เมืองจีนในความรู้สึกของผมก่อนและหลังไปนั้นแตกต่างแบบพลิกฝ่ามือ
เราดูหนังจีนมากไปหรือเปล่า คำถามนี้เกิดขึ้นในหัวเมื่อได้กลับมาถึงเมืองไทย

การเดินทางไปในครั้งนี้ได้ไปร่วมกับเพื่อนร่วมงานแผนกผ้าที่ได้ไปดูงานเรื่องผ้าไหม
เก้าสิบห้าชีวิต แม่เจ้า สองคันรถบัส....นึกไม่ออกเวลาเข้าส้วมในเมืองจีน

เดินทาง แต่เช้าออกจากบ้านนัดกันหกโมงเช้า
ไปรอขึ้นเครื่องสิบเอ็ดโมงกว่าๆ บนเครื่องก็โอ...แอร์ชาวจีน แต่พูดไทยได้ ดูมั่นๆดี
สั่งปลาไปมื้อกลางวัน เจ๊ชวนกินไก่บอกว่าไก่อร่อยน่ะไม่ชอบเหรอ บอกไปว่าไว้เดี๋ยว
มาเมืองไทยจะพาไปกินไก่อร่อยๆ เธอทำตาโตหัวเราะคริๆ

ไม่ได้อร่อยเล๊ยยยยยอีหนู

ไปถึงโน่น สี่โมงกว่าๆ อากาศดี ไม่ร้อน ช่วงที่ไปสองวันแรกอากาศเป็นใจมากๆ
เราได้รถคันที่ 1 สาวๆเยอะมากจากอาชีวะทั่วประเทศ ส่วนใหญ่จะสาวเหลือน้อย....

อากาศที่สนามบินตอนลง ประมาณ 24 องศากำลังสบายๆมีใครว่าอยู่ว่าจะเข้าออตัมเดือนหน้า
ออกเดินทางกันเลยเย็นนี้เราไปที่เมืองเมืองหังโจวเมืองเอกของมณฑลเจ้อเจียง
ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ติดชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกของจีน เมืองหังโจว ซึ่งเป็น
เมืองเก่าแก่ 1 ใน 6 ของประเทศจีน โดยมี ประวัติศาสตร์อันยาวนานถึง 2,100 ปี
ซึ่งเป็นบริเวณที่ตั้งของเมืองหังโจว พื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยแม่น้ำ คลองและทะเลสาบ
ปัจจุบันหังโจว ถือเป็นเมืองที่อยู่ในเขตภาคตะวันออกที่ได้รับการพัฒนาอย่างสูงสุดแล้ว
ดังนั้นหังโจวจึงเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีว่า เป็นเมืองที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ
มีวัฒนธรรมที่ยาวนาน และเป็นเมืองที่มีทัศนียภาพที่สวยสดงดงามเมืองหนึ่งของประเทศจีน
รวมทั้งมั่งคั่งไปด้วยเภสัชอุตสาหกรรมและสถาบันศิลปะมากมาย
นอกจากนั้นหังโจวยังมีทะเลสาบใหญ่อันสวยงาม และเป็นสัญลักษณ์ของเมืองชื่อว่า ทะเลสาบซีหู
(West Lake) ดังบทกวีอันมีชื่อเสียงของจีนที่ว่า หากฟากฟ้ามีสรวงสวรรค์ บนผืนปฐพีก็มี ซู หัง
(ซู คือ ซูโจว หัง คือ หังโจว)
เมืองหังโจว ซึ่งเป็นเมืองเก่าแก่ 1 ใน 6 ของประเทศจีน โดยมี ประวัติศาสตร์อันยาวนานถึง 2,100 ปี
และยังถูกกล่าวไว้ใน บทกวีหลายบทที่แต่งขึ้น สมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) โดยได้รับแรงบัลดาลใจ
จากความงามอันหลากสีสันของเมืองหังโจว แต่จากเหตุการณ์ กบฎไท่ผิง (ช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19)
ทำให้ เมืองที่สวยงามนี้ถูกทำลายแทบจะไม่เหลือร่องรอยของเมืองที่เคยมีนามก้องโลกให้หลงเหลืออยู่เลย
เมืองหังโจวตั้งอยู่ทางภาคตะวันออกของประเทศจีน ซึ่งล้อมรอบด้วยภูเขา มีทะเลสาปซีหู(Xi Hu)
ตั้งอยู่ ใจกลางเมือง ส่งผลให้เมืองหังโจว มีภูมิอากาศที่ดี อากาศจะเย็นสบายและฝนตกบ่อย
ช่วงอุณหภูมิที่ดีที่สุด คือ ราวเดือนเมษายนจนถึง เดือนพฤษภาคม เนื่องจากเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ
ในช่วงกันยายนถึงเดือนพฤษจิกายน ซึ่งเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง เสียดายที่ไปก่อนตั้งเดือนกว่าๆ
เลยไปซักเดือนสองเดือนจะสวยก่านี้มากๆ

เมื่อไปถึงที่เมืองหังโจวก็สังเกตได้ว่าเมืองนี้บ้าพลังเป็นอันมากมีการประดับไฟทั้งเมือง

ไกด์บอกว่ารัฐช่วยค่าไฟทุกตึกที่ประดับไฟและยังยุยงส่งเสริมให้ประชาชีพากันประดับไฟอย่างเอิกเริก

นัยว่าค่าไฟถูกหลังจากได้สร้างเขื่อนขวางแม่น้ำโขงไปแล้วสำเร็จโดยไม่สนพวกประเทศท้ายน้ำและระบบนิเวทของแม่น้ำโขง

ที่นี่มีหนุ่มสาวมาเดินทอดหุ่ยเยอะเชียว แต่ก็ยังเจออาแปะพาหลานมาวิ่งเล่นด้วยเช่นกัน


ตรงที่ไปกันเนี่ยเค้าสร้างเป็นศูนย์แสดงสินค้าบวกกับห้างสรรพสินค้า ร้านค้าสินค้าที่มียี่ห้อหลากหลาย



เดินถ่ายรูปได้ไม่นานก็ต้องกลับขึ้นรถ


เพราะว่ายังไม่ได้กินข้าวเย็นไปหาข้าวกินกัน งานนี้ได้กินอาหารจีนที่เมืองจีนจริงๆซ่ะทีหลังจากกินโต๊ะจีนงานบ้านเรามาตั้งนาน
ภัตตราคารที่ไปเย็นนี้อยู่ริบทะเลสาปซีหูอันลือชื่อ อากาศดีมากๆ อาหารก็ออกจะจืดๆหน่อยแต่ก็มีพริกมาผัดให้ได้ชิม
...แม่นแล้วพริกผัดน้ำมันเฉยๆโรยเกลือ แม่เจ้า... อ้อ ที่นี่มีเกลือกับซีอิ้วครับที่สร้างความเค็ม เบียร์ที่นี่มีหลายยี่ห้อเยอะมากๆรสชาด อ่อนมากๆ
เท่าที่เค้าเล่าให้ฟังเพราะผมงดเครื่องดื่มมีแอล์กอฮอล์ครับช่วงนี้ให้เข้าที่เข้าทางคงกลับมากินเหมือนเดิม อาหารก็อร่อยดีครับหมูเยอะ
ไกด์บอกเราว่าช่วงหลังๆมานี้ผักเริ่มมีราคาบ้างแล้ว แต่ก็ไม่รู้น่ะครับอาจจะบลาฟเราก็ได้เพราะว่าสมัยก่อนมีแต่ผักจริงๆ
ปลาก็อร่อยครับทอดราดน้ำแดงมาเลย อมเปรี้ยวอมหวาน พออิ่มแล้วก็ออกไปเดินย่อยอาหารครับริมทะเลสาปเลยแหละอากาศเย็นดี
เสียแต่ว่ามันมืดมองอะไรไม่ใคร่จะเห็น เลยถ่ายรูปเมืองฝั่งตรงข้ามมาได้สองสามรูป ฝนมีลงเม็ดนิดๆเลยเผ่นขึ้นรถครับ

ไปหาที่นอนดีกว่า คืนแรกในหังโจวเราเข้านอนกันดึกหน่อยเกือบเที่ยงคืนเพราะจำนวนคนเยอะมากๆ 95 คน ขลุกขลักบ้างแถมโรงแรมกำลังปรับปรุงอีกต่างหาก หลังจากเก็บข้าวของแล้วก็พากันเดินซ่าออกมาถ่ายรูปที่ถนนหน้าโรงแรม

เกือบโดนรถจักรยานชนเอาหลายหน เพราะว่า คุณทั้งหลายไม่ิเปิดไฟ นัยว่าไฟถนนสว่างและประหยัดแบตเนื่องจากโดยมากเป็นรถจักรยานไฟฟ้าครับ ตอนนี้ในเมืองจีนเค้าไม่อนุญาตให้ใช้รถมอเตอร์ไซด์หรือเปล่าไม่รู้แต่ในเขตเมืองใหญ่ๆไม่มีรถมอเตอร์ไซด์เลย ที่เห็นเป็นจักรยานไปฟ้าทั้งสิ้น

ก่อนนอนแอบเปิดหน้าต่างรับลมแอบเห็นรถเข็นขายของกินตรงสี่แยกข้างๆโรงแรม ไม่ยังกะเปิดไฟ ยืนปิ้งหรือผัดอะไรซักอย่างมองไม่เห็นเพราะไกลมาก เสียดายไม่ได้เดินไปดูก่อนขึ้นมา เพราะมัวแต่คุยกะไกด์ ชื่อนายเซ็ง คนบ้านเรามาเรียนที่นี่นานแล้วหนุ่มๆ
น่าจะจบมาสิบปีแล้ว คล่องมากระหว่างคุยๆก็มีอะไรให้เจริญหูเจริญตาผ่านไปผ่านมาหลายคน พวกดิริเวอรี่นะ

ตื่นเช้ามาโดนปลุกตั้งแต่ตีห้าครึ่ง หกโมงครึ่งทานอาหารเช้า บุพเฟ่ เหมือนโรงแรมในบ้านเราไม่น่าตื่นเต้นอะไร

ก่อนขึ้นรถก็มีเวลาเล็กน้อยไปเดินถ่ายรูปอะไรไปทั่วรวมถึงหอกระจายสัญญาญเมือคืนนี้ด้วย มันเป็นวงเวียนครับ




ดูที่รูปนี้ครับ
กล้องวงจรปิดทั่วเมืองเยอะมากๆ ก็ทำเองนี่นา ในเมืองใหญ่ๆ มีหกเลน พวกใส่เลนละตัวแถมหน้าหลังอีกต่างหาก
ทางด่วนต่างมีไว้พร้อมสรรพ คนขับวิ่งไม่เกินร้อยเพราะสามครั้งที่ทำความผิดโดนยึดใบขีบขี่เลย


ออกเดินทางไปดูงานด้านผ้าใหม เป็นโรงงานเก่าที่อนุรักษ์กันไว้อย่างสวยงาม



เราได้เจอตึกสมัยอังกฤษเครื่องจักรที่ใช้ในการทำผ้าใหม ทั้งเก่าและเก่ามาก
มีนางแบบมาเดินโชว์ชุดผ้าใหมสวยๆให้ดูด้วย ไม่รู้ว่าวันนึงเดินกี่รอบ เห็นออกเดินห้านาทีก็หมดแล้ว



โรงงานนี้นอกจากจะทำผ้าใหมทอผ้าใหมแล้วยังทำผ้าห่มจากเส้นใหม่อีกด้วยโดยการดึงใยไหมรังแฝด (มีหนอนใหมสองตัวในรังเดียวซึ่งเอามาสาวเส้นใหมไม่ได้มันพันกัน)

เพื่อมาทำไส้นวมผ้าห่มไหม เต้าว่ามันอุ่นในหน้าหนาวและเย็นสบายในหน้าร้อน....ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่าไม่ได้ซื้อมา ผืน สองสามพันแนะ




ที่ี่นี่มีจุดแสดงและขายสินค้าที่น่าเดินมากเหมือนห้างผ้าใหมเลยครับ

ที่โรงงานนี้มีต้นแปะก๊วยอยู่หลายต้น จริงๆแล้วเท่าที่ทราบมาคือสรรพคุณของใบแปะก๊วยในการรักษาโรคสมองเสื่อม
แต่ต้องสกัดครับ เอามาชงคงไม่ได้ผลเท่าไร ในเมืองจีนในเมืองใหญ่ๆ ตามข้างทางเจอต้นแปะก๊วยเยอะมากครับ

ชอบทรงของใบมันมาก แปะก๊วยเป็นพืชที่มีชีวิตอยู่เมื่อ 270 ล้านปีก่อน ถือกำเนิดขึ้นในยุคเพอร์เมียน เมื่อประมาณ 290 ล้านปีมาแล้ว และมีชีวิตต่อมาในมหายุคมีโซโซอิก ในสมัยเดียวกับไดโนเสาร์ จึงเป็นอาหารของไดโนเสาร์กินพืช เราก็ยังคงกินใบมันได้นะครับแม้ไม่ใช่ไดโนเสาร์

เดินไปเดินมาถ่ายรูป ก็ออกเดินไปหน้าโรงงานมีคลองเส้นนึงสวยงามมาก เห็นว่าขุดด้วยคน ยาว 1800กิโลเมตรแนะ

หารูปไม่เจอ เอาถนนคั่นคลองไปก่อน

ออกจากโรงงานผ้าใหมก็รีบขึ้นรถ ผ่านเมืองฝ่าการจราจรที่จักรยานเป็นเจ้าถนนแต่เค้ามีเลนวิ่งแยก ไม่ว่าจะมุมใหนของเมืองก็มีช่องทางเค้าโดยเฉพาะเรียกได้ว่าเป็นชนกลุ่มใหญ่เชียวแหละครับ


ครับ เค้าเรียกย่อๆ จริงๆคือย่านที่เป็นแหล่งขายชุดเจ้าสาว


และซอยเล็กซอยน้อยก็ล้วนแล้วแต่เป็นร้านที่เกี่ยวข้องกับชุดเจ้าสาวเป็นส่วนมาก แล้วมันแลดูคล้ายๆสำเพ็งบ้านเราจริงๆ








คนจีนสมัยใหม่แต่ตัวทันสมัยครับ เหมือนบ้านเราก็เยอะแยะจริงๆเค้าค่อนข้างเร็วในเรื่องนี้ด้วยซ้ำไปแป๊บเดียวก็รู้กันหมดเทั่วโลก อินเตอร์เนทไงครับ


มีรถเข็นขายของกินอร่อยๆเยอะมากทั้งทอดคั่วย่างผัด และผลไม้ต่างๆมากมายครับ

ไปวัดกันบ้างครับ

วัดนี้ชื่อวัดซีหยวน ครับ

หลังอาหารกลางวันที่แสนอร่อย(จืดๆแบบอาหารจีน) ก็ต้องไปเดินย่อยอาหารกัน





เสี่ยงทาย โยนเหรียญ ผมโยนไม่ลง สงสัย 036

บอนไซ สวยๆแต่มีไม่เป็นกลุ่มก้อน เดินไปเจอนิดๆหน่อยๆ

เสียดานว่าไม่ได้เข้าไปเดินที่สวนด้านหลังเสียดายมากๆ มีคนบอกว่าสวยมากๆ cryingrun





เด๋วมาต่อครับง่วงแล้ว