นีลส์ อาร์เดน โอพลีฟ อาจเป็นไม่ใช่ชื่อผู้กำกับที่คุ้นหูนักดูหนังชาวไทยนัก แต่หากบอกว่า The Girl with the Dragon Tattoo ฉบับสวีเดน (ก่อนจะถูกนำมารีเมคโดน เดวิด ฟินเซอร์) กำกับโดยเขาแล้วละก็ น่าจะทำให้เรารู้สึกคุ้นเคยกับเขามายิ่งขึ้น ซึ่งเขาได้โอกาสมาทำหนังที่ใหญ่ขึ้นอย่าง Dead Man Down ที่ให้อารมณ์ของหนังฟีล์มนัวร์ที่เน้นไปที่เรื่องราวการล้างแค้น ที่ผสมผสานกับความรักรูปแบบแปลกๆ ที่มีอะไรให้ลุ้นและสนุกไปกับมันหากไม่ถูกลูกเล่นการเล่าเรื่องทำให้หมดความ สนใจไปเสียก่อน
โคลิน ฟาร์เรลล์ ที่มีงานอย่างต่อเนื่องก็จริง แต่ดูเหมือนขนาดของงานจะไม่ใหญ่โตเหมือนเดิม แต่กับ Dead Man Down ทำให้เรารู้ว่า ฟาร์เรลล์ นั้นเหมาะกับบทมืดๆ แบบนี้แหละ ที่ตัวละครจะต้องมีปมอะไรในจิตใจแต่ต้องเก็บกดเอาไว้รอวันระเบิดออกมา ตัวละครวิคเตอร์เปิดโอกาสให้เขาได้แสดงสีอารมณ์ทางแววตา ที่เต็มไปด้วยความสับสนและเต็มไปด้วยความปวดร้าวในสิ่งที่ตัวเองทำ ในส่วนของแอ็คชั่นเขาก็สามารถทำหน้าที่ดีเช่นเดิม
แต่ภาพรวมของ Dead Man Down จะโดดเด่นกว่านี้ หากหนังเลือกจะสรุปเรื่องราวทุกอย่างด้วยลูกเล่นของแผนการฉลาดๆ และไม่ยัดฉากแอ็คชั่นยิงไม่ยั้งเข้ามาในช่วงท้าย แน่นอนว่ามันช่วยปลุกอารมณ์ที่จวนจะหลับให้ตื่นขึ้นมาลุ้นกับฉากแอ็คชั่นได้ แต่นั่นทำให้ดูเป็นการเพลย์เซฟที่ทำให้คุณค่าของมันไม่ต่างจากหนังแอ็คชั่น แนวนี้ที่ถูกสร้างออกมาอย่างมากมาย!