เอามาให้อ่าน เพราะจากกระทู้ก่อน คุ้น ๆ ว่า หลายคนมีความเข้าใจเรื่องนี้ผิด
****************
เขียนโดย พญ. สุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ
นมแม่มีประโยชน์สำหรับเด็กทุกอายุ หากให้นานจนฟันแท้มา คือ อายุ 6-7 ปี แม่และลูกจะได้ประโยชน์เต็มที่ หากให้น้อยกว่านั้น จะได้ประโยชน์ลดหลั่นกันไป งานวิจัยพบว่า
· ยิ่งให้นมแม่นาน ยิ่งมีประโยชน์ต่อแม่ลูกคู่นั้น ช่วยลดความเสี่ยงหลายโรค (ในลูก อาทิเช่น เบาหวาน หัวใจ ไขมันในเลือด อ้วน มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ภูมิแพ้ โรค SIDS ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ลำไส้อักเสบ ในแม่ อาทิเช่น เบาหวาน หัวใจ ไขมันในเลือด อ้วน มะเร็งเต้านม มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มะเร็งรังไข่ กระดูกพรุน กระดูกหัก ไขข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคซึมเศร้า)
· เม็ดเลือดขาว สารภูมิคุ้มกันในนมแม่จะช่วยป้องกันไม่ให้ลูกป่วยบ่อย จนกระทั่งร่างกายของลูกเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันได้เต็มที่ เมื่ออายุ 6-7 ปี จึงทำให้เด็กที่กินนมแม่ป่วยน้อยกว่า
· ลูกมีระดับสติปัญญามากขึ้นตามระยะเวลาที่ได้กินนมแม่ เนื่องจากได้รับสารบำรุงสมองต่อเนื่อง จนสมองพัฒนาเต็มที่ เมื่ออายุ 6-7 ปี
· ระดับสารอาหาร สารภูมิคุ้มกัน ที่อยู่ในนมแม่ บางอย่างมากขึ้น บางอย่างเท่าเดิม ตราบจนถึงวันที่นมแม่หยุดไหล ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานกี่ปีก็ตาม โดยที่แม่ไม่ได้เป็นโรคขาดอาหารขั้นรุนแรง
· เด็กเริ่มจำความได้เมื่ออายุ 4-5 ปี หากได้กินนมแม่นาน ลูกจะจำได้เองว่าแม่ทำอะไรเพื่อเขาบ้าง แม่รักเขามากเพียงใด โดยที่เราไม่ต้องบอก เขาจะเป็นเด็กไม่ดื้อ (งานวิจัยพบว่า นมแม่ช่วยลดปัญหาเด็กดื้อ เด็กมีปัญหา)
งานวิจัยเหล่านี้ เป็นการศึกษาเปรียบเทียบเด็กสองกลุ่ม คือ เด็กที่กินนมแม่ เทียบกับเด็กที่กินนมผงค่ะ ในเมื่อข้อเท็จจริงพบว่า นมแม่ช่วยลดความเสี่ยงตามข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น อาจพูดได้ว่าการกินนมผงเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคต่างๆเหล่านี้นั่นเอง ดังนั้น ผู้ผลิตนมผง จึงควรเขียนเตือนไว้ข้างกระป๋องนมตัวโตๆว่า (เหมือนกับการเขียนเตือนข้างซองบุหรี่ สุรา)
“ไม่เหมาะสำหรับเลี้ยงทารก เนื่องจากเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรค อ้วน เบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน โรคไขมันในเลือดสูง โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ฯลฯ ในลูก และเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเต้านม โรคกระดูกพรุน ฯลฯ ในแม่ อาจทำให้ลูกสติปัญญาด้อยกว่าที่ควรจะเป็น ระดับไอคิวลดลง 2-11 จุด อาจทำให้ลูกป่วยบ่อย เนื่องจากไม่มีภูมิคุ้มกัน อาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกถูกกระทบกระเทือน ดังนั้น จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวัง ควรใช้เมื่อจำเป็นจริงๆ คิดให้ดีๆก่อนใช้ และต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อพิจารณาหาวิธีเพิ่มน้ำนมคุณแม่ให้เต็มที่ก่อนที่จะตัดสินใจใช้นมผง”
แต่ความเป็นจริงคือ ในโลกของการค้าเสรี และคนที่มีความรู้เรื่องนมแม่มีน้อย จึงเป็นโอกาสของผู้ผลิตนมผง ในการบิดเบือนข้อมูลแก่ผู้บริโภค การโฆษณาในทีวี นิตยสาร คอลล์เซ็นเตอร์โทรหาคุณแม่อย่างไม่หยุดหย่อน บอกให้เลิกนมแม่ได้แล้ว ไม่มีประโยชน์แล้ว และแนะนำให้กินนมยี่ห้อนี้ มีสารอาหารระดับพรีเมี่ยม เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะตัว บลาๆๆๆ การจัดอีเว้นท์ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการของเด็ก ความฉลาดของเด็ก เสริมศักยภาพนู่นนี่ ทำให้ผู้บริโภคหลงเชื่อว่า นมผงราคาแพงเหล่านี้ มีคุณภาพดีเทียบเท่ากับนมแม่ หรือ ดีมากกว่านมแม่เสียอีก ในฐานะที่เป็นแม่และเป็นหมอ ได้แต่แอบหวังว่า ในอนาคตจะมีผู้เห็นความสำคัญของสุขภาพเด็กอย่างแท้จริง จะได้มีการสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างจริงจังและควบคุมการทำการตลาด ที่บิดเบือนอย่างรุนแรงของบริษัทนมผงเหล่านี้ ไม่ให้มากเกินไป
ส่วนเรื่องน้ำหนักตัวขึ้นน้อย ก่อนที่จะโทษว่าเป็นเพราะนมแม่ไม่พอ ควรหาสาเหตุที่แท้จริง เช่น พ่อแม่อาจเป็นคนตัวเล็ก ลูกอาจเป็นเด็กที่กินไม่เก่ง ควรได้รับการประเมินว่านมแม่มีปริมาณน้อยจริงหรือไม่จากคลินิคนมแม่ หรือผู้เชี่ยวชาญ ส่วนเรื่องคุณภาพของนมแม่ ไม่ต้องหวั่นไหว คุณภาพดีตลอดอายุการใช้งาน หากคุณแม่ไม่ได้เป็นโรคขาดสารอาหารขั้นรุนแรง
ถ้านมแม่เริ่มไม่พอ วิธีการเพิ่มนมแม่ คือ การปั๊มให้บ่อยขึ้น กินอาหารกระตุ้นน้ำนม หาความรู้เพิ่มเติมจากเว็บนมแม่ (www.thaibreastfeeding.org , www.breastfeedingthai.com) หรือ ปรึกษาคลินิกนมแม่
การให้นมแม่ สามารถใช้ชีวิตได้เกือบปกติค่ะ เวลาแม่ป่วย หรือได้รับยาบางอย่าง ส่วนใหญ่ให้นมได้ (หาข้อมูลเพิ่มเติมได้จากเว็บนมแม่ แต่ผู้ไม่ทราบเรื่องนมแม่ มักจะห้ามนู่นนี่หลายอย่างจนทำให้คุณแม่ใช้ชีวิตลำบาก) ยกเว้นแต่กรณีที่ลูกมีปัญหาแพ้อาหารหลายอย่าง ที่ทำให้คุณแม่ต้องงดอาหารเหล่านั้นด้วย แต่บางทีวิกฤตก็เป็นโอกาสค่ะ เช่น กรณีที่ลูกแพ้นมวัว คุณแม่ต้องหยุดกินนมวัวและผลิตภัณฑ์นมวัว ปรากฏว่า คุณแม่มีสุขภาพที่ดีขึ้นด้วย เพราะที่จริงแล้วคุณแม่ก็เป็นโรคภูมิแพ้ ซึ่งก็แพ้นมวัวด้วยเหมือนกัน แต่ที่ผ่านมาไม่ทราบ ทำให้คุณแม่เป็นผื่นแพ้ หรือ เป็นหวัดบ่อย หลังจากเลิกกินนมวัว อาการผิดปกติของคุณแม่ก็ดีขึ้นด้วย นอกจากนี้ยังทำให้คุณแม่ควบคุมน้ำหนักได้ด้วย เพราะอาหารที่มีนมวัวเป็นส่วนประกอบ ประเภทอร่อยๆทั้งหลาย เช่น ไอศกรีม เค้ก ชีส ล้วนแต่เป็นอาหารเพิ่มน้ำหนัก หรือ ทำให้เป็นโรคอ้วนได้ง่าย วิกฤตเป็นโอกาสอีกอย่าง คือ ทำให้คุณแม่สนใจหาความรู้เรื่องอาหารที่มีคุณภาพมากขึ้น สนใจเรื่องความอร่อยถูกปากลิ้นน้อยลง เพราะห่วงใยสุขภาพของลูก ทำให้ดูแลเรื่องอาหารของตัวเองดีขึ้น ไม่กินซี้ซั้วตามใจชอบเหมือนเดิม
ส่วนเรื่องความยุ่งยากลำบากในการใช้ชีวิต เช่น การปั๊มนม การถูกปลุกกลางดึกเวลาลูกกินนม (เด็กกินนมผง ก็มีตื่นกลางดึกเหมือนกัน แต่อาจไม่บ่อยเท่า) เวลาท้อเวลาเหนื่อย ให้คิดเสียว่า ดีกว่าเหนื่อยเวลาลูกป่วยค่ะ เพราะเวลาลูกป่วย คุณพ่อคุณแม่ทุกท่านจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า อยากจะป่วยแทนลูก (เพราะเห็นลูกทรมานเวลาไข้ขึ้น ต้องโดนเจาะเลือด ให้น้ำเกลือทางเส้นเลือด พ่นยาเคาะปอดดูดเสมหะ) คุณแม่ทนเหนื่อยปั๊มนมให้นมลูกต่อไปอีกนานหน่อย ส่วนคุณพ่อก็คอยให้กำลังใจคุณแม่ สู้ๆค่ะ หมอเป็นกำลังใจให้
***************
เครดิต
http://mothercorner.com/index.php?topic=1775.0
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||









