ยิ่งฉลาดยิ่งทุกข์
พุทธทาส
เมื่อสัตว์ยังเป็นปลาอยู่ มันก็เหมือนกับหยุดยิ่งอยู่ มีแต่สัญชาติญาณ พูดไม่ได้ ถ่ายกันไม่ได้ อะไรกันไม่ได้
แต่พอมันเป็นคนที่มันเริ่มพูดกันได้ มันก็เริ่มถ่ายกันได้, เพราะมันพูดกันได้ ความรู้ของคนเก่า ตกมาเป็นของคนใหม่
คนใหม่ทำมากขึ้น ก็ตกไปเป็นคนหลังมาอีกมันก็มากขึ้น มนุษย์มันเริ่มวิ่งในทางวิญญาณ
มีวิวัฒนาการทางวิญญาณมันมีลักษณะเหมือนวิ่ง
จนกระทั่งเรามีเครื่องมือ มี mass media ต่างๆ มีเครื่องพิมพ์ มีวิทยุ
มีอะไรต่างๆ มนุษย์มันก็เหมือนกับเหาะไปเลยทางวิญญาณ
นี้เรียกว่า ความเจริญของความรู้สึกความคิดนึก และ อันนี้แหละ คือ ยิ่งรู้มากยิ่งยากนาน
ยิ่งรู้มาก ยิ่งโง่มาก, ยิ่งฉลาดมาก ยิ่งโง่มาก
ข้อนี้ เพราะว่ารู้ไป แต่ในทางจะยึดมั่นถือมั่น, มันไม่รู้ไปในทางที่จะไม่ยึดมั่นถือมั่น
พระศาสดาเกิดขึ้นมา เป็นพระศาสดาองค์หนึ่งๆ ก็ เหมือนกับห้ามล้อ
มันไม่อยู่ มันห้ามไม่อยู่ เพราะว่ากระแสหรือเกลียวของมนุษย์ที่มันจะวิ่งนี่ มันแรงเกินไป
ฉะนั้นจึงห้ามได้แต่บางคน พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า มีน้อยคนที่มีธุลีในดวงตาแต่เล็กน้อย มีน้อยคน
ถึงกับจะไม่เทศน์ไม่สอนสิ่งที่ตรัสรู้ เพราะว่าสัตว์มันไม่อาจจะเข้าใจได้
มันอยู่ในเกลียวของความวิ่ง จนรั้งไว้ไม่อยู่ แต่ทรงคิดว่าคงจะมีบ้างบางคน มีธุลีในดวงตาแต่เล็กน้อยพอจะสอนได้
พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนคนได้ ส่วนพวกปัจเจกพุทธะนั้น ยอมแพ้ไปเลย คือไม่สามารถจะสอน
ไม่คิดจะสอนเพราะว่าท่านไม่มี สมรรถภาพ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พยายามสอนเหมือนกับห้ามล้อในความวิ่งของมนุษย์
มันก็ได้แต่บางคน น้อยคนมาก พระเยซูก็สอน, พระโมฮัมหมัดก็สอน, พระศาสดาองค์อื่นๆ ก็สอน
มันก็เหมือนกับห้ามล้อเล็กๆ น้อยๆ, น้อยคนจะเข้าถึง เหลือแต่สมาชิกเป็นบัญชีหางว่าว ไม่สำเร็จประโยชน์
เป็นคนที่ไม่รู้ แต่ว่าเขาสมัครจะนับถือ, นับเป็นสาวก นับเป็นอะไรไป
แต่ สาวกที่แท้จริง เป็นพระอริยบุคคลนี้ มีไม่กี่คน
|