Aqua.c1ub.net
*
  Sat 02/Aug/2025
หน้า: 1 ... 138 139 140 141 142 ... 201   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: มาเล่นเกมทายภาพจากภาพยนตร์เรื่องดังกัน  (อ่าน 757957 ครั้ง)
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4170 เมื่อ: 10/10/13, [17:09:47] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ก่อนคุณทอมจะถามล๊อตใหญ่(ไม่ทันเเล้ว5555)  ผมขอถามก่อนสัก3-4เรื่องเเบบเบาๆละกันนะครับ  ้hahaha
เรื่องอะไรครับ (ระบุหมายเลยตอนตอบด้วยนะครับ)

1.





2.






3.






4.

1. PACIFIC RIM แปซิฟิค ริม สงครามอสูรเหล็ก

4. After Earth สยองโลกร้างปี

เอาสองเรื่องเบาะๆไปก่อน
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4171 เมื่อ: 10/10/13, [17:12:32] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

Mud – เจ็บปวดเพื่อเรียนรู้

Mud ภาพยนตร์เมื่อปี 2012 ที่ได้รับการยกย่องจากสื่อมวลชนจากการฉายให้ชมที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ เมื่อปี 2012 ว่า “เป็นหนังอเมริกันที่ดีที่สุดที่ฉายในเมืองคานส์ปีนั้น” อาจจะเป็นเขายกย่องตามการตลาดที่มักใช้กับภาพยนตร์ทุกเรื่องที่ได้โอกาสไป เข้าฉายที่งานเทศกาลภาพยนตร์ระดับโลกแบบนี้ แต่โดยแท้จริงไม่ว่าตัวของ Mud เอง จะฉายที่เทศกาลใดหรือปีใด สิ่งที่หนังพยายามสื่อก็เป็นสิ่งที่มีคุณค่าเหนือกาลเวลา…

เจฟฟ์ นิโคลส์ อาจเป็นชื่อที่ไม่คุ้นหูกับคนดูหนังชาวไทยมากนัก เขาเป็นเพียงผู้กำกับอิสระตัวเล็กๆ ในอเมริกา แต่ว่าถ้าใครเคยผ่านตากับภาพยนตร์เรื่อง Take Shelter ซึ่งเป็นผลงานการกำกับของเขา ก็จะรู้ว่าฝีมือของผู้กำกับคนนี้ไม่ธรรมดาเลย ในการใส่มุมมองดำมืดของชีวิตเข้าไปในหนังที่มีเรื่องราวเรียบๆ

Mud เล่าเรื่องราวของ 2 เด็กหนุ่มบ้านมีปัญหาได้แก่ เอลลิส (ไท เชอริแดน) และ เนคโบน (เจคอบ ลอฟแลนด์) ที่วันหนึ่งพวกเขาได้ค้นพบเรือลำหนึ่งค้างอยู่บนต้นไม้ใหญ่บนเกาะเล็กๆ ห่างไกลผู้คน พวกเขาหวังว่ามันจะเป็นฐานที่พักหลีกหนีความวุ่นวายให้กับทั้งสอง แต่แล้วพวกเขากลับพบว่าเรือรำนี้ได้ถูกชายผู้เรียกตัวเองว่า มัด (แมทธิว แม็คคอนาเฮย์) ยึดครองก่อนแล้ว

เอลลิส และ เนคโบน ต้องทำช่วยเหลือมัดให้ในการออกเดินทางอีกครั้งหนึ่งโดยแลกกับการเป็นเจ้าของ เรือ เพียงแต่ว่าการให้ความช่วยเหลือมัดกลับนำมาซึ่งความภยันตรายที่อาจจะทำให้ ชีวิตของพวกเขาต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล!

Mud จัดเป็นหนังแสงสวยอีกเรื่องที่การจัดองค์ประกอบ ของภาพและสอง ทำออกมาได้ดี ทำให้ธรรมชาิติบนเกาะร้างหรือบ้านเมืองแบบชนบทในอเมริกาดูงดงามแบบหม่นๆ ซึ่งเหมาะกับโครงเรื่องดี

หนังดำเนินเรื่องราวด้วยความราบเรียบที่ส่วนตัวมองว่ามันชวนน่าเบื่อ แต่ว่าปริศนาของชายลึกลับอย่างมัด ก็มัดใจเราให้อยากรู้อยากติดตามว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เขาต้องหลบหนีมาใช้ ชีวิตอันโดดเดี่ยวอยู่บนเกาะร้าง หนังค่อยๆ เพิ่มระดับความสัมพันธ์ระหว่างมัด และเอลลิสกับเนคโบน ในลักษณะของการทำงานเพื่อสิ่งตอบแทน แต่ว่าเมื่อระยะเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดประหนึ่งเป็นสหายก็ทำให้ เด็กทั้ง 2 ทำเกินหน้าที่ไปหลายอย่าง และนั่นนำมาซึ่งเรื่องราวที่ค่อยๆ หม่นหมอง ดำมืด เมื่อเบื้องหลังของมัดเผยออกมา

หนังแนวก้าวผ่านพ้นวัย (Coming of Age) มักแสดงให้เห็นถึงการเติบโตจากวัยที่ไร้เดียงสาไปสู่วัยที่ดูเดียงสา โดยผ่านเรื่องราวอันบีบคั้นและที่ทำให้เติบโตขึ้นพร้อมสายตามองโลกที่ เปลี่ยน! ซึ่ง Mud สามารถทำหน้าที่ในส่วนได้อย่างดี ด้วยเรื่องราวที่มีความซับซ้อนและบีบคั้น เป็นหนึ่งในหนังระดับต้นๆ ของหนังประเภทนี้อย่างไม่ต้องสงสัย

เพราะสิ่งที่ทำให้ Mud แตกต่างจากหนังแนวก้าวผ่านพ้นวัยเรื่องอื่นก็คือ ความรัก ซึ่งเป็นประเด็นที่หนักแน่นและขับเคลื่อนตัวละครทุกตัวในเรื่อง แต่เป็นความรักในเรื่องนี้จะเป็นความรักที่ไม่สมหวัง ทั้่งปัญหาระหว่างพ่อแม่ของเอลลิสที่เดินทางมาถึงช่วงสุดท้าย รักครั้งแรกของเอลลิสที่เริ่มต้นอย่างหวานหอมแต่จบลงอย่างไร้สาระ และความรักบริสุทธ์ของมัดที่จบลงด้วยความว่างเปล่า

ไม่ใช่เพียงความสุขสมหวังของความรักถึงจะสามารถขับเคลื่อนคนได้ บางครั้งความรักที่ผิดหวังก็นำมาซึ่งความกระจ่างในหัวใจ ที่พร้อมจะเดินทางต่อไปบนเส้นทางชีิวิตโดยไม่ต้องห่วงพะวงอะไร

หนังเป็นไปตัวสัญลักษณ์ต่างๆ มากมาย ที่หากใครที่นิยมชมชอบการตีความจากสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในหนัง Mud คือหนึ่งในหนังที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง หลายสิ่งหลายในหนังทั้ง เรื่องเล่าตามความเชื่อของมัด รอยสักบนตัวรูปงู สิ่งต่างๆ ที่พบเจอบนเกาะ ทั้งบ่องู เรือบนต้นไม้ ปืน! ทั้งหมดคือความสนุกของหนังเรื่องนี้ ที่พยายามชักชวนให้คนดูให้ความหมายต่อสิ่งเหล่านี้ลงไป ซึ่งการแทนค่านั้นไม่มีถูกไม่มีผิด ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ มุมมองของผู้ชมและคน

Mud นับว่ามีเหล่านักแสดงนำและสมทบที่โดดเด่น นักแสดงเด็กทั้งสอง ไท เชอริแดน และ เจคอบ ลอฟแลนด์ ทำหน้าที่ได้ดีมากๆ โดยเฉพาะในรายของ เชอริแดน เด็กหนุ่มที่หลายคนอาจเคยผ่านตาจาก The Tree of Life (2011) ถือเป็นนักแสดงเด็กที่น่าจับตามองมาก การแสดงสีหน้าและอารมณ์ที่อัดอั้นในหนังนั้นทำออกมาได้อย่างดีเยี่ยม ซึ่งสามารถประชันบทบาทกับ แมทธิว แม็คคอนาเฮย์ ได้อย่างไม่เคาะเขิน

ในส่วนของ แมทธิว แม็คคอนาเฮย์ แม้จะมาในแบบหล่อน้อยไปหน่อย แต่กับบทของมัดที่ต้องดูร้ายและไม่น่าไว้วางใจในครั้งแรก แต่ว่าเมื่อเวลาผ่านไปเรากลับรู้สึกรักตัวละครนี้ ซึ่งถือว่าทำหน้าที่ได้น่าพอใจ นอกจากนี้ยังมีดาราสมทบระดับออสการ์อย่าง รีส วิเธอร์สปูน ที่ช่วยให้บทเล็กๆ ดูมีมิติขึ้นมา

Mud ไม่ใช่หนังดูง่ายหรือดูสนุกเพลิดเพลินตามแบบฉบับหนังซัมเมอร์ แต่เนื้อในของมันนั้นกลับมีคุณค่าที่หนังทั่วไปไม่สามารถให้ได้ และหนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า ชีวิตยามเด็กก็ต้องแปดเปี้ยนและเจ็บปวดบ้างเพื่อที่จะได้มีภูมิต้านทานในการ รับมือกับปัญหาชีวิตอื่นๆ ที่จะตามมายามเมื่อเราเติบโตขึ้น

8.5/10
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4172 เมื่อ: 10/10/13, [17:14:46] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

Olympus Has Fallen – บุกเดี่ยวทวงทำเนียบขาว


การจะสร้างภาพยนตร์ขึ้นมาสักเรื่อง โจทย์ที่จะใช้ในการเขียนบทภาพยนตร์คือสิ่งที่พอจะมองได้ในเบื้องต้นแล้วว่า หนังจะที่จะถูกสร้างออกมานั้นจะไปรอดหรือไม่ เป็นโจทย์ที่ดีพอจะมาทำบทหนังหรือไม่ หรือควรจะเขี่ยมันทิ้งไป แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นเครื่องการันตีว่าโจทย์ใหญ่ อย่างเรื่องการยึดทำเนียบขาว สัญลักษณ์แห่งการปกครองของประเทศสหรัฐอเมริกาจะทำให้ได้บทภาพยนตร์ที่ดี เพราะมองมุมกลับโจทย์แบบนี้ถือเป็นของยากในการคิดและการนำเสนอเสียด้วยซ้ำ หากจะทำให้ออกมาสมจริงอย่างที่สุด

Olympus Has Fallen คือภาพยนตร์ที่ถูกสร้างมาจากแนวคิดข้างต้น เมื่อไมค์ แบนนิ่ (เจอร์ราร์ด บัทเลอร์) อดีตหัวหน้าทีมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของประธานาธิบดี ต้องพบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อทำเนียบขาวถูกโจมตีจากผู้ก่อการร้ายและจับ ตัวประธานาธิบดีเบนจามิน (แอร่อน เอ็กฮาร์ด) เป็นตัวประกัน และตั้งเงื่อนไขที่อเมริกามิอาจตอบรับได้ ความปลอดภัยของประธานาธิบดี ความมั่นคงของสหรัฐอเมริกา และความสงบสุขของโลก อยู่ในมือของไมค์ซึ่งเป็นความหวังเดียวในการแก้ไขสถานการณ์นี้!

หนังเต็มไปด้วยเหตุการณ์อันน่าเหลือเชื่อที่ถูกร้อยเรียงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่การเปิดฉากโจมตีทางอากาศ ไปจนถึงการเข้ายึดทำเนียบขาวของกลุ่มผู้ก่อการร้ายติดอาวุธ การทรยศหักหลัง การจับประธานาธิบดีเป็นตัวประกัน ทั้งหมดนี้ถูกถ่ายทอดออกมาด้วยอัตราเร่งอันสูงสุดแบบไม่ให้หยุดพักหายใจ จนเรามองข้ามปัญหาหลายๆ อย่างไป

ต้องชื่นชมกับผู้กำกับ แอนท่อน ฟูควา ที่สามารถทำให้การบุกเข้ายึดทำเนียบขาวเต็มไปด้วยความลุ้นระทึก ตื่นเต้น และสนุกกับสถานการณ์ที่บีบบังคับและเงื่อนไขที่จำกัดลงเรื่อยๆ เราคงต้องมองข้ามความเป็นไป ได้ของการวางแผนเข้าโจมตีทำเนียบขาวออกไป (เพราะไม่น่าเชื่อว่าการข่าวของอเมริกาจะแย่ถึงเพียงนั้น หลังจากที่อเมริกาได้ผ่านอะไรเลวร้ายมา) แต่กระนั้นหนังกลับมาตกม้าตายในจุดสำคัญ เราจะเห็นว่าเงื่อนไขของผู้ก่อการร้ายนั้นไม่ชัดเจนว่าต้องการให้กองทัพ อเมริกาถอนกำลังทหารหรือต้องการรหัสเพื่อกุมอำนาจที่อาจนำไปสู่การ เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก หรือทั้งสองอย่าง!

ปัญหาเกิดขึ้นจากตรงนี้เมื่อรหัส 3 ส่วน ที่อยู่ในมือผู้บริหารระดับสูงของสหรัฐ ที่แสดงให้ถึงความลำบากและความโหดร้ายกว่าจะได้มา และรหัสสุดท้ายนั้นอยู่ในตัวประธานาธิบดีซึ่งน่าสนใจว่าเหล่าผู้ก่อการร้าย จะรีดเร้นรหัสจากประธานาธิบดีด้วยวิธีไหนในเมื่อไมค์ได้จัดการกับเงื่อนไข นี้ไปแล้ว ซึ่งอาจส่งให้เรื่องราวเข้มข้นมากยิ่งขึ้น แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อหนังหาทางออกกับจุดนี้อย่างรวบรัดจนอาจกล่าวได้ว่ามัก ง่ายไปนิด!

หนังพยายามได้ดีกับการสร้างตัวละครพระเอกและผู้ร้าย กับอดีตเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่เคยปฏิบัติภารกิจผิดพลาด ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นฝังใจและหวังจะได้โอกาสในการแก้ตัวสักครั้ง เจอร์ราร์ด บัทเลอร์ ทำหน้าที่ได้ดีอีกครั้งกับพระเอกแอ็คชั่นที่เก่งกาจระดับซูเปอร์ฮีโร่ ที่ต้องบุกเดี่ยวเข้าทำเนียบขาาว กับตัวละครฝ่ายผู้ร้ายที่แสดงโดย ริค ยุน ก็ดูเป็นผู้นำกลุ่มก่อการร้ายที่โหดถึงใจ ที่ช่วยเพิ่มความเข้มข้นให้กับเรื่องได้ดี จะมีผิดหวังก็แต่ แอร่อน เอ็กฮาร์ด ที่บุคลิกลักษณะของเขาไม่ได้มีราศีของนักการเมืองเลย นั่นทำให้เรายิ่งไม่เชื่อในบทประธานาธิบดีของเขา

ผู้สร้างพยายามหลีกเลี่ยงที่แสดงให้เห็นแบบชัดเจนว่า ผู้ร้ายที่มาโจมตีทำเนียบขาวนั้นมาจากประเทศอะไร หนังเพียงให้ข้อมูลถึงชาติกำเนิดของผู้ก่อการร้ายเท่านั้นและพยายามให้เห็น ว่าการกระทำนี้เป็นการกระทำเฉพาะบุคคล ซึ่งนับเป็นแนวคิดที่ดีของผู้สร้างหนังประเภทนี้ ที่จะไม่ตีตราว่าประเทศอื่นคือผู้ร้าย อเมริกาคือพระเอก และแม้หนังจะแอบจิกกัดอเมริกันให้รู้สึกแสบๆ คันๆ แต่สุดท้ายหนังก็ยังคงไม่พ้นร่มเงาของหนังประเภทนี้ที่อดไม่ได้กับการเชิดชู ความยิ่งใหญ่ของอเมริกา

Olympus Has Fallen สามารถตอบโจทย์ในเรื่องของความบันเทิงได้เป็นอย่างดี และนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับผู้ชมคอแอ็คชั่นที่ได้ภาพยนตร์ลุ้นระทึก ตื่นเต้น ดูสนุก มาอีกเรื่องหนึ่ง

7/10
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4173 เมื่อ: 10/10/13, [17:15:45] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

Hummingbird  [เจ๋ง] เรื่องที่เหลือไม่เคยดูครับ 5555
To คุณทอม :: เรื่อง EPIC สนุกมั้ยครับ ??
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4174 เมื่อ: 10/10/13, [17:16:36] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

Epic – หนังสงครามคนใบไม้พิทักษ์ผืนป่า

ในขณะที่หลายคนในวงการภาพยนตร์และอนิเมชั่นมองว่าช่วงเวลานี้คือ ขาลงของสตูดิโอพิกซ่าร์ ก็ดูเหมือนว่าสตูดิโออนิเมชั่นอื่นๆ จะถือโอกาสนี้ค่อยๆ พัฒนาฝีมือทั้งการอนิเมทภาพ บทภาพยนตร์ ขึ้นมาให้ทัดเทียมพร้อมสร้างฐานแฟนคลับให้ขยายวงกว้างมากยิ่งขึ้น สตูดิโอบลูสกาย ผู้สร้างอนิเมชั่นอันโด่งดังอย่าง Ice Age ก็คือหนึ่งในผู้ผลิตอนิเมชั่นที่น่าจับตามองและกับ Epic อนิเมชั่นเรื่องล่าสุดนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งที่น่าพอใจของสตูดิโอแห่งนี้

Epic ถูกดัดแปลงมาจากหนังสือสำหรับเด็กเรื่อง The Leaf Men and the Brave Good Bugs ของนักเขียนชาวอเมริกัน วิลเลี่ยม จ๊อยซ์ ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็ได้ผู้เขียนเรื่องมาเป็นส่วนหนึ่งของทีมพัฒนาบทอีกด้วย หนังกำกับโดย คริส เว็ดจ์ ผู้กำกับ Ice Age (2002) ภาคแรกและ Robots (2005) เล่าเรื่องของ แมรี่ แคธเทอรีน (อแมนด้า เซย์ฟรีด) ลูกสาวของ ศาสตราจารย์บอมบ้า (เจสัน ซูเดคิส) ผู้หมกมุ่นกับการค้นหามนุษย์จิ๋วในป่าใหญ่จนทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัว ต้องพังทลาย แมรี่ได้เดินทางมาหาพ่อเพื่อหวังให้ชีวิตครอบครัวกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง

แต่แล้วกลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันทำให้เธอเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของสงคราม ระหว่างลีฟแมนและบ็อกแก้นส์ โดยมีผืนป่าเป็นเดิมพัน แมรี่ต้องร่วมมือกับ ลีฟแมนหนุ่มนามน็อต (จอช ฮัทเชอร์สัน) และ โรนิน (โคลิน ฟาร์เรลล์) หัวหน้ากลุ่มลีฟแมน เพื่อนำผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์กลับคืนมา และเพื่อโอกาสกลับสู่โลกของเธอ

หนังโดดเด่นด้วยการออกแบบงานสร้างที่เก๋ไก๋ ทุกส่วนของหนังเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ ทั้งการออกแบบเครื่องแต่งกายของตัวละครที่งดงามกลมกลืนไปกับธรรมชาติ ความละเอียดของงานสร้างในการเลือกใช้แสงเงาในบางส่วนบางพื้นที่ของป่า ทำให้ผืนป่าสีเขียวที่ดูเหมือนๆ กัน มีความแตกต่่างและงดงามอย่างยิ่ง

อนิเมชั่นช่วง 2 – 3 ปีหลัง ได้งานภาพ 3 มิติ เข้ามาเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อนิเมชั่นมีมิติเชิงลึกและทำให้ภาพสวยสดของอนิ เมชั่นมีความดึงดูดสายตาผู้ชมมากยิ่งขึ้น หนังไม่ได้มีฉากพุ่งทะลุจออะไรบางมากมาย แต่เล่นกับมุมลึกของภาพที่ขับภาพที่อยู่ตรงหน้าเราให้โดดเด่นยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นวิธีเล่นการเล่นกับภาพ 3 มิติ ที่น่าสนใจและไม่จำเจ

หนังเล่าเรื่องราวเป็น 2 ส่วน หนึ่งคือสงครามมนุษย์จิ๋วระหว่างลีฟแมนและบ็อกแก้นส์ในป่า และสองคือความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยราบรื่นระหว่างพ่อกับลูก

ในส่วนของสงครามมนุษย์จิ๋วนั้นถูกบอกเล่าอย่างตรงไปตรงมา แบ่งเป็นสองฝ่ายแบบชัดเจนทั้งสีสันเครื่องแต่งกายและหน้าตา การต่อสู้ระหว่างฝ่ายผู้พิทักษ์รักษาผืนป่าและผู้ทำลาย ซึ่งโดดเด่นด้วยฉากสงครามสุดยิ่งใหญ่อลังการ ซึ่งฉากสงครามถือเป็นการงานยากของการสร้างอนิเมชั่น เพราะมันเต็มไปด้วยรายละเอียดอันซับซ้อน ซึ่งถือเป็นสิ่งที่น่าทึ่งที่สตูดิโอบลูสกายทำออกมาได้และเป็นส่วนที่น่า จดจำเมื่อพูดถึงอนิเมชั่น Epic

อีกด้านที่หนังเล่าคือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก ที่ถูกใส่เข้ามาเพื่อเพิ่มมิติให้กับตัวละครมนุษย์ทั้งแมรี่และศาสตราจารย์ บอมบ้า ซึ่งการบอกเล่าปมปัญหาของทั้งสองยังดูเบาบางและไม่หนักแน่นพอ เลยทำให้ไม่รู้สึกซาบซึ้งอะไรเมื่อยามพ่อลูกกลับมาเข้าใจกันและกัน (แต่ที่เห็นได้ชัดเจนเลยคือหนังกำลังบอกว่า ผู้ชายที่หมกมุ่นกับหน้าที่การงานมากไปจะโดนหญิงทิ้งเอาได้ง่ายๆ ฉะนั้นหากไม่อยากโดนทิ้ง ผู้ชายก็ควรแบ่งเวลาเรื่องงานและเรื่องครอบครัวให้ดีน่ะครับ)

หนังทำได้ดีในส่วนของการดำเนินเรื่องที่ทำได้ดี แม้จะมีช่วงเนือยๆ ไปบ้างกับการเล่าเรื่องราวของโลกมนุษย์จิ๋ว แต่เมื่อผ่านขั้นตอนการให้ข้อมูลแก่ผู้ชม หนังก็พาเข้าสู่การผจญภัยที่ทำออกมาได้สนุกตื่นเต้นและมีลุ้นเป็นระยะๆ ไปจนจบ นอกจากนี้ยังสอดแทรกอารมณ์ขันเจ้ามาเป็นระยะกับเจ้าทาก มั๊บ และหอยทาก กรั๊บ ที่ถือเป็นตัวขโมยซีนในเรื่องนี้อย่างแท้จริง ซึ่งออกแบบบุคลิกของตัวละครออกมาได้น่ารักทั้งคู่แต่ยังไม่ถึงที่สุด! เพราะตัวละครที่น่ารักที่สุดในเรื่องก็คือ เจ้าสุนัข 3 ขา ที่มีเสน่ห์เหลือหลาย ได้แต่หวังว่าทางสตูดิโอบลูสกายจะขยายเรื่องราวของมันออกมาเช่นเดียวกับ เจ้าสแคร์ท ใน Ice Age ให้เราได้ติดตามเรื่องราวของมันต่อไป

สภาวะโลกร้อน อากาศที่แปรปรวน ทรัพยากรธรรมชาติที่ถูกทำลาย ที่ยังเป็นอยู่ในทุกวันนี้ การรณรงค์เพื่อให้คนเกิดจิตสำนึกในรูปแบบปกติอาจจะไม่ได้ผลเสียแล้ว การใช้รูปสื่อแบบอื่น เช่น ภาพยนตร์ สามารถเข้าถึงและจับต้องได้ง่ายกว่า ซึ่ง Epic ก็คือภาพยนตร์ที่เดินมาบนเส้นทางนี้ ที่มอบความบันเทิงในเบื้องหน้าโดยแฝงเรื่องราวของการต่อสู้เพื่อคงความงดงาม และอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติไว้เบื้องหลัง แม้ไม่อาจวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรมว่าจะสามารถกปลูกจิตสำนึกหรือไม่ แต่อย่างน้อยเด็กและเยาวชนที่เข้าไปชมอนิเมชั่นเรื่องนี้ ก็อาจมีอะไรบางอย่างในหนังที่กระทบใจเขา จนก่อเกิดเป็นรูปธรรมในอนาคตเมื่อเขาเติบโตขึ้น!

กล่าวโดยสรุป Epic แม้ไม่ใช่งานที่ดีที่สุดของสตูดิโอบลูสกาย (หากเทียบกับอนิเมชั่นชุด Ice Age) แต่มันก็คืองานที่มีดีในตัวมีความยิ่งใหญ่สมชื่อ ที่ไม่ต้องมานั่งพร่ำสอนในเรื่องของการอนุรักษ์ธรรมชาติแต่เน้นใช้ความ สวยงามของงานสร้างสรรค์อนิเมชั่นเพื่อแสดงให้เห็นว่า ธรรมชาตินั้นช่างงดงามและควรค่าที่เราทุกคนควรจะดูแลรักษามากแค่ไหน? ซึ่งผู้ชมทุกคนคือผู้ให้คำตอบ!

7.5/10
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4175 เมื่อ: 10/10/13, [17:17:49] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

Hummingbird  [เจ๋ง] เรื่องที่เหลือไม่เคยดูครับ 5555
To คุณทอม :: เรื่อง EPIC สนุกมั้ยครับ ??


หนังดีทีเดียวครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4176 เมื่อ: 10/10/13, [17:19:26] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

Hummingbird – คนบาปไถ่ถอนแค้น

Hummingbird ถือเป็นงานที่ต่างออกไปของ เจสัน สเตแธม มันเป็นงานที่เรียกใช้ฝีมือทางการแสดงทางอารมณ์และสีหน้ามากกว่าลีลาต่อยเตะแบบปกติในหนังของเขา ทำให้เรารู้ว่า เจสัน ไม่ใช่นักแสดงที่ขายแต่ฝีมือทางด้านแอ็คชั่นเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถแสดงอารมณ์ความรู้สึกออกมาได้ในระดับที่น่าพอใจเลยทีเดียว

แต่กระนั้น Hummingbird ก็ไม่ใช่งานที่ขายความบันเทิงแต่อย่างใด ซึ่งอาจทำให้ใครที่หวังจะมาดูฉากแอ็คชั่นแบบถึงลูกถึงคนตามสไตล์พระเอกหัวผม น้อยแล้วละก็ อาจจะต้องผิดหวังกับหนังเรื่องนี้

Hummingbird เป็นผลงานกำกับของ สตีเว่น ไนท์ อดีตผู้เขียนบทภาพยนตร์อย่าง Dirty Pretty Things และ Eastern Promises ที่ผันตัวเองมากำกับหนังเป็นครั้งแรก หนังเล่าเรื่องราวของ โจอี้ โจนส์ (เจสัน สเตแธม) อดีตทหารหน่วยรบพิเศษประจำอัฟกานิสถาน ที่หนีศาลทหารกลับมาที่อังกฤษ และหวังจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง เพียงแต่ว่าเขายังมีเรื่องราวความแค้นที่ต้องสะสางให้สำเร็จเสียก่อน และนั่นทำให้เขาได้พบกับ คริสติน่า (อากาต้า บูเซ็ก) แม่ชีที่ดูแลสถานสงเคราะห์ จนเกิดเป็นความสัมพันธ์ที่แตกต่างระหว่างทั้งสอง

การที่สองตัวละครหลักมีสถานะที่แตกต่างกัน คนหนึ่งเป็นคนหนีทหารมือเปื้อนเลือด กับอีกคนเป็นผู้รับใช้ศาสนา เปิดโอกาสให้หนังได้เล่นกับการตั้งคำถามในเรื่องของความดีเลวและศีลธรรม แต่กระนั้นหนังก็นำประเด็นนี้มาเล่นเพียงผิวเผินเท่านั้น

เพราะหนังเลือกที่จะจับเรื่องประเด็นที่ง่ายกว่าอย่าง ‘ความรัก’ โดยใช้ความแตกต่างของคนทั้งสองมานำเสนอได้น่าสนใจพอสมควร กับโจอี้ โจนส์ ที่เป็นตัวละครสีเทาๆ ที่แสดงให้เห็นทั้่งด้านดีและด้านเลวร้าย ในขณะที่แม่ชีคริสติน่า ก็มีความอัดอั้นบางอย่างในตัวอันเนื่องจากการเข้ามาสู่ศาสนาด้วยเหตุผลทาง กฎหมายไม่ใช่จากศรัทธา ทั้งสองไม่ส่วนเติมเต็มของกันและกัน ที่ทำให้ความสัมพันธ์ประหลาดนี้น่าเอาใจช่วย เพราะเหมือนเป็นการปลดปล่อยตัวละครให้ไม่มีอะไรติดค้างในใจ จนนำมาบทสรุปตอนท้ายในทิศทางที่ถือว่าลงเอยได้ดีทั้งสองฝ่าย

ฉากแอ็คชั่นในเรื่องนี้ มีเพียงแค่ให้เห็นบุคลิกที่แสนอันตรายของโจอี้ โจนส์ เท่านั้น ไม่ได้ต้องการใส่มาเพื่อสนองผู้ชมแต่อย่างใด แต่เพราะความแข็งแกร่งของโจนส์ทำให้การแก้ปมของเขา ไม่มีอะไรให้ลุ้นให้ตื่นเต้น

นอกจากนี้หนังยังมีประเด็นของ เรื่องของความดีและความเลว แม้มาตรวัดทางศาสนาจะมองว่าการฆ่าคือบาป แต่บางครั้งเราก็ไม่อาจกล่าวโทษได้ว่ามันคือเจตนาของการตัดสินใจ หากเราได้รับรู้เรื่องราวเบื้องหลังอย่างกรณีของคริสติน่า รวมไปถึงการล้างแค้นของโจนส์ ที่มองเป็นสีเทาๆ บางทีเราอาจเห็นใจและอาจสนับสนุนสิ่งที่พวกเขาทำ แต่กระนั้นหนังก็ไม่ได้บอกว่า

สิ่งที่ตัวละครในเรื่องทำคือสิ่งที่ถูกต้อง แต่หนังตั้งคำถามเพื่อให้ผู้ชมเป็นผู้ตอบว่า ความดีเลวในแบบของคุณคืออะไร?   แม้ในภาพรวมหนังจะเล่าเรื่องแบบล่องลอยไปนิด แต่มันก็เป็นหนังที่ทำให้เราได้เห็นอีกแง่มุมหนึ่งทางการแสดงของนักแสดงที่ ชื่อ เจสัน สเตแธม และถึงจะเป็นการกำกับเรื่องแรกของ สตีเว่น ไนท์ ในมุมมองผมถือว่าสอบผ่าน เพราะถือเป็นผู้กำกับที่เลือกจะเล่าประเด็นยากๆ ไม่ค่อยมีใครเขาทำกัน ซึ่งน่าติดตามในผลงานชิ้นต่อไปว่าจะดีขึ้นหรือไม่!

อนึ่งชื่อหนัง Hummingbird ที่ในเรื่องคือ ชื่อเรียกขานของเครื่องบินสอดแนมแบบไร้คนขับที่ใช้ในประเทศอัฟกานิสถานที่ พระเอกของเรื่องไปประจำการ ซึ่งอันที่จริงก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เท่าไรนักนอกจากฉากหลอนของโจน ส์ในตอนต้นเรื่อง ที่หากใครจะตีความก็ดูจะไม่จำเป็นและเสียเวลาเปล่า หนังควรจะใช้ชื่อ Redemption (การไถ่ถอน การชดใช้ การชำระล้าง) ที่ใช้ประชาสัมพันธ์ที่อเมริกาจะดู

6.5/10
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4177 เมื่อ: 10/10/13, [17:19:57] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

1. PACIFIC RIM แปซิฟิค ริม สงครามอสูรเหล็ก

4. After Earth สยองโลกร้างปี

เอาสองเรื่องเบาะๆไปก่อน

ถั่วต้มครับ

 PACIFIC RIM



 After Earth


บวกให้เรียบร้อยครับสำหรับคำตอบที่ถูกต้อง ^^
ของผมหนังคงค้างเหลือ2เรื่องครับ



หนังดีทีเดียวครับ
ต้องดูซะหน่อยละครับ ขอบคุณค้าบบคุณทอม  [เจ๋ง]
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4178 เมื่อ: 11/10/13, [00:43:47] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
Oz Great And Powerful มหัศจรรย์พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่
ปล.ในรูปมีชื่อเรื่องเกือบทุกรูปเลยนะ แก้ไขหน่อย
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4179 เมื่อ: 11/10/13, [00:48:39] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

Oz Great And Powerful มหัศจรรย์พ่อมดผู้ยิ่งใหญ่
ปล.ในรูปมีชื่อเรื่องเกือบทุกรูปเลยนะ แก้ไขหน่อย


ไม่เห้นมีชื่อเลยพี่ย้อนไปดูละ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4180 เมื่อ: 11/10/13, [00:52:42] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

Oz The Great and Powerful – มายาลวงของออซ

จะด้วยต้นฉบับที่ทำไว้ได้ดี ที่ทั้งเพลิดเพลิน เปี่ยมจินตนาการ หรือแฝงแง่งามที่สะท้อนสภาพคนและสังคมอเมริกาในยุคสมัย ค.ศ. 1939 กับภาพยนตร์ The Wizard of Oz การที่จะมารีเมคใหม่หรือสร้างภาคต่อก็อาจจะทำได้ลำบากหรืออาจจะเกรงใจ (หรือกลัวเจ๊ง!?) การเลือกมองมุมกลับจากการสร้างภาคต่อหรือรีเมค ลองหยิบบางมุมในหนังต้นฉบับมาขยายและสร้างเป็นภาคก่อนหน้าอาจจะเป็นทางที่ เข้าท่ากว่า!

การมาลองชิมลางกับหนังแนวแฟนตาซีผจญภัยของ แซม ไรมี่ ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจ และยิ่งเป็นงาน 3 มิติ มันจึงยิ่งน่าสนใจเข้าไปใหญ่ว่าจะทำออกมาได้ดีแค่ไหน จะสังเกตว่าช่วงปี 2 ปีนี้ เราจะเห็นผู้กำกับชื่อดังมือฉมังหลายรายมาลองงาน 3 มิติกัน ทั้่ง มาร์ติน สกอร์เซซี่, อังลี่, จอส วีดอน, ทิม เบอร์ตัน เป็นต้น ซึ่งต่างก็ทำออกมาได้ดี!

เรื่องราวใน Oz: The Great and Powerful เล่าเรื่องการก้าวขึ้นไปสู่ผู้ยิ่งใหญ่ของพ่อมดออซ ที่ปรากฎใน The Wizard of Oz ซึ่งมีชื่อเต็มๆ ว่า ออซการ์ ดิ๊ก (เจมส์ ฟรังโก้) นักมายากลตกอับในแคสซัส ได้เกิดอุบัติเหตุถูกพายุพัดพาไปยังดินแดนออซ ดินแดนมหัศจรรย์ที่มีชื่อเหมือนกันกับเขา ออซถูกเข้าใจว่าเขาคือพ่อมดผู้ยิ่งใหญ่ผู้จะมาเป็นกษัตริย์และปลดปล่อยเมือง มรกตจากอันตรายจากแม่มดร้ายซึ่งเป็นผู้สังหารกษัตริย์องค์ก่อน ที่ทำให้เขาต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเขาคือผู้ยิ่งใหญ่จริงหรือไม่

หนังเปิดเรื่องด้วยภาพขาวดำที่ดั่งการคารวะแก่ The Wizard of Oz หรืออีกนัยหนึ่งเป็นการสื่อถึงชีวิตอันไม่มีสีสันและไม่น่าอภิรมณ์นักของออซ ก่อนจะเป็นฉากที่มีสีสันเมื่อบอลลูนเข้าสู่ดินแดนออซที่เป็นสิ่งที่ออซวาด ฝันมาตลอด กับการเป็นบุคคลที่สำคัญและมีเงินทองไม่รู้หมด!

สิ่งที่น่าชื่นชมใน Oz: The Great and Powerful มีด้วยกัน 3 สิ่ง ที่ควรเ่อ่ยถึง สิ่งแรกได้แก่ การออกแบบงานสร้าง ที่สามารถออกแบบสภาพแวดล้อมในดินแดนออซทั้่งสิ่งมีชีวิต พืช และสิ่งปลูกสร้างได้อย่างสร้างสรรค์และน่าตื่นตาตื่นใจ งาน 3 มิติ ก็ถูกนำมารับใช้เรื่องราวและฉากต่างๆ ได้อย่างคุ้มค่า หรืออาจจะต้องกล่าวว่านี่คือมาตรฐานปัจจุบันของงาน 3 มิติ ที่ควรจะทำได้แบบนี้ เรียกได้ว่า แซม ไรมี่ ทำหนัง 3 มิติ ออกมาได้ดีทีเดียว

สิ่งที่ 2 คือ การคัดเลือกนักแสดงหรือถึงการสร้างตัวละคร เจมส์ ฟรังโก้ ในบท ออซ นักมายากลจอมหลอกลวง ที่แสดงบทของคนเจ้าเล่ห์ หน้าเงิน และเห็นแก่ตัว ได้อย่างที่ทำให้เรารู้สึกรังเกียจ แต่เมื่อหนังดำเนินไปและค่อยๆ เปลี่ยนเขา ก็ทำให้เรากลับมาเอาใจช่วยให้เขาสามารถกู้ดินแดนออซให้ได้ ในขณะที่ทั้่ง 3 แม่มดทรงเสน่ห์ ธีโอโดร่า (มิล่า คูนิส) เอวาโนร่า (ราเชล ไวล์ซ) และ กลินดา (มิเชล วิลเลี่ยมส์) ทุกคนต่างขึ้นกล้องมากและนักแสดงสาวสวยทั้ง 3 ยังมอบการแสดงที่ไม่น่าเบื่อแถมชวนติดตามได้ตลอด

ในขณะที่การสร้างตัวละคร ตุ๊กตากระเบื้องสาว และ ฟินลี่ย์ลิงบินได้ ทำออกมาได้น่าประทับใจจริงๆ และมีตัวตน เพราะสองตัวละครนี้นอกจากจะเป็นส่วนของมุขตลกในเรื่องแล้วยังเป็นส่วนหนึ่ง ที่ช่วยพาหนังให้เดินไปข้างหน้า

สิ่งที่น่าชื่นชมสิ่งสุดท้ายก็คือ แซม ไรมี่ ผู้กำกับ เพราะเขาทำให้ Oz: The Great and Powerful เหมือนดั่งสวนสนุกที่ชื่อดินแดนออซ ที่การลำดับเรื่องมีความหลากหลายไม่ต่างกับเครื่องเล่นสวนสนุก ทั้งการผจญภัย เรื่องราวความรักทั้งสมหวังและผิดหวัง ความน่าพรึงของแม่มดร้าย การต่อสู้เพื่อทวงคืนเมืองมรกต ที่ลำดับเรียบง่ายไม่ซับซ้อนแต่ก็มีความยอกย้อนให้เซอร์ไพรซ์เล็กๆ

และก็ตามขนบของ Disney ที่ต้องมีการสอดทแรกอะไรบางอย่างที่กินใจและได้แง่คิด ซึ่งใน Oz: The Great and Powerful นี้ก็เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนทัศนคติของชีวิต การเสียสละ การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม และเหนืออื่นใดคือการเชื่อมั่นในความดีและคุณค่าที่มีอยู่ในตัวเอง

ท้ายที่สุด Oz: The Great and Powerful ก็คือหนังเพื่อความบันเทิงโดยแท้ ผู้ที่ไม่เคยชม The Wizard of Oz ก็สามารถสนุกไปกับภาพอันงดงามและเรื่องราวได้อย่างเพลิดเพลินบันเทิงใจ แต่หากเคยชมหนังต้นฉบับเมื่อปี 1939 ก็สามารถสนุกกับรายละเอียดบางอย่างที่ผู้กำกับไรมี่ใส่เข้ามาที่เป็นส่วน ขยายหรือส่วนเติมเต็มให้กับหนังออซอีกเรื่องหนึ่ง!

ด้วยผลลัพธ์ออกมาที่น่าพอใจกับหนังที่เป็นความบันเทิงระดับครอบครัวอย่างที่เห็น Disney ก็คงไม่ต้องกลัวกับแผนการสร้างภาคต่อหรือว่าการรีเมคเรื่องราวการผจญภัยใน ดินแดนออซแล้ว ซึ่งจากข่าวที่ได้ติดตามก็ดูเหมือนว่าจะมีความเป็นไปได้สูงเสียด้วยที่จะมี ภาคต่อให้ได้ชมกันในอนาคต!

6.5/10
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4181 เมื่อ: 11/10/13, [00:54:07] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

1. PACIFIC RIM แปซิฟิค ริม สงครามอสูรเหล็ก

4. After Earth สยองโลกร้างปี

เอาสองเรื่องเบาะๆไปก่อน

ฤดูที่ฉันเหงา  Love In The Rain เป็นหนังที่ไปดูแล้วเสียดายตังส์มากเลย คาดหวังกับหนังของแดนมากพอสมควรแต่ผิดหวังสุดๆ สู้คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ไม่ได้เลย  ให้ 6/10 ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4182 เมื่อ: 11/10/13, [00:54:21] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4183 เมื่อ: 11/10/13, [00:55:14] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ไม่เห้นมีชื่อเลยพี่ย้อนไปดูละ
เวลา Copy รูปเรื่องอ่ะ ลองดุนะ

จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4184 เมื่อ: 11/10/13, [00:56:11] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4185 เมื่อ: 11/10/13, [00:57:49] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

เวลา Copy รูปเรื่องอ่ะ ลองดุนะ




 [on_026] [on_026] [on_026] ผมใส่ไว้เองแหละกลัวลืมเด่วงานหน้าแก้ไขให้ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4186 เมื่อ: 11/10/13, [00:59:27] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4187 เมื่อ: 11/10/13, [01:00:01] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4188 เมื่อ: 11/10/13, [01:00:38] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4189 เมื่อ: 11/10/13, [01:03:42] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ


ฤดูที่ฉันเหงา  Love In The Rain เป็นหนังที่ไปดูแล้วเสียดายตังส์มากเลย คาดหวังกับหนังของแดนมากพอสมควรแต่ผิดหวังสุดๆ สู้คืนวันเสาร์ถึงเช้าวันจันทร์ไม่ได้เลย  ให้ 6/10 ครับ


ถูกต้องครับ เรื่องนี้ผมว่าไม่สนุกเท่าไหร่ เเต่ก็โอเคอยู่ครับ 5555
 [เจ๋ง] บวกให้สำหรับคำตอบที่ถูกต้องเเล้วนะครับ

ของผมเหลือคงค้าง1เรื่องครับ
Wars ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #4190 เมื่อ: 11/10/13, [01:04:32] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

Percy jackson II : Sea of Monsters
Wars ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #4191 เมื่อ: 11/10/13, [01:05:43] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

RUSH ครับ
Wars ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #4192 เมื่อ: 11/10/13, [01:06:41] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

Gravity ช่ายป่ะคับ
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4193 เมื่อ: 11/10/13, [01:07:57] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

Red 2
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4194 เมื่อ: 11/10/13, [01:16:38] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

1. PACIFIC RIM แปซิฟิค ริม สงครามอสูรเหล็ก

4. After Earth สยองโลกร้างปี

เอาสองเรื่องเบาะๆไปก่อน
หนังเรื่องนี้ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อเรื่อง Fighting  นำแสดงโดย Channing Tatum ดาราสุดหล่อจาก White House Down เรื่องนี้ไม่เคยได้ดูเลย ไม่แน่ใจว่าเคยมาฉายเมืองไทยหรือเปล่า ?
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4195 เมื่อ: 11/10/13, [01:23:34] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

Gravity ช่ายป่ะคับ
เพิ่มเติม ให้ 5.5/10 ครับ อย่าไปดูเลยเนื้อเรื่องไม่มีอะไรเท่าไหร่ มีดาราแสดงแค่ 2 คนเอง  จอร์จ คลูนี่ย์ เล่นแปปเดียว นอกนั้น ฃานดร้า บุลล็อก เธอฉายเดี่ยวจนจบ(เสียดายตังส์เหมือนกัน)
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4196 เมื่อ: 11/10/13, [01:24:52] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

Red 2

เรื่องนี้สนุกครับ ให้ 8/10 ครับ นอกจากแอ็คชั่น ยังมีตลกหลายๆตอนให้ฮา
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4197 เมื่อ: 11/10/13, [01:25:52] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ


 [on_026] [on_026] [on_026] ผมใส่ไว้เองแหละกลัวลืมเด่วงานหน้าแก้ไขให้ครับ
555 เอวัง
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4198 เมื่อ: 11/10/13, [01:26:49] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4199 เมื่อ: 11/10/13, [01:27:55] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ






เรื่องอะไรครับ ?
หน้า: 1 ... 138 139 140 141 142 ... 201   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: