Aqua.c1ub.net
*
  Wed 22/Oct/2025
หน้า: 1   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ปลาทองเกล็ดถลอก รักษาอย่างไรคะ  (อ่าน 10134 ครั้ง)
wizardry ออฟไลน์
Club Member
« เมื่อ: 26/04/12, [03:03:16] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ก่อนเกิดเรื่อง พอดีว่ามีธุระต้องไปค้างที่อื่น 4 คืน ก็เลยไม่มีใครดูแล
พอกลับมาที่ห้องก็พบว่าปลาทองลอยหัวติดอยู่ที่ช่องระหว่างตู้กับปั๊มน้ำ
ลักษณะึซึม หมดแรง ก็เลยเอาปั๊มขยับออกปรากฏว่า เกล็ดถลอกหมดเลยค่ะ
ไม่รู้ว่าติดมาตั้งแต่วันไหน น่าจะดิ้นแรงน่าดู แต่หาทางออกไม่เจอ และหมดแรงก็เลยติดอยู่อย่างนั้น

ตอนนี้แยกออกมาตัวเดียวให้ยาเหลืองกับเกลือไปค่ะ

มีวิธีรักษาที่ดีกว่านี้ไหมคะ กลัวว่าจะติดเชื้อค่ะ
รบกวนผู้รู้ด้วยนะคะ beg1

ลักษณะการติดค่ะ


ภาพถ่ายค่ะ suicide









 suicide suicide suicide
aquamedical_fraghouse ออฟไลน์
Sponsor
« ตอบ #1 เมื่อ: 26/04/12, [08:50:19] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

อาการแย่างนี้ไม่ใช่เพราะโดนปั๊มดูดนะครับ น่าจะป่วยแล้วออ่นแรง เลยลอยไปติด

ดูภายนอกเป็นเกล็ดพอง แต่ก็ไม่น่าจะทำให้อ่อนแรงได้ขนาดนั้น แสดงว่า ข้างในอาจจะเป็นหนักกว่าที่เห็น ผมจะแนะนำการรักษาเฉพาะเท่าที่เห็นจากภายนอกนี้ไปก่อนละกันนะครับ

1. แยกปลาออกมา ในภาชนะหรือตู้ที่มีปริมาตรน้ำไม่น้อยกว่า 20 ลิตร (น้ำน้ำเกินไปอาจจะยิ่งแย่งลง ช่วงนี้ร้อนมากด้วย) ให้ดีที่ 25 ลิตรเพราะใช้ยาง่าย
2. ใช้น้ำสะอาดในการรักษาและไม่ควรใส่เกลือตลอดการรักษา
3. ไปร้านขายยาคน ซื้อยา Ciprofloxacin 250 mg ละลายยาในน้ำ 25 ลิตร (10 mgต่อ 1 ลิตร) แช่ยาไป ถ่ายน้ำทุกวัน ใส่ยาใหม่ทุกวัน ทำไปจนกว่าเกล็ดจะยุบ
4. การรรักษาอาจจะใช้เวลานานกว่า 10 วัน ก็ขอให้ทำต่อไป เมื่อเกล็ดยุบเรียบดีแล้ว อย่าพึ่งหยุดยา ให้ใช้ยาต่อเนื่องไปอีก 3-5 วันเพื่อป้องกันการดื้อยา
5. ไม่ควรใช้ยานี้รักษาเกิน 1 เดือนครับ ในการรักษา หาก วันที่ 5 ของการใช้ยาแล้วเกล็ดยังไม่ยุบลง รบกวนมาโพสใหม่ครับ อาจจะไม่ตอบสนองต่อการรักษา
wizardry ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #2 เมื่อ: 26/04/12, [11:02:22] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

อาการแย่างนี้ไม่ใช่เพราะโดนปั๊มดูดนะครับ น่าจะป่วยแล้วออ่นแรง เลยลอยไปติด

ดูภายนอกเป็นเกล็ดพอง แต่ก็ไม่น่าจะทำให้อ่อนแรงได้ขนาดนั้น แสดงว่า ข้างในอาจจะเป็นหนักกว่าที่เห็น ผมจะแนะนำการรักษาเฉพาะเท่าที่เห็นจากภายนอกนี้ไปก่อนละกันนะครับ

1. แยกปลาออกมา ในภาชนะหรือตู้ที่มีปริมาตรน้ำไม่น้อยกว่า 20 ลิตร (น้ำน้ำเกินไปอาจจะยิ่งแย่งลง ช่วงนี้ร้อนมากด้วย) ให้ดีที่ 25 ลิตรเพราะใช้ยาง่าย
2. ใช้น้ำสะอาดในการรักษาและไม่ควรใส่เกลือตลอดการรักษา
3. ไปร้านขายยาคน ซื้อยา Ciprofloxacin 250 mg ละลายยาในน้ำ 25 ลิตร (10 mgต่อ 1 ลิตร) แช่ยาไป ถ่ายน้ำทุกวัน ใส่ยาใหม่ทุกวัน ทำไปจนกว่าเกล็ดจะยุบ
4. การรรักษาอาจจะใช้เวลานานกว่า 10 วัน ก็ขอให้ทำต่อไป เมื่อเกล็ดยุบเรียบดีแล้ว อย่าพึ่งหยุดยา ให้ใช้ยาต่อเนื่องไปอีก 3-5 วันเพื่อป้องกันการดื้อยา
5. ไม่ควรใช้ยานี้รักษาเกิน 1 เดือนครับ ในการรักษา หาก วันที่ 5 ของการใช้ยาแล้วเกล็ดยังไม่ยุบลง รบกวนมาโพสใหม่ครับ อาจจะไม่ตอบสนองต่อการรักษา


ขอบคุณคะ จะลองทำดูคะ  [on_024]
Romio_rcn ออฟไลน์
Club Champion
« ตอบ #3 เมื่อ: 26/04/12, [17:49:08] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

เห็นรูปปลาแล้วสงสารมากครับ เป็นกำลังใจให้ครับ
wizardry ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #4 เมื่อ: 05/05/12, [18:29:05] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

อัพเดตอาการ วันที่ 10 ค่ะ  sick1
กลายเป็นปลาขี้เหร่ไปแล้ว
เกล็ดมีรอยดำ ต่อหางกับลำตัวยังมีรอยช้ำสีแดงอยู่ค่ะ

ปลามีอาการไม่กินอาหาร และไม่ว่ายน้ำจะอยู่ที่ก้นตู้ตลอดเวลาค่ะ
ทำยังไงดี ถึงจะดีขึ้นเป็นปกติ



ขอบคุณสำหรับคำแนะนำอีกครั้งนะคะ [สาวน้อยร้องไห้]
noannnice ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #5 เมื่อ: 05/05/12, [19:15:50] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

จับเค้าขึ้นมาครับ เอาอาหารแช่น้ำใส่ช้อนที่ละเม็ด แล้วเอาไปจ่อที่ปากป้อนเค้าครับ ทำบนผิวน้ำนะครับ
ให้เค้าแช่อยู่ในน้ำ  พยายามให้เค้ากินให้ได้ครับ ไม่งั้นคงยื้อได้ไม่ถึงเดือน
ท้องเริ่มแบนแล้วครับ รีบๆทำครับ
wizardry ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #6 เมื่อ: 05/05/12, [19:54:55] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

จับเค้าขึ้นมาครับ เอาอาหารแช่น้ำใส่ช้อนที่ละเม็ด แล้วเอาไปจ่อที่ปากป้อนเค้าครับ ทำบนผิวน้ำนะครับ
ให้เค้าแช่อยู่ในน้ำ  พยายามให้เค้ากินให้ได้ครับ ไม่งั้นคงยื้อได้ไม่ถึงเดือน
ท้องเริ่มแบนแล้วครับ รีบๆทำครับ

ต้องให้ขนาดไหนคะ
wizardry ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #7 เมื่อ: 05/05/12, [20:44:11] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ลองแล้วค่ะ ป้อนเข้าไปในปากแล้ว
ประมาณหนึ่งนาทีก็คายอาหารออกมาใหม่ ไม่รู้จะทำยังไงดีค่ะ
QsneazyTangmay ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #8 เมื่อ: 06/05/12, [21:11:02] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ปลาทอง สามารถอดอาหารได้เป็นเดือนคะ ไม่ต้องกลัวว่าน้องปลาเค้าจะตาย

ปลาทองที่ป่วย  อย่าให้อาหารคะ งดอาหารไปเลยได้ยิ่งดี

เพราะปลาป่วยต้องการที่จะพักร่างกาย เพื่อรักษาตัวของเค้าเอง

การให้อาหารจะทำให้ร่างกายของเค้าไม่ได้พัก และจะยิ่งทำให้การรักษาไม่ได้ผลมากยิ่งขึ้น

เพราะปลาทองเป็นปลาไม่มีกระเพาะ เวลาเค้ากินอาหารเค้าจะดูดซึมสารอาหารไปใช้ แล้วถ่ายออกมาเลย

สังเกตุได้เวลาให้อาหารปลาคะ  เพราะฉะนั้น ควรงดอาหารจนกว่าเค้าจะหายป่วย เค้าอยู่ได้คะ อย่ากังวลกลัวว่าเค้าจะตาย

การที่เค้านอนก้นตู้ แสดงให้เห็นว่าเค้ากำลังพักร่างกายของเค้าอยู่

ถ้าเป็นไปได้ ก็ใส่ยา อัดอ็อคซิเจนแรงหน่อย แล้วก็ปิดตู้ อย่าไปยุ่งกับเค้าเลยคะ

ควรยุ่งกับเค้าแค่เวลาเปลี่ยนถ่ายน้ำ ใส่ยา แค่นั้นพอ  แล้วปลาจะหายเร็ว

จากที่เห็นรูปตอนแรก เกล็ดพองยุบลงเยอะ อดทนและรักษาเค้าอย่างใจเย็นคะ อย่าไปรีบร้อน ยิ่งรีบยื่งไม่ตีต่อตัวปลา

อย่ากลัวว่าเค้าจะเป็นปลาไม่สวยคะ เค้าแค่ยังไม่หายดี

เป็นกำลังใจให้คะ ขอให้น้องปลาหายป่วยเร็วๆ

พอเค้าหายดี เค้าก็จะกลับมาสวยเหมือนเดิม
aquamedical_fraghouse ออฟไลน์
Sponsor
« ตอบ #9 เมื่อ: 07/05/12, [08:33:40] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ปลาทอง สามารถอดอาหารได้เป็นเดือนคะ ไม่ต้องกลัวว่าน้องปลาเค้าจะตาย

ปลาทองที่ป่วย  อย่าให้อาหารคะ งดอาหารไปเลยได้ยิ่งดี

เพราะปลาป่วยต้องการที่จะพักร่างกาย เพื่อรักษาตัวของเค้าเอง

การให้อาหารจะทำให้ร่างกายของเค้าไม่ได้พัก และจะยิ่งทำให้การรักษาไม่ได้ผลมากยิ่งขึ้น

อันนี้ ผมขอเสนอความคิดเห็นขัดแย้งหน่อยนะครับ

อันดับแรก ในวงการปลาสวยงาม ผมว่า ผมเป็นคนแรกๆในไทยเลยที่บอกว่าปลาทองไม่มีกระเพาะอาหารและพยายามทำความเข้าใจกับหลายๆคนที่เลี้ยงปลาทองนั้น ผมเริ่มพูดเรื่องไม่มีกระเพาะอาหารนี้เมื่อราว 11 ปีที่แล้ว แต่คำว่าไม่มีกระเพาะอาหาร ไม่ได้หมายความว่าไม่มีระบบย่อยอาหาร เพียงแต่การไม่มีกระเพาะอาหารนั้น ทำให้ ระบบย่อยอาหารขาดส่วนผลิตกรดจำนวนมากในการช่วยย่อย และไม่มีจุดพักอาหารเท่านั้น หมายความว่าปลาทองสามารถอดอาหารได้นานกว่าปลาอื่นๆ โดยมีผลกระทบต่อร่างกายปลาน้อยกว่า และ เมื่อให้อาหารไปแล้วเหมือนปลาทองจะไม่อิ่มง่ายๆ เพราะ ไม่มีจุดพักนั่นเอง เข้าแล้วเกือบจะออกเลย

ประการที่ 2 ไม่ว่าปลาหรือสัตว์ใดๆป่วยก็ตาม หากไม่ใช่อาหารป่วยในระบบทางเดินอาหาร หรือกระทบต่อทางเดินอาหาร กินอาหารได้ครับ และควรให้กิน ถ้ากินได้ครับ เนื่องจากในขณะที่ป่วย ปลาจะต้องใช้พลังงานและสารอาหารต่างๆในร่างกายเพื่อฟื้นฟูตัวเองอย่างมาก การให้อาหารจึงเป็นการส่งเสริมให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นครับ ยิ่งเป็นอาหารที่มีสารอาหารสูง ย่อยง่าย และมีวิตามินหรือสารเสริมโภชนาอื่นใดที่จำเป็นต่อการฟื้นตัวในขณะนั้นสูงขึ้น ก็จะฟื้นตัวเร็วขึ้นตามไปด้วย อันนี้มีงานวิจัยรองรับเพียบ คงไม่ต้องอ้างอิงครับ และร่างกายได้พักหรือไม่ ขึ้นกับแสงสว่างมากกว่าเรื่องอาหารครับ

ประการที่ 3 การอดอาหารปลาที่ป่วยนั้น ว่ากันตามตำราคือ ปลาป่วยมักไม่ค่อยกินอาหาร และจะทำให้อาหารเหลือ ทำให้คุณภาพน้ำแย่ลง จากอาหารเหลือเหล่านั้น แต่นั่นมันสำหรับปลาบ่อดินครับ เพราะเราไม่สามารถถ่ายน้ำปริมาณมากกับมันได้ และมองไม่ค่อยเห็นถึงอาหารเหลือไม่เหลือ มากน้อยขนาดไหน ตำราที่ใช้อ้างอิงเป็นตำราการเพาะเลี้ยงปลาเศรษฐกิจ หรือตำราเก่า และเราเลี้ยงปลาตู้หรือบ่อปูน อ่าง เหล่านี้เราถ่ายน้ำได้เต็มที่ เรามองเห็นว่าได้กินหรือไม่ เราจัดการได้ ต้องปรับประยุกต์องค์ความรู้ ดังนั้นจึงย้ำอีกครั้งว่า ให้กินอาหารได้ในขณะป่วย แต่ในบางกรณีเราแนะนำไปต้องดูด้วยว่าเจ้าของปลานั้นสะดวกขนาดไหน ถ้าไม่ค่อยมีเวลา อดไปเลยอาจจะดีกว่า เพราะ คงไม่ค่อยได้ถ่ายน้ำทำนองนั้น และอีกหลายเหตุผล และหลายเหตุการณ์

ประการที่ 4 ระหว่างรักษา อดอาหารได้ปลาก็หายเหมือนกันแต่ปลาโทรมลง ถ้าป่วยไม่หนักมากอาจจะไม่ทันสังเกตุเห็นความโทรมของร่างกายครับ ในหลายท่านที่เลี้ยงรันชูหรือพวกฮอ คงสังเกตุเห็นบ้างในช่วงขุนปลา หากป่วย เมื่อรักษาหายแล้วจะมีช่วงที่ขุนไม่ขึ้นระยะหนึ่ง นั่นคือช่วงที่ร่างกายโทรมและสะสมพลังกลับคืน ที่ยกตัวอย่าง 2 ชนิดนี้เพราะโตเร็วในช่วงขุนปลาเห็นความแตกต่างชัดเจน


ทั้งหมดนี้ ผมแสดงความคิดเห็นเพราะผมศึกษามาและไม่อยากให้การพัฒนาการเลี้ยงต้องย่ำอยู่ที่ตำราเก่าและมันไปไม่ทันเมืองนอกเขาเท่านั้นครับ เมื่อก่อนผมเองก็แนะนำให้อดอาหาร แต่ยิ่งศึกษามากเข้าก็ยิ่งรู้ ยิ่งรักษามากเข้าก็ยิ่งประจักษ์ หวังว่า ประสบการณ์ในศึกษาโรคและการรักษาสัตว์น้ำมาตลอด 15 ปีของผมคงมีประโยชน์บ้างครับ

ปล. ปลา จขกท ดีสภาพดีขึ้น แต่อาการเกล็ดพอง ดู ไม่ยุบลงอย่างที่ควรจะเป็น ใช้ยาตามที่ระบุหรือไม่ครับ ถ้าไม่ใช้ยาอะไร ยังไงครับ จะได้แนะนำต่อได้ถูก
QsneazyTangmay ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #10 เมื่อ: 07/05/12, [21:40:10] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

อันนี้ ผมขอเสนอความคิดเห็นขัดแย้งหน่อยนะครับ

อันดับแรก ในวงการปลาสวยงาม ผมว่า ผมเป็นคนแรกๆในไทยเลยที่บอกว่าปลาทองไม่มีกระเพาะอาหารและพยายามทำความเข้าใจกับหลายๆคนที่เลี้ยงปลาทองนั้น ผมเริ่มพูดเรื่องไม่มีกระเพาะอาหารนี้เมื่อราว 11 ปีที่แล้ว แต่คำว่าไม่มีกระเพาะอาหาร ไม่ได้หมายความว่าไม่มีระบบย่อยอาหาร เพียงแต่การไม่มีกระเพาะอาหารนั้น ทำให้ ระบบย่อยอาหารขาดส่วนผลิตกรดจำนวนมากในการช่วยย่อย และไม่มีจุดพักอาหารเท่านั้น หมายความว่าปลาทองสามารถอดอาหารได้นานกว่าปลาอื่นๆ โดยมีผลกระทบต่อร่างกายปลาน้อยกว่า และ เมื่อให้อาหารไปแล้วเหมือนปลาทองจะไม่อิ่มง่ายๆ เพราะ ไม่มีจุดพักนั่นเอง เข้าแล้วเกือบจะออกเลย

ประการที่ 2 ไม่ว่าปลาหรือสัตว์ใดๆป่วยก็ตาม หากไม่ใช่อาหารป่วยในระบบทางเดินอาหาร หรือกระทบต่อทางเดินอาหาร กินอาหารได้ครับ และควรให้กิน ถ้ากินได้ครับ เนื่องจากในขณะที่ป่วย ปลาจะต้องใช้พลังงานและสารอาหารต่างๆในร่างกายเพื่อฟื้นฟูตัวเองอย่างมาก การให้อาหารจึงเป็นการส่งเสริมให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นครับ ยิ่งเป็นอาหารที่มีสารอาหารสูง ย่อยง่าย และมีวิตามินหรือสารเสริมโภชนาอื่นใดที่จำเป็นต่อการฟื้นตัวในขณะนั้นสูงขึ้น ก็จะฟื้นตัวเร็วขึ้นตามไปด้วย อันนี้มีงานวิจัยรองรับเพียบ คงไม่ต้องอ้างอิงครับ และร่างกายได้พักหรือไม่ ขึ้นกับแสงสว่างมากกว่าเรื่องอาหารครับ

ประการที่ 3 การอดอาหารปลาที่ป่วยนั้น ว่ากันตามตำราคือ ปลาป่วยมักไม่ค่อยกินอาหาร และจะทำให้อาหารเหลือ ทำให้คุณภาพน้ำแย่ลง จากอาหารเหลือเหล่านั้น แต่นั่นมันสำหรับปลาบ่อดินครับ เพราะเราไม่สามารถถ่ายน้ำปริมาณมากกับมันได้ และมองไม่ค่อยเห็นถึงอาหารเหลือไม่เหลือ มากน้อยขนาดไหน ตำราที่ใช้อ้างอิงเป็นตำราการเพาะเลี้ยงปลาเศรษฐกิจ หรือตำราเก่า และเราเลี้ยงปลาตู้หรือบ่อปูน อ่าง เหล่านี้เราถ่ายน้ำได้เต็มที่ เรามองเห็นว่าได้กินหรือไม่ เราจัดการได้ ต้องปรับประยุกต์องค์ความรู้ ดังนั้นจึงย้ำอีกครั้งว่า ให้กินอาหารได้ในขณะป่วย แต่ในบางกรณีเราแนะนำไปต้องดูด้วยว่าเจ้าของปลานั้นสะดวกขนาดไหน ถ้าไม่ค่อยมีเวลา อดไปเลยอาจจะดีกว่า เพราะ คงไม่ค่อยได้ถ่ายน้ำทำนองนั้น และอีกหลายเหตุผล และหลายเหตุการณ์

ประการที่ 4 ระหว่างรักษา อดอาหารได้ปลาก็หายเหมือนกันแต่ปลาโทรมลง ถ้าป่วยไม่หนักมากอาจจะไม่ทันสังเกตุเห็นความโทรมของร่างกายครับ ในหลายท่านที่เลี้ยงรันชูหรือพวกฮอ คงสังเกตุเห็นบ้างในช่วงขุนปลา หากป่วย เมื่อรักษาหายแล้วจะมีช่วงที่ขุนไม่ขึ้นระยะหนึ่ง นั่นคือช่วงที่ร่างกายโทรมและสะสมพลังกลับคืน ที่ยกตัวอย่าง 2 ชนิดนี้เพราะโตเร็วในช่วงขุนปลาเห็นความแตกต่างชัดเจน


ทั้งหมดนี้ ผมแสดงความคิดเห็นเพราะผมศึกษามาและไม่อยากให้การพัฒนาการเลี้ยงต้องย่ำอยู่ที่ตำราเก่าและมันไปไม่ทันเมืองนอกเขาเท่านั้นครับ เมื่อก่อนผมเองก็แนะนำให้อดอาหาร แต่ยิ่งศึกษามากเข้าก็ยิ่งรู้ ยิ่งรักษามากเข้าก็ยิ่งประจักษ์ หวังว่า ประสบการณ์ในศึกษาโรคและการรักษาสัตว์น้ำมาตลอด 15 ปีของผมคงมีประโยชน์บ้างครับ

ปล. ปลา จขกท ดีสภาพดีขึ้น แต่อาการเกล็ดพอง ดู ไม่ยุบลงอย่างที่ควรจะเป็น ใช้ยาตามที่ระบุหรือไม่ครับ ถ้าไม่ใช้ยาอะไร ยังไงครับ จะได้แนะนำต่อได้ถูก

ขอบคุณมากคะ คุณหมอที่นำความรู้มาบอกต่อ ขอบคุณค่ะ  emb01 emb01
aquamedical_fraghouse ออฟไลน์
Sponsor
« ตอบ #11 เมื่อ: 08/05/12, [08:19:35] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ขอบคุณมากคะ คุณหมอที่นำความรู้มาบอกต่อ ขอบคุณค่ะ  emb01 emb01

อ๊ะ ผมไม่ใช่หมอแต่อย่างใดครับ แค่คนเลี้ยงปลาเท่านั้นครับ
ฝูงปลาทองพิฆาต ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #12 เมื่อ: 08/05/12, [08:28:43] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

อันนี้ ผมขอเสนอความคิดเห็นขัดแย้งหน่อยนะครับ

อันดับแรก ในวงการปลาสวยงาม ผมว่า ผมเป็นคนแรกๆในไทยเลยที่บอกว่าปลาทองไม่มีกระเพาะอาหารและพยายามทำความเข้าใจกับหลายๆคนที่เลี้ยงปลาทองนั้น ผมเริ่มพูดเรื่องไม่มีกระเพาะอาหารนี้เมื่อราว 11 ปีที่แล้ว แต่คำว่าไม่มีกระเพาะอาหาร ไม่ได้หมายความว่าไม่มีระบบย่อยอาหาร เพียงแต่การไม่มีกระเพาะอาหารนั้น ทำให้ ระบบย่อยอาหารขาดส่วนผลิตกรดจำนวนมากในการช่วยย่อย และไม่มีจุดพักอาหารเท่านั้น หมายความว่าปลาทองสามารถอดอาหารได้นานกว่าปลาอื่นๆ โดยมีผลกระทบต่อร่างกายปลาน้อยกว่า และ เมื่อให้อาหารไปแล้วเหมือนปลาทองจะไม่อิ่มง่ายๆ เพราะ ไม่มีจุดพักนั่นเอง เข้าแล้วเกือบจะออกเลย

ประการที่ 2 ไม่ว่าปลาหรือสัตว์ใดๆป่วยก็ตาม หากไม่ใช่อาหารป่วยในระบบทางเดินอาหาร หรือกระทบต่อทางเดินอาหาร กินอาหารได้ครับ และควรให้กิน ถ้ากินได้ครับ เนื่องจากในขณะที่ป่วย ปลาจะต้องใช้พลังงานและสารอาหารต่างๆในร่างกายเพื่อฟื้นฟูตัวเองอย่างมาก การให้อาหารจึงเป็นการส่งเสริมให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นครับ ยิ่งเป็นอาหารที่มีสารอาหารสูง ย่อยง่าย และมีวิตามินหรือสารเสริมโภชนาอื่นใดที่จำเป็นต่อการฟื้นตัวในขณะนั้นสูงขึ้น ก็จะฟื้นตัวเร็วขึ้นตามไปด้วย อันนี้มีงานวิจัยรองรับเพียบ คงไม่ต้องอ้างอิงครับ และร่างกายได้พักหรือไม่ ขึ้นกับแสงสว่างมากกว่าเรื่องอาหารครับ

ประการที่ 3 การอดอาหารปลาที่ป่วยนั้น ว่ากันตามตำราคือ ปลาป่วยมักไม่ค่อยกินอาหาร และจะทำให้อาหารเหลือ ทำให้คุณภาพน้ำแย่ลง จากอาหารเหลือเหล่านั้น แต่นั่นมันสำหรับปลาบ่อดินครับ เพราะเราไม่สามารถถ่ายน้ำปริมาณมากกับมันได้ และมองไม่ค่อยเห็นถึงอาหารเหลือไม่เหลือ มากน้อยขนาดไหน ตำราที่ใช้อ้างอิงเป็นตำราการเพาะเลี้ยงปลาเศรษฐกิจ หรือตำราเก่า และเราเลี้ยงปลาตู้หรือบ่อปูน อ่าง เหล่านี้เราถ่ายน้ำได้เต็มที่ เรามองเห็นว่าได้กินหรือไม่ เราจัดการได้ ต้องปรับประยุกต์องค์ความรู้ ดังนั้นจึงย้ำอีกครั้งว่า ให้กินอาหารได้ในขณะป่วย แต่ในบางกรณีเราแนะนำไปต้องดูด้วยว่าเจ้าของปลานั้นสะดวกขนาดไหน ถ้าไม่ค่อยมีเวลา อดไปเลยอาจจะดีกว่า เพราะ คงไม่ค่อยได้ถ่ายน้ำทำนองนั้น และอีกหลายเหตุผล และหลายเหตุการณ์

ประการที่ 4 ระหว่างรักษา อดอาหารได้ปลาก็หายเหมือนกันแต่ปลาโทรมลง ถ้าป่วยไม่หนักมากอาจจะไม่ทันสังเกตุเห็นความโทรมของร่างกายครับ ในหลายท่านที่เลี้ยงรันชูหรือพวกฮอ คงสังเกตุเห็นบ้างในช่วงขุนปลา หากป่วย เมื่อรักษาหายแล้วจะมีช่วงที่ขุนไม่ขึ้นระยะหนึ่ง นั่นคือช่วงที่ร่างกายโทรมและสะสมพลังกลับคืน ที่ยกตัวอย่าง 2 ชนิดนี้เพราะโตเร็วในช่วงขุนปลาเห็นความแตกต่างชัดเจน


ทั้งหมดนี้ ผมแสดงความคิดเห็นเพราะผมศึกษามาและไม่อยากให้การพัฒนาการเลี้ยงต้องย่ำอยู่ที่ตำราเก่าและมันไปไม่ทันเมืองนอกเขาเท่านั้นครับ เมื่อก่อนผมเองก็แนะนำให้อดอาหาร แต่ยิ่งศึกษามากเข้าก็ยิ่งรู้ ยิ่งรักษามากเข้าก็ยิ่งประจักษ์ หวังว่า ประสบการณ์ในศึกษาโรคและการรักษาสัตว์น้ำมาตลอด 15 ปีของผมคงมีประโยชน์บ้างครับ

ปล. ปลา จขกท ดีสภาพดีขึ้น แต่อาการเกล็ดพอง ดู ไม่ยุบลงอย่างที่ควรจะเป็น ใช้ยาตามที่ระบุหรือไม่ครับ ถ้าไม่ใช้ยาอะไร ยังไงครับ จะได้แนะนำต่อได้ถูก

 [เจ๋ง] ความรู้ๆ
QsneazyTangmay ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #13 เมื่อ: 08/05/12, [16:21:16] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

อ๊ะ ผมไม่ใช่หมอแต่อย่างใดครับ แค่คนเลี้ยงปลาเท่านั้นครับ

กำ หน้าแตก  แต่ขอบคุณสำหรับความรู้อีกครั้งนะคะ ^^
หน้า: 1   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: