Aqua.c1ub.net
*
  Sat 20/Sep/2025
หน้า: 1 2 3 4 5   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: หลอด LED  (อ่าน 62725 ครั้ง)
eee ออฟไลน์
Club Follower
« ตอบ #60 เมื่อ: 06/06/10, [00:25:08] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ใช้มิเตอร์วัดที่ออกมา ชัวที่สุด ไม่งั้นจะมี meter ไว้ทำไม
ร้อนน้อยกว่าเพราะเปลี่ยนพลังงานเป็นแสงเกือบ 100% เลยสว่างมากกว่า
led ชนะขาดลอย
Deleteg ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #61 เมื่อ: 06/06/10, [00:27:34] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

55555+++
พี่บังครับ ผมก็แพร่มไปเรื่อยเหมือนกัน แค่ไม่อยากให้เข้าใจผิดกัน
LED ก็ร้อนนะครับ แต่ไม่ได้ร้อนที่ลำแสง มันร้อนที่อุปกรณ์
แต่ MH นี่ร้อนทั้งแสงทั้งอุปกรณ์ (อุปกรณ์ที่ร้อน ส่วนนึงมีผลมาจากลำแสง เหมือนเอาโคมไปตากแดด ยังไงยังงั้น เนื่องจากผมเคยทดลองย้ายบัลลาสออกจากโคม แต่ผลที่ได้คือโคมยังคงร้อนอยู่ แต่ร้อนน้อยลง)
แต่ผมก็ยังเชื่อว่า MH ให้แสงเหมือนแดดมากกว่า LED
เพราะ LED มันไม่วัด spectrum โชว์

ซึ่งต้นไม้น้ำมี trigger point 2 อย่าง คือ
1 ถ้า spectrum ตรง ความเข้มแสงไม่มาก ก็สังเคราะห์แสงได้
2 ถ้า spectrum ไม่ตรง ต้องใช้ความเข้มแสงมากๆเพื่อให้สังเคราะห์แสง
ซึ่งจากกระทู้ที่คุณ M ทดสอบ พอจะมองออกว่าที่ความเข้มแสงต่ำๆ( LED ชนิด ธรรมดา) ไม่เหมาะที่จะเลี้ยงไม้น้ำ

วิธีทดสอบว่า LED ดีจริงหรือไม่คือเลี้ยงที่ความเข้มแสงต่ำๆครับ (ต่ำเท่ากับหอลดทั่วๆไป โดยการใช้ lux meter วัด ครับ)

ปล. แดดยังร้อนเลย แล้ว LED ไม่ร้อน แสดงว่า spectrum มันแปลกๆมั้ยครับ

ปล2. ถ้ามีผู้ทดสอบพร้อมทั้งกำหนดตัวแปลต่างๆ ผลเป็นอย่างไรก็พร้อมจะน้อมรับครับ

ปล3. เข้าใจว่าของทุกอย่างมีข้อดีข้อเสียและจุดคุ้มทุน อยู่ที่การเลือกใช้ให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06/06/10, [01:06:27] โดย Deleteg »
Deleteg ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #62 เมื่อ: 06/06/10, [01:10:38] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

LED Street Lights vs. Metal Halide Lamps

I want to do this! What's This?

Although the technology has been around for decades, light-emitting diodes (LED) have only recently become a viable option for commercial lighting applications. There are a number of benefits to using LED light fixtures in street lighting applications.

      Energy Consumption
   1. When comparing LED to metal halide street lighting, there is typically a 50 percent energy reduction with comparable light levels. For example, a 250-watt metal halide fixture would typically be replaced by a 125 to 150 watt LED fixture.

      Rated Life
   2. While the most efficient pulse-start metal halide lamps are rated for 25,000 hours, LEDs are rated for more than 100,000 hours of useful life.
      Environmental Considerations
   3. Metal halide lamps contain high amounts of mercury and thus have associated disposal concerns. LED fixtures contain no mercury or lead, and are restriction of hazardous substances (RoHS) compliant.
      Lumen Maintenance
   4. At the beginning of a metal halide lamp's operation, it puts out a high quantity of useful light. By the end of its rated life, the lamp is down to about 60 percent of its original light output. Not only do LEDs last longer, but at the end of their rated life they are still producing more than 90 percent of their original light output.
      Start/Restrike Time
   5. A metal halide lamp takes anywhere from four to six minutes to warm up and emit light, and even longer to restrike if power is temporarily lost. LEDs are instant on, meaning they take no time to warm up.

http://www.ehow.com/facts_5605823_led-vs_-metal-halide-lamps.html
Deleteg ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #63 เมื่อ: 06/06/10, [01:14:03] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

อีกบทความนึง ทำการเปรียบเทียบหลอดต่างๆครับ

http://www.ecoledlighting.com/docs/LEDEfficiencyComparison.pdf

จากทั้งหมดพอจะเห็นได้ว่า LED มันไม่ได้เทพไปซะทุกเรื่อง มีดีมีเสียครับ
mojinako ออฟไลน์
Club Follower
« ตอบ #64 เมื่อ: 06/06/10, [02:12:09] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

อีกบทความนึง ทำการเปรียบเทียบหลอดต่างๆครับ

http://www.ecoledlighting.com/docs/LEDEfficiencyComparison.pdf

จากทั้งหมดพอจะเห็นได้ว่า LED มันไม่ได้เทพไปซะทุกเรื่อง มีดีมีเสียครับ

ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง
ตรงไหนอ่ะครับ ข้อเสียของLED  [on_062]
Deleteg ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #65 เมื่อ: 06/06/10, [08:20:09] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ผมก็ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงครับ
ก็ดูในตารางเทียบ LED กับ MH อะครับ
เรื่อง overall eff  MH ดีกว่า (ไม่รู้ว่าวัดอีท่าไหน)
เรื่อง overall cost ที่ 10 ปี MH ดีกว่า (แต่เข้าใจว่าไม่ได้รวมค่าแอร์ กับค่าชิลเลอร์ไปด้วย ไม่งั้น LED คงกินขาด)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06/06/10, [08:30:44] โดย Deleteg »
eee ออฟไลน์
Club Follower
« ตอบ #66 เมื่อ: 06/06/10, [19:56:17] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

กัดปริ๊นไปเลย เร็วกว่า แล้ว ชุบตะกั่วทีเดียว มานั่งบัดกรีทีละตัว ตายพอดี
อย่างในรูปผมใช้ 16*64 =1024 ดวง ต้องบัดกรี 2048 จุด
ลงบ่อตะกั่วทีเดียว ส่วนบ่อตะกั่วผมใช้ สแตนเลสหนาเผาโดยเตาแก๊ส ปรับให้มันอ่อนๆ ก็ใช้ได้แล้ว

ปล ในรูปไม่ใช่ led superbight นะ แต่เป็น led 5mm สีแดงเอาไว้ทำป้ายไฟวิ่ง ส่งลูกค้า
leklek ออฟไลน์
Club Follower
« ตอบ #67 เมื่อ: 07/06/10, [11:43:11] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ขอบคุณคุณบังที่มาช่วยตอบให้หายสงสัย

ผมลืมไปว่าหลอด LED ต่อได้หลายแบบ ต่อแบบอนุกรม หรือ ขนาน หรือ แบบผสม

เท่ากับว่าผู้ืีที่สร้างโคมนี้ใช้ของไม่คุ้มค่า ซื้อหลอด LED 3W แต่ใช้จริงๆแค่ 1 W ลองคิดกลับกัน ถ้าเค้าเลือกใช้หลอด LED 1W จำนวนอาจจะมากกว่า 32 หลอด เป็น 36 หลอด ราคาก็จะถูกลงเยอะ แต่ต้องขอแสดงความชื่นชมในความอุตสาหะครับ

ไม่ได้เข้ามาไม่กี่วัน กลายเป็นกระทู้ฮอตไปเลย  ้hahaha

ถึงท่านอื่นๆ ผมว่าเรามาช่วยกันแลกเปลี่ยนความรู้ดีกว่าครับ  ผมลองดูจากเวปนอก มีการทดลองใช้โคม LED ที่ประกอบด้วยหลอดสีแดง กับ หลอดสีน้ำเงิน ใช้ในการปลูกกัญชา ผลลัพธ์ก็เป็นที่พอใจของผู้ทดลอง

แต่ถ้าเราเอาโคม LED ที่ประกอบด้วยหลอดสีแดง กับ หลอดสีน้ำเงิน (ซึ่่งแสงที่ได้จะออกโทนน้ำเงินม่วง) มาใช้กับตู้ไม้น้ำ ผมว่าความสวยงามคงจะหายไปเยอะ สีของต้นไม้และปลาในตู้ที่เรามองเห็นก็จะเพี้ยนไปเยอะ
lux ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #68 เมื่อ: 07/06/10, [13:42:07] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ใช้ทั้ง 3 สีเท่า ๆ กันจะได้สีขาว
แต่ถ้าจะให้ต้ไม้ดูสวยต้องแสงแบบวอมน่าจะดูเป็นธรรมชาติกว่าครับ
บัง! ออฟไลน์
in Wonderland
« ตอบ #69 เมื่อ: 07/06/10, [14:57:47] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

กัดปริ๊นไปเลย เร็วกว่า แล้ว ชุบตะกั่วทีเดียว มานั่งบัดกรีทีละตัว ตายพอดี
อย่างในรูปผมใช้ 16*64 =1024 ดวง ต้องบัดกรี 2048 จุด
ลงบ่อตะกั่วทีเดียว ส่วนบ่อตะกั่วผมใช้ สแตนเลสหนาเผาโดยเตาแก๊ส ปรับให้มันอ่อนๆ ก็ใช้ได้แล้ว

ปล ในรูปไม่ใช่ led superbight นะ แต่เป็น led 5mm สีแดงเอาไว้ทำป้ายไฟวิ่ง ส่งลูกค้า


ท่านก็พูดยังกะมันง่ายๆ  [on_abe]

ลองชุบทีแรก หลุดกระจายเรย นั่งซ่อมนานพอๆกะบัดกรีด้วยหัวแร้ง  [on_026]
eee ออฟไลน์
Club Follower
« ตอบ #70 เมื่อ: 07/06/10, [16:09:58] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ท่านก็พูดยังกะมันง่ายๆ  [on_abe]

ลองชุบทีแรก หลุดกระจายเรย นั่งซ่อมนานพอๆกะบัดกรีด้วยหัวแร้ง  [on_026]
ก็ง่ายๆ นะครับ ทาฟลั๊กแยอะๆ แล้วตากแดดให้แห้ง
ไฟอ่อนๆ  แล้วจุ่มแบบปาดยกขึ้นเลย
lux ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #71 เมื่อ: 08/06/10, [09:15:56] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ใจเย็น ๆ ครับลองดูแรก ๆ ก็อย่างนี้ครับ
eee ออฟไลน์
Club Follower
« ตอบ #72 เมื่อ: 08/06/10, [12:42:13] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ไปซื้อหลอด led hight power มาแล้ว 90LUX ช่วง spectrum 10000k
เดี๊ยวทดสอบเสร็จ เตรียมมีเฮ ราคาไม่แพงมากด้วย จะทำตัวตัดเมื่อ temp เกิน 70 degree ด้วย เพราะหากร้อนมากกว่านี้หลอดจะเสียหายได้ ปรับกระแสได้ auto เตรียมวงจรไว้หมดแล้ว กัดปริ๊นแล้วด้วย  [on_066]
eee ออฟไลน์
Club Follower
« ตอบ #73 เมื่อ: 08/06/10, [13:13:42] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ผมว่า web นี้มันแหม่งๆ นะครับ เพราะรับ volt ได้แค่ 3.2v มันน่าจะเป็น 1W นะครับ เพราะ3W น่าจะ รับได้สูงสุด 700ma ที่ 5v
ส่วน 5w น่าจะ รับได้สูงสุด 700ma ที่ 9v
ผมว่า web นี้มั่วแน่เลย ทำให้ผลการทดลองด้านบนผิดไป


รหัสสินค้า: 000090
ปกติ 120.00 บาท 
ราคา พิเศษ 80.00 บาท
ประหยัด 40.00 บาท
รายละเอียด:
LED HIGH POWER
ชนิด : LUXEON
ค่าพลังงาน : 3W
แสงสี : แสงสีขาว
Volt : Min 3.0 Volt  ,  Max 3.2 Volt
osga ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #74 เมื่อ: 08/06/10, [15:21:16] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ชอบกระทู้นี้มาก  ขอชื่นชมพี่ๆทุกคน  โดยเฉพาะพี่ที่กำลังทดลองใช้หลอด LED
เป็นกระทู้ที่น่าศึกษา  สำหรับตัวผมใช้แต่หลอดฟูออเรสเซนต์  ที่ใช้บัลลาสแกนเหล็กธรรมดา
เห็นพี่ mojinako มีสูตรคำนวณเลยเอาคลิปแอมป์  ไปจับดูบ้างได้ผลว่ามีกระแส 0.5 A
ลองคำนวณดูตามครับ

ฟูออเรสเซนต์   36 w   กินกระแส 0.5  แอมป์ 220 โวลต์
220 x 0.5 = 110 วัตต์
เปิดไฟวันละ 8 ชม.  ค่าไฟขณะนี้ ประมาณหน่วยละ 3 บาท
ค่าไฟ((110x8)/1000) x 3 = 2.64 บาทต่อวัน
ค่าไฟxวันที่ใช้ทั้งเดือน    2.64x 31   =    81.84 บาท    หลอด/เดือน

เห็นคุยกันเรื่องประหยัดไฟก็เลยไปหาขอมูลมา  ได้ใจความว่า
อุปกรณ์ชุดหลอดไฟฟูออเรสเซนต์สำเร็จรูปที่ขายทั่วไปจริงๆต้องใส่ตัว C คาปาซิเตอร์ด้วย
แต่ส่วนมากจะไม่มีให้  เลยดูที่ตัวบัลลาสแล้วไปซื้อที่ร้าน อมร รังสิต มาติด
ใช้ค่า 4  ไมโครฟารัส  ราคา  45  บาท  ตามที่เขาบอกไว้บนตัว บัลลาส
ติดตั้งเสร็จทดลองวัดไฟ  ได้ 0.1 A

Thanks: gamethai  showpic
ลองคำนวณดู

ฟูออเรสเซนต์   36 w   กินกระแส 0.1  แอมป์ 220 โวลต์
220 x 0.1 = 22 วัตต์
เปิดไฟวันละ 8 ชม.  ค่าไฟขณะนี้ ประมาณหน่วยละ 3 บาท
ค่าไฟ((110x8)/1000) x 3 = 0.528 บาทต่อวัน
ค่าไฟxวันที่ใช้ทั้งเดือน    2.64x 31   =    16.368 บาท    หลอด/เดือน

ประหยัดไฟได้   81.84 - 16.368  =  65.472 บาท   หลอด/เดือน
ผมว่าหลอดฟูออเรสเซนต์จับมาติด  คาปาซิเตอร์   ก็ช่วยประหยัดไฟไปได้เยอะเลยครับ
ถ้าคำนวณผิด  ขอโทษด้วยนะคร๊าบ  คำนวนตามพี่ mojinako
ยังไงก็ขอให้พี่พัฒนาหลอด  LED  ต่อไปนะครับจะรอติดตามผลงานครับ
lux ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #75 เมื่อ: 08/06/10, [15:52:15] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ใช้ L กับ C ขนานกันช่วยลดค่าการเหนี่ยวนำได้ครับประหยัดไฟขึ้น
ช่างสังเกตจริงนะครับ
SM ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #76 เมื่อ: 08/06/10, [17:29:34] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

[/quote
ชอบกระทู้นี้มาก  ขอชื่นชมพี่ๆทุกคน  โดยเฉพาะพี่ที่กำลังทดลองใช้หลอด LED
เป็นกระทู้ที่น่าศึกษา  สำหรับตัวผมใช้แต่หลอดฟูออเรสเซนต์  ที่ใช้บัลลาสแกนเหล็กธรรมดา
เห็นพี่ mojinako มีสูตรคำนวณเลยเอาคลิปแอมป์  ไปจับดูบ้างได้ผลว่ามีกระแส 0.5 A
ลองคำนวณดูตามครับ

ฟูออเรสเซนต์   36 w   กินกระแส 0.5  แอมป์ 220 โวลต์
220 x 0.5 = 110 วัตต์
เปิดไฟวันละ 8 ชม.  ค่าไฟขณะนี้ ประมาณหน่วยละ 3 บาท
ค่าไฟ((110x8)/1000) x 3 = 2.64 บาทต่อวัน
ค่าไฟxวันที่ใช้ทั้งเดือน    2.64x 31   =    81.84 บาท    หลอด/เดือน

เห็นคุยกันเรื่องประหยัดไฟก็เลยไปหาขอมูลมา  ได้ใจความว่า
อุปกรณ์ชุดหลอดไฟฟูออเรสเซนต์สำเร็จรูปที่ขายทั่วไปจริงๆต้องใส่ตัว C คาปาซิเตอร์ด้วย
แต่ส่วนมากจะไม่มีให้  เลยดูที่ตัวบัลลาสแล้วไปซื้อที่ร้าน อมร รังสิต มาติด
ใช้ค่า 4  ไมโครฟารัส  ราคา  45  บาท  ตามที่เขาบอกไว้บนตัว บัลลาส
ติดตั้งเสร็จทดลองวัดไฟ  ได้ 0.1 A

Thanks: gamethai  showpic
ลองคำนวณดู

ฟูออเรสเซนต์   36 w   กินกระแส 0.1  แอมป์ 220 โวลต์
220 x 0.1 = 22 วัตต์
เปิดไฟวันละ 8 ชม.  ค่าไฟขณะนี้ ประมาณหน่วยละ 3 บาท
ค่าไฟ((110x8)/1000) x 3 = 0.528 บาทต่อวัน
ค่าไฟxวันที่ใช้ทั้งเดือน    2.64x 31   =    16.368 บาท    หลอด/เดือน

ประหยัดไฟได้   81.84 - 16.368  =  65.472 บาท   หลอด/เดือน
ผมว่าหลอดฟูออเรสเซนต์จับมาติด  คาปาซิเตอร์   ก็ช่วยประหยัดไฟไปได้เยอะเลยครับ
ถ้าคำนวณผิด  ขอโทษด้วยนะคร๊าบ  คำนวนตามพี่ mojinako
ยังไงก็ขอให้พี่พัฒนาหลอด  LED  ต่อไปนะครับจะรอติดตามผลงานครับ


ขอแก้สูตรให้นิดนะครับ
ปกติสูตรการคิดค่าไฟฟ้าการไฟฟ้าจะคิดเป็น kW-Hr (กิโลวัติ-ชั่วโมง)
สูตรคำนวณ คือ กำลัง P(watt) = V(volt) x I (กระแส) x PF.(Power factor)
เนื่องจาก ballast เป็น load ขดลวดมีค่า power factor เป็น lag
การที่เค้าต่อ Capacitor เข้าไปซึ่งเป็น load ประเภท lead จะเข้าไปชดเชยค่า Power factor รวม
Power factor ดูได้ที่ตัว ballast ถ้าของ phillips จะบอกอยู่ ถ้าจำไม่ิผิด cos 0 = 0.65
มีผลทำให้ค่ากระแสที่วัดได้ลดลง ซึ่งวิธีนี้เราอาจจะเคยเห็นที่ JJ มีพวกมาหลอกขายกล่องดำ เค้าก็ทดลองให้ดูวิธีนี้
แต่ จริงๆ แล้ว กำลังไฟฟ้ายังคงเท่าเดิม
ลองย้อนสูตรดูครับ กำลังไฟฟ้าเท่าเดิม 36watt ,ballast loss นิดหน่อยไม่ต้องคิด
ก่อนติด CAP
PF.=36watts / (220volts x 0.5amp) = 0.32 (จริงๆ ตาม name plate ของ ballast มันควรจะเป็น 0.5)

หลังติด CAP
PF.=36watts / (220volts x 0.1amp) = 1.63

ตัวเลข PF ที่ได้จากสูตรน่าจะ error จากเครืองมือวัดค่ากระแสที่หยาบ ซึ่งกระแสน้อยมากต้องใช้เครื่องวัดย่านต่ำ
สรุปว่าสำหรับกรณีนี้ที่ติด CAP ไม่ได้ช่วยเรื่องค่าไฟฟ้าครับ
Watt ก็คือ กำลังไฟ เราใช้เท่าไหร่เราก็จ่ายเท่านั้นครับ Capacitor ที่ใช้้ชดเชยช่วยได้นิดหน่อยครับ
(ช่วยก็น้อยมากสำหรับการลด loss ในสายไฟฟ้้าเนื่องจากกระแสลดลงในระบบอุตสาหกรรมจะติดตั้งชดเชย PF ที่ main)

เอาเป็นว่าเพื่อไม่ให้งง การติดติด CAPACITOR ตามด้านบนไม่ได้ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าครับ

ถ้าพูดเรื่อง technology ประหยัดพลังงานสำหรับหลอดไฟฟ้าไม่ได้มีแต่ LED ครับ
ถ้าตอนนี้้จะ มีหลอด LVD : Induction Lamp ซึ่งตัวนี้ผมนำเข้ามาจะหน่ายแล้วครับ
ส่วนมากจะใช้งาน ไฟถนน ตามโรงงานที่หลังคาสูง ข้อดีคือประหยัดกว่า HID พวก metal halide  หรือ high pressure sodium ประมาณ 50% ข้อได้เปรียบ LED คือแสงเหมือน FL ไม่เพี้ยน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09/06/10, [06:50:09] โดย SM »
mojinako ออฟไลน์
Club Follower
« ตอบ #77 เมื่อ: 08/06/10, [21:15:28] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

[/quote
ขอแก้สูตรให้นิดนะครับ
ปกติสูตรการคิดค่าไฟฟ้าการไฟฟ้าจะคิดเป็น kW-Hr (กิโลวัติ-ชั่วโมง)
สูตรคำนวณ คือ กำลัง P(watt) = V(volt) x I (กระแส) x PF.(Power factor)
เนื่องจาก ballast เป็น load ขดลวดมีค่า power factor เป็น lag
การที่เค้าต่อ Capacitor เข้าไปซึ่งเป็น load ประเภท lead จะเข้าไปชดเชยค่า Power factor รวม
Power factor ดูได้ที่ตัว ballast ถ้าของ phillips จะบอกอยู่ ถ้าจำไม่ิผิด cos 0 = 0.65
มีผลทำให้ค่ากระแสที่วัดได้ลดลง ซึ่งวิธีนี้เราอาจจะเคยเห็นที่ JJ มีพวกมาหลอกขายกล่องดำ เค้าก็ทดลองให้ดูวิธีนี้
แต่ จริงๆ แล้ว กำลังไฟฟ้ายังคงเท่าเดิม
ลองย้อนสูตรดูครับ กำลังไฟฟ้าเท่าเดิม 36watt ,ballast loss นิดหน่อยไม่ต้องคิด
ก่อนติด CAP
PF.=36watts / (220volts x 0.5amp) = 0.32 (จริงๆ ตาม name plate ของ ballast มันควรจะเป็น 0.5)

หลังติด CAP
PF.=36watts / (220volts x 0.1amp) = 1.63

ตัวเลข PF ที่ได้จากสูตรน่าจะ error จากเครืองมือวัดค่ากระแสที่หยาบ ซึ่งกระแสน้อยมากต้องใช้เครื่องวัดย่านต่ำ
สรุปว่าสำหรับกรณีนี้ที่ติด CAP ไม่ได้ช่วยเรื่องค่าไฟฟ้าครับ
Watt ก็คือ กำลังไฟ เราใช้เท่าไหร่เราก็จ่ายเท่านั้นครับ Capacitor ที่ใช้้ชดเชยช่วยได้นิดหน่อยครับ
(ช่วยก็น้อยมากสำหรับการลด loss ในสายไฟฟ้้าเนื่องจากกระแสลดลงในระบบอุตสาหกรรมจะติดตั้งชดเชย PF ที่ main)

ถ้าพูดเรื่อง technology ประหยัดพลังงานสำหรับหลอดไฟฟ้าไม่ได้มีแต่ LED ครับ
ถ้าตอนนี้้จะ มีหลอด LVD : Induction Lamp ซึ่งตัวนี้ผมนำเข้ามาจะหน่ายแล้วครับ
ส่วนมากจะใช้งาน ไฟถนน ตามโรงงานที่หลังคาสูง ข้อดีคือประหยัดกว่า HID พวก metal halide  หรือ high pressure sodium ประมาณ 50% ข้อได้เปรียบ LED คือแสงเหมือน FL ไม่เพี้ยน


 [on_007] งง
NP ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #78 เมื่อ: 08/06/10, [22:07:39] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ


แต่ผมก็ยังเชื่อว่า MH ให้แสงเหมือนแดดมากกว่า LED
เพราะ LED มันไม่วัด spectrum โชว์

ซึ่งต้นไม้น้ำมี trigger point 2 อย่าง คือ
1 ถ้า spectrum ตรง ความเข้มแสงไม่มาก ก็สังเคราะห์แสงได้
2 ถ้า spectrum ไม่ตรง ต้องใช้ความเข้มแสงมากๆเพื่อให้สังเคราะห์แสง
ซึ่งจากกระทู้ที่คุณ M ทดสอบ พอจะมองออกว่าที่ความเข้มแสงต่ำๆ( LED ชนิด ธรรมดา) ไม่เหมาะที่จะเลี้ยงไม้น้ำ

วิธีทดสอบว่า LED ดีจริงหรือไม่คือเลี้ยงที่ความเข้มแสงต่ำๆครับ (ต่ำเท่ากับหอลดทั่วๆไป โดยการใช้ lux meter วัด ครับ)

ปล. แดดยังร้อนเลย แล้ว LED ไม่ร้อน แสดงว่า spectrum มันแปลกๆมั้ยครับ

ปล2. ถ้ามีผู้ทดสอบพร้อมทั้งกำหนดตัวแปลต่างๆ ผลเป็นอย่างไรก็พร้อมจะน้อมรับครับ

ปล3. เข้าใจว่าของทุกอย่างมีข้อดีข้อเสียและจุดคุ้มทุน อยู่ที่การเลือกใช้ให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดครับ

มันมี PAR Meter (Photosynthetically Available Radiation) ซึ่งวัดเฉพาะคลื่นแสงที่ใช้
สังเคราะห์แสงได้ครับ

LUX Meter ไม่เหมาะ เพราะมันวัดความสว่างทั้งหมด

ความร้อนคืออินฟราเรด ต้นไม้คงไม่ใช้
osga ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #79 เมื่อ: 09/06/10, [08:58:26] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

[/quote
ขอแก้สูตรให้นิดนะครับ
ปกติสูตรการคิดค่าไฟฟ้าการไฟฟ้าจะคิดเป็น kW-Hr (กิโลวัติ-ชั่วโมง)
สูตรคำนวณ คือ กำลัง P(watt) = V(volt) x I (กระแส) x PF.(Power factor)
เนื่องจาก ballast เป็น load ขดลวดมีค่า power factor เป็น lag
การที่เค้าต่อ Capacitor เข้าไปซึ่งเป็น load ประเภท lead จะเข้าไปชดเชยค่า Power factor รวม
Power factor ดูได้ที่ตัว ballast ถ้าของ phillips จะบอกอยู่ ถ้าจำไม่ิผิด cos 0 = 0.65
มีผลทำให้ค่ากระแสที่วัดได้ลดลง ซึ่งวิธีนี้เราอาจจะเคยเห็นที่ JJ มีพวกมาหลอกขายกล่องดำ เค้าก็ทดลองให้ดูวิธีนี้
แต่ จริงๆ แล้ว กำลังไฟฟ้ายังคงเท่าเดิม
ลองย้อนสูตรดูครับ กำลังไฟฟ้าเท่าเดิม 36watt ,ballast loss นิดหน่อยไม่ต้องคิด
ก่อนติด CAP
PF.=36watts / (220volts x 0.5amp) = 0.32 (จริงๆ ตาม name plate ของ ballast มันควรจะเป็น 0.5)

หลังติด CAP
PF.=36watts / (220volts x 0.1amp) = 1.63

ตัวเลข PF ที่ได้จากสูตรน่าจะ error จากเครืองมือวัดค่ากระแสที่หยาบ ซึ่งกระแสน้อยมากต้องใช้เครื่องวัดย่านต่ำ
สรุปว่าสำหรับกรณีนี้ที่ติด CAP ไม่ได้ช่วยเรื่องค่าไฟฟ้าครับ
Watt ก็คือ กำลังไฟ เราใช้เท่าไหร่เราก็จ่ายเท่านั้นครับ Capacitor ที่ใช้้ชดเชยช่วยได้นิดหน่อยครับ
(ช่วยก็น้อยมากสำหรับการลด loss ในสายไฟฟ้้าเนื่องจากกระแสลดลงในระบบอุตสาหกรรมจะติดตั้งชดเชย PF ที่ main)

เอาเป็นว่าเพื่อไม่ให้งง การติดติด CAPACITOR ตามด้านบนไม่ได้ช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าครับ

ถ้าพูดเรื่อง technology ประหยัดพลังงานสำหรับหลอดไฟฟ้าไม่ได้มีแต่ LED ครับ
ถ้าตอนนี้้จะ มีหลอด LVD : Induction Lamp ซึ่งตัวนี้ผมนำเข้ามาจะหน่ายแล้วครับ
ส่วนมากจะใช้งาน ไฟถนน ตามโรงงานที่หลังคาสูง ข้อดีคือประหยัดกว่า HID พวก metal halide  หรือ high pressure sodium ประมาณ 50% ข้อได้เปรียบ LED คือแสงเหมือน FL ไม่เพี้ยน


นิดนึงนะครับพี่  งงอยู่    ผลจากการทดลองน่าจะเป็นผลที่นำมาใช้คิดค่าไฟได้จริงนะครับ
หลอดไฟใช้กระแสที่  0.5 A   แล้วเราปรับปรุงแล้วใช้กระแสน้อยลง  0.1A
เป็นข้อมูลจริงที่หลอดไฟใช้  ทำไม่ถึงไม่ช่วยให้ประหยัดค่าไฟขึ้นหละครับ 
ตามความเห็นผมจากที่ศึกษาจากอินเตอร์เน็ตมานะครับ  เครื่องใช้ไฟที่กินกระแสไฟน้อยค่าไฟก็น่าจะน้อยด้วย
ค่าไฟตามบ้านผมว่า  การไฟฟ้าไม่คิดค่า Power factor  หลอกครับ  มิเตอร์หน้าบ้านผมเห็นแต่หน่วยหมุน
ไม่เห็นมีช่อง  Power factor เลยแล้วผมจะรู้ได้ไงว่ามีค่าเท่าไหร่ไว้คิดค่าไฟ
ถ้าผิดช่วยแก้ไขด้วยครับ  ผมจะได้ไม่ไปซื้อ คาร์ปาซิสเตอร์มาติดหลอดไฟที่บ้านเพิ่ม  กำลังจะไปซื้อพอดี

SM ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #80 เมื่อ: 09/06/10, [09:40:59] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ


นิดนึงนะครับพี่  งงอยู่    ผลจากการทดลองน่าจะเป็นผลที่นำมาใช้คิดค่าไฟได้จริงนะครับ
หลอดไฟใช้กระแสที่  0.5 A   แล้วเราปรับปรุงแล้วใช้กระแสน้อยลง  0.1A
เป็นข้อมูลจริงที่หลอดไฟใช้  ทำไม่ถึงไม่ช่วยให้ประหยัดค่าไฟขึ้นหละครับ 
ตามความเห็นผมจากที่ศึกษาจากอินเตอร์เน็ตมานะครับ  เครื่องใช้ไฟที่กินกระแสไฟน้อยค่าไฟก็น่าจะน้อยด้วย
ค่าไฟตามบ้านผมว่า  การไฟฟ้าไม่คิดค่า Power factor  หลอกครับ  มิเตอร์หน้าบ้านผมเห็นแต่หน่วยหมุน
ไม่เห็นมีช่อง  Power factor เลยแล้วผมจะรู้ได้ไงว่ามีค่าเท่าไหร่ไว้คิดค่าไฟ
ถ้าผิดช่วยแก้ไขด้วยครับ  ผมจะได้ไม่ไปซื้อ คาร์ปาซิสเตอร์มาติดหลอดไฟที่บ้านเพิ่ม  กำลังจะไปซื้อพอดี
อธิบายหมดเดี๋ยวมันจะยาวครับ คร่าวๆนะครับ
load ทางไฟฟ้ามี 3 ประเภท คือ 1)ความต้านทาน พวกหลอดไส้ 2)ขดลวด พวกมอเตอร์ บัลลาส 3)คาปาซิเตอร์

load ที่การไฟฟ้าคิดค่าไฟฟ้าจะเป็นกำลังไฟฟ้าจริง (Watt) ส่วน load ประเภท ขดลวด กับ คาร์ปา เป็นกลุ่มกำลังไฟฟ้าเสมือน
KVA2 = KW2+KVAr2
(การไฟฟ้าคิดค่าไฟฟ้าบ้านทั่วไปเฉพาะ KW จะไม่แสดง PF แต่ถ้าเป็นโรงงานอุตสาหกรรมหรือ การใช้ไฟขนาดใหญ่จะคิด KVAr ด้วยครับ)
กระแสที่เห็นว่าลดลงนั้นมันมาจากการชดเชยกำลังไฟฟ้า ที่มีทิศทางเวคเตอร์สวนทางกันระหว่าง L กับ C ครับ
ซึ่งเป็นกระแสเสมือน

CAPACITOR อย่าไปซื้อมาติดครับ ไม่มีประโยชน์ มันช่วยลดกระแสรวมและลด loss ในสายไฟฟ้าเท่านั้น
สำหรับบ้านพักน้อยมากๆ แล้วยังอันตรายด้วยถ้า CAP คุณภาพไม่ดีอาจระเบิดและไหม้ได้ ผมเคยเจอมากับตัวเองครับประเภทติดมากับชุดหลอดที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม

ปกติการคิดค่าไฟฟ้าเราใช้ name plate แล้วใช้ค่า watt คิดใส่สูตรได้เลย load ประเภทต่อเนื่องแต่ถ้าเป็นพวกปั๊มน้ำคิดไม่ได้
leklek ออฟไลน์
Club Follower
« ตอบ #81 เมื่อ: 09/06/10, [09:49:36] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ติดคาปาซิเตอร์ไม่ได้ช่วยประหยัดค่าไฟครับ  
เพราะการไฟฟ้าคิดค่าไฟตามบ้านอยู่อาศัยจาก W (watt) ไม่ใช่ VA (Volt Ampere)
ตัวคาปาซิเตอร์จะช่วยปรับ power factor ให้เข้าใกล้ 1 หรือ ช่วยลด VAR (Reactive Power) ให้ลดลง แต่ค่า W ยังเท่าเดิมครับ
สรุปว่า ถ้ายังไม่ติด ก็ไม่ควรซื้อมาติดครับ เสียดายตังค์ ซื้อ Electronic Ballast มาเปลี่ยนแทนบัลลาสท์แกนเหล็กดีกว่าครับ เดี๋ยวนี้ราคาถูกกว่าก่อนเยอะครับ
osga ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #82 เมื่อ: 09/06/10, [09:53:05] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ขอบคุณมากครับ  สำหรับความรู้เพิ่มเติม  เกิบไปเเล้ว 

pulp ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #83 เมื่อ: 09/06/10, [10:44:05] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ดูเวปนอก ขายตัวนึง 5-6 หมื่น ถึงหลักแสนเลย

พยายามเข้านะคับ เพื่อพี่น้อง CAP ทุกคน     [on_055]
lux ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #84 เมื่อ: 09/06/10, [11:00:06] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

แสงของดวงอาทิตย์
แสงมีช่วงความถี่ 1014Hz หรือความยาวคลื่น 4x10-7 - 7x10-7 เมตร เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ประสาทตาของมนุษย์รับได้ สเปคตรัมของแสงสามารถแยกได้ดังนี้

สี ความยาวคลื่น (nm) ม่วง 380-450
                         น้ำเงิน 450-500
                           เขียว 500-570
                         เหลือง 570-590
                            แสด 590-610
                            แดง 610-760
รังสีอัลตราไวโอเลต
รังสีอัลตราไวโอเลต หรือ รังสีเหนือม่วง มีความถี่ช่วง 1015 - 1018 Hz เป็นรังสีตามธรรมชาติส่วนใหญ่มาจากการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ ซึ่งทำให้เกิดประจุอิสระและไอออนในบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์ รังสีอัลตราไวโอเลต สามารถทำให้เชื้อโรคบางชนิดตายได้ แต่มีอันตรายต่อผิวหนังและตาคน

รังสีเอกซ์
รังสีเอกซ์ มีความถี่ช่วง 1016 - 1022 Hz มีความยาวคลื่นระหว่าง 10-8 - 10-13 เมตร ซึ่งสามารถทะลุสิ่งกีดขวางหนา ๆ ได้ หลักการสร้างรังสีเอกซ์คือ การเปลี่ยนความเร็วของอิเล็กตรอน มีประโยชน์ทางการแพทย์ในการตรวจดูความผิดปกติของอวัยวะภายในร่างกาย ในวงการอุตสาหกรรมใช้ในการตรวจหารอยร้าวภายในชิ้นส่วนโลหะขนาดใหญ่ ใช้ตรวจหาอาวุธปืนหรือระเบิดในกระเป๋าเดินทาง และศึกษาการจัดเรียงตัวของอะตอมในผลึก

รังสีแกมมา
รังสีแกมมามีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้ามีความถี่สูงกว่ารังสีเอกซ์ เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์และสามารถกระตุ้นปฏิกิริยานิวเคลียร์ได้ มีอำนาจทะลุทะลวงสูง การที่ให้จะมันหยุดได้จะต้องใช้คอนกรีตหนาประมาณ 20 เมตรอย่างน้อย  สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้แต่อันตรายมากจึงไม่นิยม จะใช้เฉพาะการแพทย์เท่านั้น

ดวงอาทิตย์มีสีขาว แต่เห็นบนโลกเป็นสีเหลือง เนื่องจากการกระเจิงของแสง
ดวงอาทิตย์(ความยาวคลื่น 380-700 nm)แสงจากดวงอาทิตย์และหลอดไส้จะให้
สเปกตรัมของแสงที่มองเห็นได้ครบขณะที่แสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์และหลอด
Metal halide จะให้แค่เพียงบางช่วงคลื่นขึ้นอยู่กับสารเรื่องแสงที่ใช้ หรือธาตุหายากที่
ใช้ในหลอด

หลอดฟลูโอเรสเซนต์สำหรับเลี้ยงไม้น้ำจึงเน้นไปที่การเลือกสารเรืองแสงที่ปล่อย
ช่วงคลื่นสีแดงและสีน้ำเงินออกมามากเป็นพิเศษเพื่อให้พืชได้ใช้ประโยชน2จากแหล่ง
กำเนิดแสงได้เต็มที่ ส่วนช่วงคลื่นอื่นๆที่เป นแสงขาว เพื่อให้เกิดความสวยงามและทำ
ให้การมองเห็นสีของวัตถุไม่ผิดเพี้ยน

หลอด LED
   สีน้ำเงิน จะมีความยาวคลื่น ประมาณ 440-490 nm
   สีขาว จะมีความยาวคลื่น ประมาณ 462 nm
   สีเหลือง จะมีความยาวคลื่น ประมาณ 468 nm
   สีเขียว จะมีความยาวคลื่น ประมาณ 520-570 nm
   สีแดง จะมีความยาวคลื่น ประมาณ 630-760 nm เป็นต้น


รองดูซิครับ แสงจากดวงอาทิตย์กับหลอด LED มันต่างกันตรงไหน
DominoFx ออฟไลน์
Club Follower
« ตอบ #85 เมื่อ: 09/06/10, [15:57:04] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ผมว่า web นี้มันแหม่งๆ นะครับ เพราะรับ volt ได้แค่ 3.2v มันน่าจะเป็น 1W นะครับ เพราะ3W น่าจะ รับได้สูงสุด 700ma ที่ 5v
ส่วน 5w น่าจะ รับได้สูงสุด 700ma ที่ 9v
ผมว่า web นี้มั่วแน่เลย ทำให้ผลการทดลองด้านบนผิดไป


รหัสสินค้า: 000090
ปกติ 120.00 บาท 
ราคา พิเศษ 80.00 บาท
ประหยัด 40.00 บาท
รายละเอียด:
LED HIGH POWER
ชนิด : LUXEON
ค่าพลังงาน : 3W
แสงสี : แสงสีขาว
Volt : Min 3.0 Volt  ,  Max 3.2 Volt


ลองซื้อมาทดลองดูก่อนก็ได้นะครับ ว่าจริงๆแล้ว มันกินกระแสเท่าไหร่

เพราะ 3.0 Volt มันเป็น Vf ซึ่งตัวแปรจริงๆ อยู่ที่กระแส If มากกว่าครับ ถ้ามันกินกระแส แถวๆ 1A ก็ได้ 3W พอดีครับ

ใช้ Power Supply ที่เป็นแบบ Constant Current ทดลองนะครับ
Deleteg ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #86 เมื่อ: 09/06/10, [18:32:02] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

แสงของดวงอาทิตย์
แสงมีช่วงความถี่ 1014Hz หรือความยาวคลื่น 4x10-7 - 7x10-7 เมตร เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ประสาทตาของมนุษย์รับได้ สเปคตรัมของแสงสามารถแยกได้ดังนี้

สี ความยาวคลื่น (nm) ม่วง 380-450
                         น้ำเงิน 450-500
                           เขียว 500-570
                         เหลือง 570-590
                            แสด 590-610
                            แดง 610-760
รังสีอัลตราไวโอเลต
รังสีอัลตราไวโอเลต หรือ รังสีเหนือม่วง มีความถี่ช่วง 1015 - 1018 Hz เป็นรังสีตามธรรมชาติส่วนใหญ่มาจากการแผ่รังสีของดวงอาทิตย์ ซึ่งทำให้เกิดประจุอิสระและไอออนในบรรยากาศชั้นไอโอโนสเฟียร์ รังสีอัลตราไวโอเลต สามารถทำให้เชื้อโรคบางชนิดตายได้ แต่มีอันตรายต่อผิวหนังและตาคน

รังสีเอกซ์
รังสีเอกซ์ มีความถี่ช่วง 1016 - 1022 Hz มีความยาวคลื่นระหว่าง 10-8 - 10-13 เมตร ซึ่งสามารถทะลุสิ่งกีดขวางหนา ๆ ได้ หลักการสร้างรังสีเอกซ์คือ การเปลี่ยนความเร็วของอิเล็กตรอน มีประโยชน์ทางการแพทย์ในการตรวจดูความผิดปกติของอวัยวะภายในร่างกาย ในวงการอุตสาหกรรมใช้ในการตรวจหารอยร้าวภายในชิ้นส่วนโลหะขนาดใหญ่ ใช้ตรวจหาอาวุธปืนหรือระเบิดในกระเป๋าเดินทาง และศึกษาการจัดเรียงตัวของอะตอมในผลึก

รังสีแกมมา
รังสีแกมมามีสภาพเป็นกลางทางไฟฟ้ามีความถี่สูงกว่ารังสีเอกซ์ เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เกิดจากปฏิกิริยานิวเคลียร์และสามารถกระตุ้นปฏิกิริยานิวเคลียร์ได้ มีอำนาจทะลุทะลวงสูง การที่ให้จะมันหยุดได้จะต้องใช้คอนกรีตหนาประมาณ 20 เมตรอย่างน้อย  สามารถฆ่าเซลล์มะเร็งได้แต่อันตรายมากจึงไม่นิยม จะใช้เฉพาะการแพทย์เท่านั้น

ดวงอาทิตย์มีสีขาว แต่เห็นบนโลกเป็นสีเหลือง เนื่องจากการกระเจิงของแสง
ดวงอาทิตย์(ความยาวคลื่น 380-700 nm)แสงจากดวงอาทิตย์และหลอดไส้จะให้
สเปกตรัมของแสงที่มองเห็นได้ครบขณะที่แสงจากหลอดฟลูออเรสเซนต์และหลอด
Metal halide จะให้แค่เพียงบางช่วงคลื่นขึ้นอยู่กับสารเรื่องแสงที่ใช้ หรือธาตุหายากที่
ใช้ในหลอด

หลอดฟลูโอเรสเซนต์สำหรับเลี้ยงไม้น้ำจึงเน้นไปที่การเลือกสารเรืองแสงที่ปล่อย
ช่วงคลื่นสีแดงและสีน้ำเงินออกมามากเป็นพิเศษเพื่อให้พืชได้ใช้ประโยชน2จากแหล่ง
กำเนิดแสงได้เต็มที่ ส่วนช่วงคลื่นอื่นๆที่เป นแสงขาว เพื่อให้เกิดความสวยงามและทำ
ให้การมองเห็นสีของวัตถุไม่ผิดเพี้ยน

หลอด LED
   สีน้ำเงิน จะมีความยาวคลื่น ประมาณ 440-490 nm
   สีขาว จะมีความยาวคลื่น ประมาณ 462 nm
   สีเหลือง จะมีความยาวคลื่น ประมาณ 468 nm
   สีเขียว จะมีความยาวคลื่น ประมาณ 520-570 nm
   สีแดง จะมีความยาวคลื่น ประมาณ 630-760 nm เป็นต้น


รองดูซิครับ แสงจากดวงอาทิตย์กับหลอด LED มันต่างกันตรงไหน

ขอบคุณมากครับ
อยากบวกให้ครับ แต่บวกไม่เป็น ต้องอ่านวิธีบวกที่ใหนครับ
Deleteg ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #87 เมื่อ: 09/06/10, [18:37:01] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

มันมี PAR Meter (Photosynthetically Available Radiation) ซึ่งวัดเฉพาะคลื่นแสงที่ใช้
สังเคราะห์แสงได้ครับ

LUX Meter ไม่เหมาะ เพราะมันวัดความสว่างทั้งหมด

ความร้อนคืออินฟราเรด ต้นไม้คงไม่ใช้

[เจ๋ง] ขอบคุณครับ
ปล่อยไก่หมดเล้าเลย อิอิ emb01
lux ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #88 เมื่อ: 10/06/10, [11:02:23] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ใครมีผลงานใหม่ ๆ บ้างครับเอามาแบ่งกันดูบ้างครับ
lux ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #89 เมื่อ: 10/06/10, [18:52:58] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ตอนนี้ที่บ้านหม้อมีของจีนเข้ามามากราคาถูกกว่าของ us ลองไปดูซิครับ
หน้า: 1 2 3 4 5   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: