มาตามคำสัญญาแล้วครับ หายไปนานเลยเรื่องเทคนิคการถ่ายภาพ
และกระทู้นี้ครับผมจะแนะนำให้พวกเราชาว Club aqua plant ทุกคนที่สนใจการถ่ายภาพตู้ปลาได้เรียนรู้กัน รับรองว่าไม่ยากอย่างที่คิด
ขอแค่มีความพยายามในการฝึกฝนในการถ่ายภาพบ่อยๆ ค้นหามุมมองให้กับตัวเองอยู่เสมอ มีแนวคิดที่แปลกใหม่
ภาพที่ออกมาสวยแน่นอนครับ
สำหรับใครที่ใช้กล้อง compact ก็อย่าคิดว่ามันคงทำไม่ได้ ขอบอกว่าคิดผิดแล้วครับ
ขอให้ติดตามกระทู้นี้ให้จบ แล้วจะรู้ว่า มันทำได้จริงๆ
แต่ก่อนจะเริ่มขอเกิ่นอะไรสักนิดนึงก่อนนะครับ เกี่ยวกับการนำเสนองานด้วยภาพถ่าย
การนำเสนอสิ่งใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น วัตถุ สิ่งของ สิ่งมีชีวิต หรือ ตู้ไม้น้ำของพวกเรา ด้วยภาพถ่ายนั้น
สิ่งสำคัญก็คือภาพถ่ายต้องมีความชัดเจน สามารถบอกรายละเอียดของวัตถุให้ได้มากที่สุด และภาพต้องสามารถดึงดูดความสนใจ
ดังนั้นหากเรานำเสนอภาพถ่ายได้ตามที่กล่าว นั่นถือว่าเราประสบความสำเร็จในการนำเสนอภาพถ่ายได้แล้วนะครับ
ผมเองไม่ได้เก่งระดับอาจารย์ ไม่เคยเรียนการถ่ายภาพ จับกล้องมาได้ปีกว่าๆ ทั้งหมดก็ได้มาเพราะประสบการณ์
ดังนั้นเนื้อหาในกระทู้นี้ ผมจึงนำเอาประสบการณ์การถ่ายภาพ และเทคนิคที่ตัวเองคิดขึ้นเอง และข้อมูลที่ค้นหาจากในเน็ท และหนังสือต่างๆ
มาถ่ายทอดเพื่อให้ทุกคนได้เรียนรู้ และฝึกฝนกัน
ผลงานภาพถ่ายสามารถเข้าไปชมเพิ่มเติมได้ที่ TONKLAR : AMAZONAS Gallery ครับ
เอาล่ะครับเดี๋ยวที่เตรียมไว้หายหมด เริ่มกันเลยดีกว่า
การถ่ายภาพตู้ปลา และตู้ไม้น้ำ
สิ่งที่ต้องเตรียม
1. กล้อง แน่นอนมันต้องเป็นกล้องถ่ายภาพ ไม่ว่าจะ Digital หรือ Film ก้อได้ทั้งนั้น แต่ผมขอเน้นไปทางกล้อง Digital นะครับ จริงๆ แล้วไม่ต่างกันมาก
กล้อง Digtal มีอยู่ 2 ประเภท คือ Digital Comact หรือ กล้องแบบสำเร็จรูป ใช้งานง่าย และ D-SLR(Digital-SLR) มีรูปทรงลักษณะเหมือนกล้องฟิล์ม
สามารถถอดเปลี่ยนเลนส์ได้ มีฟังก์ชั่นการทำงานมากกว่ากล้อง compact ปัจจุบันฟังก์ชั่นการทำงานแทบไม่ต่างกันมาก แต่จะเป็นเรื่องของขีดจำกัดของฟังก์ชั่น
ซึ่งกล้อง D-SLR จะมีขีดจำกัดที่สูงกว่าเท่านั้นเอง
Mobile camara หรือกล้องโทรศัพท์มือถือ จะจัดอยู่ในแบบของกล้อง compact แต่ขีดจำกัดจะด้อยกว่ากล้อง compact อีกครับ
แต่ในอนาคตก็ยังไม่แน่เพราะเทคโนโลยีสมัยนี้มันรวดเร็วเหลือเกิน สิ่งที่คิดว่าเป็นไปไม่ได้ มักเป็นไปได้เสมอ
Digital compact | Digital-SLR |
2. คู่มือ ทำไมต้องใช้? อยากจะบอกว่าสำคัญมากๆ เพราะคุณต้องศึกษากล้องของคุณให้เข้าใจเสียก่อน กล้องแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นการกดปุ่มกดเลือกฟังก์ชั่น หรือโหมดต่างๆ มันต่างกัน
และถ้าคุณยังถ่ายภาพด้วยโหมด Auto อยู่ และยังไม่เข้าใจโหมดอื่นๆ แล้วล่ะก็เ ตรียมไว้ได้เลยครับ
3. ระบบแสง Lighting system (คือจะบอกว่าแฟลช ก็ไม่เชิง)
ระบบแสงที่จะกล่าวถึงนี่ก็คือแสงไฟจากหลอดไฟต่างๆ แฟลช หรือ แฟลชสตูดิโอ(อันนี้ยังไม่มีตังซื้อ)
สำหรับกล้อง compact แฟลชที่ตัวกล้องไม่ควรใช้ในการถ่ายรูปตรงๆเด็ดขาด เพราะแสงจะกระทบกระจกหน้าตู้แล้วสะท้อนมาที่เลนส์แน่นอน
แนะนำให้ใช้แสงจากหลอดไฟ สว่างมากๆยิงดี และควรเป็นแสงสีขาวด้วยนะครับ
สำหรับกล้อง D-SLR ถ้ามีแฟลชแยก และมีสายซิงค์แฟลช หรือ แฟลชที่สามารถทำเป็น Slave flash ได้ยิ่งดีเลยครับ สะดวกมากๆ เดี๋ยวจะบอกว่าสะดวกอย่างไร
hah1 ลืมบอกไป ถ้าใช้แฟลช จะเหมาะกับขนาดตู้ไม่เกิน 24" แต่ถ้าเกิน 24 นิ้วแนะนำให้อัดไฟแรงๆ หรือถ้ามี แฟลชสตูดิโอก็จะช่วยได้มากครับ
4. สายลั่นชัตเตอร์ หรือ รีโมท จริงถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร แต่มีก็สะดวกดีครับ
5. ขาตั้งกล้อง ถ้ามีเพื่อน หรือ แฟน ช่วยถือโน่น ถือนี่ ก็ไม่ต้องใช้ก็ได้ แต่จำเป็นมากถ้าถ่ายคนเดียว(ยังไงผมว่าคนเดียวแน่ๆ อย่าไปหวังพึ่งใครเลย)
6. อุปกรณ์ประกอบฉากหลัง ที่ผมใช้เป็นประจำในการถ่ายภาพตู้ไม้น้ำ ส่วนใหญ่ ก็คือแผ่นพลาสติกแบบโปร่งแสง ผ้าสีขาวบางๆเรียบๆ กระดาษสีขาวบางๆ
จากรูป คือ แผ่นพลาสติกแบบโปร่งใส และโปร่งแสง ชอบสีไหน ก็ใช้สีนั้นนะครับ แต่ถ้าอยากให้เป็นธรรมชาติ ก็ ขาว กับฟ้า เหมาะที่สุดครับ
7. พัดลมที่จะใช้ในการเป่าผิวน้ำให้พริ้วไหว เลือกที่ลมแรงสักหน่อยอย่าให้แรงมากไปเดี๋ยวน้ำกระจาย
เอาล่ะครับเมื่อเตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างครบแล้ว
ไปที่ตู้ไม้น้ำกันเลย
การเตรียมความพร้อม
สิ่งที่ควรปฏิบัติก่อนที่จะถ่ายรูปตู้ไม้น้ำมีดังนี้ครับ
1. การวางตำแหน่งตู้ ถ้าตั้งติดฝาหนังอยู่แล้วควรเลื่อนออกมาให้ห่างจากฝาผนังประมาณ 1ฟุต เพื่อให้สะดวกต่อการวางอุปกรณ์ประกอบฉาก
เดี่ยวจะเอารูปมาประกอบคำอธิบายอีกที ตอนนี้อยู่ที่ Office ไม่มีรูปมาด้วย
2. นำสิ่งกีดขวาง สิ่งของต่างๆบริเวณรอบๆตู้ ออกให้หมด โดยเฉพาะ หน้าและหลังตู้ เช่นถังน้ำ ขวดอาหารปลา ขวดปุ๋ยน้ำ เป็นต้น
แต่ไม่ต้องถึงกับยกของออกจากบ้านให้หมด thief1 แล้วเหลือแต่ตู้ไม้น้ำล่ะ มันเกินไป
3 นำอุปกรณ์ที่อยู่ภายในตู้ออกให้หมดครับ อุปกรณ์จะได้ไม่สะดุดตา เช่นท่อน้ำจากกรอง กรองแขวน ตัวละลาย CO2
ถ้าเป็น Product เครื่องแก้วไฮโซจากพี่หนุ่มผมยาว อันนี้ไม่ต้องเอาออกก็ได้ครับ ของเขาสวยอยู่แล้ว
แต่ถ้าเป็นท่อน้ำเขียวๆ หรือเครื่องแก้วที่มีคราบสกปรก ให้เอาออกเลย ไม่งามแน่ๆ
(** ถ้าถ่ายรูปส่งประกวด ADA ควรเอาออกเลยนะครับ)
4. ตัดแต่งต้นไม้(ถ้าสวยอยู่แล้วไม่ต้องตัด) ทำความสะอาดทั้งใน และนอกตู้ เช่นตะไคร่ที่กระจก เศษต้นไม้ ใบไม้ หอยตัวเล็กๆที่เกาะกระจก คราบน้ำขอบกระจกเป็นต้น
เปลี่ยนน้ำในตู้ประมาณ 30 % เหมือนที่ทำประจำทุกสัปดาห์ เพื่อถ่ายเอาของเสีย หรือเศษต่างๆในตู้ออก
เช็ดกระจกนอกตู้ให้ใสสะอาดทุกด้าน (ค่อยๆเช็ดนะ เดี๋ยวเป็นรอย)
5. เตรียมอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในการถ่ายภาพ มาวางให้พร้อม
ลืมบอกไป ใครที่มีแฟลชแยกกับตัวกล้องได้ เดี๋ยวมีอุปกรณ์ ที่ DIY มาให้ใช้เพื่องานนี้โดยเฉพาะ
เอามาจากเว็บนอก ใครพอจำได้บ้าง รู้สึกจะเป็นของจีน หรือไต้หวันนี่แหละ
6. ไม่ควรให้มีเงา หรือแสงสะท้อนที่กระจกตู้ ควรปิดไฟ หรือปิดกันแสงภายในห้อง ที่จะสะท้อนมายังหน้ากระจกตู้ เพราะเงาจะมีผลต่อภาพถ่าย
สำหรับใครที่มีตู้ไม้น้ำ ตู้ปลา หลายๆตู้ แนะนำว่า (เอาให้คนอื่นบ้าง nono1) ปิดไฟให้หมดครับ
7. ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการถ่ายตู้ไม้น้ำ ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือ ปลาต้องไม่หลับอยู่ เพราะสีปลาจะดูซีด ต้นไม้ผลิใบออกอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะไม้ข้อ
เอาล่ะครับ พร้อมกันแล้วก็ลุยกันเลย
จากภาพตู้ไม้น้ำของผมแทบทุกภาพจะให้แสงหลังตู้เพื่อสร้างบรรยากาศของแสงในตู้ให้น่าสนใจ ผมจะนำโคมไฟมาตั้งข้างหลัง และนำแผ่นพลาสติกโปร่งแสงมากั้น ส่วนแสงและสีของโคมไฟ แนะนำให้ใช้แสงสีขาว
หากใครชอบสีฉากหลังสีอื่นๆ ให้หาแผ่นพลาสติกสีอื่นมาแทน ส่วนตัวผมชอบสีฟ้าครับ โทนสีดูแล้วนุ่มนวล
หลังจากนั้นนำโคมไฟ ที่มีกำลังไฟแรงมากสักหน่อย มาส่องลงตู้ (พยายามหาไฟที่แรงๆหน่อยนะครับ เพราะเดี๋ยวถ่ายมาตู้จะมืด) สำหรับใครที่มีแฟลชและสายซิงค์แฟลช ก็ใช้แฟลชได้เลยไม่ต้องใช้โคมไฟเพิ่ม
นำพัดลมมาตั้ง หรือหาคนช่วยถือ แล้วเป่าไปบริเวณผิวน้ำ
ผมเลือกใช้โคมแล้วกัน เพราะส่วนใหญ่จะไม่ได้ใช้แฟลชกัน
ตั้งขาตั้งไว้หน้าตู้ ให้ระยะห่างสัก 1 เมตร แล้ว zoom เลนส์ให้เห็นตู้พอดี อย่าถ่ายใกล้ตู้เกินไป
เพราะกล้องจะถ่ายที่ช่วง wide หรือ มุมกว้าง เดี๋ยวขอบภาพจะไม่ชัด และภาพจะดูแปลกๆ(แต่อาจจะสวยได้นะ แล้วแต่มุมมมอง)
จัดมุมกล้องให้อยู่ตรงกลางตู้ อย่าให้หน้ากล้องต่ำ หรือสูงกว่าตู้มากเกินไป
โฟกัสที่ตำแหน่งของวัตถุหน้าตู้ เช่น ต้นไม้ ขอนไม้ ก้อนหิน ไม่ควรโฟกัสที่ตัวปลา เพราะกล้องจะหลุดโฟกัสได้ และภาพที่ถ่ายจะไม่ชัด
ปิดการใช้งานแฟลชที่ตัวกล้อง และถ้าใครมีรีโมท ให้เลือกใช้รีโมทได้เลยครับ แต่ถ้าไม่มี ก็ให้ตั้งไปที่ฟังก์ชั่น Timer
แทน แต่อาจจะยุ่งยากสักหน่อยในการจับจังหวะของปลาในตู้
การ setup ที่ตัวกล้อง
โหมดที่ควรใช้ในการถ่ายภาพ ควรเลือกโหมด M หรือ Manual ครับ เพราะเราจะสามารถปรับค่าต่างๆ ได้ด้วยตนเอง
แต่ถ้ากล้องของเราไม่มีโหมด M ก็ให้ใชโหมด กึ่ง Auto ก็ได้ครับ เช่น Mode P แต่ถ้าใช้ Mode P เราก็ไม่ต้องปรับค่า F และ Speed shutter เพราะกล้องจะปรับให้เราเอง และเราสามารถใช้ฟังก์ชั่นการชดเชิยแสงได้ ในกรณีที่ภาพมืด หรือ สว่างมากเกินไป
Mode M (Manual)
ตั้ง ISO ไว้ที่ 200 - 400
รูรับแสงตั้งที่ F5 - F8 ถ้าตู้ใหญ่มากอาจต้องปรับเพิ่มขึ้นอีก
Speed shutter ไม่ควรตั้งต่ำกว่า 1/50 sec
white balance เลือกเป็น Daylight หรือรูปดวงอาทิตย์
ค่าต่างๆ ที่กล่าวมา ขึ้นอยู่กับสภาพแสงในตู้นะครับ
ถ้าถ่ายแล้วยังมืดอยู่ ให้ปรับ ISO จาก 200 เป็น 400
แต่ถ้าถ่ายแล้วสว่างไป ให้ปรับ Speed shutter เพิ่มขึ้น
ตอนนี้ยังไม่ขอกล่าวถึงเรื่องการวัดแสงก่อนนะครับ เพราะเดี๋ยวจะเข้าใจสับสน ยังไงลองถ่ายด้วยเทคนิคนี้ดูก่อนนะครับ
แล้วผมจะมาแนะนำเรื่องการวัดแสงอีกครั้ง ขอให้สนุกกับการเลี้ยง ปลา ไม้น้ำ และการถ่ายภาพนะครับ
ยังไงมีเทคนิคดีๆ ใหม่ๆ จะนำมา share กันอีก
ขอบคุณทุกๆคนนะครับ ที่ให้ความสนใจ
หากมีคำแนะนำใด ที่ไม่ถูกต้องหรือไม่สมควร ต้องขออภัยด้วยนะครับ
ปล. ใครไม่เข้าใจตรงเนื้อหาส่วนไหน ถามได้เลยครับยินดีให้คำตอบอย่างยิ่งครับ
ยังจะมีใครอ่านกระทู้นี้ป่าวเนี่ยเก่ามากมาย แต่ผมเพิ่งอ่านเลยขอนิดนึงนะคับผม
เทียบอายุแล้วผมจับกล้องน้อยกว่าพี่แน่นอน คับผม - -
แต่ เนื่องจากมันปักหมุดอยู่แล้วไม่มีการupdateผมจึงอยากบอกคนอื่นด้วยว่า องค์ประกอบของภาพที่ได้ 1 ภาพมันมาจาก
ISO ซึ่ง ในISO แยกเป็น speed shutter และ F-stop / F-number
ISO ยิ่งค่าน้อยยิ่งทำให้ภาพมีความคมชัดครับผม ยิ่งISOมากก็กลับกันนะ แต่ ยิ่งมาก ก็ยิ่งรับแสงมากขึ้น นั่นหมายถึงยิ่งค่ามากเราจึงสามารถถ่ายภาพได้ง่ายขึ้นนั่นเองครับผม
Speed shutter สังเกตว่าจะเป็น 2 แบบ
- 1/Y (1 , Y = ตัวแปร) หมายถึง มันวิ่งรอบได้ Y รอบต่อ 1 แช้ะ ครับ
- X" ( X = ตัวแปร) หมายถึง ใน 1 แช้ะ ใช้เวลา Y วินาที ครับ
F-stop / F-number / F-Aperture ยิ่งค่าน้อย ก็จะเรียกว่า ชัดตื้น ยิ่งค่ามากคือ ชัดลึกครับผม ก็คือ
- ค่าน้อย สามารถถ่าย หน้าชัดหลังเบลอ หน้าเบลอหลังชัดครับ
- ค่ามาก สามารถถ่าย ชัดหมด เบลอหมด(ใครจะถ่ายฟระเบลอหมด 036)ครับ
F-stop สัมพันธ์กับ Speed shutter แบบ + ครึ่ง หรือ + 2เท่า ครับ
โดย F-stop สัมพันธ์กับ Speed shutter ที่ค่าทั้งสอง สร้างความสมดุลกันให้เกิดภาพ โดย คิดว่า มีวงกลมวงหนึ่งเป็นมวลซักอย่างแล้วกันนะ ไอ้มวลเนี้ยชื่อว่าISOซึ่งเป็นมวลนี้ได้ก็มี 2 สิ่งประกอบกันอย่างลงตัวว่า Speed shutter และ F-stop
หากใครใช้ DSLR คงเข้าใจได้ง่าย ว่ามันสมดุลกันที่ ตรงกลางของเส้น ที่บอกค่าความสว่าง
-_________0_________+
under over
- หากถ่ายในขณะที่เข็มอยู่ก่อนถึง 0 เราจะได้ภาพ underครับก็คือภาพ ที่มืดครับ
- หากถ่ายในขณะที่เข็มอยู่หลังถึง 0 เราจะได้ภาพ overครับก็คือถาพที่ สว่างครับ
- หากถ่ายในขณะที่เข็มอยู่ตรง 0 เราจะได้ภาพ ที่แสงสว่างกำลังดีครับ
*ทั้งนี้การถ่ายให้ มืดขึ้นหรือสว่างขึ้นก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแต่ละคนนะครับ [เขิลลลล]
*ตรงนี้คงตอบโจทย์ที่ว่าทำไมถ่ายแล้ว ขาวเว่อหรือมืดตึบได้นะครับ
WB = White Balance ผมว่าขึ้นอยู่กับคนว่าอยากได้ โทนสีแบบไหน ซึ่งลองถ่ายเอาเองก็ได้ครับ มันก็จะมี โทนอุ่น(สีเหลือง-ส้ม) โทนเย็น(ฟ้า-ขาว) ก็แล้วแต่เลือกดีกว่าเนอะอย่าไปจำกัดเลยว่าต้อง day light ครับ lau01
**การถ่ายที่มืดที่มีคุณภาพ ควรหา ขาตั้งดีๆหรือทำไงก็ได้ให้ กล้องนิ่งนะครับ เพราะควรถ่ายด้วยค่า ISO ที่ต่ำภาพจะได้ไม่แตกนะครับ
**มือคนทั่วๆไป สามารถถ่ายภาพได้ชัดเจน ด้วย Speed shutter ที่ 1/60 ขึ้นไปนะครับ หากว่าต่ำกว่านี้ก็พยายามกันดูนะครับ ชัดได้แต่อาจจะยากนิดนึง lau01
สิ่งที่สำคัญที่สุดของการถ่ายภาพไม่ใช่อื่นไกลครับคือตัวคุณเองว่าหามุมมองได้แบบไหนนั่นเองนั่นหมายถึง จัดcompostของภาพน่ะครับผม
***หากว่าอ่านแล้วไม่เข้าใจก็ถามมาได้นะครับ จะพยายามตอบให้ หลายๆส่วนผมเองก็อ่านที่ตัวเองเขียนมาไม่ค่อยจะรู้เรื่องเหมือนกัน หวังว่าคงพอเป็นประโยชน์บ้างนะครับ n032 [เขิลลลล]
เทียบอายุแล้วผมจับกล้องน้อยกว่าพี่แน่นอน คับผม - -
แต่ เนื่องจากมันปักหมุดอยู่แล้วไม่มีการupdateผมจึงอยากบอกคนอื่นด้วยว่า องค์ประกอบของภาพที่ได้ 1 ภาพมันมาจาก
ISO ซึ่ง ในISO แยกเป็น speed shutter และ F-stop / F-number
ISO ยิ่งค่าน้อยยิ่งทำให้ภาพมีความคมชัดครับผม ยิ่งISOมากก็กลับกันนะ แต่ ยิ่งมาก ก็ยิ่งรับแสงมากขึ้น นั่นหมายถึงยิ่งค่ามากเราจึงสามารถถ่ายภาพได้ง่ายขึ้นนั่นเองครับผม
Speed shutter สังเกตว่าจะเป็น 2 แบบ
- 1/Y (1 , Y = ตัวแปร) หมายถึง มันวิ่งรอบได้ Y รอบต่อ 1 แช้ะ ครับ
- X" ( X = ตัวแปร) หมายถึง ใน 1 แช้ะ ใช้เวลา Y วินาที ครับ
F-stop / F-number / F-Aperture ยิ่งค่าน้อย ก็จะเรียกว่า ชัดตื้น ยิ่งค่ามากคือ ชัดลึกครับผม ก็คือ
- ค่าน้อย สามารถถ่าย หน้าชัดหลังเบลอ หน้าเบลอหลังชัดครับ
- ค่ามาก สามารถถ่าย ชัดหมด เบลอหมด(ใครจะถ่ายฟระเบลอหมด 036)ครับ
F-stop สัมพันธ์กับ Speed shutter แบบ + ครึ่ง หรือ + 2เท่า ครับ
โดย F-stop สัมพันธ์กับ Speed shutter ที่ค่าทั้งสอง สร้างความสมดุลกันให้เกิดภาพ โดย คิดว่า มีวงกลมวงหนึ่งเป็นมวลซักอย่างแล้วกันนะ ไอ้มวลเนี้ยชื่อว่าISOซึ่งเป็นมวลนี้ได้ก็มี 2 สิ่งประกอบกันอย่างลงตัวว่า Speed shutter และ F-stop
หากใครใช้ DSLR คงเข้าใจได้ง่าย ว่ามันสมดุลกันที่ ตรงกลางของเส้น ที่บอกค่าความสว่าง
-_________0_________+
under over
- หากถ่ายในขณะที่เข็มอยู่ก่อนถึง 0 เราจะได้ภาพ underครับก็คือภาพ ที่มืดครับ
- หากถ่ายในขณะที่เข็มอยู่หลังถึง 0 เราจะได้ภาพ overครับก็คือถาพที่ สว่างครับ
- หากถ่ายในขณะที่เข็มอยู่ตรง 0 เราจะได้ภาพ ที่แสงสว่างกำลังดีครับ
*ทั้งนี้การถ่ายให้ มืดขึ้นหรือสว่างขึ้นก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแต่ละคนนะครับ [เขิลลลล]
*ตรงนี้คงตอบโจทย์ที่ว่าทำไมถ่ายแล้ว ขาวเว่อหรือมืดตึบได้นะครับ
WB = White Balance ผมว่าขึ้นอยู่กับคนว่าอยากได้ โทนสีแบบไหน ซึ่งลองถ่ายเอาเองก็ได้ครับ มันก็จะมี โทนอุ่น(สีเหลือง-ส้ม) โทนเย็น(ฟ้า-ขาว) ก็แล้วแต่เลือกดีกว่าเนอะอย่าไปจำกัดเลยว่าต้อง day light ครับ lau01
**การถ่ายที่มืดที่มีคุณภาพ ควรหา ขาตั้งดีๆหรือทำไงก็ได้ให้ กล้องนิ่งนะครับ เพราะควรถ่ายด้วยค่า ISO ที่ต่ำภาพจะได้ไม่แตกนะครับ
**มือคนทั่วๆไป สามารถถ่ายภาพได้ชัดเจน ด้วย Speed shutter ที่ 1/60 ขึ้นไปนะครับ หากว่าต่ำกว่านี้ก็พยายามกันดูนะครับ ชัดได้แต่อาจจะยากนิดนึง lau01
สิ่งที่สำคัญที่สุดของการถ่ายภาพไม่ใช่อื่นไกลครับคือตัวคุณเองว่าหามุมมองได้แบบไหนนั่นเองนั่นหมายถึง จัดcompostของภาพน่ะครับผม
***หากว่าอ่านแล้วไม่เข้าใจก็ถามมาได้นะครับ จะพยายามตอบให้ หลายๆส่วนผมเองก็อ่านที่ตัวเองเขียนมาไม่ค่อยจะรู้เรื่องเหมือนกัน หวังว่าคงพอเป็นประโยชน์บ้างนะครับ n032 [เขิลลลล]