Aqua.c1ub.net
*
  Tue 05/Aug/2025
หน้า: 1 ... 139 140 141 142 143 ... 201   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: มาเล่นเกมทายภาพจากภาพยนตร์เรื่องดังกัน  (อ่าน 759059 ครั้ง)
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4200 เมื่อ: 11/10/13, [01:28:48] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ








เรื่องอะไรครับ ?
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4201 เมื่อ: 11/10/13, [01:34:20] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

หนังเรื่องนี้ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อเรื่อง Fighting  นำแสดงโดย Channing Tatum ดาราสุดหล่อจาก White House Down เรื่องนี้ไม่เคยได้ดูเลย ไม่แน่ใจว่าเคยมาฉายเมืองไทยหรือเปล่า ?


ถั่วต้มครับ ^^ หนังดีใช้ได้ครับ  ไม่เเน่ใจเหมือนกันครับว่าเข้าโรงบ้านเราหรือเปล่า เเต่ว่าผมดูในเว็บ mampost ครับ(ตอนนี้เว็บพัง) ถ้าอยากดูก็ ลิ้งค์นี้ครับ http://freemovie-hd.com/fighting-hd-โคตรนักสู้ดีกรีระห่ำ/

อ่อผมบวกให้สำหรับคำตอบที่ถูกต้องเเล้วนะครับ
หนังคงค้างของผม=0
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11/10/13, [01:37:21] โดย ROMMY »
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4202 เมื่อ: 11/10/13, [01:36:39] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ






เรื่องอะไรครับ ?

   
Cop Out ครับ  [เจ๋ง]
Wars ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #4203 เมื่อ: 11/10/13, [03:17:44] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ








เรื่องอะไรครับ ?

8MM คร๊าบบ
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4204 เมื่อ: 11/10/13, [10:52:13] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
21 & Over
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4205 เมื่อ: 11/10/13, [10:56:31] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

   
Cop Out ครับ  [เจ๋ง]
ถูกต้องครับ  [เจ๋ง] Cop Out - ค็อป เอ้าท์ คู่อึดไม่มีเอ้าท์
Cop Out เป็นหนังตลกฮาๆเรื่องใหม่และมาดใหม่ของพระเอกรุ่นใหญ่ บรู๊ซ วิลลิส ร่วมด้วยดาราดังอีกมากมาย อาทิ Michelle Trachtenberg สาวสวยจากเรื่อง 17 Again พ่วงด้วยหนุ่มอารมณ์ฮา Seann William Scott ที่เป็นขาประจำในหนังแนวตลกขบขัน อย่างเรื่อง Road trip , American Pie , Final Destination รวมไปถึง Tracy Morgan ดาราหน้ากวน ที่จะต้องมาเป็นตำรวจคู่หูของ บรู๊ซ วิลลิส เพื่อจัดการกับเหล่าร้าย ที่ทั้งบู๊และฮาไปด้วยกัน
การแท็คทีมที่น่าสนใจของยอดคนอึด บรู๊ซ วิลลิส และยอดดาวตลกหนุ่มน่าทะเล้น ฌอน วิลเลี่ยม สก็อต ในการตามหาการ์ดเบสบอลล้ำค่าที่ถูกขโมยไป แล้วยังต้องเข้าไปพัวพันกับการช่วยเหลือผู้หญิงคนหนึ่ง รวมทั้งต้องจัดการกับแก๊งค์มาเฟีย ที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินอีกด้วย
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4206 เมื่อ: 11/10/13, [10:57:28] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ


Percy Jackson: Sea of Monsters : เพอร์ซีย์ แจ็กสัน กับอาถรรพ์ทะเลปีศาจ

ถึงแม้ว่าภาคแรกอาจจะไม่ประสบความสำเร็จในด้านของรายได้ และ คำวิจารณ์ แต่ในเมื่อหนังสือชุดของ เพอร์ซี่ย์ แจ็คสัน มีถึง 5 เล่มด้วยกัน ว่าแล้วภาคต่อก็ต้องตามออกมาเสี่ยง รวมถึงแก้ตัวให้กับการที่ภาคแรกทำผิดพลาดไปอย่างแน่นอนหล่ะ กับ Percy Jackson ที่ในภาคต่อนี่สร้างมาจากหนังเล่มที่ 2 ในชื่อเดียวกันว่า Sea of Monsters

ซึ่งในภาคต่อนี้จะเป็นเรื่องราวของ เพอร์ซี่ และกลุ่มเพื่อนลูกครึ่งเทพเจ้าแก๊งค์เก่า ที่คราวนี้เขาต้องออกเดินทางเพื่อเป้าหมายการกู้คืนมาของ ขนแกะทองคำ ที่จะสามารถช่วยพวกเขาจากปีศาจร้าย และช่วยไม่ให้แคมป์ของพวกเขาถูกทำลายลงจากอำนาจของเทพเจ้าจอมทำลายล้างอย่าง โครนอส

โดยในภาคต่อนี่ หนังกำกับการแสดงโดย ธอร์ ฟลูเดนทัลร์ ผู้กำกับหนังเด็กจาก Hotel for Dogs และ Diary of a Wimpy Kid ที่กระโดดมาทำหนังแนวแอ็คชั่น แฟนตาซี เป็นเรื่องแรก พร้อมกับทีมนักแสดงยกชุดจากภาคแรก ไม่ว่าจะเป็น โลแกน เลอร์แมน, แบรนดอน ที แจ็คสัน และรวมไปถึง อเล็กซานดร้า แด๊ดดราลิโอ้ ซึ่งโดยตัวผมนั้นเคยผ่านตาหนังสือชุด Percy Jackson มาอยู่บ้าง โดยเฉพาะในภาคแรก ที่ตัวหนังสือต้องยอมรับว่าสนุกดีทีเดียว แต่ในภาค 2 นั้นยังอ่านไม่จบ เลยยังคงเอาตัวหนัง ไปเปรียบเทียบกับในหนังสือไม่ได้นัก แต่สิ่งนึงที่รู้สึกว่าในภาคต่อนี่สามารถทำออกมาได้ดูลงตัวกว่าภาคแรก

เห็นจะเป็นการดำเนินเรื่อง ในแบบฉบับของภาคต่อ ที่ไม่ต้องปูบทให้มากความ และมุ่งเน้นไปที่ฉากแอ็คชั่นลูกเดียว ซึ่งผลลัพธ์ของมันที่ออกมาก็ถือว่าน่าพอใจในระดับนึง กับการเปิดเรื่องด้วยฉากการต่อสู้ ก่อนที่จะค่อยๆเดินทางทำเควสที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จ โดยมีเหล่าสัตว์ในเทพนิยายโผล่ออกมาให้สู้ๆกันระหว่างทาง โดยการกระโดดมาทำฉากแอ็คชั่นครั้งแรกของผู้กำกับ ธอร์ ฟลูเดนทัลร์ ถือว่ายังเป็นที่น่าพอใจ แม้ตัวฉากแอ็คชั่นบางฉากจะดูแล้วค่อนข้างได้รับอิทธิพลจากภาคแรกมามากพอสมควร

แต่กระนั้นแล้วในด้านตัวบทของภาคนี้ยังคงออกมาน่าผิดหวังเช่นเคยไม่ต่างจากภาคแรก โดยหลายเหตุผล และ การกระทำ ของตัวหนังยังคงขาดเหตุผลรองรับที่น่าเชื่อถือจนไม่น่าให้อภัย รวมไปถึงการที่ตัวหนังปล่อยให้เหล่าตัวเอกไปทำเควสโดยทิ้งคนดูไว้เบื้องหลัง ไม่ปล่อยเปิดโอกาสช่องว่างให้คนดูได้มีอารมณ์ร่วมความรู้สึกกับภารกิจครั้งนี้ ด้วยการตัดต่อที่ยังคงน่าเป็นห่วง และ ตัวหนังที่ดูแล้วแฟนตาซีจัดจ้าน รวมไปถึงการสุกเอาเผากิน เล่นง่าย ชงง่าย เกินไปของหลายๆฉาก เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าตัวหนังจะมีฉากแอ็คชั่น ที่น่าตื่นตา และ ดูสนุก มากกว่าภาคแรกทำไว้ แต่ในขณะเดียวกัน ด้านขององค์ประกอบอื่นๆนอกจากนั้น มันก็กลับไม่ได้รับการพัฒนาไปกว่าภาคแรกสักเท่าไหร่นัก

ป.ล. เรื่องนี้ผมได้ชมในระบบ 4DX ซึ่งต้องขอยอมรับว่าหนึ่งหนังในน้อยเรื่อง ที่สามารถใช้ระบบ 4DX ออกมาได้คุ้มมากๆ เก้าอี้สั่นสะเทือน และ กระแทก ได้อย่างสมจริง ในแต่ละฉากแอ็คชั่น จนเรียกได้ว่าถ้าหากใครซื้อน้ำ และ ป๊อปคอร์นเข้าไป มีหวังไม่ได้กินอย่างชัวร์ๆ รวมไปถึงอีกหลายเอ็ฟเฟ็กต์ไม่ว่าจะเป็น ลม กลิ่น ควัน แสง และอีกเพียบก็สามารถแสดงออกมาตามที่ตัวหนังดำเนินเรื่องได้อย่างคุ้มค่าบัตร และน่าลองเป็นอย่างยิ่งสำหรับใครที่คิดจะเปิดซิงดู 4DX เป็นครั้งแรก แต่ในทางกลับกันถ้าหากใครที่คิดจะดูในระบบ 3D ปกติก็ต้องขอบอกตัวหนังทำออกมาได้น่าผิดหวัง เพราะนอกจากหนังจะไร้ฉากทะลุจอเล่นกับคนดูแล้ว มันยังออกมาไร้มิติ และ แบนราบ จนเรียกได้ว่าตีตั๋วดูแค่ระบบปกติก็น่าเป็นอะไรที่พอแล้วหล่ะ

 6/10
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11/10/13, [11:59:24] โดย จอมใจไร้รัก »
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4207 เมื่อ: 11/10/13, [10:59:03] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ


Red 2 – คนอึดต้องกลับมาอึด

กลับมาแล้วกับหนังภาคต่อที่สร้างจากการ์ตูนของ DC Comics ใน Red ที่ในภาคต่อนี้ได้นักแสดงจากภาคแรกอย่าง บรูซ วิลลิส, แมร์รี่ หลุยส์ พาร์คเกอร์, จอห์น มัคโควิช ร่วมด้วย แอนโธนี่ ฮ๊อปกินส์ มาแจม จากการกำกับของ ดีน พาริซ๊อต

เรื่องราวของ แฟรงค์ โมเซส อดีตสุดยอดซีไอเอปฏิบัติการณ์ลับ ที่สาบานกับทุกคนแล้วว่าจะวางมือจริงๆ แต่แล้วเขาอดใจไม่ไหวกลับไปร่วมทีมกับเพื่อนเก่าอีกครั้ง ในภารกิจตามหาตัวจุดนิวเคลียร์แบบพกพา ที่กลุ่มคนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นกองทัพต่างชาติ ผู้ก่อการร้าย หรือแม้กระทั่งคนในรัฐบาลของตัวเอง ต้องการครอบครองเพื่อที่แสวงหาประโยชน์จากมัน แฟรงค์ และทีมของเขาได้เดินทางไปทั้งกรุงปารีส, ลอนดอน และมอสโคว์ และใช้ความสามารถพิเศษและประสบการณ์อันเก๋าในการช่วยโลกด้วย

โดยในภาคแรกของ Red ต้องยอมรับว่าส่วนตัวผมค่อนข้างผิดหวังในระดับนึง เนื่องจากคาดหวังที่จะได้แอ็คชั่นอะไรที่มันตูมตามมากกว่านี่ เพราะฉะนั้นในภาคต่อของหนังชุดนี้ ความคาดหวังจึงเริ่มลดมา และแค่คิดว่าได้เห็นลุงๆ ป้าๆ มาบู๊กันพอเห็นพอควรก็น่าจะได้สมหวังแล้ว แต่ปรากฏว่าหนังภาคต่อชุดนี้กลับสร้างความเซอร์ไพรส์พอสมควร เพราะเอาเข้าจริงๆแล้ว Red 2 ถือว่าเป็นการนำเอาสูตรการดำเนินเรื่อง และ ทุกสิ่งทุกอย่าง ในภาคแรกมาอัพเกรด ยกระดับ ให้ทุกอย่างมันดูเร็วขึ้น และ มันส์ขึ้น โดยเฉพาะในการดำเนินเรื่องที่เน้นการตัดต่อแบบฉับไว ไม่อืดเอื่อยแบบในภาคแรก

นอกจากนั้นในฉากแอ็คชั่น การได้ ลีบยองฮุน มาร่วมแจมทีม ก็ถือว่าประสบความสำเร็จในการสร้างฉากแอ็คชั่นที่เน้นขายลีลาความโม้มากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะในช่วงท้ายที่นำเอาเพลง Given Up ของ Linkin Park มาผสมผสานในฉากแอ็คชั่นเจ๋งๆ และรวมถึงในอีกหลายฉากที่ได้ดนตรีประกอบหนังมาช่วยไว้นั้น ก็สามารถทำให้ฉากแอ็คชั่นเตะต่อย ที่ดูเหมือนจะธรรมดา กลายเป็นความโม้ที่มันส์พอสมควร

แต่น่าเสียดายในทางกลับกัน เมื่อความสนุกของหนังได้เพิ่มขึ้น คุณภาพของตัวหนังก็กลับลดลงในด้านของตัวบท และ ประเด็นแยกย่อย ไม่ว่าจะเป็นชีวิตคู่ของ แฟรงค์ ร่วมไปถึง รูปคดี ของตัวหนังที่อาจจะออกมาค่อนข้างหลวมๆ และมีช่องโหว่เยอะไปหน่อย ถ้าหากให้เทียบกับการเดินทางตามหาตัวคนร้ายในภาคแรกแล้วละก็

ซึ่งด้านนักแสดงหลักในภาคนี้ทั้ง บรูซ วิลลิส ,แมร์รี่ หลุยส์ พาร์คเกอร์, จอห์น มัลโควิช, เฮเลน มิเรน และ แอนโธนี่ ฮ๊อปกินส์ ก็ต่างถือว่าสร้างสีสันได้พองาม โดยในรายหลังที่สามารถแสดงบทบาทป่วนๆ ต๊องๆ ได้มีลูกเล่นจนทำเอาลืมบทบาทของ ดร.ฮันนิบาล ไปในขณะนึง เช่นเดียวกับ บรูซ วิลลิส และ จอห์น มัลโควิช ที่มีมุกตลกสอดแทรก ให้เข้าขากันได้ดีไม่แพ้กับ ภาคแรก รวมไปถึง แมร์รี่ หลุยส์ พาร์คเกอร์ ที่มีบทบาทมากกว่าเดิม แถมยังได้มีการปล่อยมุกฮา เสริมความน่ารักเล็กๆให้กับตัวหนังอีกด้วย

โดยสรุปแล้วผมคิดว่า Red 2 เป็นภาคต่อที่สนุกกว่าภาคแรกพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นด้านของ ฉากแอ็คชั่น หรือ การดำเนินเรื่อง ที่ดูแล้วไม่น่าเบื่อ และ ไม่อืดอาดเท่าภาคแรก ถึงแม้ว่าจะเต็มไปด้วย ช่องโหว่ ที่เยอะเกินไปก็ตาม

7/10
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11/10/13, [11:59:04] โดย จอมใจไร้รัก »
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4208 เมื่อ: 11/10/13, [11:00:21] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ


Rush : อัดเต็มสปีด

ใกล้ช่วงเทศกาลหนังรางวัลเข้าไปแล้ว และดูเหมือนว่าเรื่องนี้ก็จะเป็นตัวเปิดหนังตัวเก็งออสการ์ในบ้านเรา สำหรับ Rush หนังรถแข่ง ฟอมูล่า 1 สร้างจากชีวประวัติของ 2 นักแข่งในตำนานอย่าง นิกิ เลาด้า และ เจมส์ ฮันท์ กับประวัติศาสตร์การแข่งที่ดุเดือด และ เฉือดเชือนกันมากที่สุด ที่ตอนนี้ได้อยู่บนแผ่นฟีลม์แล้วเรียบร้อย

เรื่องราวเกิดขึ้นในทศวรรษที่ 70 ยุคทองของการแข่งขันรถฟอร์มูล่า วัน มีนักขับเพียงสองคนที่ผลัดกันชนะจนมีคะแนนไล่เลี่ยกัน นั่นก็คือ เจมส์ ฮันท์ (คริส เฮมส์เวิร์ส จาก The Avengers, Thor และ Cabin in the Woods) นักขับชาวอังกฤษผู้เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ มั่นใจในตัวเองและไม่กลัวตาย ถ้าผลลัพธ์แลกมาด้วยชัยชนะ และ นิกิ เลาดา (แดเนียล บรูห์ จาก Inglorious Basterds) นักขับชาวออสเตรียผู้ที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ในการขับ และต้องการความสมบูรณ์แบบตลอดเวลา ด้วยความแตกต่างในทัศนคติและแนวคิด ทำให้พวกเขาต้องปะทะกันไม่เพียงแต่ในสนามแข่งรถ แต่ยังรวมถึงชีวิตส่วนตัว ที่ผลักดันพวกเขาไปสู่จุดแตกหักทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ… ที่นี่ไม่มีเส้นทางลัดสู่ชัยชนะ หรือช่องว่างสำหรับความผิดพลาด และผู้ที่ยืนอยู่จุดสูงสุดก็มีได้เพียงแค่คนเดียวเท่านั้น
หนังกำกับการแสดงโดย รอน ฮาวเวิร์ด จาก A Beautiful Mind และ Apollo 13 ซึ่งถ้าหากใครเคยได้ชมหนังแนวชีวประวัติของผู้กำกับ รอน ฮาวเวิร์ด 2 เรื่องข้างต้นมาก่อนแล้ว รวมไปถึง Frost/Nixon และ Cinderella Man น่าจะจับงานสไตล์ของผู้กำกับคนนี้ออกว่า การเลือกช่วงเวลาแต่ละช่วงในชีวิตของบุคคลที่เขาต้องการนำมาสร้างเป็นหนังนั้น ผกก. รอน ฮาวเวิร์ด จะสามารถเลือกมาตัดต่อ และ ถ่ายทอด ได้อย่างน่าสนใจ และส่งให้ตัวหนังทรงพลังโดยไม่ต้องพยายาม และ Rush ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในนั้นด้วยเช่นกัน ที่เล่าถึงเรื่องราวการขับเคี่ยวของ 2 นักแข่ง ที่มีแรงผลักดันเป็นอีกฝ่าย ซึ่งผู้กำกับ รอน ฮาวเวิร์ด สามารถหยิบยกเอาเรื่องราวการแข่งขัน และ ดราม่า ชีวิตนักแข่ง มาผสมปนเปกันได้อย่างสนุก และ มันส์ ในขณะเดียวกัน ด้วยการตัดสลับช่วงการปูบทให้ตัวละคร และ ฉากการแข่งรถ F1 อันน่าตื่นตา

เช่นเดียวกับการแสดงโดยของ แดเนียล บรูห์ ในบทของ นิกิ เลาด้า สามารถถ่ายทอดคาแรกเตอร์ของตนออกมาได้อย่างน่าขนลุกจนขโมยหนังทั้งเรื่องไปจาก คริส เฮมส์เวิร์ส ได้อย่างไม่มีที่ติ ซึ่งการที่ตัวหนังแบ่งน้ำหนักให้กับทั้ง 2 ละครทั้ง ฮันท์ และ เลาด้า มีความเป็นพระเอกเท่ากัน พร้อมทั้งถ่ายทอดประเด็นภูมิฐานของตัวละคร ฝ่ายหนึ่งเป็นชายหนุ่มเลือดร้อน ขวัญใจมหาชน กับอีกฝ่ายที่เป็นตัวละครนิ่ง สงบ และต้องการแรงขับเคลื่อนในการลงมือทำ ซึ่งจากการถ่ายทอดเรื่องราวของตัวหนัง ทำให้ไม่เพียงรู้สึกเพียงว่า เจมส์ ฮันท์ กำลังขับเคี่ยวอยู่กับ นิกิ เลาด้า แต่การที่ผู้กำกับ รอน ฮาวเวิร์ด ไม่ได้วางให้คนดูอยู่ในฐานะที่พร้อมจะเอาใจช่วยตัวละครทั้ง 2 โดยปล่อยพื้นที่ว่างเหมือนจับเอาคนดูไปวางไว้ในสนามแข่งโดยไม่รู้จะเชียร์ใคร ถือว่าเป็นอีกหนึ่งลูกเล่นของ Rush ที่ตัวเรื่องของหนังอาจจะไม่ได้แปลกใหม่โดยทีเดียว แต่ผู้กำกับ รอน ฮาวเวิร์ด ก็สามารถนำพาตัวหนังชีวประวัติเรื่องนึง ไปอยู่ในจุดที่คนดูไม่เคยคิดเลยว่าจะทำได้

กับการขับเคลื่อนด้วยความเร็วของตัวหนัง พร้อมแสดงให้เห็นถึงกีฬารถแข่งที่อันตรายแต่กลับน่าลิ้มลอง แถมไม่ได้แสดงมันออกมาในรูปแบบของหนัง กีฬา แต่กลับเป็นหนังแอ็คชั่น ที่ไม่ได้สร้างกฏเกณฑ์อะไรให้เราเข้าใจยาก แต่กลับพาให้คนดูไปเข้าถึง และพร้อมจะสนุกกับกีฬาชนิดนี้ ก็จัดได้ว่าเป็นอีกจุดเด่นนึงของ Rush ที่น่าชื่นชมไม่แพ้กับระบบ Sound Mixing ของหนังที่น่าจะได้เข้าชิงออสการ์อย่างแน่นอน

โดยรอบที่ตัวผมได้ดูมานั้นเป็นระบบ 4DX ซึ่งเรื่องนี้จะดูแบบไม่ได้สวมแว่น 3D เพราะตัวหนังไม่ได้สร้างมาเพื่อระบบนั้น แต่โดยรวมถ้าหากถามว่าคุ้มค่าที่จะเข้าไปลองไหมกับตัวระบบเอฟเฟกต์ของหนัง ก็ต้องขอบอกเลยว่าฉากการแข่งรถของ 2 ตัวเอก ระบบเอฟเฟกต์ที่นั่งเบาะสามารถ Sync ให้เข้ากับสถานการณ์ในเรื่อง และ ช่วยเสริมสร้างความสนุกได้มากในระดับนึงทีเดียว โดยเฉพาะฉากการสตาร์ทเครื่อง เลี้ยวโค้ง หรือแม้แต่ชนกระแทก ก็สามารถอำนวยให้เข้ากับมุมกล้องที่ตัวหนังอยากให้คนดูรู้สึกเหมือนลงไปขับรถเองได้ดีไม่แพ้กัน

เพราะฉะนั้นสรุปแล้วผมคิดว่าตัวหนัง Rush จัดได้ว่าเป็นหนังแนวชีวประวัติ ที่ผสมกับฉากแอ็คชั่น ความสนุกของกีฬา F1 ที่อย่างลงตัว ถ่ายทอดเรื่องราวดราม่าของสิงห์นักบิดในรอบด้าน พร้อมกับประโคมฉากการแข่งรถสุดดุเดือดได้อย่างน่าตื่นตา เช่นเดียวกับการแสดงของ แดเนียล บรูห์ ที่สามารถทำให้คนดูรู้สึกถึงคำว่า ‘ทรงพลัง’ อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

9/10
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11/10/13, [11:58:43] โดย จอมใจไร้รัก »
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4209 เมื่อ: 11/10/13, [11:02:54] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ


Gravity : มฤตยูแรงโน้มถ่วง

เป็นหนังอวกาศที่มีปัญหาทั้งในด้านของการถ่ายทำ และ นักแสดง ที่ต้องคัดเลือกนักแสดงให้มาเล่นกันอย่างยาวนาน แต่ก็ไม่มีใครยอมมาเล่น จนกระทั่งมาลงเอยกับ 2 นักแสดงอย่าง จอร์จ คลูนี่ย์ และ แซนดร้า บูลล็อค ในหนังอวกาศทุนสร้าง 80 ล้านเหรียญ ของผู้กำกับ อัลฟรองโซ่ คัวรอน จาก Children of Men ใน Gravity

Gravity – กราวิตี้ มฤตยูแรงโน้มถ่วง เป็นเรื่องราวของแม็ต โควอลสกี้  (จอร์จ คลูนีย์) กับ ดร. ไรอัน สโตน  (แซนดร้า บูลล็อค) ที่ต้องออกไปทำภารกิจในห้วงชั้นอวกาศนอกโลก เรื่องราวจะเป็นอย่างไร พวกเขาจะสามารถมีชีวิตรอดกลับบ้านหรือไม่ ติดตามได้วันนี้ทุกโรงภาพยนตร์

ผู้กำกับ อัลฟรองโซ่ คัวรอน มักจะรู้จักกันดีในนามของผู้กำกับที่ได้ชื่อฉายาว่าเป็นคนที่ทำฉากการถ่ายลองเทค ออกมาได้น่าตื่นตา และ มีศิลปะ เช่น ฉากขับรถก่อนเจอวิกฤติใน Children of Men ที่เป็น ลองเทค ความยาวเกือบ 4 นาที แต่นั้นดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่เรื่องเด็กๆเสียแล้ว เมื่อหนังเรื่องใหม่ของเขาอย่าง Gravity มีฉากลองเทค เปิดตัวหนังยาวนานเกือบ 15 นาที โดยฉากนั้นก็ถือว่าเป็นการเปิดตัวโลกในอวกาศออกมาได้อย่างสวยงาม น่าตื่นตา แบบที่หลายๆคนฝันถึง ก่อนที่มันจะนำพามาซึ่งฝันร้าย เมื่อมีเศษซากชิ้นส่วนของสถานีอวกาศที่พังแล้ว มาพุ่งชนใส่สถานีอวกาศที่พระนางทั้ง 2 กำลังซ่อมแซมอยู่ ก่อนที่หลังจากนั้นตัวหนังจะแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของ อวกาศ ที่เต็มไปด้วยความเงียบ ว่างเปล่า และ ไร้ทางออก ไม่ใช่สถานที่เที่ยวแบบที่ใครหลายคนเคยฝันไว้

โดยบนความเงียบ และ ว่างเปล่า นั้น ผู้กำกับ อัลฟรองโซ่ คัวรอน สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างเต็มที่ในการพยายามถ่ายทอดฉากระทึกกดดัน และทำให้คนดูลุ้นจนตัวโก่งแบบไม่ต้องคิดชีวิต ผ่านการดิ้นรนหนีตายของตัวละคร แซนดร้า บูลล็อค และ จอร์จ คลูนี่ย์ ซึ่งแต่ละฉากนั้นนอกจากจะน่าตื่นตาจนอ้าปากค้าง ยังมี วิชวล เอฟเฟ็กต์ ที่สวยงาม น่าจับตา พร้อมกับมิติการถ่ายภาพรูปแบบอวกาศทั้งในมุมที่สวยงาม และ น่ากลัว พร้อมพยายามสื่อความหมายด้วยภาพอีกหลายๆฉาก ซึ่งนับว่าเป็นมิติใหม่ของหนังอวกาศ ที่สามารถทำออกมาได้เทียบชั้นกับ 2001 Space odyssey

เช่นเดียวกับทางด้านดนตรีประกอบโดย สตีเว่น ไพรส์ ที่สามารถทำให้ตัวหนังทั้งลุ้นระทึกจนตัวเกร็ง และ มีมุมความเหงา สิ้นหวัง ที่น่าจับใจไปในขณะเดียวกัน ซึ่งรวมไปถึงด้านของประเด็นเรื่องการปล่อยวางในตัวหนัง ที่สามารถรวบยอดเข้ากับเนื้อเรื่องได้อย่างไม่ยัดเยียด เข้ากับตัวบทที่ปูมิติทั้งด้านครอบครัว และ ตัวละคร ในทีแรกเช่นเดียวกัน โดยภาพ 3D ของตัวหนังก็ถือว่าเป็นอีกเครื่องมือที่ตัวภาพยนตร์สามารถใช้ประโยชน์จากมันได้เต็มที่ มีทั้งฉากที่ให้ความรู้สึกอึดอีด สิ้นหวัง และรวมไปถึง สวยงาม โดยเฉพาะใครที่ชมในระบบ Imax 3D น่าจะคุ้มกันทีเดียว

ซึ่งทางด้านนักแสดงอย่าง แซนดร้า บูลล็อค และ จอร์จ คลูนี่ย์ ก็ถือว่าสามารถแบกรับหนังพร้อมๆกับ ซีจี ได้อย่างไม่น่าขัดใจอะไรจน โดยเฉพาะ แซนดร้า บูลล็อค ซึ่งถือว่าเป็นหนังที่ทำให้เธอกลับมาโชว์ฝีมือการแสดงได้เต็มที่อีกครั้ง เพียงแค่ผ่านการแสดงสีหน้าของเธอ ก็สามารถถ่ายทอดทั้งมุมของสถานการณ์ตึงเครียด สิ้นหวัง สวยงาม ได้อย่างน่าตื่นตา

เพราะฉะนั้นโดยรวมแล้วผมคิดว่าตัวหนัง Gravity จัดได้ว่าเป็นตัวหนังอวกาศ ที่สามารถเล่นกับสภาพแวดล้อม พร้อมกฏที่ตัวหนังสร้างขึ้นมาได้อย่างตรงไปตรงมา สร้างความระทึกขวัญบนสถานที่ที่ทุกคนอยากไป, สร้างความกดดัน ในสถานการณ์ที่สวยงาม และที่สำคัญคือหนังสามารถใช้ประโยชน์จากทุกด้านที่มีอยู่ในภาพยนตร์ไม่ว่าจะเป็น การถ่ายภาพ, เสียง, มุมกล้อง, นักแสดง ออกมาได้อย่างเต็มที่ จนกลายเป็นหนังที่ยากจะลืมเลือน โดยเฉพาะในระบบ 3D เช่นกัน

พลิคล็อคครับคนคอมเม้นเรื่องนี้ให้คะแนนหนังเรื่องนี้เยอะมาก 8.5/10

ตัวผมเองก้ว่าไม่สนุกน่าเบื่อมาก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11/10/13, [11:58:10] โดย จอมใจไร้รัก »
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4210 เมื่อ: 11/10/13, [11:03:38] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ


21 & Over : 21 ทั้งปาร์ตี้รั่วเวอร์

รู้สึกว่าหลังจากแก๊งค์เมาปลิ้นนำร่องอย่าง The Hangover ดัง ก็จะมีหนังแนวนี้ตามกันมาติดๆ ไล่ตั้งแต่ Project X , Bachelorette รวมถึงเรื่องล่าสุดอย่าง 21 & over ที่พล๊อตต่างๆอาจจะไม่ได้เหมือนกันแบบร่างเดียวกัน แต่หลายๆองค์ประกอบก็ทำให้เราได้กลิ่นหนังแบบ แฮงค์โอเวอร์ อยู่เป็นระยะนั้นเอง

21 & Over เป็นเรื่องราวของ เจฟฟ์ ชาง (จัสติน ชอน) นักศึกษาเกียรตินิยม ที่ดำนินชีวิตตามที่พ่อแม่วางแผน แต่เมื่อ เคซี่ย์ (สกายลาร์ ออสติน) และ มิลเลอร์ (ไมล์ เทลเลอร์) สองเพื่อนสุดแสบ ตัดสินใจเซอร์ไพรซ์ เจฟฟ์ เนื่องในโอกาสอายุครบ 21 ด้วยการพาไปฉลอง แม้ว่าในวันรุ่งขึ้นเขาต้องไปสอบสัมภาษณ์กับโรงเรียนแพทย์ชั้นนำ แต่แล้วค่ำคืนแห่งการสังสรรค์เล็กน้อยก็ได้แปรเปลี่ยนเป็นความบ้า ฮา เพื้ยน และสนุกสุดเหวี่ยง ที่เขาและทุกคน รวมไปถึงคนที่ได้ดูจะไม่มีวันลืมแน่นอนนะ

21 & over เป็นผลงานการกำกับของ จอห์น ลูคัส และ สก๊อตต์ มัวร์ 2 มือเขียนบทจาก The Hangover และ The Change-Up ที่ก้าวมาเป็นผู้กำกับครั้งแรกของเขา ที่ยังคงเอาพล๊อตแนวมึนเมาอย่างที่เขาถนัด มาทำเป็นหนังอยู่เช่นเคย เพียงแต่เปลี่ยนสเกลจากของใหญ่ใน The Hangover มาเป็นของเล็กกับเรื่องที่เกิดกับเหล่าวัยรุ่น ที่ทั้งแก๊งค์อยู่ครบ เพียงแต่หาทางกลับบ้านไม่ถูก ซึ่งโดยส่วนตัวผมต้องขอบอกเลยว่าเป็นคนนึงที่ค่อนข้างชื่นชอบ The Hangover ในภาคแรกเข้าขั้นมาก ไม่ใช่เพียงเพราะบทของตัวหนังที่ออกมาฉลาด และ ตลกร้าย ได้อย่างลงตัว แต่สถานการณ์วายป่วงทั้งหลายที่เหล่าแก๊งค์วูฟแพ็คได้ทำเอาไว้ตลอดการเดินทาง ก็เป็นอีกสิ่งนึงที่เรียกเสียงฮา และ ขายเสน่ห์ จนทำเอานักแสดงนำตอนนี้ได้ดิบได้ดีกันไปคนละแบบ

และก็ดูเหมือนว่า 2 มือเขียนบทดังกล่าว ก็อยากจะขอเดิมตามรอย The Hangover ของตนเองด้วยเช่นกัน เพียงแต่ขอลดเรื่องลงมาให้อยู่ในวัยมหาลัยแทน พร้อมกับเล่นเดิมตามสูตรหนังแนวโร้ด มูฟวี่ เด็กวัยรุ่นตลอดทาง และปิดท้ายที่ด้วยข้อคิด คำคม ที่เก็บให้คนดูเอาไปคิดตามฟอร์ม ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมนั้นก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับหนังสูตรสักเท่าไหร่นัก ถ้าหากมันยังคงทำออกมาได้สนุก และ เรียกเสียงฮา ให้กับคนดูได้อยู่ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่กับใน 21 & Over ที่ถือได้ว่าเป็นหนังอีกเรื่องที่มีวัตถุดิบเกือบจะเพรียบพร้อมแทบทุกอย่าง แต่กลับถ่ายทอดมันออกมาผิดด้าน ผิดไดอะล็อก จนน่าผิดหวัง เริ่มตั้งแต่การดำเนินเรื่องที่ตัดต่อ รวบรับ รวดเร็ว เพื่อให้เข้าไปกับตัวเรื่องได้อย่างกระชับ แถมมันยังเต็มไปด้วยสถานการณ์ที่น่าจะทำออกมาได้สนุก ไม่ว่าจะเป็นการต้องผ่านด่านเพื่อให้ไปถึงตึกบนชั้นสูงสุด , บุกเข้าหอหญิงอึ๋ม หรือแม้แต่ป่วนงานปาร์ตี้ ที่ทั้งหมดตัวสถานการณ์มันก็พร้อมที่จะให้ผู้กำกับนั้นได้เล่นมุกตลกใต้สะดือกันอย่างเต็มที่ รวมไปถึงพฤติกรรมห่ามๆ ของตัวละครด้วยเช่นกัน

แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร อะไรมาอย่างไร ผู้กำกับจึงไม่สามารถทำบทหนังของตัวเองออกมาให้สนุกได้เท่ากับตอนเอาบทของตนเองไปให้คนอื่นทำ ส่วนนึงคงเพราะการใส่มุกตลกผิดช่วง สถานการณ์ผิดเวลา และ ความน่ารำคาญของตัวละครในแบบที่มากเกินงาม ไล่กันไปถึงข้อคิด ของหนัง ที่ยิ่งเหมือนกลับกลายเป็นสิ่งตอกย้ำ และกลายเป็นแนะนำจากการกระทำของตัวละครไปในตัวว่า วัยรุ่นสมัยนี้ควรใช้ชีวิต เวลาทั้งหมดอยู่กับเพื่อน อยู่กับชีวิต มากเกินกว่าจะไปหาความรู้เพื่อเอาไปประกอบอาชีพในอนาคต ซึ่งถ้าหนังนำเสนอสิ่งนี้ในแบบ ความจริง 50% และมุมมองของวัยรุ่นอีก 50% ก็จะเป็นอะไรที่ค่อนข้างมีเหตุผลรองรับ ถึงจะออกมาเปิ่นๆคล้ายเรื่อง Accepted แต่ใน 21 & over กลับนำเสนอในมุมมองของวัยรุ่นทั้งหมด 100% จึงกลายเป็นเหมือนว่าท้ายสุดแล้วตัวหนังมันให้ข้อคิดปิดท้ายกับคนดูที่ดูเหมือนจะยิ่งส่งผลร้ายต่อความคิดของวัยรุ่นบางกลุ่มมากกว่า

แต่ก็อย่างว่า ในเมื่อนี่มันคือหนังตลก คนดูส่วนใหญ่ก็ต้องการความบันเทิงที่ไร้สิ่งหนักสมองให้กลับมาคิดเป็นภาระ และก็ดูเหมือน 21 & over น่าจะทำหน้าที่นั่นให้กับคุณได้ ถึงแม้อาจจะไม่ฮาเท่ากับผลงานการเขียนเก่าอย่าง The Hangover แต่ผมมั่นใจเลยว่าถ้าหากคุณได้ไปดูหนังเรื่องนี้กับเพื่อนสนิท หรือ เพื่อนฝูง คุณน่าจะได้ความสนุกเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว และอาจจะอยากก่อวีรกรรมแบบที่ในหนังทำกันเป็นว่าเล่นเลยก็ได้ครับ

6/10
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11/10/13, [11:57:45] โดย จอมใจไร้รัก »
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4211 เมื่อ: 11/10/13, [11:06:49] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

8MM คร๊าบบ
ถูกต้องครับ  [เจ๋ง] 8MM  ฟิล์มมรณะ
ารค้นหาความจริง ของปริศนาฆาตกรรมเด็กหญิงคนหนึ่ง ที่ปรากฏ บน แผ่นฟิล์ม 8 มิล ของ นักสืบทอม(นิโคลัส เคจ) ที่ได้นำเขาเข้าสู่โลกมืดสุดแสนอันตราย
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4212 เมื่อ: 11/10/13, [11:10:14] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ปล่อยของโหดมั่งละ มาดี้ใครตอบถูกมั่ง 5 เรื่องติดๆ




เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4213 เมื่อ: 11/10/13, [11:10:38] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4214 เมื่อ: 11/10/13, [11:11:18] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4215 เมื่อ: 11/10/13, [11:11:41] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4216 เมื่อ: 11/10/13, [11:12:01] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4217 เมื่อ: 11/10/13, [11:39:28] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
The Conjuring คนเรียกผี หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้น เป็นหนังที่ดูแล้วน่ากลัวมากครับ ให้ 8.5/10
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11/10/13, [11:50:47] โดย เอสวา »
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4218 เมื่อ: 11/10/13, [11:41:04] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
ปัญญาเรณู 3 ตอน รูปู รูปี หนังภาค 3 ที่ยิ่งสร้างยิ่งกร่อย ขาดดาราเด็กที่สำคัญไป 2 คน เรื่องนี้ดูไปไม่ถึงครึ่งเรื่องแล้วไม่สนุกเอาเสียเลย ให้ 5/10 ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11/10/13, [11:53:36] โดย เอสวา »
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4219 เมื่อ: 11/10/13, [12:02:43] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

The Conjuring คอนเจอริ่ง คนเรียกผี

เป็นหนังสยองขวัญแห่งปีจริงๆ เพราะจากคำวิจารณ์ของเมืองนอก ทั้งคนดู และ นักวิจารณ์ ต่างยกให้มันเป็นหนังสยองขวัญที่น่ากลัว ขนลุกซู่ จนต้องติดป้ายประกาศเตือนก่อนเข้าโรงว่า หนังเรื่องนี้อาจทำให้หัวใจวายได้ กับ The Conjuring หรือในชื่อไทยคือ คนเรียกผี

โดย The Conjuring เป็นเรื่องราวของคู่สามีภรรยา นักล่าท้าผี สืบสวนเรื่องราวเหนือธรรมชาติ ที่ถูกเชิญไปที่บ้านหลังนึงที่เพิ่งโดนย้ายเข้าไปอาศัยโดยครอบครัวเล็กๆ ที่ดันไปเจอวิญญาณมืดลึกลับที่ยังคงรอคอยเ­พื่อจะหลอกหลอนอยู่ในบ้าน หลังนี้ โดยมี เวร่า ฟาร์มิก่า และ แพทริค วิลสัน นำแสดง หนังยังมี รอน ลิฟวิงสตัน, โจอี้ คิงก์ และ แม็คเคนซี ฟอย ร่วมแสดงด้วย

The Conjuring เป็นผลงานการกำกับของ เจมส์ วาน จากหนังผีทุนต่ำ ที่สร้างชื่อให้กับเขาอย่าง Insidious รวมไปถึง Saw ในภาคแรกที่ทำให้กลายเป็นเฟรนไซส์สุดโด่งดัง โดยในหนังผีเรื่องใหม่ของเขาอย่าง The Conjuring ก็เป็นหนังผีทุนต่ำเช่นเดียวกับ Insidious เพราะหนังใช้ทุนสร้างไปเพียง 20 ล้านเหรียญ โดยจัดฉากหลังให้อยู่ในปี 1971 ซึ่งเน้นอารมณ์ความเก่า และขายโปรดัคชั่นได้อย่างดีเยี่ยม

ซึ่งสิ่งที่เราสังเกตุได้จากหนังผีของ เจมส์ วาน ตั้งแต่ Insidious มาถึง The Conjuring คือ เขาจะเป็นผู้กำกับหนังผีประเภทที่ว่าไม่เน้นตุ้งแช่ หรือ ทำให้ตกใจ แต่กลับจะค่อยๆบีบคั้นอารมณ์ของคนดูด้วยฉากที่น่าอึดอัด น่ากลัว โดยถึงแม้จะไร้ฉากแหวะ หรือ สะอิดสะเอียน แต่หนังก็สามารถทำให้เราปิดตา และ อุดหู เพราะเกิดความกลัวจากเสียง และ บรรยากาศสภาพแวดล้อมได้อย่างเต็มที่ โดย The Conjuring ก็ถือว่าเป็นหนึ่งในนั้น เพราะถึงแม้ว่าตัวเรื่องจะมาในหนังผีสไตล์เดิมๆที่เราเห็นกันสมัยนี้เลย คือครอบครัวย้ายบ้านแล้วเจอผี เลยต้องเรียกให้ผู้เชี่ยวชาญมาปราบ แต่คงเป็นเพราะผู้กำกับ เจมส์ วาน ที่จัดได้ว่ามือถึงพอ เลยสามารถทำเอาให้หนังสยองขวัญที่ดูเหมือนธรรมดาอย่าง The Conjuring ดูดี มีระดับ และ น่ากลัว ขึ้นมาทันตาเห็น

โดยนอกจากการบีบคั้น และ สร้างสถานการณ์กดดันใน The Conjuring จะออกมาเลิศเลอแล้ว อีกสิ่งนึงที่ตัวหนังสามารถตอบโจทย์ให้กับคนดูได้ดีเลยคือการที่ให้คนดูโดน ‘ผีหลอก’ ด้วยการจัดสร้างสถานการณ์ปลอมๆ ที่เราคงเห็นได้จากหนังสยองขวัญหลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น เปิดตู้เย็นแล้วพอปิดมีคนยืนอยู่ หรือแม้แต่ก้มหน้าล้างหน้า โผล่ขึ้นมาอีกทีมีคนอยู่ข้างหลัง The Conjuring ก็จะจับเอามุกเหล่านั้นมาล้อเล่น และ แกล้งคนดูด้วยความสนุกสนาน โดยเฉพาะสำหรับคนที่กลัวผีคงจะโดนทำเอาหายใจไม่ทั่วท้องไปตลอดทั้งเรื่อง ซึ่งนอกจากลูกเล่นเหล่านี้แล้ว โปรดัคชั่น ก็ถือว่าเป็นอีกสิ่งสำคัญที่ทำให้ The Conjuring ดูหลอน ด้วยสไตล์อารมณ์เก่าๆ เรโทรๆ ของตัวหนังเอง

รวมไปถึงด้านของนักแสดงอย่าง แพทริค วิลสัน และ เวร่า ฟามิก้า ในบท สามี ภรรยา ที่ดูเข้าขาเคมีกันสุดๆ โดยถึงแม้ว่าครึ่งหลังของ The Conjuring อาจจะลดระดับความน่ากลัวในระดับนึงไปบ้างจากครึ่งแรก แต่ถ้าหากจะให้เปรียบเทียบโดยรวมแล้ว ใครที่เป็นคอหนังผี หรือ ชื่นชอบหนังแนวสยองขวัญ The Conjuring น่าจะตอบโจทย์ความสะใจในด้านนี้ให้คุณได้ เช่นเดียวกันกับคนขวัญอ่อน ที่ดูเรื่องนี้แล้วอาจจะหลอน จนไม่กล้าตื่นขึ้นมาตอน ตี 3 7 นาที

8/10
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11/10/13, [12:05:52] โดย จอมใจไร้รัก »
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4220 เมื่อ: 11/10/13, [12:04:58] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

Panya Raenu 3 ปัญญาเรณู 3 รูปู รูปี

เดินทางมาถึงภาคที่ 3 กับ ปัญญาเรณู ที่ครั้งนี้มาในชื่อตอน รูปูรูปี อันเนื่องมากจากเหตุการณ์ส่วนใหญ่ของภาคนี้เกิดขึ้นที่ประเทศอินเดีย ซึ่งครั้งนี้ไม่มีดาราแม่เหล็กอย่าง หม่ำ จ๊กม๊ก และ ตุ๊กกี้ มาร่วมเรียกแขก และที่สำคัญพระเอกทั้งสองภาคก่อนหน้านี้อย่าง ปัญญา ที่รับบทโดย โชติวัตร์ พลรัศมี ก็ไม่ได้ปรากฏตัวในภาคนี้เช่นเดียวกัน ส่วนสาเหตุที่พระเอกปัญญาทำไมถึงไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องในภาค 3 นั้น ก็ลองค้นหาข่าวในกูเกิลดูน่ะครับ

ฉะนั้น ปัญญาเรณู 3 ตอน รูปูรูปี จึงคล้ายเป็นภาคต่อกึ่งรีแบรนด์ให้ตัวเองใหม่โดยใช้ชื่อตอนมาต่อท้าย ที่นักแสดงเด็กที่เคยแสดงในภาคที่แล้ว กลับมาในชื่อใหม่ สุธิดา หงษา จากเรณูก็กลายมาเป็นน้ำขิง บุญฤทธิ์ จันทร์แก้ว หรือบักจอบในภาคที่แล้วก็เปลี่ยนมาเป็นเปเล่ โดยการออกแบบงานสร้างยังให้อารมณ์ปัญญาเรณูดุจเดิม ทั้งการละเล่นแบบบ้านๆ ลูกชาวนา หรือการเรียกเสียงฮาด้วยมุขต่างๆ ก็ยังคงมีอยู่แต่…

ด้วยจดหมายเชิญให้มาทอดผ้าป่าที่พุทธคยาในประเทศอินเดียและอยากนำการแสดง ของไทยมาโชว์ด้วย หลวงพ่อจึงได้นำเหล่าเด็กๆ กลุ่มที่น้ำโดยน้ำขิงและเปเล่ไปยังอินเดียด้วยเพื่อไปทำการแสดงระบำโปงลาง ให้ชาวอินเดียได้ชม การเดินทางเต็มไปด้วยความบันเทิงและเสียงหัวเราะจนกระทั่งมีโจรมาปล้นรถ โดยสารของคณะเดินทาง ทำให้เหล่าเด็กๆ ต้องตกรถ พวกเขาต้องเอาตัวรอดท่ามกลางสถานที่และภาษาที่ไม่รู้จัก

หลังจากที่กลุ่มเด็กได้แยกตัวออกมาจากคณะเดินทาง ทิศทางของเรื่องราวใน ปัญญาเรณู 3 นี้ ก็ค่อยๆ เผยให้เห็นตัวตนของตัวเอง ที่ถือว่ามาในทิศทางที่แตกต่างจาก 2 ภาคก่อนค่อนข้างมาก จากเรื่องราวรักในวัยเด็กระหว่างปัญญาและเรณูที่มาพร้อมเสียงหัวเราะ ในขณะที่มีความจริงจังในตัวกับภารกิจสำคัญของเรื่อง ที่สอดแทรกความเป็นไทยลงไป จนเป็นรสชาติแปลกใหม่ที่ได้รับการบอกต่อของผู้ชมในภาคแรก และต้อนรับที่ดีจากผู้ชมในภาคสอง จนทำให้หนังเดินทางมาถึงภาคสาม

เสน่ห์เดิมๆ ที่เคยมีที่ทำให้ผู้ชมรักหนังเรื่องนี้ ในภาคนี้มันดูจืดจางลงไป มุขฮาที่ได้มาจากการกระทำอันไร้เดียงสาของเด็กหรือสถานการณ์ต่างๆ ในเรื่องก็ดูอ่อนลงไม่ได้โดดเด่นและคมคายเหมือนเดิม รวมถึงประเด็นดราม่าของการเดินทางเพื่อเอาชีวิตรอดของเหล่าเด็กๆ ก็ดูจะมาในเบอร์ที่หนักเกินไป แม้จะมีเด็กอินเดีย กุ๊ดดู กุมาร มาช่วยให้อมยิ้มเล็กๆ กับปัญหาเรื่องราวสื่อสาร แต่ก็ต้องยอมรับว่าการพาหนังมาในทิศทางนี้ทำให้ตลอดการชมครึ่งหลังของหนัง เต็มไปด้วยความอดอัด

หากจะมองอีกมุมมันก็อาจเป็นการทดลองของ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ผู้กำกับของเรื่อง ที่ในเมื่อองค์ประกอบที่เคยมีในภาคก่อนไม่มีในภาคนี้ การทดลองทำอะไรที่มันแตกต่างก็อาจจะเป็นการแผ่วถางทางเพื่อดูว่าคนดูจะคิด เห็นและตอบรับกับทิศทางนี้มากน้อยแค่ไหน เพื่อนำไปใช้กับ ปัญญาเรณู ตอนใหม่ต่อไป (ถ้ามี) ในอนาคต!

แม้จะมีปัญหาจากการนำเสนอเรื่องราวในหนังเพียงไรก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัญญาเรณู 3 ตอน รูปูรูปี มีพัฒนาการในด้านของการเซ็ตฉากถ่ายทำ รวมถึงการตั้งกล้องถ่ายทำที่ออกมาสวยโดดเด่นมาก หนังถ่ายทอดสภาพแวดล้อมในประเทศอินเดียในแบบที่ไม่น่าอภิรมณ์นัก แต่ก็ยังสามารถหามุมมองอันงดงามได้อยู่ ซึ่งต้องถือว่านี่เป็นส่วนที่มีพัฒนาการที่สวนทางกับเรื่องราวในหนังและจะ ว่าไปมันเป็นส่วนที่ดีที่สุดในหนังเรื่องนี้

กลุ่มเด็กกลุ่มใหม่ที่เป็นตัวเดินเรื่องของภาคนี้ ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดีในระดับเอาตัวรอดเท่านั้น ไม่ได้มีเสน่ห์น่ารักแบบที่เราเคยสัมผัสได้ในภาคก่อน ซึ่งจุดนี้คงต้องไปตั้งเครื่องหมายคำถามกับบทภาพยนตร์มากกว่า หนังเป็นเจ้าของฉากจบที่ห้วนๆ พอสมควร ที่เผยให้เห็นฉากสุดท้ายกับการแสดงโปงลางและปล่อยให้ผู้ชมจินตนาการเรื่อง ราวเอาเอง ที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกถูกทอดทิ้งเหมือนหลงทางอยู่ในอินเดียก็ไม่ปาน

4/10
Wars ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #4221 เมื่อ: 11/10/13, [13:09:51] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ปล่อยของโหดมั่งละ มาดี้ใครตอบถูกมั่ง 5 เรื่องติดๆ




เรื่องอะไรครับ ?

ไอ้มดแมง เอ้ยแดง  [on_026]
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4222 เมื่อ: 11/10/13, [14:10:29] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ปล่อยของโหดมั่งละ มาดี้ใครตอบถูกมั่ง 5 เรื่องติดๆ




เรื่องอะไรครับ ?


น่าจะใช้ชื่อเรื่องว่า Kamen rider openning(มีหลายตอน) เป็นต้นเเบบของมดเเดงตัวอื่นๆครับ โดยสองตัวนี้คือ V1 & V2
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4223 เมื่อ: 11/10/13, [17:12:04] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ


น่าจะใช้ชื่อเรื่องว่า Kamen rider openning(มีหลายตอน) เป็นต้นเเบบของมดเเดงตัวอื่นๆครับ โดยสองตัวนี้คือ V1 & V2


ชื่อเรื่องเกือบถูกละครับ อีกนิดครับ
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4224 เมื่อ: 12/10/13, [01:27:02] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ปล่อยของโหดมั่งละ มาดี้ใครตอบถูกมั่ง 5 เรื่องติดๆ




เรื่องอะไรครับ ?
Let's go Kamenrider มาสค์ไรเดอร์ รวมพลังผ่ามิติกู้โลก  เคยเห็นเข้าโรงอยู่ไม่น่่าจะนานนักฃัก 4-5  เดือนที่ผ่านมา
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4225 เมื่อ: 12/10/13, [01:37:34] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ








เรื่องอะไรครับ ?
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4226 เมื่อ: 12/10/13, [01:38:43] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ








เรื่องอะไรครับ ?
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4227 เมื่อ: 12/10/13, [01:39:37] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4228 เมื่อ: 12/10/13, [01:45:27] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?
ค้างทายอยู่ครับ
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4229 เมื่อ: 12/10/13, [02:18:40] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ








เรื่องอะไรครับ ?

Apollo 13 ครับ เรื่องนี้ผมว่าสนุกดีครับ ให้8/10
หน้า: 1 ... 139 140 141 142 143 ... 201   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: