สวัสดีปีใหม่ 2024 ครับทุกท่าน
ขอเริ่มศักราชใหม่ ด้วยวงไทยเก่าๆละกัน
V
V
V
ในช่วงกลางของยุคปี 90' ( พศ 2530 - ???? )
วงการดนตรีของไทยอยู่ในช่วงเบ่งบานดีเหลือใจ
ค่ายเพลงในสมัยนั้นทั้งใหญ่น้อยต่างปั้นศิลปินออกเทป ออกโทรทัศน์ ออกฟรีคอนเสิร์ตกันมากมาย
แผงเทปผุดขึ้นทั่วหัวระแหง รายการทีวี รายการเพลงวิทยุ ก็เกิดมาเพียบ
นักร้องหน้าใหม่ๆ จำพวก นายแบบ นางแบบ
ต่างหันมาจับไมค์ร้องเพลงออกอัลบั้มแข่งกันกับนักร้องอาชีพอย่างสนุกสนาน
เหล่าดาราทั้งน้อยใหญ่มากมาย ถูกค่ายเทปกว้านตัวมาร้องเพลงกันซะจนแทบไม่เหลือใครไปถ่ายหนัง ถ่ายแบบ อิอิอิ
มหาวิหารในตำนานและในดวงใจของผมและชาวเมทัลอีกหลายท่าน มหาวิหารเจ๊จู พันทิป R.I.P.
และในความเบ่งบานนั้นก็ไม่ได้จะมีแต่ค่ายเทปใหญ่น้อยบนดินเท่านั้น
วงการเพลงของสังกัดขนาดเล็ก หรือศิลปินอิสระที่ทำเองออกทุนเอง ทำเพลงในแบบที่ตัวเองชอบ
ซึ่งวงการที่ว่านี้เราเรียกรวมๆว่าเพลงไต้ดินนั้นก็เบ่งบานตามไปด้วย
และแวดวงเพลงไต้ดินที่ว่าก็มีหลากหลายแนวอยู่มากประมาณ
( เท่าที่เคยเห็น เคยหามาฟังนะ )
เช่น โฟล์ค เพื่อชิวิต ร๊อค เรกเก้ เพลงพื้นถิ่นประจำภาค
ซึ่งมันก็ได้ฟิลอินดี้ และมีลักษณะเฉพาะตัวดีมาก
แน่นอน แนวเมทัลด้วย
มีวงหนึ่งในยุคที่ว่านี้ สำหรับตัวผมเองเชื่ออย่างเต็มหัวใจว่า
วงนี้แหละคือวงหัวหอกที่นำหน้าผองเพื่อนในแนวทางเดียวกัน
วงนี้ช่วยขยายเส้นทางเมทัลให้เพื่อนๆอีกหลายๆวงได้ตามกันมาอย่างสนุกสนาน กิ๊วก็าว มุ้งมิ้ง กรุ๊งกริ๊ง
วงนี้ได้รับการพูดถึงและยอมรับ
แถมยังเป็นที่รู้จัก พูดถึงในวงกว้าง ที่กว้างออกไปนอกวงการเมทัลไต้ดิน
ถึงขนาดนักวิจารณ์ขนานนามให้เลยว่า
พวกมันคือ " อุกกาบาตทางดนตรี " กันเลยทีเดียว
เท่ห์จริงๆ อิอิอิ
นามของพวกเค้าก็ครือออออองือๆๆๆๆๆ
DONPHEEBIN ดอนผีบิน
น้าดอนของหมู่เฮานั่นเอง ฮิ้ววววววววววว
ชื่อวงไทยแท้ๆ เอามาจากชื่อสถานที่แห่งหนึ่งใน จ น่าน
ที่เคยมีประวัติการสู้รบกันอย่างดุเดือด มีคนตายอยู่ตรงนั้นมากมาย
จนชาวบ้านเชื่อกันว่า ที่ตรงนั้นมีดวงวิญญาณคนตายล่องลอย วนเวียนไม่ไปไหน
จึงเรียกที่ตรงนั้นว่าดอนผี่บิน
วงนี้เป็นวงสามชิ้น มาจาก จ น่าน
สมาชิกทุกคนเป็นพี่น้องกันหมด
รายนามตามข้างล่างนี้จร้า
สมบัติ แก้วทิตย์ - กีต้าร์
สมศักดิ์ แก้วทิตย์ - กลอง
สมคิด แก้วทิตย์ - เบส, ร้องนำ
วงนี้มีช่วงเวลาการแอคทีฟที่นานมากอีกวงหนึ่งถ้าเทียบกับวงเเมทัลไต้ดินของไทยทั่วไป
( หายากนะ วงเมทัลไต้ดินที่มีอายุวง เกิน 20 ปีเนี่ยะ )
และในยุคหนึ่งถึงขนาดสามารถไปทำเพลงกับค่ายระดับเมเจอร์บนดินได้หลายชุดด้วย
แถมพอเข้าสังกัดบนดินแล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนแนวทางไปตามตลาดอีกต่างหาก
เรียกว่าพวกน้าๆแกเป็นสายแข็ง
สตูดิโอ อัลบั้มต่างๆของน้าดอนเค้าเนี่ยะออกมาค่อนข้างสม่ำเสมอ
และเพราะว่าอายุวงที่ยืนระยะได้ยาวนาน ลักษณะดนตรีเลยเปลี่ยนไปบ้างตามอายุด้วย
ก็อยากจะแบ่งเป็นสามยุคก็แล้วกันนะ
( ตามมุมมองส่วนตัวของเค้าคนเดียวนี่ล่ะตะเอง อิอิอิ )
ตามข้างล่างนี้เลยจร้าาา
ยุคพายุของริฟท์และการฟาดหนังกลองรัวๆตุ้บตั้บๆ
โลกมืด (Dark World) - พ.ศ. 2536
สตูดิโออัลบั้มเต็มชุดแรก เพลงโดยรวมเป็นเฮฟวี่นี่แหละ
เสียงร้องแผดสูง ร้องแบบไม่สำรอก
มีเพลงบัลลาดปนมาด้วย ซึ่งก็ทำได้ดีติดหูทั้งเพลงช้าเพลงเร็ว
แค่ชุดแรกนี้เองก็เริ่มทำให้ถูกพูดถึงและเริ่มมีแฟนๆติดตามแล้ว
เส้นทางสายมรณะ (Way Of Death) - พ.ศ. 2537
ชุดนี้ทำแฟนเพลงตกกะใจตาโตเท่าใข่เป็ดแฝด
พวกน้าแกทำชุดนี้ออกมาอย่างโหด
ตั้งแต่โลโกวงที่ส่อแววแต่แรกเห็นแล้ว
และพอเปิดฟังแล้วก็ต้องร้อง กูว่าแล้ว
พวกน้าแกปั้นชุดนี้มาเป็น แทรช เดธเลย
สามเพลงแรกรวด ซัดยับ สับกันแหลกราญ
เสียงร้องสำรอกคำรามสนั่นลั่นโลก
( แต่ยังพอฟังออกนะ เหมือนเสียงแกสำรอกไม่ถึงเองง่ะนะ )
มีเพลงสำหรับสร้างบรรยากาศเข้ามาอย่างเป็นเอกลักษณ์ของวงได้อย่างไม่รู้สึกว่าฟิลลิ่งมันโดดเลย
อัลบั้มนี้ทีเด็ดจริงๆ
อุบาทว์-อุบัติ (Disastrous Device Occurence) - พ.ศ. 2538
ยังเดินหน้าฆ่ามันเหมือนเดิม แต่น้าแกแอบใส่ซาวด์แบบเพลงพื้นบ้านภาคเหนือของไทยเข้าไปด้วยนิดๆ
กับการเปลี่ยนจังหวะกลางเพลงแบบกระตุกๆ ให้ฟังแล้วเครียดๆเล่นๆ
ยุคเมทัลแห่งภูมิภาคพื้นเมืองไทย
ขออธิบายรวมๆไปเลยว่าในยุคนี้ด้วยความแข็งแรงของแนวทางเพลงในยุคต้น
ทำให้ยุคสองนี้ทางวงสามารถเข้าทำเพลงกับสังกัดเมเจอร์ เรียกว่าได้ขึ้นมาสังกัดบนดินแล้ว ( Warner )
ยูคนี้มันก็ยังเป็นเมทัลพันธ์ดุเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือจังหวะ
พวกน้ามันไม่เน้นทำจังหวะแบบสับควบรวดเลือดสาดฟันทีเดียวตายเท่าไหร่
กลิ่นความเป็นเมืองเหนือฟุ้งยิ่งกว่ายุคที่แล้วอีก
คือมันมีกลิ่นบรรยากาศดนตรีของภาคเหนือไทยติดๆมาเยอะดี แปลกหู
แล้วไหนจะยังจังหวะที่คอยกระตุกๆเปลี่ยนอยู่แทบจะตลอดเวลาอีกล่ะ
อาจทำให้ฟังแล้วติดเครียดนิดๆพอท้วมๆ
เรียกว่าใส่ลักษณะแบบโปรเกรสสีพเมทัลลงไปเพียบ
ประมาณนี้ล่ะนะ
สองฟากฝั่ง (Collision) - พ.ศ. 2540 ( Warner )
สัญญาณเยือน Part 2 - พ.ศ. 2543
ปรากฏการณ์-ปรากฏกาย (Phenomenon) - พ.ศ. 2545 ค่าย Giraffe Records (GMM Grammy)
ยุคคืนสู่ธรรมชาติและนามธรรม และการจากลา
หลังชุด ปรากฏการณ์-ปรากฏกาย ก็พักวงกันยาวเลย คือหายไปเลย
ซึ่งหลังจากนั้นสิบกว่าปีพร้อมกับยุครุ่งเรืองของวงการเมทัลที่ผ่านพ้นไปนานแล้ว
พวกน้าแกก็กลับมา
( กูไม่รู้ กูไม่สน ยุคไหน ใครจะนิยมอะไร เรื่องของมัน กูจะเล่นแบบเนี้ยะ )
ยุคนี้ดนตรีเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดมาก
ภาคดนตรีถูกปรับเปลี่ยนให้เข้าใกล้กับพวกเวิลด์มิวสิคมากขึ้น หนักไปในทางขับเน้นบรรยากาศมากกว่า
เพลงบรรเลงจึงมีบทบาทมากขึ้นในอัลบั้มยุคนี้
( แทบทุกอัลบั้ม ก่อนหน้าก็มีกันเป็นปกติอยู่แล้วล่ะ )
โดยรวมๆภาคดนตรีอาจจะเบาลง แต่เนื้อหายังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม การใช้ชิวิต
ยังมีความเป็นดอนผีบินอยู่อย่างเจ้มจ้น
แดนดินทิพย์ (Utopia-Part 1) - พ.ศ. 2556
Rutern To The Nature ชีวิต พลัง ความหวัง จุดหมาย สู่ปลายกาล - พ.ศ. 2556
( ชุดนี้ขายพร้อมเสื้อ ด้วยราคาที่ค่อนข้างแรงพอสมควร )
แสงสองสู่พันธนาการ (Utopia-Part 2) - พ.ศ. 2559
อันที่จริงตอนแรก เห็นว่าทางวงตั้งใจจะทำ Utopia ออกมา 5 อัลบั้ม
แต่ด้วยเกิดปัญหาภายในวงบางประการ โปรเจคนี้เลยค้างเติ่งอยู่แค่สองอัลบั้มนี้เท่านั้นเอง
แล้วหลังจากนี้สามพี่น้องก็แยกย้ายกันไปตามทางของแต่ล่ะคน
ตามข้อมุลที่พอหาได้ในตอนนี้นะ
น้าสมบัติไปทำงานด้านอนุรักษ์ธรรมชาติ มีชื่อเสียง ได้รับการยกย่อง ได้รางวัลมากมาย
น้าสมศักดิ์กับน้าสมคิด ไปเปิดค่ายเพลง DOOMED DAYS ของตัวเอง คอยซัพพอร์ตวงเมทัลรุ่นน้องๆอยู่พักใหญ่ๆ
และเปิดห้องอัดเสียง ร้านขายเครื่องดนตรีเล็กๆที่เชียงใหม่
อัลบั้มแรกของค่าย ดนตรีมืดหม่นอนธกาลสุดๅ หนีบหนึบขั้นตรีทูต
----------------------------------------------------------------------------------------
น้าดอนเค้ามีเสน่ห์พิลึกๆแต่ดีย์หลายอย่างในตัวนะ
ภาษา เนื้อร้อง
จุดเด่นที่ชอบสำหรับวงนี้ นอกจากตัวดนตรีแล้ว
มันคือเรื่องของภาษาที่เอามาใช้เป็นเนื้อร้อง
พวกน้าแกเลือกใช้ภาษาได้สวยงามมาก
มีการเล่นคำ เล่นพยางค์ (แต่ไม่ได้เล่นหูเล่นตานะ อิอิ )
มีลักษณะภาษาของกวีสูง เปรียบเทียบอุปมาอุปมัยแพรวพราว
เป็นที่น่าสังเกตด้วยว่าเพลงของดอนผีบินไม่มีคำหยาบคายเลยแม้แต่คำเดียวในทุกอัลบั้ม
คือไม่ได้จะมาดัดจริตอะไรนะ แต่เพลงเมทัลไต้ดินโดยทั่วไปในตอนนั้น ( หรือแม้แต่ตอนนี้ก็เหอะ )
มีการใช้ภาษาที่รุนแรง คำสบถ คำหยาบคายเป็นปกติธรรมดาเลย อาจจะเพื่อช่วยบิ๊วท์ความเข้มข้นในฟิลดนตรีให้เข้มยิ่งขุึ้น
แต่น้าดอน แกเลือกที่จะเอาความสวยงามของถาษามาเป็นตัวบงการความรุนแรงชนิดเสนาะหูแทน
เนื้อหา
เนื้อหาก็สุดจะล้ำมากเกินหน้าวงยุคเดียวกัน
อนุรักษ์ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม แสวงหาความเป็นไปในชิวิตแบบนามธรรม
แสวงหาความสงบทางภาวะจิตใจ ( ด้วยจังหวะกลองสองกระเดือ่ง และริฟท์ระรัวแบบสับหมูสับ ??? )
งานปก อาร์ตเวิร์ค
อีกอันนึงคืองานปก อาร์ตเวิร์คในแต่ล่ะอัลบั้ม
เคยอ่านสัมภาษณ์เมื่อนานมาแล้วว่า หน้าปกแต่ล่ะอัลบั้ม ทางสมาชิกวงเป็นผู้วาดมันขึ้นมาเอง บนผืนผ้าใบ
มันสวยดี นั่นน่าจะเป็นเพราะพวกเขามีความเป็นศิลปินจิตกรในตัวอยู่แล้ว
มีความละเมียดมาก ในความเป็นเมทัล เรียกว่าพิถีพิถันดีเลย
โลโกสุดคลาสสิค
ส่วนสุดท้ายที่ชอบเป็นพิเศษอีกอย่างคือ โลโกของน้าๆเค้านี่แหละ
โคตรเท่ห์
ตัวอักษรไทยก็เอามาทำเป็นโลโกวงเมทัลได้งามไม่แพ้ตัวอักษรต่างชาติเขาเลยถ้ามือถึง( และน้าดอนก็มือถึง)
และถึงโลโกจะมีหลากหลายเวอร์ชั่น
แต่ที่งามที่สุด คลาสสิคที่สุด
สำหรับผม ต้องโลโกเวอร์ชั่นแรกเท่านั้น
เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ
ด้วยความที่ตอนนั้นพวกน้าๆเค้าไม่ทำเสื้อทัวร์ขาย (ก็เกือบสามสิบปีแล้ว ตามมาตั้งแต่ชุดแรกโลกมืด)
ผมเลยทำมันเองซะเลย ตั้งแต่วาดแบบลงกระดาษใข ลงหมึก
ทำตู้ไฟ ทำซิลส์สกรีนโลโกเอง เอามาเพนท์รูปต่อเองด้วยภู่กัน ด้วยสีอครีลิค
ใช้เวลาทำทั้งข้างหน้าข้างหลัง ก็สามเดือนจะสี่เดือน
ทำมาตัวเดียว เสร็จแล้วล้างบล๊อคทิ้งเลย
( น่าเสียดายว่า มันหายไปจากตู้เสื้อผ้า หาไม่เจอซะหลายปีล่ะ น้ำตาไหลพราก อายุเสื้อถ้ายังอยู่ถึงตอนนี้ก็จะสามสิบปีล่ะ )
แถ่นแท๊นนน ท๊าาาด๊าาาาาา สวยมั้ยครัช
แต่ตอนนี้ถึงเจอก็คงไม่กล้าใส่ กลัวโดน โปนจ้น กร๊ากกกกกกก
สำหรับวงดอนผีบินเป็นวงเมทัลของไทยที่สามารถสร้างฐานแฟนเพลงได้เป็นวงกว้างกว่าอันเดอร์กราวด์ไทยทั่วๆไปในยุคเดียวกัน
เสน่ห์ของวงก็อาจจะมาจากการที่ออกงานอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง
และรักษาเอกลักษณ์ แนวทางความเป็นตัวของตัวเองเอาใว้ได้เหนียวแน่น
คงคล้ายๆกับ ทางวงได้ออกเดินทางและเติบโตไปพร้อมกับเหล่าแฟนๆตั้งแต่จุดเริ่มต้นเลยก็เป็นได้
วันที่แฟนเริ่มฟังดอนผีบิน ตั้งแต่ชุดแรก ชุดโลกมืด ตอนนั้นแฟนๆอาจจะอายุ สัก 16-17 ปี
พอมาถึงในชุดหลัง แฟนเพลงก็น่าจะ 40 อัพกันแล้ว ( ถ้ายังตามพวกน้าแกอยู่ )
เคยคิดเอาเองเล่นๆว่า คงอารมณ์เดียวกับแฟนเพลง โอฬารโปรเจค หินเหล็กไฟ ไมโคร อัศนีย์ วสันต์ หรืออื่นๆประมาณนี้
ที่ถ้าพวกเขากลับมาทำเพลงอีกเมื่อไหร่ก็จะต้องมีแฟนๆเดนตายที่เติบโตมากับวงแต่แรกเริ่มให้การสนับสนุนแน่นอน
ในวันนี้ถึงทางวงจะแยกย้ายกันไปแล้วด้วยเหตุผลส่วนตัวของแต่ล่ะคนก็ตามที
แต่ผลงานที่ได้สร้างเอาใว้ทั้งหมดทุกชุด มันมีค่า และมีคุณูปการต่อวงการดนตรีบ้านเรามาก
ใครไม่เคยลองฟังอยากให้ลองหาฟังดูแล้วอาจจะติดจายยยยยย
ฮิ้วๆๆๆๆๆๆ
หมายเหตุ : ข้อมุลเหล่านี้ผมรวบรวมสะสมประสบการณ์ในการเสพมาจากหลายที่
ทั้ง quiet storm , music express , metal pit ,Fanzineต่างๆ ..
รวมทั้งสื่ออินเตอร์เนตทั่วไป และความเห็นส่วนตัวจากประสบการการฟังเพลงของตัวเอง
ผมนำมายำรวมเข้าด้วยกัน ที่ทำขึ้นก็เพื่อระบายความมันส์ส่วนตัวครับ
หากมีข้อมูลใดผิดพลาด หรือ สำนวนไม่เหมาะสมอย่างไร
ขอน้อมรับความผิดทุกประการด้วยตัวผมคนเดียวครับ
ยินดีรับความคิดเห็นเพื่อนๆพี่ๆทุกคนครับ
แฟนๆก็ยังแอบหวังอยู่นะ อยากจะเห็น โลโก ค้างคาวบิน ขึ้นมาผงาดฟ้ายามค่ำอีกครั้ง จุงเบย ชะปะด่ะเฮ้ยยยย
ขอเริ่มศักราชใหม่ ด้วยวงไทยเก่าๆละกัน
V
V
V
ในช่วงกลางของยุคปี 90' ( พศ 2530 - ???? )
วงการดนตรีของไทยอยู่ในช่วงเบ่งบานดีเหลือใจ
ค่ายเพลงในสมัยนั้นทั้งใหญ่น้อยต่างปั้นศิลปินออกเทป ออกโทรทัศน์ ออกฟรีคอนเสิร์ตกันมากมาย
แผงเทปผุดขึ้นทั่วหัวระแหง รายการทีวี รายการเพลงวิทยุ ก็เกิดมาเพียบ
นักร้องหน้าใหม่ๆ จำพวก นายแบบ นางแบบ
ต่างหันมาจับไมค์ร้องเพลงออกอัลบั้มแข่งกันกับนักร้องอาชีพอย่างสนุกสนาน
เหล่าดาราทั้งน้อยใหญ่มากมาย ถูกค่ายเทปกว้านตัวมาร้องเพลงกันซะจนแทบไม่เหลือใครไปถ่ายหนัง ถ่ายแบบ อิอิอิ
มหาวิหารในตำนานและในดวงใจของผมและชาวเมทัลอีกหลายท่าน มหาวิหารเจ๊จู พันทิป R.I.P.
และในความเบ่งบานนั้นก็ไม่ได้จะมีแต่ค่ายเทปใหญ่น้อยบนดินเท่านั้น
วงการเพลงของสังกัดขนาดเล็ก หรือศิลปินอิสระที่ทำเองออกทุนเอง ทำเพลงในแบบที่ตัวเองชอบ
ซึ่งวงการที่ว่านี้เราเรียกรวมๆว่าเพลงไต้ดินนั้นก็เบ่งบานตามไปด้วย
และแวดวงเพลงไต้ดินที่ว่าก็มีหลากหลายแนวอยู่มากประมาณ
( เท่าที่เคยเห็น เคยหามาฟังนะ )
เช่น โฟล์ค เพื่อชิวิต ร๊อค เรกเก้ เพลงพื้นถิ่นประจำภาค
ซึ่งมันก็ได้ฟิลอินดี้ และมีลักษณะเฉพาะตัวดีมาก
แน่นอน แนวเมทัลด้วย
มีวงหนึ่งในยุคที่ว่านี้ สำหรับตัวผมเองเชื่ออย่างเต็มหัวใจว่า
วงนี้แหละคือวงหัวหอกที่นำหน้าผองเพื่อนในแนวทางเดียวกัน
วงนี้ช่วยขยายเส้นทางเมทัลให้เพื่อนๆอีกหลายๆวงได้ตามกันมาอย่างสนุกสนาน กิ๊วก็าว มุ้งมิ้ง กรุ๊งกริ๊ง
วงนี้ได้รับการพูดถึงและยอมรับ
แถมยังเป็นที่รู้จัก พูดถึงในวงกว้าง ที่กว้างออกไปนอกวงการเมทัลไต้ดิน
ถึงขนาดนักวิจารณ์ขนานนามให้เลยว่า
พวกมันคือ " อุกกาบาตทางดนตรี " กันเลยทีเดียว
เท่ห์จริงๆ อิอิอิ
นามของพวกเค้าก็ครือออออองือๆๆๆๆๆ
DONPHEEBIN ดอนผีบิน
น้าดอนของหมู่เฮานั่นเอง ฮิ้ววววววววววว
ชื่อวงไทยแท้ๆ เอามาจากชื่อสถานที่แห่งหนึ่งใน จ น่าน
ที่เคยมีประวัติการสู้รบกันอย่างดุเดือด มีคนตายอยู่ตรงนั้นมากมาย
จนชาวบ้านเชื่อกันว่า ที่ตรงนั้นมีดวงวิญญาณคนตายล่องลอย วนเวียนไม่ไปไหน
จึงเรียกที่ตรงนั้นว่าดอนผี่บิน
วงนี้เป็นวงสามชิ้น มาจาก จ น่าน
สมาชิกทุกคนเป็นพี่น้องกันหมด
รายนามตามข้างล่างนี้จร้า
สมบัติ แก้วทิตย์ - กีต้าร์
สมศักดิ์ แก้วทิตย์ - กลอง
สมคิด แก้วทิตย์ - เบส, ร้องนำ
วงนี้มีช่วงเวลาการแอคทีฟที่นานมากอีกวงหนึ่งถ้าเทียบกับวงเเมทัลไต้ดินของไทยทั่วไป
( หายากนะ วงเมทัลไต้ดินที่มีอายุวง เกิน 20 ปีเนี่ยะ )
และในยุคหนึ่งถึงขนาดสามารถไปทำเพลงกับค่ายระดับเมเจอร์บนดินได้หลายชุดด้วย
แถมพอเข้าสังกัดบนดินแล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนแนวทางไปตามตลาดอีกต่างหาก
เรียกว่าพวกน้าๆแกเป็นสายแข็ง
สตูดิโอ อัลบั้มต่างๆของน้าดอนเค้าเนี่ยะออกมาค่อนข้างสม่ำเสมอ
และเพราะว่าอายุวงที่ยืนระยะได้ยาวนาน ลักษณะดนตรีเลยเปลี่ยนไปบ้างตามอายุด้วย
ก็อยากจะแบ่งเป็นสามยุคก็แล้วกันนะ
( ตามมุมมองส่วนตัวของเค้าคนเดียวนี่ล่ะตะเอง อิอิอิ )
ตามข้างล่างนี้เลยจร้าาา
ยุคพายุของริฟท์และการฟาดหนังกลองรัวๆตุ้บตั้บๆ
โลกมืด (Dark World) - พ.ศ. 2536
สตูดิโออัลบั้มเต็มชุดแรก เพลงโดยรวมเป็นเฮฟวี่นี่แหละ
เสียงร้องแผดสูง ร้องแบบไม่สำรอก
มีเพลงบัลลาดปนมาด้วย ซึ่งก็ทำได้ดีติดหูทั้งเพลงช้าเพลงเร็ว
แค่ชุดแรกนี้เองก็เริ่มทำให้ถูกพูดถึงและเริ่มมีแฟนๆติดตามแล้ว
เส้นทางสายมรณะ (Way Of Death) - พ.ศ. 2537
ชุดนี้ทำแฟนเพลงตกกะใจตาโตเท่าใข่เป็ดแฝด
พวกน้าแกทำชุดนี้ออกมาอย่างโหด
ตั้งแต่โลโกวงที่ส่อแววแต่แรกเห็นแล้ว
และพอเปิดฟังแล้วก็ต้องร้อง กูว่าแล้ว
พวกน้าแกปั้นชุดนี้มาเป็น แทรช เดธเลย
สามเพลงแรกรวด ซัดยับ สับกันแหลกราญ
เสียงร้องสำรอกคำรามสนั่นลั่นโลก
( แต่ยังพอฟังออกนะ เหมือนเสียงแกสำรอกไม่ถึงเองง่ะนะ )
มีเพลงสำหรับสร้างบรรยากาศเข้ามาอย่างเป็นเอกลักษณ์ของวงได้อย่างไม่รู้สึกว่าฟิลลิ่งมันโดดเลย
อัลบั้มนี้ทีเด็ดจริงๆ
อุบาทว์-อุบัติ (Disastrous Device Occurence) - พ.ศ. 2538
ยังเดินหน้าฆ่ามันเหมือนเดิม แต่น้าแกแอบใส่ซาวด์แบบเพลงพื้นบ้านภาคเหนือของไทยเข้าไปด้วยนิดๆ
กับการเปลี่ยนจังหวะกลางเพลงแบบกระตุกๆ ให้ฟังแล้วเครียดๆเล่นๆ
ยุคเมทัลแห่งภูมิภาคพื้นเมืองไทย
ขออธิบายรวมๆไปเลยว่าในยุคนี้ด้วยความแข็งแรงของแนวทางเพลงในยุคต้น
ทำให้ยุคสองนี้ทางวงสามารถเข้าทำเพลงกับสังกัดเมเจอร์ เรียกว่าได้ขึ้นมาสังกัดบนดินแล้ว ( Warner )
ยูคนี้มันก็ยังเป็นเมทัลพันธ์ดุเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือจังหวะ
พวกน้ามันไม่เน้นทำจังหวะแบบสับควบรวดเลือดสาดฟันทีเดียวตายเท่าไหร่
กลิ่นความเป็นเมืองเหนือฟุ้งยิ่งกว่ายุคที่แล้วอีก
คือมันมีกลิ่นบรรยากาศดนตรีของภาคเหนือไทยติดๆมาเยอะดี แปลกหู
แล้วไหนจะยังจังหวะที่คอยกระตุกๆเปลี่ยนอยู่แทบจะตลอดเวลาอีกล่ะ
อาจทำให้ฟังแล้วติดเครียดนิดๆพอท้วมๆ
เรียกว่าใส่ลักษณะแบบโปรเกรสสีพเมทัลลงไปเพียบ
ประมาณนี้ล่ะนะ
สองฟากฝั่ง (Collision) - พ.ศ. 2540 ( Warner )
สัญญาณเยือน Part 2 - พ.ศ. 2543
ปรากฏการณ์-ปรากฏกาย (Phenomenon) - พ.ศ. 2545 ค่าย Giraffe Records (GMM Grammy)
ยุคคืนสู่ธรรมชาติและนามธรรม และการจากลา
หลังชุด ปรากฏการณ์-ปรากฏกาย ก็พักวงกันยาวเลย คือหายไปเลย
ซึ่งหลังจากนั้นสิบกว่าปีพร้อมกับยุครุ่งเรืองของวงการเมทัลที่ผ่านพ้นไปนานแล้ว
พวกน้าแกก็กลับมา
( กูไม่รู้ กูไม่สน ยุคไหน ใครจะนิยมอะไร เรื่องของมัน กูจะเล่นแบบเนี้ยะ )
ยุคนี้ดนตรีเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดมาก
ภาคดนตรีถูกปรับเปลี่ยนให้เข้าใกล้กับพวกเวิลด์มิวสิคมากขึ้น หนักไปในทางขับเน้นบรรยากาศมากกว่า
เพลงบรรเลงจึงมีบทบาทมากขึ้นในอัลบั้มยุคนี้
( แทบทุกอัลบั้ม ก่อนหน้าก็มีกันเป็นปกติอยู่แล้วล่ะ )
โดยรวมๆภาคดนตรีอาจจะเบาลง แต่เนื้อหายังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม การใช้ชิวิต
ยังมีความเป็นดอนผีบินอยู่อย่างเจ้มจ้น
แดนดินทิพย์ (Utopia-Part 1) - พ.ศ. 2556
Rutern To The Nature ชีวิต พลัง ความหวัง จุดหมาย สู่ปลายกาล - พ.ศ. 2556
( ชุดนี้ขายพร้อมเสื้อ ด้วยราคาที่ค่อนข้างแรงพอสมควร )
แสงสองสู่พันธนาการ (Utopia-Part 2) - พ.ศ. 2559
อันที่จริงตอนแรก เห็นว่าทางวงตั้งใจจะทำ Utopia ออกมา 5 อัลบั้ม
แต่ด้วยเกิดปัญหาภายในวงบางประการ โปรเจคนี้เลยค้างเติ่งอยู่แค่สองอัลบั้มนี้เท่านั้นเอง
แล้วหลังจากนี้สามพี่น้องก็แยกย้ายกันไปตามทางของแต่ล่ะคน
ตามข้อมุลที่พอหาได้ในตอนนี้นะ
น้าสมบัติไปทำงานด้านอนุรักษ์ธรรมชาติ มีชื่อเสียง ได้รับการยกย่อง ได้รางวัลมากมาย
น้าสมศักดิ์กับน้าสมคิด ไปเปิดค่ายเพลง DOOMED DAYS ของตัวเอง คอยซัพพอร์ตวงเมทัลรุ่นน้องๆอยู่พักใหญ่ๆ
และเปิดห้องอัดเสียง ร้านขายเครื่องดนตรีเล็กๆที่เชียงใหม่
อัลบั้มแรกของค่าย ดนตรีมืดหม่นอนธกาลสุดๅ หนีบหนึบขั้นตรีทูต
----------------------------------------------------------------------------------------
น้าดอนเค้ามีเสน่ห์พิลึกๆแต่ดีย์หลายอย่างในตัวนะ
ภาษา เนื้อร้อง
จุดเด่นที่ชอบสำหรับวงนี้ นอกจากตัวดนตรีแล้ว
มันคือเรื่องของภาษาที่เอามาใช้เป็นเนื้อร้อง
พวกน้าแกเลือกใช้ภาษาได้สวยงามมาก
มีการเล่นคำ เล่นพยางค์ (แต่ไม่ได้เล่นหูเล่นตานะ อิอิ )
มีลักษณะภาษาของกวีสูง เปรียบเทียบอุปมาอุปมัยแพรวพราว
เป็นที่น่าสังเกตด้วยว่าเพลงของดอนผีบินไม่มีคำหยาบคายเลยแม้แต่คำเดียวในทุกอัลบั้ม
คือไม่ได้จะมาดัดจริตอะไรนะ แต่เพลงเมทัลไต้ดินโดยทั่วไปในตอนนั้น ( หรือแม้แต่ตอนนี้ก็เหอะ )
มีการใช้ภาษาที่รุนแรง คำสบถ คำหยาบคายเป็นปกติธรรมดาเลย อาจจะเพื่อช่วยบิ๊วท์ความเข้มข้นในฟิลดนตรีให้เข้มยิ่งขุึ้น
แต่น้าดอน แกเลือกที่จะเอาความสวยงามของถาษามาเป็นตัวบงการความรุนแรงชนิดเสนาะหูแทน
เนื้อหา
เนื้อหาก็สุดจะล้ำมากเกินหน้าวงยุคเดียวกัน
อนุรักษ์ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม แสวงหาความเป็นไปในชิวิตแบบนามธรรม
แสวงหาความสงบทางภาวะจิตใจ ( ด้วยจังหวะกลองสองกระเดือ่ง และริฟท์ระรัวแบบสับหมูสับ ??? )
งานปก อาร์ตเวิร์ค
อีกอันนึงคืองานปก อาร์ตเวิร์คในแต่ล่ะอัลบั้ม
เคยอ่านสัมภาษณ์เมื่อนานมาแล้วว่า หน้าปกแต่ล่ะอัลบั้ม ทางสมาชิกวงเป็นผู้วาดมันขึ้นมาเอง บนผืนผ้าใบ
มันสวยดี นั่นน่าจะเป็นเพราะพวกเขามีความเป็นศิลปินจิตกรในตัวอยู่แล้ว
มีความละเมียดมาก ในความเป็นเมทัล เรียกว่าพิถีพิถันดีเลย
โลโกสุดคลาสสิค
ส่วนสุดท้ายที่ชอบเป็นพิเศษอีกอย่างคือ โลโกของน้าๆเค้านี่แหละ
โคตรเท่ห์
ตัวอักษรไทยก็เอามาทำเป็นโลโกวงเมทัลได้งามไม่แพ้ตัวอักษรต่างชาติเขาเลยถ้ามือถึง( และน้าดอนก็มือถึง)
และถึงโลโกจะมีหลากหลายเวอร์ชั่น
แต่ที่งามที่สุด คลาสสิคที่สุด
สำหรับผม ต้องโลโกเวอร์ชั่นแรกเท่านั้น
เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ
ด้วยความที่ตอนนั้นพวกน้าๆเค้าไม่ทำเสื้อทัวร์ขาย (ก็เกือบสามสิบปีแล้ว ตามมาตั้งแต่ชุดแรกโลกมืด)
ผมเลยทำมันเองซะเลย ตั้งแต่วาดแบบลงกระดาษใข ลงหมึก
ทำตู้ไฟ ทำซิลส์สกรีนโลโกเอง เอามาเพนท์รูปต่อเองด้วยภู่กัน ด้วยสีอครีลิค
ใช้เวลาทำทั้งข้างหน้าข้างหลัง ก็สามเดือนจะสี่เดือน
ทำมาตัวเดียว เสร็จแล้วล้างบล๊อคทิ้งเลย
( น่าเสียดายว่า มันหายไปจากตู้เสื้อผ้า หาไม่เจอซะหลายปีล่ะ น้ำตาไหลพราก อายุเสื้อถ้ายังอยู่ถึงตอนนี้ก็จะสามสิบปีล่ะ )
แถ่นแท๊นนน ท๊าาาด๊าาาาาา สวยมั้ยครัช
แต่ตอนนี้ถึงเจอก็คงไม่กล้าใส่ กลัวโดน โปนจ้น กร๊ากกกกกกก
สำหรับวงดอนผีบินเป็นวงเมทัลของไทยที่สามารถสร้างฐานแฟนเพลงได้เป็นวงกว้างกว่าอันเดอร์กราวด์ไทยทั่วๆไปในยุคเดียวกัน
เสน่ห์ของวงก็อาจจะมาจากการที่ออกงานอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่อง
และรักษาเอกลักษณ์ แนวทางความเป็นตัวของตัวเองเอาใว้ได้เหนียวแน่น
คงคล้ายๆกับ ทางวงได้ออกเดินทางและเติบโตไปพร้อมกับเหล่าแฟนๆตั้งแต่จุดเริ่มต้นเลยก็เป็นได้
วันที่แฟนเริ่มฟังดอนผีบิน ตั้งแต่ชุดแรก ชุดโลกมืด ตอนนั้นแฟนๆอาจจะอายุ สัก 16-17 ปี
พอมาถึงในชุดหลัง แฟนเพลงก็น่าจะ 40 อัพกันแล้ว ( ถ้ายังตามพวกน้าแกอยู่ )
เคยคิดเอาเองเล่นๆว่า คงอารมณ์เดียวกับแฟนเพลง โอฬารโปรเจค หินเหล็กไฟ ไมโคร อัศนีย์ วสันต์ หรืออื่นๆประมาณนี้
ที่ถ้าพวกเขากลับมาทำเพลงอีกเมื่อไหร่ก็จะต้องมีแฟนๆเดนตายที่เติบโตมากับวงแต่แรกเริ่มให้การสนับสนุนแน่นอน
ในวันนี้ถึงทางวงจะแยกย้ายกันไปแล้วด้วยเหตุผลส่วนตัวของแต่ล่ะคนก็ตามที
แต่ผลงานที่ได้สร้างเอาใว้ทั้งหมดทุกชุด มันมีค่า และมีคุณูปการต่อวงการดนตรีบ้านเรามาก
ใครไม่เคยลองฟังอยากให้ลองหาฟังดูแล้วอาจจะติดจายยยยยย
ฮิ้วๆๆๆๆๆๆ
หมายเหตุ : ข้อมุลเหล่านี้ผมรวบรวมสะสมประสบการณ์ในการเสพมาจากหลายที่
ทั้ง quiet storm , music express , metal pit ,Fanzineต่างๆ ..
รวมทั้งสื่ออินเตอร์เนตทั่วไป และความเห็นส่วนตัวจากประสบการการฟังเพลงของตัวเอง
ผมนำมายำรวมเข้าด้วยกัน ที่ทำขึ้นก็เพื่อระบายความมันส์ส่วนตัวครับ
หากมีข้อมูลใดผิดพลาด หรือ สำนวนไม่เหมาะสมอย่างไร
ขอน้อมรับความผิดทุกประการด้วยตัวผมคนเดียวครับ
ยินดีรับความคิดเห็นเพื่อนๆพี่ๆทุกคนครับ
แฟนๆก็ยังแอบหวังอยู่นะ อยากจะเห็น โลโก ค้างคาวบิน ขึ้นมาผงาดฟ้ายามค่ำอีกครั้ง จุงเบย ชะปะด่ะเฮ้ยยยย