้เราได้เห็นเรื่องในภาพกว้างและเข้าใจความคิดความอ่าน ของคนในยุคสมัยก่อนว่าทำไมเขาถึงต้องแลกกันด้วยเลือดเนื้อ แต่ยังไงมันก็ยังน่าเสียดายกับตัวละครบางตัวที่ปูมาอย่างน่าสนใจและจำเป็น ต้องปิดเรื่องราวของตัวละครนั้นลง เพื่อเดินตามเส้นทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะตัวละครเด่นอย่าง แดง ไบเล่, ปุ๊ ระเบิดขวด, ดำ เอสโซ่ ที่น่าจะคงตัวละครเหล่านี้ไว้อีกสักระยะเพื่อขยายมิติเรื่องราวให้เข้มขึ้น มากขึ้น

ฉากหลัง เครื่องแต่งกาย ก็เป็นจุดที่น่าชื่นชม ที่ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศของเรื่อง ให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในยุคนั้นจริงๆ แต่มีจุดให้ติตรงฉากที่ใช้เทคนิคพิเศษที่ดูลอยๆ ไม่ค่อยเนียน แต่กับฉากแอ็คชั่น อันธพาล สามารถนำเสนอออกมาได้น่าติดตาม ดิบเถื่อน เผยให้เห็นภาพความโหดร้ายของยุคสมัยแบบไม่ปิดบัง ถึงแม้จะเต็มไปด้วยความรุนแรงแต่ก็มีกฎเกณฑ์บางอย่างที่พวกเขายึดถือพอที่จะ เรียกได้ว่ามันเป็นวิถีของลูกผู้ชาย ซึ่งแตกต่างจากยุคนี้โดยสิ้นเชิง! ดังที่หนังได้ให้ความหมายของคำว่า ?นักเลง? และ ?กุ๊ย? ว่ามันต่างกันอย่างไร!

การแสดงของนักแสดงในเรื่องทุกคนต่างทำหน้าที่ได้ดี ซึ่งจุดนี้คงต้องให้เครดิตกับฝ่ายแคสติ้งที่เลือกนักแสดงแต่ละคนมาสวมบทบาท ได้อย่างลงตัว สมชาย เข็มกลัด ในบทแดง ก็ดูเข้มดีและมีความเป็นผู้นำสมกับเป็นหัวหน้า พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง ในบทเฮียเซ้ง ที่มีบทบาทในแค่ช่วงต้นเท่านั้น แต่ก็เป็นบทที่ช่วยส่งให้เห็นถึงบุคลิกลักษณะของคนในวงการนักเลงได้เป็น อย่างดี โอวตี่ ที่รับบทโดย ภคชนก์ โวอ่อนศรี แสดงบทร้ายมิติเดียวได้ยอดเยี่ยม เช่นเดียวกับ สาครินทร์ สุธรรมสมัย และ กฤษฎา สุภาพพร้อม ที่รับบทเพื่อนซี้ธงและเปี๊ยกที่สุดท้ายต้องมาห่ำหั่นกันเองดีเช่นกัน แต่ที่ถือเป็นสุดยอดของเรื่องนี้คงต้องยกให้กับ กฤษดา สุโกศล แคลปป์ ที่ดูเท่มากๆ ในบทจ็อด ที่เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ทั้งยังมอบการแสดงที่ชวนติดตามไปได้ตลอด คาดหมายได้เลยว่าชื่อของ กฤษดา สุโกศล แคลปป์ จะเป็นที่กล่าวถึงบนเวทีแจกรางวัลของไทยในสาขานำชายยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน

หากความหมายของคำว่า ?นักเลง? คือ คำว่า ?ครอบครัว? แล้วละก็? เรื่องราวในอันธพาลก็คือเรื่องราวของครอบครัวที่แตกร้าวและล่มสลาย! ชีวิตของอันธพาลแม้จะได้รับการนับหน้าถือตาจากคนทั่วไปและชื่อเสียงอันโด่ง ดังที่ใครก็ต้องกลัว แต่นั่นก็เป็นสิ่งจอมปลอมที่อยู่ได้เพียงเวลาไม่นาน อีกทั้งเป็นวงจรที่ใครเข้าไปแล้วจะถอนตัวก็เป็นไปได้ยาก เช่นเดียวกับจ๊อดที่หวังจะวางมือแต่ก็ถูกสถานการณ์ต่างๆ รุมเร้าจนมิอาจลามือ แม้สุดท้ายหนังจะไม่ได้บอกว่าปลายทางวิถีนักเลงของจ๊อดเป็นอย่างไร แต่คนดูก็คงจะทราบดีจากตัวอย่างของคนอื่นๆ

อันธพาล เป็นหนังไทยอีกเรื่องหนึ่งที่มีความไม่ลงตัวในหลายส่วน แต่ความดีของมันก็มีเยอะเกินกว่าจะมองว่ามันเป็นผลงานที่เลว อย่างน้อยหนังก็เป็นตัวสะท้อนบางอย่างให้คนในสังคมได้รู้ว่า เหตุการณ์และเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นใน อันธพาล ปัจจุบันนี้มันก็ยังคงมีอยู่ไม่ได้หายไปไหน!!

6/10
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5652 เมื่อ: 03/12/13, [13:57:44] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?


ถูกต้องครับ

snow white & the huntsman สโนว์ไวท์ & พรานป่า ในศึกมหัศจรรย์

เป็นหนังที่นำเอาการ์ตูนคลาสสิคอย่าง สโนว์ไวท์ มาดัดแปลงเป็นเรื่องที่ 2 ของปี (เรื่องแรกคือ Mirror Mirror ที่เป้นสโนว์ไวท์แนวแฟนตาซี) โดยใน Snow White & The Huntsman จะเป็นสโนว์ไวท์เวอร์ชั่นดาร์ท แฟนตาซี ผสมความเป็นแอ็คชั่นเข้าไป ซึ่งตัวหนังจะเหมาะกับคอแอ็คชั่นหรือไม่ ไปอ่านเลยครับ

นางเอกสาวสุดฮอต คริสเตน สจ๊วต (จาก ทไวไลท์) มานำแสดง ดัดแปลงนิยายที่ทั่วโลกรู้จักดี มาเป็นเรื่องราวที่สนุกสนานเข้มข้นขึ้น สโนไวท์ สาวน้อยที่กระจกวิเศษบอกว่าเธอสวยกว่า ราชินีแห่งความชั่วร้าย (แสดงโดย ชาร์ลิซ เธอรอน ดารายอดฝีมือระดับออสการ์) ดังนั้นการตามล่าทำลายล้างเจ้าหญิงสโนไวท์จึงเกิดขึ้น หลังจากโดนยึดเมืองไป สโนไวท์ก็ได้พบกับนายพรานป่า (แสดงโดย คริส เฮมส์เวิร์ธ จาก ธอร์ เทพเจ้าสายฟ้า) ที่ได้รับคำสั่งให้มาฆ่าเธอ แต่เขากลับมาฝึกให้เธอต่อสู้เพื่อทวงบัลลังก์กลับคืน ส่วนของเจ้าชายหนุ่มรูปงามผู้ตกหลุมรักในความงามและความเก่งกาจของสโนไวท์ในเวอร์ชั่นนี้ อย่าง แซม คลาฟิน

Snow White & The Huntsman เป็นผลงานการกำกับของ รูเพิร์ต แซนเดอร์ส ผู้กำกับหน้าใหม่ที่ได้ก้าวมาจากการกำกับโฆษณามากมาย โดย Snow White & The Huntsman ถือว่าเป็นผลงานหนังจอเงินเรื่องแรกของเขา แถมยังถือว่าเลือกที่จะทำหนังฟอร์มยักษ์ที่จะเข้าฉายช่วงซัมเมอร์เสียด้วย โดยเราทุกคนคงต้องรู้จักเรื่องราวของ สโนว์ไวท์ เป็นแน่แท้ ว่าเป็นเจ้าหญิงรูปงาม ที่โดนกดขี่จาก แม่เลี้ยงใจร้าย จึงทำให้ต้องถูกเนรเทศออกมาจากวังและทำให้การผจญภัยต่างๆของเธอเกิดขึ้น โดยสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ดูโดดเด่นกว่า Mirror Mirror หนังสโนว์ไวท์ที่เพิ่งเข้าฉายไปเมื่อต้นปี นั่นคือการที่ตัวหนังได้ใส่ตัวละครที่ไม่มีใน สโนว์ไวท์ต้นฉบับจริงๆเข้ามาอย่าง พรานป่า เพื่อเพิ่มดีกรีความมันส์ และเพื่อให้ฉากแอ็คชั่นของหนังดูน่าสนใจเพื่อที่จะเรียกคนดูได้มากขึ้นกว่าเดิม

แต่สิ่งที่ผมเห็นว่า Snow White & The Huntsman สามารถทำได้ดีที่สุดมันกลับไม่ใช่ด้านของ ความสนุก ในด้านฉากแอ็คชั่น หรือ ฉากการรบอันยิ่งใหญ่ของหนัง แต่มันกลับกลายเป็นด้านของ โปรดักชั่น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ การจัดมุมกล้อง , ดนตรีประกอบ และ เสื้อผ้าหน้าผม ทั้งหลาย ที่ผู้กำกับ รูเพิร์ต แซนเดอร์ส สามารถเลือกใช้เข้ามาได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะด้านของ เสื้อผ้า ที่ถือว่าทำออกมาได้ไม่น้อยหน้า Mirror Mirror ที่เพิ่งเข้าฉายไปต้นปีเลยทีเดียว แถมการที่หนังได้เรียกใช้นักแสดงแถวหน้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็น ชาร์ลีซ เธอรอน ในบทของ ราชินีแม่เลี้ยงใจร้าย หรือแม้แต่ คริส เฮมส์เวิร์ธ ในบทของ พรานป่า

ก็ต่างเห็นว่าจะเป็นเครื่องช่วยชีวิตตัวสำคัญของหนังทั้งนั้น เพราะเอาเข้าจริงๆสำหรับผม Snow White & The Huntsman มันกลับกลายเป็นหนังซัมเมอร์ฟอร์มยักษ์ ที่ถือว่าทำได้ดีแค่ด้านของ โปรดักชั่น และ การเรียกใช้เสน่ห์นักแสดงเท่านั้นเอง เพราะไม่ว่าจะเป็นด้านของ ฉากแอ็คชั่น และ ความสนุกในฉากการสู้รบ ของเหล่า สโนว์ไวท์ และ กองทัพราชินี ต่างดูแล้วค่อนข้างน่าผิดหวัง เพราะถึงแม้หนังจะมีวิธีการเล่าเรื่องแนวนิทาน ที่ออกมาในอารมณ์รูปแบบค่อนข้างดาร์คมากแค่ไหน แต่บทสรุปในนิทานเรื่องนั่นที่หนังเล่าออกมา มันกลับทำได้ดีแค่ในช่วงแรกเท่านั้น และโดยส่วนตัวผมก็ไม่ใช่คนที่มีอคติต่อหนังชุด The Twilight Saga สักเท่าไหร่ แถมหนำซ้ำยังกลับค่อนข้างชอบ คริสเต็น สต๊วจ ใน ทไวไลท์ อีกด้วย แต่มันกลับไม่ใช่ใน Snow White & The Huntsman

เพราะสิ่งที่ผมเห็นว่าจะเป็นสิ่งที่ฉุดตัวหนังลงไปที่สุดคงหนีไม่พ้นด้านของการแสดงของ คริสเต็น สต๊วจ ที่แลดูน่าผิดหวังยิ่งกว่าทุกครั้ง คงเป็นเพราะการที่ Snow White & The Huntsman ได้มีฉากให้ สโนว์ไวท์ ได้โชว์บทความเป็นดราม่า แอ็คชั่น และ หึกเฮิม มากเสียส่วนใหญ่ และบางครั้งก็อาจจะมากเกินไปด้วยซ้ำสำหรับ คริสเต็น สต๊วจ ผลลัพธุ์ที่ออกมาจึงทำให้ตัวละคร สโนว์ไวท์ ของ คริสเต็น สต๊วจ แทบจะเทียบเสน่ห์ไม่ได้เลยกับ สโนว์ไวท์ เวอร์ชั่น ลิลลี่ คอลลินส์ ใน Mirror Mirror ที่เพิ่งผ่านไป เพราะฉะนั้นสำหรับผม สโนว์ไวท์ และ พรานป่า ในเวอร์ชั่นนี้จึงเป็นได้แค่หนังที่มีดีในช่วงแรก แต่บทแตกหักในช่วงหลัง

โดยสรุปแล้ว Snow White & The Huntsman ถือว่าเป็นหนังฟอร์มยักษ์ประจำซัมเมอร์ปีนี้ ที่ถือว่าทำออกมาดูได้แค่พอเพลินๆ ที่จุดเด่นของหนังอยู่ตรง โปรดักชั่น ประเภท เสื้อผ้าหน้าผม และการดึงเสน่ห์ตัวนักแสดงมาใช้ แต่ในด้านของความสนุกใน ฉากการสู้รบ และ ฉากแอ็คชั่น ยังถือว่าแลดูน่าผิดหวังอยู่

เรื่องนี้ผมให้ 6/10 ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5653 เมื่อ: 03/12/13, [13:58:20] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ





เรื่องอะไรครับ ?


ถูกต้องครับ

Coriolanus : จอมคนคลั่งล้างโคตร

เป็นหนังที่ไม่ได้อยู่ในสายตาในทีแรก ถึงแม้ว่าจะสะดุดกับชื่อผู้กำกับ เรลฟ์ ไฟนส์ นักแสดงที่คนไทยเรารู้จักกันในบทบาทของ คนที่คุณก็รู้ว่าใคร จากหนังชุด แฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่มาในคราวนี้ขอลองก้าวไปอีกขั้นในวงการภาพยนตร์ โดยการผันตัวจากนักแสดง มาเป็นผู้กำกับที่หยิบเอามาจากบทกวีของ เช็คสเปียรส์

เป็นนักแสดงแถวหน้าของวงการหนังอังกฤษมากว่า 10 ปี ราล์ฟ ไฟนส์ (หรือที่ทุกคนคุ้นหน้ากันดีจากบทตัวร้ายอมตะ ?คนที่คุณก็รู้ว่าใคร? ในหนังชุด Harry Potter) ก็ขอหันมาจับงานกากับบ้าง โดยขนเอานักแสดงเบอร์ใหญ่ๆ มาร่วมงานด้วยเพียบ ตั้งแต่นักแสดงชายสุดฮอต เจอราร์ด บัตเลอร์ ไปจนถึงเจ้าป้ารุ่นใหญ่ วาเนสซ่า เรดเกรฟ Coriolanus นั้นดัดแปลงมาจากบทละครของวิลเลี่ยม เช็กสเปียร์ เรื่องราวของ โคโรลานุส นักรบจอมโอหังที่ลูกอัปเปหิออกจากกรุงโรม เขาจึงรวบรวมสมัครพรรคพวกกลับเข้ามาทาลายล้างกรุงโรมให้สิ้นซาก โดยไม่สนใจคาทัดทานของใคร แม้กระทั่งมารดาของตนเองก็ตามทีครับ

Coriolanus กำกับการแสดงโดย ราล์ฟ ไฟนส์ นักแสดงมากฝีมือจาก อังกฤษ ที่หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์โดยการเป็นนักแสดงอยู่นานแสนนาน ในปีนี้เขาขอลองผันตัวเองมาเป็นผู้กำกับมากฝีมือดูบ้าง โดยหนังเรื่อง Coriolanus ถือได้ว่าเป็นผลงานการกำกับเรื่องแรกของเขาเลยก็ว่าได้ โดยเขาเลือกที่จะหยิบบทประพันธ์ของ วิลเลี่ยม เช็คสเปียรส์ นำมาดัดแปลงให้กลายเป็นหนังอารมณ์แนวสงคราม ที่แฝงไปด้วยประเด็นมากมาย โดยถึงแม้ว่าเราจะเห็นทั้งโปสเตอร์ และ ตัวอย่างหนัง ออกมาแนวมาขายแอ็คชั่น ดิบๆเถื่อนๆ รวมไปถึงการได้หนุ่มกล้ามใหญ่อย่าง เจอร์ราด บัตเลอร์ มาร่วมแสดงด้วยแล้ว ก็อย่าคิดเองเออเองไปว่านี้เป็นหนังแอ็คชั่นสุดมันส์ในช่วงซัมเมอร์ เพราะที่จริงแล้ว Coriolanus มันเป็นหนังแนว ดราม่า , สงคราม ที่เต็มไปด้วยบทสนทนาภาษากวีเสียมากกว่า

ซึ่งหลังจากในต้นปีเรามี The Ides of March เป็นหนังแนวตีแผ่วงการของ การเมือง และ นักการเมือง ในอเมริกาไปแล้ว Coriolanus ก็คงจะเปรียบเสมือนกับว่าเป็นแนวตีแผ่ และ เสียดสี กลุ่มคนเล็กๆที่มีสิทธิ์มีเสียงในสภามากกว่านักการเมืองอย่าง ประชาชน พร้อมทั้งยังกัดจิกเล็กน้อยวงการของ นักการเมือง ไปด้วยในเวลาเดียวกัน ซึ่งสิ่งที่ Coriolanus หยิบมาเล่นเป็นประเด็นในหนังได้ค่อนข้างโดนใจผมคงหนีไม่พ้นการที่หนังเล่นหยิบเรื่องราว สันดาน และ นิสัย ของกลุ่มคนที่เรียกว่า ประชาชน ออกมาตีแผ่ได้อย่างสนุกสนาน , แสบๆคันๆ และ โดนใจผมเป็นอย่างยิ่งเลย โดยผ่านเหตุการณ์ที่สามารถแฝงประเด็นไว้มากมาย

โดยหนังแสดงให้เห็นถึงนิสัยของประชาชนก่อนการเลือก นักการเมือง ว่า ประชาชน ชอบฟังคำพูดโอ้อวดของเหล่านักการเมืองมากกว่าการกระทำ โดยไม่ผ่านการคิดไตร่ตรองเสียก่อน ว่าแท้จริงแล้วคำพูดบางคำพูดของเหล่านักการเมืองทั้งหลายอาจจะเป็นเพียงลมปากที่พูดมาแต่ไม่เคยทำก็เป็นได้ แถมการที่ในทีแรก ประชาชน ดูเหมือนจะเรียกร้องสิทธิความถูกต้องให้กับประเทศชาติ แต่ท้ายสุดหนังก็ยังปิดบทสรุปอีกว่า ไม่ว่าจะเป็นประชาชน หรือว่า นักการเมือง ในท้ายสุดกลุ่มคนทั้ง 2 กลุ่มนี้ก็ต่างมีเป้าหมายเดียวกันในการประท้วง นั้นคือ การหาผลประโยชน์ใส่ตนเอง ทั้งนั้น ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดต้องขอชมผู้กำกับ ราล์ฟ ไฟนส์ ที่สามารถถ่ายทอดผ่าน บทสนทนาที่มีความเป็นบทกวี ออกมาได้อย่างสวยงาม และสามารถพรรณนาไปถึงการเปรียบเทียบสิ่งต่างๆได้โอเคอีกด้วยครับ

และสิ่งที่ Coriolanus สามารถทำออกมาได้โดดเด่นไม่แพ้กับประเด็นแรงๆของหนัง คงหนีไม่พ้นด้านของการแสดง ที่เสมือนเป็นเวทีการประชันบทบาทของ 2 หนุ่ม อย่าง ราล์ฟ ไฟนส์ และ เจอร์ราด บัตเลอร์ ที่ในรายแรกนั้นสามารถถ่ายทอดบทบาทของ มาร์เซียส โคโรลานุส ออกมาได้อย่างทรงพลังโดยเฉพาะในฉากที่ต้องปลดปล่อยอารมณ์ ที่ถือว่าโดนใจผมมากกว่าตอน The English Patient ที่ได้เข้าชิงรางวัลเสียอีกครับ ส่วนหนุ่มรายหลังอย่าง เจอร์ราด บัตเลอร์ ในเรื่องนี้ก็ยังถือว่าสามารถแสดงคงความเป็น คาแรกเตอร์ หนุ่มล่ำของตัวเองได้อย่างเสมอภาค แถมฉากที่ต้องพรรณนาเป็นบทกวีก็ถือว่าทำออกมาได้ดีอีกด้วย

แต่ยังไงก็ตามสำหรับ Coriolanus ก็ไม่น่าจะเป็นหนังที่เหมาะกับทุกคนแน่นอน โดยเฉพาะใครที่ไม่ชอบหนังแนวดราม่าเอื่อยๆ ที่มาพร้อมกับบทสนทนาที่ยาวเหยียด แถมมาในรูปแบบกวี ก็ควรหลีกเลี่ยง แต่ถ้าหากใครชอบแนวกวี ที่มาพร้อมกับการใส่ประเด็นแรงๆเกี่ยวกับ ประชาชน และ นักการเมือง ก็ห้ามพลาด

เรื่องนี้ผมให้ 9/10 ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5654 เมื่อ: 03/12/13, [13:59:01] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?


ถูกต้องครับ

I Miss U รักฉันอย่าคิดถึงฉัน ?

จากเรื่องราวความรักอันน่าประทับใจของคู่รัก ที่ฝ่ายหญิงประสบอุบัติเหตุรถคว่ำกอ่นที่ทั้งสองจะแต่งงานกันเพียง 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นทุกวันอาทิตย์ฝ่ายชายจะนำช่อกุหลาบขาวมาตรงที่ที่คนรักของเขาได้ จากไป และเป็นแบบนี้อยู่หลายปีจนโด่งดังและเป็นที่พูดถึงในโลกทางอินเทอร์เน็ต มาสู่ภาพยนตร์รักหลอนแห่งปีที่ได้ดาราระดับแม่เหล็กมาร่วมแสดง ที่สร้างกระแสได้ตั้งแต่ปล่อยตัวอย่างแรกออกมา พร้อมทั้งประเด็นตอบจบ 3 แบบ ที่กำลังเป็นที่พูดถึงกันอย่างกว้างขวางของคอหนัง กับภาพยนตร์เรื่อง I Miss You ที่มีชื่อเรื่องภาษาไทยที่สามารถตีความได้หลากหลายว่า ?รักฉันอย่าคิดถึงฉัน?

I Miss You กำกับโดย มณฑล อารยางกูร ที่มีผลงานกำกับอาทิ บ้านผีสิง, ผีคนเป็น, ปักษาวายุ และล่าสุดกับ Big Boy เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อหมอบี (สายป่าน อภิญญา สกุลเจริญสุข) ได้เข้ามาทำงานในแผนกศัลยกรรมในโรงพยาบาล โดยมีหมอธนา (ติ๊ก เจษฐาภรณ์ ผลดี) เป็นหมอที่ปรึกษาคอยให้คำแนะนำ จนเกิดความรู้สึกผูกพันแต่แล้วเธอก็ได้รู้ว่า หมอธนา ยังคงจมอยู่กับความรู้สึกผิดต่อการเสียหมอนก (จ๋า ณัฐฐาวีรนุช ทองมี ) จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ในช่วงที่ใกล้วันที่ทั้งสองกำลังจะแต่งงานกัน เมื่อหมอบีได้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น ด้วยความรัก ความสงสาร เธอจึงคิดที่จะช่วงดึงหมอธนาออกมาจากความทรงจำอันเจ็บปวด แต่แล้วกลับพบว่าหมอธนามีใครบางคนอยู่ข้างกายตลอดเวลา!!

I Miss You ถือเป็นหนังไทยที่มีเนื้อเรื่องอันเข้มข้นน่าสนใจ มีประเด็นให้จับต้อง รวมถึงทีมนักแสดงนำระดับแถวหน้าของวงการ ยิ่งช่วยให้หน้าหนังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ซึ่งหากเดินเกมได้ถูกทางก็สามารถคาดการณ์ถึงความสำเร็จของหนังได้เลยทีเดียว และเมื่อมองไปถึงตัวหนัง ก็นับว่ายอดเยี่ยมทีเดียว โดยเฉพาะช่วงชั่วโมงแรกของหนัง!! ที่เล่าเรื่องราวได้ชวนติดตาม เพลิดเพลินไปกับมุขตลกเล็กๆ ที่สอดแทรกเข้ามา และด้วยพลังดาราของนักแสดงในเรื่องที่ทำให้เราหลงรักตัวละครในเรื่องได้ไม่ ยาก ในประเด็นเรื่องของความรักความผูกพันกันของคนสองคน แต่สุดท้ายกลับมีอันต้องมาพรากจากกัน แล้วความรักนั้นมันหายไปด้วยหรือไม่ หรือมันยังคงอยู่ยืนยงเป็นนิรันดร์ แม้ไม่ใช่เนื้อเรื่องที่ใหม่อะไรแต่ด้วยสถานการณ์ในเรื่องที่นำเสนอในแนวรัก สองสามเส้า ก็น่าสนใจว่าผู้กำกับจะสามารถพาเรื่องราวไปได้ถึงระดับไหน

I Miss You เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ไทยที่เรียกได้ว่าเลือกสรรฉาก รวมถึงทำฉากขึ้นมาใช้ในการถ่ายทำได้อย่างงดงามในทุกฉาก แต่ละฉากที่ดูเรียบง่าย แต่เมื่อเติมตัวละครลงไปกลับดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา นอกจากนี้ยังยอดเยี่ยมในการใช้มุมกล้องและการเคลื่อนกล้องที่สื่ออารมณ์ให้ กับผู้ชมได้ทุกฉากที่ปรากฎสู่สายตา ฉากที่เกี่ยวข้องกับความรักก็ให้ความรู้สึกที่อบอุ่น ส่วนฉากที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณก็ทำออกมาได้หลอนทีเดียว! แต่สิ่งที่โดดเด่นและน่าชื่นชมที่สุดในเรื่อง I Miss You คือเทคนิคการใช้ภาพเล่าเรื่องที่ตัดสลับระหว่างปัจจุบันและเรื่องเล่าในอดีต ได้อย่างมีศิลปะ แสดงให้แล้วเห็นถึงความพิถีพิถันในการนำเสนอ ที่ช่วยให้เรื่องราวที่เล่าอยู่นั้นไหลลื่นไม่ติดขัดและมีเสน่ห์มากๆ นอกจากนี้ยังมีเพลงประกอบ รักเธอทั้งหมดของหัวใจ ของโจ้ วง Pause และเวอร์ชั่นล่าสุดการขับร้องโดยศิลปิน วันวาน?และเพลง ได้แค่คิดถึง ของ บอย ตรัย รวมถึงดนตรีประกอบจากบทเพลงเหล่านี้ที่ช่วยยกระดับให้ภาพรวมของหนังดูดีขึ้น!

หนังทำได้ดีทุกอย่างจนกระทั่งมีปัญหาในช่วงครึ่งชั่วโมงสุดท้ายที่ตัว หนังนั้นเป๋อย่างเห็นได้ชัด จากทิศทางในช่วงต้นที่ทำให้เข้าใจว่าหมอบีจะมาเป็นผู้ทำให้หมอธนาหลุดพ้นออก มาจากความเจ็บปวดของอดีต โดยความเห็นชอบของวิญญาณหมอนกที่เสียชีวิตไปซึ่งก็ต้องให้หมอธนาเริ่มต้น ชีวิตใหม่ แต่สุดท้ายเรื่องกลับหักไปในทิศทางตรงกันข้าม ที่ทำให้การกระทำของตัวละครในเรื่องดูไร้เหตุผล น่าแปลกใจ! ว่าหนังมีจุดให้จบหลายช่วงมากและบางช่วงหากคิดที่จะจบจะทำให้หนังไม่หลงทิศ ทางและลงตัว แต่ผู้กำกับเลือกที่จะอธิบายทุกสิ่งทุกอย่าง ตอบเหตุผลของการกระทำของทุกตัวละคร จนทำให้หนังดูล้นจนเกินไป จากความรักความคิดถึงที่มีที่สัมผัสได้โดยไม่ต้องเอ่ยคำให้มากความ กลายเป็นความรักความคิดถึงที่พร่ำบอกทุกอย่างจนเอียน!

ทีมนักแสดงนำของเรื่องคือสิ่งที่ดึงเราให้อยู่กับหนังได้ตลอด ทั้ง สายป่าน อภิญญา, ติ๊ก เจษฐาภรณ์, จ๋า ณัฐฐาวีรนุช รวมถึง ทราย อินทิรา เจริญปุระ ที่รับเป็น ตรี หนึ่งในอีกตัวแปรของเรื่อง ทั้งหมดต่างมอบการแสดงที่ถึงบทบาท ช่วยให้เราลุ้นไปกับเรื่องราวที่เริ่มจะไร้ทิศทางเมื่อเข้าสู่ช่วงท้ายของ เรื่องได้โดยเฉพาะฉากที่หมอธนาพยายามยื้อชีวิตของหมอนกเอาไว้หลังจากประสบ อุบัติเหตุ ถือว่าเป็นฉากไม้ตายของหนังเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ อย่างไรก็ตามผู้ที่แบกหนังไว้ทั้งเรื่องจริงๆ ก็คือ สายป่าน อภิญญา ที่ความสามารถทางการแสดงของเธอในเรื่องนี้มีลุ้นชิงรางวัลดารานำหญิงจาก สถาบันต่างๆ ได้เลย รวมถึงคู่รักวัยรุ่นที่มาเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มจากผู้ชมได้อย่างดี เยี่ยม

สิ่งที่เป็นที่กล่าวถึงของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่เป็นตัวช่วยสร้างกระแสให้ กับเรื่อง ก็คือ ฉากจบหลายแบบ ซึ่งถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใดเพราะลูกเล่นนี้มีใช้กันทั่วไปเช่น มิวสิควีดีโอหรือเกม แต่การที่ภาพยนตร์ I Miss You เลือกจะนำลูกเล่นนี้มาใช้โดยมีทำฉากจบออกมาถึง 3 แบบด้วยกัน และนำออกฉายด้วยนั้น ผมมองว่าเป็นการนำเสนอที่น่าสนใจ แต่?มันควรจะไปอยู่เป็นของแถมในดีวีดีมากกว่า! ในขั้นตอนพัฒนาบทภาพยนตร์นั้นไม่แปลกที่เราจะมีการเล่าเรื่องที่สามารถนำไป สู่ตอนจบที่หลากหลาย ตามแต่จินตนาการจะนึกคิดขึ้นมาได้ แต่ไม่ว่าจะมีสักกี่ร้อยบทสรุป ผู้สร้างก็ควรจะมอบจุดหมายปลายทางที่ชัดเจนให้กับหนังและให้ตรงกับสิ่งที่ ต้องการสื่อไปถึงผู้ชม ซึ่งบทสรุปของเรื่องนั้นจะดีหรือไม่ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ชมเป็นคนที่นำไปตีความต่อไปจะเหมาะกว่า การทำแบบนี้มันแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในตัวหนังของผู้สร้าง!

อย่างไรก็ตาม I Miss You รักฉันอย่าคิดถึงฉัน?น่าจะ เป็นที่ถูกใจของผู้ชมโดยเฉพาะผู้หญิงเป็นพิเศษ กับความรักอันแสนโรแมนติคจนความตายมิอาจพรากของหมอธนาและหมอนก เป็นภาพยนตร์แนวรักหลอนที่เต็มไปด้วยประโยคเกี่ยวกับความรักคมๆ ที่อาจกระทบใจของใครหลายๆ คนได้ไม่ยาก นับว่าเป็นผลงานของผู้กำกับ?มณฑล อารยางกูร?ที่ทำได้ดีกว่าผลงานก่อนๆ แม้จะหลงทิศทางไปบ้างก็ตา

6.5/10
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5655 เมื่อ: 04/12/13, [01:00:46] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ








เรื่องอะไรครับ ?

The International ฝ่าองค์การนรกข้ามโลก
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5656 เมื่อ: 04/12/13, [01:03:46] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?

House of Flying Daggers จอมใจบ้านมีดบิน
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5657 เมื่อ: 04/12/13, [01:17:45] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ








เรื่องอะไรครับ ?

PAYCHECK แกะรอยอดีต ล่าปมปริศนา
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5658 เมื่อ: 04/12/13, [01:21:03] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ








เรื่องอะไรครับ ?

shanghai knights คู่ใหญ่ฟัดทลายโลก
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5659 เมื่อ: 04/12/13, [13:40:41] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?
เฉลยครับ  Love Actually ทุกหัวใจมีรัก  หนังดีที่อยากให้ดูกันครับ ให้ 7.7/10 ครับ

ป็นภาพยนตร์แนวโรแมนติก กำกับโดยนักเขียนบทภาพยนตร์ชาวอังกฤษ Richard Curtis เรื่องราวเกี่ยวกับความรักในรูปแบบต่างๆของกลุ่มคนหลากหลายวิถีชีวิต ที่โยงมาเกี่ยวข้องกันในเทศกาลคริสต์มาส ออกฉายครั้งแรกเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2546
นำแสดงโดย ฮิวจ์ แกรนต์, บิล ไนอี, เอมมา ทอมสัน, โคลิน เฟิร์ท, เลียม นีสัน, แอลัน ริกแมน, คีร์รา ไนท์ลีย์, ลอรา ลินนีย์ และดาราภาพยนตร์ผู้มีชื่อเสียงอีกมากมาย รวมทั้งดารารับเชิญได้แก่ โรวัน แอตคินสัน, บิลลี บ็อบ ทอร์นตัน, คลอเดีย ชีฟเฟอร์, เอลิชา คัทเบิร์ท, แชนนอน เอลิซาเบท, เดนิส ริชาร์ดส์
ภาพยนตร์เรื่องนี้ ฉบับที่ฉายในประเทศไทยและทวีปเอเชีย ผู้กำกับได้ตัดตัวละครออกไปคู่หนึ่ง คือ จอห์น และจูดี้ (แสดงโดย Martin Freeman และ Joanna Page) ซึ่งรับบทเป็นตัวแสดงแทนในการถ่ายหนังโป๊ เนื่องจากมีฉากที่ไม่เหมาะสม

เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5660 เมื่อ: 04/12/13, [13:45:24] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ








เรื่องอะไรครับ ?
ถูกต้องครับ  [เจ๋ง]   Paycheck  แกะรอยอตีต ล่าปมปริศนา

ไมเคิล เจนนิ่งส์ (เบน เอฟเฟล็ก) กำลังถูกตามล่า แต่เจ้าตัวไม่รู้ว่าเพราะอะไร หนุ่มอัจฉริยะที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกผู้นี้เคยได้รับการว่าจ้างโดยบริษัทไฮเทค เพื่อให้เขาทำงานในโครงการลับสุดยอด เจนนิ่งส์ต้องเข้ารับกระบวนการลบความทรงจำอยู่เป็นประจำเมื่องานชิ้นหนึ่งเสร็จสิ้นลง เพื่อให้เขาไม่สามารถนำความลับใดๆ ของบริษัทไปเปิดเผยได้ และนั่นทำให้เจนนิ่งส์ได้รับเงินตอบแทนสูง เขาคาดหวังจะได้ตัวเลขแปดหลักจากโครงการล่าสุดที่กินเวลานานถึงสามปี หลังจากเสร็จงานชิ้นนั้น แทนที่จะได้เงินค่าตอบแทนก้อนโต เจนนิ่งส์กลับได้รับซองเอกสารที่เต็มไปด้วยสิ่งของหลายอย่าง และเขายังได้รับการบอกกล่าวว่าเขายอมตกลงที่จะให้ปรับเงินค่าจ้างทั้งหมด ด้วยความทรงจำที่ถูกลบทิ้งไปตามสัญญา ทำให้เจนนิ่งส์ไม่มีข้อโต้แย้ง จนกระทั่งเขาพบว่าสิ่งของที่อยู่ในซองนั้น คือเงื่อนงำที่นำไปสู่อดีตของเขา บัดนี้ ด้วยความช่วยเหลือจาก เรเชล (อูม่า เธอร์แมน) ผู้หญิงที่เขาทำงานด้วย และเป็นคนที่เขารักมานานสามปีแล้ว เจนนิ่งส์จึงต้องแข่งขันกับเวลาก่อนที่จะถูกนายจ้างฆ่า ดรีมเวิร์กส์ พิคเจอร์ส และ พาราเม้าต์ พิคเจอร์ส ภูมิใจเสนอภาพยนตร์เรื่อง Paycheck ผลงานการสร้างของเดวิด เอนเตอร์เทนเม้นต์ คัมปานี/ ไลออนร็อก โดยความร่วมมือกับโซโลมอน/ แฮ็คเก็ตต์ โปรดักชั่นส์ ภาพยนตร์ของจอห์น วูเรื่องนี้ กำกับโดย จอห์น วู จากบทภาพยนตร์ของ ดีน จอร์จาริส โดยนำเค้าเรื่องมาจากเรื่องสั้นของ ฟิลิป เค ดิ๊ก จอห์น เดวิส, ไมเคิล แฮ็คเก็ตต์, จอห์น วู และ เทอเรนซ์ ชาง ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้าง สแตร็ตตัน ลีโอโพลด์ และ เดวิด โซโลมอน คือ ผู้อำนวยการสร้างบริหาร เจฟฟรีย์ แอล คิมบอลล์, เอเอสซี ทำหน้าที่ผู้กำกับภาพ วิลเลี่ยม แซนเดลล์ทำหน้าที่โปรดักชั่น ดีไซเนอร์ เควิน สติตต์, เอซีอี และ คริสโตเฟอร์ เร้าส์ ช่วยกันตัดต่อภาพ เกรกอรี่ แอล แม็คเมอร์รี่ ทำหน้าที่วิชวล เอฟเฟ็กต์ ซูเปอร์ไวเซอร์ และ เอริก้า อีเดลล์ ฟิลลิปส์ ทำหน้าที่ออกแบบเครื่องแต่งกาย แคโรลีน แม็คคอเล่ย์ และ อาร์เธอร์ แอนเดอร์สัน ทำหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างร่วม ดนตรีประกอบเป็นฝีมือของ จอห์น โพเวลล์

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04/12/13, [14:16:18] โดย เอสวา »
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5661 เมื่อ: 04/12/13, [13:53:27] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?
เฉลยครับ  Elf (2003) เอล์ฟ ปาฏิหาริย์เทวดาตัวบิ๊ก

ปาฏิหาริย์เทวดาตัวบิ๊ก เป็นภาพยนตร์คริสต์มาสประเภท ตลก กำกับโดย Jon Favreau รวมความยาวของหนัง 93 นาที และทำรายได้มากกว่า $220,400,000 ทั่วโลก
วันที่ออกฉาย: 7 พฤศจิกายน 2546 (สหรัฐอเมริกา)
ผู้กำกับ: จอน ฟาฟวโร
ความยาว: 97 นาที
ดีวิดีวางตลาดเมื่อ: 16 พฤศจิกายน 2547
บริษัทที่ผลิต: นิวไลน์ซินีมา, วอร์เนอร์บราเธอร์ส
นักแสดง
วิล เฟอร์เรล
ซูอีย์ เดสชาเนล
แมรี สตีนเบอร์เกน



เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5662 เมื่อ: 04/12/13, [14:26:16] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ








เรื่องอะไรครับ ?
เฉลยครับ  THE DUCHESS พิศวาส อำนาจ ความรัก

The Duchess เป็นภาพยนตร์ที่มีเรื่องราวที่เกิดขึ้นในตอนปลายศตวรรษที่สิบแปด เป็นเรื่องราวของ จอร์เจียนา สเปนเซอร์ สาวสวยผู้งดงามผู้ทรงเสน่ห์ที่สุดในยุคนั้น เคียรา ไนท์ลีย์ นขณะที่ความงามและเสน่ห์สร้างชื่อให้กับเธอ แต่รสนิยมสูงส่งและความกระหายการพนัน เพราะดวงขึ้นเหลือเกิน ใครจะเล่นป๊อกแปด ป๊อกเก้ากับ จอร์เจียนานี่ รับรอง ดับสนิท นอกจากการพนันแล้ว ความรักของเธอก็ฉาวโฉ่ไปทั่ว หลังจากที่ได้สมรสกับดยุค แห่งเดวอนเชียร์ ผู้ใกล้ชิดกับเหล่ารัฐมนตรีและเจ้าชาย ที่มีอายุมากกว่าเธอค่อนข้างเยอะ  จอร์เจียนาก็กลายเป็นเจ้าแม่แฟชั่น เพราะความสาว ความสวย และแต่งตัวเก่งได้อีก   นอกจากนั้น จอร์เจียน่ายังเป็นนักการเมืองที่เจ้าเล่ห์และเป็นที่รักของสามัญชนอีกด้วย แต่แก่นแท้ของเรื่องราวของเธอในภาพยนตร์เรื่องนี้ คือการไขว่คว้าหาความรักครับ โฟกัสตรงนี้ให้เห็นว่า การเป็น The Duchess ยากที่จะเลือก และกำหนดความรักของตัวเองครับ ใครว่าการใช้ชีวิตในวัง, เป็นเจ้าหญิง, หรือราชินี จะสุขสบายไปซะทุกอย่าง
 สาเหตุของความรักในภาพยนตร์เรื่องนี้ เนื่องมาจากความสัมพันธ์ “สวาท” ที่ “เร่าร้อน” แต่ ดันไม่มีทางออกระหว่างจอร์เจียน่าและท่านดยุค เพราะต่างคนต่างก็มีชู้รักเป็นของตัวเอง ท่านดยุค ก็แหม... จะเลือก “กิ๊ก” ซักที ดันเลือกเอาเพื่อนสนิทของจอร์เจียน่าเลย แต่จะทำยังไงได้ ก็รับบทเป็นนางเอกผู้น่าสงสารนี่นา ในขณะที่ท่านดยุคมีกิ๊กได้ แต่จอร์เจียน่ากลับไม่สามารถ “สวมเขา” ให้กับสามีของตัวเอง ซึ่งเป็นถึงท่านดยุคได้



เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5663 เมื่อ: 04/12/13, [14:28:04] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5664 เมื่อ: 04/12/13, [14:29:11] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ






เรื่องอะไรครับ ?
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5665 เมื่อ: 04/12/13, [14:33:48] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ






เรื่องอะไรครับ ?

เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5666 เมื่อ: 04/12/13, [14:34:49] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ






เรื่องอะไรครับ ?
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5667 เมื่อ: 04/12/13, [14:40:04] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ








เรื่องอะไรครับ ?
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5668 เมื่อ: 04/12/13, [14:41:04] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5669 เมื่อ: 04/12/13, [14:42:24] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?
หน้า: 1 ... 187 188 189 190 191 ... 201   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: