Aqua.c1ub.net
*
  Sat 02/Aug/2025
หน้า: 1 ... 177 178 179 180 181 ... 201   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: มาเล่นเกมทายภาพจากภาพยนตร์เรื่องดังกัน  (อ่าน 757769 ครั้ง)
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5340 เมื่อ: 24/11/13, [10:00:56] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5341 เมื่อ: 24/11/13, [10:03:09] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ








เรื่องอะไรครับ ?
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5342 เมื่อ: 24/11/13, [10:03:49] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ






เรื่องอะไรครับ ?
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5343 เมื่อ: 24/11/13, [10:04:25] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ








เรื่องอะไรครับ ?

THE ghost writer ครับ เรื่องนี้ผมว่าสนุกดีครับคุณเอก  ให้ 8/10 อิอิ
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5344 เมื่อ: 24/11/13, [10:05:03] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ






เรื่องอะไรครับ ?

eragon ครับ  [on_055]
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5345 เมื่อ: 24/11/13, [10:07:30] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

THE ghost writer ครับ เรื่องนี้ผมว่าสนุกดีครับคุณเอก  ให้ 8/10 อิอิ
ดีครับ จำได้ไม่มากนักน่าจะดูนานแล้ว เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักข่าวกับนักการเมือง ประมาณเนี้ยแหละครับ เดี๋ยวว่างๆรื้อมาดูอีกรอบ  [on_026] [on_026]
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5346 เมื่อ: 24/11/13, [10:10:08] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ






เรื่องอะไรครับ ?
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5347 เมื่อ: 24/11/13, [10:10:19] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ดีครับ จำได้ไม่มากนักน่าจะดูนานแล้ว เป็นเรื่องเกี่ยวกับนักข่าวกับนักการเมือง ประมาณเนี้ยแหละครับ เดี๋ยวว่างๆรื้อมาดูอีกรอบ  [on_026] [on_026]

ใช่เลยครับ คุณเอก ผมว่าสนุกดีครับ plot เรื่องวางไว้โอเคเลยครับ  [เจ๋ง]
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5348 เมื่อ: 24/11/13, [10:11:59] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5349 เมื่อ: 24/11/13, [10:13:09] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ






เรื่องอะไรครับ ?
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5350 เมื่อ: 24/11/13, [10:13:37] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?

life of pi   [เจ๋ง] ครับ
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5351 เมื่อ: 24/11/13, [10:14:40] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ






เรื่องอะไรครับ ?

after earth  หนังก็โอเค ไม่ได้สนุกมากครับ เเต่ผมชอบฉากมากๆ 555 ป่าสวยมากครับ ดูเรื่องนี้เเล้วมีไอเดียทำตู้ไม้นํ้า  ้hahaha ผมให้ 6/10
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5352 เมื่อ: 24/11/13, [10:22:04] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ








เรื่องอะไรครับ ?
เฉลยครับ สยิว Sayew

เต่า สาวห้าวทอมบอยนักศึกษาคณะอักษรฯ หารายได้พิเศษจากการเขียนเรื่องสั้นประสบการณ์ทางเพศ ให้กับนิตยสารปลุกใจเสือป่าที่ชื่อ สยิว ของ เฮียกังฟู ผู้คร่ำหวอดในวงการ แต่เมื่อผู้อ่านเริ่มนิยมเรื่องโจ๋งครึ่มมากขึ้น เฮียกังฟูจึงสั่งให้เต่าปรับแนวทางการเขียนให้เข้ากับรสนิยมที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจากนี้ เธอยังมีคู่ปรับคนสำคัญ เป็นนักเขียนหนุ่มหน้าใหม่ไฟแรง เจ้าของนามปากกา หนุ่มพลังม้า ที่เขียนได้สะใจผู้อ่านจนได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ส่วนเต่าต้องใช้จินตนาการอย่างมากในการเขียน เพราะเธอเองก็ยังไม่มีประสบการณ์จริงกับเรื่องอย่างว่าเหล่านั้นเลย จินตนาการของเธอเริ่มหนักหน่วงขึ้น เรื่องราวของผู้คนรอบตัวถูกเธอนำมาแต่งเติมจินตนาการเรื่องแล้วเรื่องเล่า แต่ก็ยังไม่เข้าตาเฮียกังฟูเสียที ปัญหาทั้งเรื่องงานเขียนและเรื่องส่วนตัวต่างรุมเร้าจนเต่าสับสนฟุ้งซ่าน โลกจินตนาการและโลกความเป็นจริงเริ่มสับสนปนเป เต่าตัดสินใจทำสิ่งที่หนักข้อขึ้น ทั้งลอบดูกิจกรรมหนังสด ทั้งเข้าหาน้องหมวยที่เธอหลงรักอย่างปากว่ามือถึง และแม้กระทั่งเสี่ยงพาตัวเองเข้าหาหนุ่มพลังม้าถึงรัง เพื่อแลกกับ ประสบการณ์จริง สุดท้าย คนที่ให้คำตอบกับเธอได้ กลับเป็นคนใกล้ตัว คือเจ้อน เด็กหนุ่มติ๋มๆ ที่เป็นเพื่อนสนิทของเธอนั่นเอง

จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5353 เมื่อ: 24/11/13, [10:29:01] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?

Australia ออสเตรเลีย

8/10
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5354 เมื่อ: 24/11/13, [10:31:49] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ






เรื่องอะไรครับ ?

 Desperado ไอ้ปืนโตทะลักจุดเดือด
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5355 เมื่อ: 24/11/13, [10:40:26] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ





เรื่องอะไรครับ ?

.45 พลิกชะตานรก
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5356 เมื่อ: 24/11/13, [11:40:58] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

after earth  หนังก็โอเค ไม่ได้สนุกมากครับ เเต่ผมชอบฉากมากๆ 555 ป่าสวยมากครับ ดูเรื่องนี้เเล้วมีไอเดียทำตู้ไม้นํ้า  ้hahaha ผมให้ 6/10
ได้ 6/10 ก็สมควรแล้วครับ  [on_026] [on_026]
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5357 เมื่อ: 24/11/13, [12:03:21] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

 Seeking a Friend for the End of the World     โลกกำลังจะดับ แต่ความรักกำลังนับหนึ่ง

เป็นหนังเล็กๆอีกเรื่องจากทางอเมริกา ที่ได้หลุดเข้ามาฉายในไทยแบบงงๆเฉพาะโรงภาพยนตร์ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ และ เฮ้าส์ อาร์ซีเอ เท่านั้น กับหนังแนวโรแมนติครับโลกแตกของ สตีฟ คาเรลล์ และ เคียร่า ไนท์ลีย์ ซึ่งตัวหนังถึงแม้คำวิจารณ์ที่เมืองนอกจะไม่ได้เลิศเลอ แต่ก็มีคนชมอยู่ประปรายเหมือนกัน

Seeking a Friend for the End of the World เรื่องราวเริ่มต้นด้วย ภรรยาของ สตีฟ คาร์เรล ทิ้งเขาไป จากนั้นเขาก็ได้รับจดหมาย เป็นจดหมายจากหญิงที่เขาหลงรักตั้งแต่สมัยไฮสคูล บอกว่าอยากเจอเขาเดี๋ยวนี้ทันที เขาจึงออกเดินทาง แต่เรื่องก็ป่วนเมื่อเพื่อนบ้าน (คีร์ร่า ไนท์ลีย์) ติดสอยห้อยตามไปด้วย และเกิดความสัมพันธ์และความซับซ้อนระหว่างทางก็เกิดขึ้น ระหว่างทางก่อนโลกจะแตกในอีก 3 อาทิตย์ ที่พวกเขาทั้ง 2 คนจะต้องทำภารกิจที่ตัวเองอยากทำก่อนจะตายให้ได้ โดยหนังเข้าฉายแล้ววันนี้เฉพาะในโรงภาพยนตร์ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ และ เฮ้าส์ อาร์ซีเอ ที่มีรอบฉายเหลือเพียบสำหรับโรงภาพยนตร์ที่สองครับ

Seeking a Friend for the End of the World เป็นผลงานการกำกับของ ลอเรน สการ์ฟาเรีย ที่ก้าวมาจากการเคยเป็นมือเขียนบทของหนังนอกกระแสจี๊ดๆในใจใครหลายๆคนอย่าง Nick and Norah’s Infinite Playlist เมื่อปี 2008 และรวมไปถึงเคยเขียนบทให้กับซีรี่ย์อย่าง Childrens Hospital ด้วยเช่นเดียวกัน โดยหนังเรื่องนี่ถือว่าเป็นการกำกับครั้งแรกของมือเขียนบทสาวที่ก้าวกระโดดมาเป็นผู้กำกับเลยทีเดียว ซึ่งถ้าหากจะบอกว่าหนังเรื่องนี่เป็นหนังโลกแตกที่แตกต่างไปจากเรื่องอื่นก็คงจะไม่แปลก เพราะถ้าเราคิดถึงหนังโลกแตกเราคงคิดถึงแต่หนังแนวผจญภัยหนีโลกแตกอย่าง 2012 หรือไม่ก็หนังดราม่าผสมทริลเลอร์นิดๆอย่าง Deep Impact แน่นอน แต่ว่าสำหรับ Seeking a Friend มันกลับกลายเป็นหนังที่นำเอาเรื่องราวมหันตภัยโลกแตก มาทำให้เป็นเรื่องขำๆปนซึ้ง

โดยผ่านเรื่องราวของ 2 คนเหงาที่เดินทางมาเจอกันอย่างบังเอิญในสัปดาห์ที่โลกกำลังแตก ซึ่งอันดับแรกที่ผมรู้สึกค่อนข้างชอบกับหนังเรื่อง Seeking a Friend เลยคงหนีไม่พ้นด้านของอารมณ์เรื่องราวของความเป็นโรแมนติค ขำปนซึ่ง ที่โดยรวมถือว่าผู้กำกับสาวหน้าใหม่คนนี่ยังถือว่าสามารถนำพาอารมณ์ความขำปนซึ้งเหล่านี้ไปได้อยู่ในระดับนึง โดยหนึ่งในนั้นต้องขอชื่นชมด้านของ 2 นักแสดงนำอย่าง สตีฟ คาร์เรลล์ และ เคียร่า ไนท์ลีย์ ที่ถึงแม้เคมีจะไม่ได้เข้ากันแบบน่ารักกุ๊กกิ๊ก แต่ทั้ง 2 คนก็ถือว่าทำหน้าที่ในด้านของการรับส่งมุกตลกหน้าตายได้อย่างดี โดยเฉพาะ สตีฟ คาร์เรล เรื่องนี่ที่รับได้ทั้งบทตลก และ บทซึ่ง

พร้อมทั้งสิ่งที่ผมรู้สึกค่อนข้างโดนกับ Seeking a Friend เป็นพิเศษคงหนีไม่พ้นการที่หนังได้แสดงให้เห็นว่า ‘คนเราจะทำอย่างไร ถ้าหากรู้ว่าภายในไม่กี่อาทิตย์ชีวิตเรากำลังจะดับลง’ และคำตอบที่หนังให้มานั่นคือการ ปล้น , จี้ ,ชิงทรัพย์ หรือแม้แต่การก่อจราจล โดยหนังแสดงให้เห็นว่าคนเราส่วนมากมักจะทำแต่เรื่องประมาณนี่ โดยไม่ได้มีใครสนใจเลยว่าชีวิตของผู้คนที่เหลืออยู่อีก 3 อาทิตย์นั่นจะอยู่ได้ไม่เป็นสุขเพราะการก่อจราจลที่ท้ายสุดแล้วมันก็ดูเหมือนจะไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา พร้อมทั้งยังโชว์ให้เห็นถึงว่าเมื่อเวลาของคนเราใกล้หมดลง คนส่วนมากก็มักจะทำแต่สิ่งที่ใจอยากทำไม่ว่าจะเป็นการผิดลูกผิดเมียคนอื่น และอื่นๆอีกมากมาย โดยที่ไม่ได้กลับมาคิดเลยว่า อันที่แท้จริงเรากลับควรที่จะทำความดี ในตอนที่ชีวิตของเรายังหลงเหลือมากกว่านำเวลามาทำอะไรไร้ค่า

ซึ่งหลังจาก Seeking a Friend ได้ดำเนินตัวหนังไปแล้ว 2 องค์ประกอบของหนัง ก็ดูเหมือนจะมีแต่อะไรดีๆ จี๊ดๆ และค่อนข้างโดนใจ แต่น่าเสียดายที่เมื่อหนังเริ่มเข้าสู่องค์ที่ 3 หนังกลับค่อนข้างดรอปความน่าสนใจ และ ความน่าตื่นเต้น ของการเดินทางของ 2 ตัวละครนี่ไปมากพอสมควร โดยการที่หนังเล่นอ้อมไปอ้อมมา นำพาให้ 2 ตัวละครนี่ไปเจอกับอีกหลากตัวละคร ที่หลายๆอย่างผมกลับคิดว่ามันไม่น่าจะจำเป็นเลยสักนิด เพราะฉะนั้นข้อเสียหลักๆของ Seeking a Friend for the End of the World จึงอยู่ที่ด้านขององค์ที่ 3 ของหนังที่ค่อนข้างน่าเบื่อและเวิ่นเว้อไปนิด แต่ถ้าหากให้เทียบโดยรวมผมยังคิดว่าหนังดูดีกว่าที่คิดเลยนะ

เพราะฉะนั้นโดยสรุปแล้ว Seeking a Friend for the End of the World จึงเปรียบเทียบได้ว่าเป็น Deep Impact ของปีนี่ที่เสริมความโรแมนติค , ฉากน่ารักๆกุ๊กกิ๊ก และ มุกตลกหน้าตายให้เข้ากับสถานการณ์เข้าไปแบบอย่างละนิดอย่างละหน่อย พร้อมกับเสียดสีสังคมไปในเวลาเดียวกัน ที่ถือว่าทำออกได้ค่อนข้างเข้าท่าเลยนะ

เรื่องนี้ผมให้ 8/10 ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5358 เมื่อ: 24/11/13, [12:03:41] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

ice age 4 เจาะยุคน้ําแข็งมหัศจรรย์ กําเนิดแผ่นดินใหม่

โดยส่วนตัวไม่ได้เป็นแฟนพันธุ์แท้ หรือว่ามีความชื่นชอบในหนังชุด เจาะยุคน้ำแข็งมหัศจรรย์ อย่าง Ice Age เท่าไหร่ เพราะหลังจากได้รับชมมาแล้ว 3 ภาคก่อนหน้านั่นมันก็ไม่ได้รู้สึกมีอะไรแปลกใหม่มากมาย แถมความสนุกก็ยังออกมาเฉยๆสำหรับผมเสียด้วย แต่ว่าในเมื่อมันมาเป็นภาคที่ 4 ก็ย่อมมีอะไรเด็ดๆแน่

เรื่องราวในคราวนี้เริ่มจากเจ้าสแคร็ทที่มัวแต่ง่วนอยู่กับลูกโอ๊คอีกตาม เคย จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก จนเป็นเหตุให้น้ำท่วม ทำให้ ดีเอโก้, แมนนี่ และ ซิดเกิดเรื่องวุ่นวายต้องไปพาลพบกับโจรสลัดที่ขัดขวางการเดินทางการกลับบ้านอันแสนวุ่นวายยุ่งยากของพวกเข?า ที่พวกเขาจะต้องฟันฝ่ากับเหล่าโจรสลัดสุดโหดที่นำทัพโดย กัปตันกัตส์ พร้อมทั้งยังจะมีปัญหาเรื่องโลกแตก แผ่นดินร้าว หรือแม้แต่เหล่านางเงือกมากมาย ที่แมนนี่และผองเพื่อนจะต้องตะลุยผ่านสิ่งเหล่านี่ไปให้ได้เพื่อไปเจอครอบครัว และ เพื่อนฝูง ของพวกเขา โดยเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วไปแล้ววันนี้ทั้งในระบบ 3D และในระบบปกติด้วยครับ

Ice Age 4 หรือในชื่อตอนว่า Continental Drift กำกับการแสดงโดย 2 ผู้กำกับอย่าง สตีฟ มาร์ติโน่ และ ไมค์ ทูมีเอียร์ โดยรายแรกมีเครดิตเป็นถึงผู้กำกับอนิเมชั่นที่เคยกวาดทั้งคำวิจารณ์ และ รายรับไปอย่างล้นหลามในปี 2008 มาแล้วกับการดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนเด็ก 10 หน้าใน Horton Hears a Who! รวมไปถึงเคยกำกับหนังสั้นของเจ้า สแคร็ท มาแล้ว 2 ตอน โดยรายหลังก็เช่นเดียวกัน เพราะเขาก็เป็นคนกำกับหนังสั้นของเจ้า สแคร็ท ร่วมกับ สตีฟ มาร์ติโน่ พร้อมทั้งยังเป็นคนทำ Ice Age ภาคที่แล้วอย่าง Ice Age: Dawn of the Dinosaurs ด้วย ซึ่งดูเหมือนว่าการกลับมาครั้งนี่หลังจากทิ้งห่างไป 3 ปีของซีรี่ย์ชุด Ice Age ทางทีมผู้สร้างจะต้องการให้หลายๆอย่างยิ่งใหญ่ขึ้นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำเรื่องราวเกี่ยวกับปัญหาโลกแตกที่ต้องสร้างยิ่งใหญ่อลังการกว่าเดิม

หรือแม้แต่การที่หนังในภาคนี่ได้จ้างดารานักแสดงดังๆมาพากย์เป็นตัวละครใหม่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น เจนิเฟอร์ โลเปซ , ปีเตอร์ แดงเลจ , นิค ฟอส รวมไปถึงนักร้องชื่อดังอย่าง นิคกี้ มินาช ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งหลังจากในภาค 3 ของหนังชุดนี่เข้าฉายในระบบ 3D ก็แน่นอนว่าภาคนี่ก็ต้องเข้าฉายในระบบ 3D ด้วยเช่นเดียวกัน และมันก็เป็นสิ่งที่ถือว่าพัฒนาจากภาคก่อนอย่างเห็นได้ชัดเป็นสิ่งแรกเลยก็ว่าได้ เพราะ 3D ของ Ice Age 4 นอกจากมันจะสามารถทำออกมาได้ตามมาตรฐานของอนิเมชั่นทั่วไปแล้ว (นั่นคือมีฉากที่นูน มีมิติความ ตื้น ลึก หนา บาง ได้ชัดกว่าหนังคนแสดงทั่วไป) หลายๆฉากของหนังในภาคนี่ก็ถือว่าสามารถดูสนุกขึ้นด้วยระบบ 3D ก็ว่าได้ เพราะหนังมีการใส่ฉากสิ่งของทะลุจอ ทะลุตา มาให้เด็กๆและผู้ใหญ่ทั้งหลายได้สนุกกันตลอดแทบทั้งเรื่องเลยก็ว่าได้ครับ

แถมดูเหมือนว่าการพัฒนาของ Ice Age ภาคนี่จะไม่ได้มีแค่ด้านของระบบ 3D และกราฟฟิคตัวละครที่ดูสวยงามขึ้น เพราะด้านของความสนุกผมก็ยังต้องยอมรับเลยว่าสามารถทำออกมาดูสนุก และ เข้าถึงตัวของผู้ใหญ่ได้มากขึ้น ถ้าหากจะให้เทียบด้านของความสนุกและความฮาผมต้องขอยกให้ Ice Age 4 เป็นภาคที่ฮาที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะผู้กำกับ สตีฟ มาร์ติโน่ ถือว่าสามารถเลือกใช้ฉาก มิวสิเคิล มาผสมผสานเข้ากับฉากการดำเนินเรื่องได้อย่างสนุกสนาน แถมยังมาพร้อมกับการรู้วิธีปล่อยมุกได้อย่างมีจังหวะ และค่อนข้างลงตัว ซึ่งหนึ่งในนั่นต้องขอบคุณทีมพากย์ที่ยังถือว่าคงคุณภาพตามสไตล์ฮอลลีวู้ดได้อย่างไม่มีตก พร้อมทั้งฉากการขโมยซีนของเจ้าตัวละคร สแคร็ท ในภาคนี่สำหรับผมก็ยังถือว่าออกมาได้ไม่ค่อยแป๊ก และไม่ได้รู้สึกยัยเยียดให้ฮาเหมือนภาค 3 อีกด้วยครับ

ซึ่งถ้าหากคุณเข้าไปดู Ice Age 4 เพื่อคาดหวังความฮาที่จะทำให้คุณหายเครียดจากสถานการณ์ในสมัยนี่ ผมก็ต้องขอแนะนำอย่างยิ่ง แต่ถ้าหากคุณอยากจะเข้าไปดู Ice Age 4 เพื่อหวังที่จะได้ความประทับใจแบบที่ภาค 1 เคยทำไว้ผมก็ต้องขอบอกเลยว่าคุณอาจจะผิดหวังในระดับนึง เพราะข้อเสียหลักของ Ice Age ก็ยังถือว่าเป็นความผิดหวังเดิมๆที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ภาค 2 และไม่เคยพัฒนานั่นคือการที่หนังยังคงหยิบเรื่องราวประเด็น ‘ครอบครัว’ เอามาเล่นแบบไม่รู้จบตั้งแต่ภาคที่แล้ว จนทำให้ความประทับใจของประเด็นนี่ที่เคยเกิดขึ้นในภาค 1 มาดูในภาคนี่แล้วมันยังมีความรู้สึกที่ค่อนข้างยัดเยียด และพยายามซึ้งไปนิด

แต่อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าใครหลายๆคนในที่นี้ก็ต้องเข้าไปดู Ice Age 4 เพื่อเอาความฮาให้กับตัวเอง และบุตรหลาน อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นจงอย่างลังเลที่จะตีตั๋ว Ice Age 4 ในระบบ 3D เข้าไปฮาแบบกรามค้าง พร้อมทั้งยังได้ฉากมิวสิเคิลสนุกๆตามสไตล์หนังอนิเมชั่นที่ถือว่าดูสนุกกว่าทุกภาคเลยก็ว่าได้ครับ

เรื่องนี้ผมให้ 8/10 ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5359 เมื่อ: 24/11/13, [12:03:51] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

36

เป็นหนังไทยอิสระเล็กๆอีกเรื่อง ที่หลังจากไปเวียนฉายตามหอศิลป์และสถานที่อื่นๆมาแล้ว และชื่อเสียงเรียงนามของหนังเรื่องนี่ก็คือเป็นหนังที่ถูกจองตั๋วล่วงหน้าเต็มก่อนทุกที่นั่ง และเป็นหนังของมือเขียนบทอย่างคุณ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ที่ในหนังเรื่องนี่เขาได้ผันตัวเองมาเป็นผู้กำกับหนังใหญ่เป็นครั้งแรก

หนังเริ่มต้นเรื่องด้วยการเดินทางหาโลเคชั่นถ่ายหนังของทีมงานสองคนไปในที่ต่างๆ ในการหาที่หาทางที่เหมาะสม เธอและเขาจำเป็นต้องใช้กล้องถ่ายภาพนิ่งในการบันทึกภาพเหล่านั้นไว้ ด้วย ?เครื่องบันทึกภาพร่วมสมัย? อย่างดิจิตัล ที่สะดวก ประหยัด ไม่ต้องนำไปล้างและอัดมาเป็นภาพอีกครั้ง แค่นำเข้าใส่เครื่องคอมพิวเตอร์ก็เพียงพอ ขณะเดียวกันความสัมพันธ์ของคนสองคนก็เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ จะเป็นความรักฉันท์เพื่อนคนรักกัน เป็นเรื่องที่ผู้ชมจะต้องไปติดตามเอาเอง คนบางคนผ่านเข้ามาในชีวิตเราแค่ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ถ้าเราไม่มีสิ่งเตือนความจำ เราจะยังจำเขาคนนั้นได้หรือเปล่า ถ้าเราไม่เห็นคนนั้นอีก

36 เป็นภาพยนตร์ที่กำกับการแสดงโดย คุณเต๋อ นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์ ที่อย่างที่ได้บอกไปในข้างต้นว่าเป็นมือเขียนบทชื่อดังที่โลดแล่นให้คอหนังได้ติดตามในวงการภาพยนตร์มาสักพักนึงแล้ว ซึ่งงานเขียนบทดังๆของเขาคนนี่ก็ได้แก่ Top Secret : วัยรุ่นพันล้าน ที่เพิ่งเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ไปเมื่อปลายปีที่แล้ว , หนังสั้นตอนนึงในหนังเรื่อง ‘รัก 7 ปี ดี 7 หน’ ในตอนที่มีชื่อว่า ’14′ หรือแม้แต่หนังสั้นที่เคยฉายให้ชมทางช่อง 3 จนทำให้ผู้กำกับคนนี่โด่งดังมาอย่าง ‘มั่นใจว่าคนไทยฯ เกลียดเมธาวี’ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกเลยที่จะมีผู้ชมตามไปดูหนังเรื่องล่าสุดของเขาอย่าง 36 จนเต็มโรงขนาดนี่ ซึ่งก่อนที่จะเข้าสู่ความเห็นของผมต่อหนังเรื่อง 36 ผมต้องขอบอกก่อนเลยว่า 36 เป็นหนังที่ตัวผมไม่รู้ว่าเข้าใจตัวหนังตามที่ผู้กำกับพยายามจะสื่อออกมาหรือไม่ หรือว่าเข้าใจหมดครบถ้วนรึไม่

เพราะ 36 เป็นหนังที่จะถูกเล่าเรื่องด้วยภาพเคลื่อนไหวจำนวน 36 ช็อตที่ไม่ต่อเนื่องกัน โดยในแต่ละช๊อตก็จะมีทั้งความสั้น ความยาว แตกต่างกันไปตามใจของผู้สร้าง และในแต่ละตอนนั้นก็จะมีความหมายแอบแฝงอยู่ตั้งแต่ตอนเริ่ม ‘ชื่อตอน’ และเนื้อหาภายในตอนนั่นเช่นเดียวกัน ซึ่งไม่ว่าตัวหนังนั้นจะสามารถทำให้คนดูทั่วๆไปสามารถเข้าใจได้ทุกประการหรือไม่ แต่สิ่งแรกที่ผมรู้สึกว่าน่าจะเป็นสิ่งที่โดดเด่นที่สุดของ 36 คงหนีไม่พ้นด้านของ วิธีการเล่าเรื่อง เพราะตัวหนัง 36 เป็นหนังที่เลือกจะใช้วิธีถ่ายแบบ ลองเทค ออกมาทั้งหมดเป็น 36 ตอนและเอามันมารวมเข้าด้วยกัน โดยสิ่งที่น่าแปลกใจของ 36 คือหนังมันเหมือนกับมีมนต์สะกดตรงที่ว่า ตัวหนังไม่ได้ปูพื้นรองด้านของความเป็นมาของ ตัวละคร มาก่อนเลย แต่หลังจากที่หนังดำเนินเรื่องไป คนดูกลับรู้สึกอินกับ ความทรงจำ ได้

นั่นคงเป็นเพราะการที่หนังได้เล่าเรื่องแบบที่กล่าวมา จึงทำให้เหมือนกับว่าคนดูได้เริ่มรู้จักไปกับความทรงจำของตัวละคร ทราย แบบ สเต็ปบายเสต็ป และในที่สุดคนดูทุกคนก็จะเหมือนกับถูกความทรงจำเหล่านี่กลืนเข้าไปและเข้าใจกับตัวหนังได้ไม่ยาก ซึ่งอีกสิ่งนึงที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าช่วยให้ 36 ดูเป็นหนังที่มีจุดขายเป็นอารมณ์ความเหงา และ เศร้า ร่วมไปด้วย คงหนีไม่พ้นด้านของ การถ่ายภาพ และ การแสดง ที่ออกมาในอารมณ์สไตล์ของหนังอาร์ตเมืองไทยทั่วๆไป ซึ่งมาพร้อมกับนักแสดงที่เราอาจจะไม่คุ้นชื่อ แต่ก็ยังถือว่าสามารถแสดงออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ และน่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง โดยด้านของความดีความชอบของหนังเรื่อง 36 ยังถือว่าไม่ชอบแค่นั้น เพราะสิ่งที่หนังยังถือว่า หนักแน่น ไม่แพ้ด้านการถ่ายภาพ และ การเล่าเรื่อง คงหนีไม่พ้นด้านของ ‘ประเด็นแฝง’ ครับ

ที่อย่างที่ได้บอกไปข้างต้นว่าตัวผมเองไม่รู้ว่าจะเข้าใจสิ่งที่ผู้สร้างต้องการจะสื่อถูกหรือไม่ แต่สิ่งที่ผมรู้สึกชอบมากกว่าเรื่อง ‘ความทรงจำสีจางๆ’ ใน 36 กลับเป็นด้านของการที่หนังออกมาในรูปแบบ ‘เสียดสีสังคมคนยุคดิจิตอล’ ด้วยการมีหลายๆฉาก หลายๆตอน ที่พูดออกมาตรงๆว่า ในยุคดิจิตอล อะไรๆมันก็ง่าย เช่นเวลาการหาไฟล์ก็แค่พิมพ์คำลงไปในช่อง ‘เซิร์จ’ เราก็จะเจอสิ่งที่เราเก็บไว้ ไม่ต้องลำบากยากเย็นแบบสมัยก่อนที่ต้องไปค้นรูปที่อยู่ตามซอกซอย แต่สิ่งที่เรากลับไม่คิดในยุคดิจิตอลคือ ‘ถ้าหากในวันนึงอุปกรณ์ที่เราเก็บความทรงจำเหล่านั้นกลับเสียไปหละ’ พร้อมกับนำพาคำถามอีกหลายคำถามมาอีกนับไม่ถ้วน โดยสิ่งทั้งหมดนั่นหนังสื่อผ่านนิสัยการถ่ายภาพของ 2 ตัวละครอย่าง ทราย และ อุ้ม ออกมาได้อย่างแนบเนียน และอาจจะพูดได้ค่อนข้างเต็มปากว่า ‘ลึกซึ้ง’

แต่อย่างไรก็ตามผมก็ไม่สามารถพูดได้ว่า 36 จะเป็นหนังที่เหมาะกับทุกคน เพราะตัวหนังค่อนข้างนิ่งและจับทางยากพอสมควร เป็นหนังที่เหมาะกับคนที่ชอบหนังสไตล์นิ่งๆ เงิบๆ และมีสิ่งชวนให้คิดตามอยู่เสมอมากกว่าครับ ซึ่งตัวหนัง 36 มีคิวเข้าฉายอีกทีวันที่ 28-29 กรกฏาคม เฉพาะที่โรง เฮ้าส์ อาร์ซีเอ ที่เดียว

เรื่องนี้ผมให้ 8/10 ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5360 เมื่อ: 24/11/13, [12:04:03] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

Step Up 4 Revolution สเต็บโดนใจ หัวใจโดนเธอ 4

ต้องยอมรับตามตรงเลยว่า เมื่อมาถึงจุดนี่โดยส่วนตัวก็เริ่มรู้สึกว่าเบื่อหนังเต้นๆเต็มที เพราะว่าหลังๆรู้สึกว่าหนังประเภทนี่ไม่ค่อยได้มอบอะไรใหม่ๆให้กับคนดูเท่าไหร่นัก และนานนับวันมันอาจจะกลายเป็นแนวหนังที่ล้นตลาดเหมือนหนังแนวสยองขวัญที่คนเดาออกกันหมดก็เป็นได้ แต่ว่านี่มันคือ สเต๊ปอัพ เชียวนะ

การกลับมาแบบร้อนแรง และ ทำให้หัวใจสูบฉีดมากกว่าทุกภาค STEP UP 4EVER จะกลับคืนสู่แสงสีอีกครั้งในระบบ 3 มิติ หนังได้หนุ่มหล่อ ไรอัน กัซแมน และ แคทธาลีน แม็คคอร์มิค สาวนักเต้นจากเวที So You Think You Can Dance มาประกบคู่กัน โดย ได้ สกอต สเปีร์ย ผู้กำกับมิวสิควิดีโอ คนดังมารับหน้าที่กำกับการแสดงหนังไปถ่ายทำที่ไมอามี่ ฟลอลิด้า และ จะมีฉากแดนซ์กระจายกันตั้งแต่นาทีแรกของใหนัง จนนาทีสุด เพื่อให้เข้าถึงแก่นของหนังเฟรนไชสืชุด Step Up ของทุกภาคว่าทุกหัวใจของคนเรานั้นเกิดมาเพื่อเต้น และทำบางอย่าง เพื่อที่จะบรรลุให้ฝันของเรานั้นเป็นจริงเพื่อตัวของเราเอง ไม่ใช่ของผู้อื่นอย่างแน่นอน

Step Up Revolution หรือว่าชื่อในตอนแรกอย่าง Step Up 4Ever หรือแม้แต่ชื่อที่ใช้ขายในนอกอเมริกาอย่าง Step Up : Miami Heat คือผลงานการกำกับของผู้กำกับหน้าใหม่ ที่ผันตัวเองหลังจากการเคยกำกับซีรี่ย์เกี่ยวกับกลุ่มนักเต้นทางจอทีวีมาแล้วอย่าง สก๊อตต์ สเปียร์ ให้กลายเป็นผู้กำกับหนังใหญ่เต็มตัว โดยหลังจาก Step Up ภาคที่แล้วเมื่อปี 2010 ได้ออกฉายในระบบ 3D กันอย่างเต็มตัว เพราะฉะนั้นแน่นอนว่าในภาคใหม่นี่ก็ไม่มีพลาดเช่นกันที่จะออกฉายในระบบ 3D อย่างเต็มตัว ซึ่งตัวผมนั้นได้มีโอกาสดูหนังเรื่องในระบบ 3D ก็ต้องขอเอ่ยปากชมเลยว่า ในระบบ 3D ของหนังชุด เสต็ปอัพ ยังถือว่าสามารถทำออกมาได้อยู่ในระดับ มาตรฐาน ไม่ได้ออกมาหวือหวาจนน่าตกใจ หรือมีอะไรมาให้กระแทกตาเหมือนภาค Step Up 3D แต่ความเป็นมิติ และฉากวิวทิวทัศน์

ก็ถือว่าผู้กำกับสามารถเลือกใช้เพื่อจะเติมเต็มประสบการณ์ให้กับคนดูได้เป็นค่อนข้างดี โดยเฉพาะในด้านจุดขายของหนังอย่าง ฉากเต้น ในภาคนี่ ก็ยังถือว่าสามารถทำออกมาได้ค่อนข้างอลังการน่าดู โดยถึงแม้ว่าตัวหนังจะไม่ได้เน้นออกมาในรูปแบบเต้นเอามันส์แบบภาค 2-3 เพราะตัวหนังกลับเน้นความสวยงาม อลังการ และเจาะจงไปที่คำว่า ‘ศิลปะ’ มากกว่า แต่นั้นก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ปัญหาในด้านของอารมณ์ร่วมที่คนดูมีต่อหนังเลยสักนิด เพราะถึงแม้ท่าเต้นส่วนใหญ่จะเน้นสวยงามไม่เน้นมันส์ แต่เป็นเพราะระบบ 3D ที่หนังสามารถเลือกใช้คู่กับฉากเต้นได้อย่างคุ้มค่า ผลของมันจึงทำให้ฉากเต้นในหนังดูสวยงามและสนุกขึ้น

โดยถ้าหากใครคิดว่าพล๊อตเรื่องของ Step Up Revolution และการดำเนินเรื่องจะออกมาในแนวซ้ำๆกับหนังเต้นทั่วไปก็น่าจะคิดใหม่ได้เลย เพราะหนังได้ประกาศตัวตั้งแต่ชื่อหนังแล้วว่า ‘นี่คือการ ปฏิวัติ หนังเต้น’ เพราะฉะนั้นทั้งการดำเนินเรื่องและพล๊อตเรื่องตัวหนังจึงได้ไปคิดเขียดเขียนมาใหม่หมดจด โดยถึงแม้ว่าโดยรวมนั้นแกนหลักของหนังจะยังถือว่าไม่สามารถเรียกว่า ‘ปฏิวัติ’ ได้เต็มตัวเท่าไหร่ เพราะดูเหมือนโครงหลักๆของหนังก็ยังคงอยู่กับเรื่องราวของ แข่งชิงแชมป์เงินรางวัล มาเผื่อไถ่บ้านของพวกเขาคืน แต่แค่การที่ผู้กำกับกล้าที่แหวกแนวเรื่องราวของหนังเต้นพวกนี้ได้ ผมก็ถือว่าผู้กำกับใจกล้า และสามารถทำออกมาได้ดีในระดับนึงแล้ว เพราะอีกสิ่งที่ Step Up ภาคนี่ได้ปฏิวัติอีกคือ การที่จะพยายามทำให้ตัวหนังนั้นดูมีมิตมากขึ้น ไม่ได้มาแค่เต้นๆแล้วก็จากไป

เพราะตัวหนังใน Step Up ภาคนี่ ผมชอบตรงที่มันยังมีใส่เรื่องราวเข้มข้นเล็กๆเกี่ยวกับ ความสัมพันธุ์พ่อลูก และเรื่องราวของความฝัน เข้ามาให้ตัวหนังพอมีเรื่องราวจับต้องได้อยู่บ้าง โดยหนังได้ตั้งคำถามกับคนดูหลักๆไว้อยู่กับเรื่องราวของความถูกต้องเกี่ยวกับคนในครอบครัว นั้นคือการที่เราทำตามความฝันนั้น เราควรทำตามความฝันของใครมากกว่ากัน ระหว่าง พ่อแม่ ของเราที่ฝันอยากให้เราเป็นนู้นเป็นนี่ หรือว่าเราควรทำตามความฝันที่เราชอบเองมากกว่า ซึ่งถึงแม้ว่าในตอนจบตัวหนังจะไม่ได้ตอบคำถามนี่อย่างถี่ถ้วนมากนัก แถมยังอาจจะรีบตัดจบไปหน่อยก็ตาม แต่โดยรวม สเต๊ปโดนใจ ภาคนี่ก็ถือว่าสามารถดูเพลินๆดี

โดยสรุปแล้ว Step Up Revolution อาจจะไม่ได้ปฏิวัติหรือแปลกใหม่ทางด้านเนื้อเรื่องมากนัก แต่การที่ผู้กำกับพยายามทำให้ตัวหนังมีมิติ และ สามารถจับต้องได้ โดยการใส่เรื่องราวนู้นนี่นั้นเข้ามามากมาย พร้อมทั้งยังจัดเต็มทางด้านฉากเต้นที่สามารถควบคู่ไปกับ 3D ที่ลงตัวก็ถือว่าโอเคอยู่ในระดับนึงเลยหละครับ

เรื่องนี้ผมให้ 7/10? ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5361 เมื่อ: 24/11/13, [12:04:19] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

the dark knight rises แบทแมน อัศวินรัตติกาลผงาด

ด้วยมาตรฐานงานสร้างในระดับสูงของภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่มีความจริงจังในตัวอย่าง Batman Begins (2005) สานต่อด้วยความเหนือชั้นขึ้นไปอีกกับ The Dark Knight (2008) ที่ถึงพร้อมคุณภาพด้วยตัวมันเอง โดยมี ฮีธ เลดเจอร์ (Heath Ledger) ในบทโจ๊กเกอร์ ที่เป็นภาพจำของทุกคนที่ได้ชมเมื่อเอ่ยถึงภาคนี้ แม้ว่าจะเชื่อมือผู้กำกับมือทองของยุคนี้อย่าง คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าในภาคปิดตำนานอัศวินรัตติกาล The Dark Knight Rises นั้น โนแลนจะมีอะไรมานำเสนอไม่ให้น้อยหน้า The Dark Knight ที่ใครต่างก็มองว่ามันอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว แต่หลังจากที่ชมจบก็ทำให้ผมพบคำตอบว่า ไม่ควรสงสัยในฝีมือการกำกับของโนแลนตั้งแต่แรกแล้ว!

The Dark Knight Rises กำกับโดย คริสโตเฟอร์ โนแลน เล่าเรื่องราว 8 ปี หลังจากการเสียชีวิตของฮาร์วี่ เดนท์ สัญลักษณ์ผู้นำพาความสงบมาสู่เมืองก็อทแธม แต่แบทแมนกลับตกอยู่ในฐานะผู้ต้องหาหมายเลขหนึ่งที่ตำรวจหมายหัว ในขณะที่บรูซ เวย์น (คริสเตียน เบล) ก็เก็บตัวอยู่ในคฤหาสน์ไม่ยุ่งเกี่ยวโลกภายนอก แต่ความสงบสุขที่เมืองก็อทแธมมีเป็นเพียงความสงบก่อนที่พายุใหญ่กำลังจะมา! เมื่อ เบน (ทอม ฮาร์ดี้) อาชญากรตัวร้ายได้เดินทางมายังเมืองแห่งนี้ พร้อมเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ที่จะจมเมืองก็อธแธมไปพร้อมกับแบทแมน แบทแมนพร้อมพันธมิตร สารวัตรกอร์ดอน (แกรี่ โอลด์แมน), จอห์น เบรค (โจเซฟ กอร์ดอน-เลวิตต์) ฟอกซ์ (มอร์แกน ฟรีแมน) และพันธมิตรใหม่สุดแสบ เซเลน่า ไคล์ (แอน แฮทธาเวย์) หรือ แคทวูแมน จึงต้องร่วมมือกันหาทางยับยั้งแผนการของเบนก่อนที่เมืองก็อทแธมจะล่มสลาย?

การเดินทางของเรื่องยังมุ่งไปตามเส้นทางที่วางไว้กับ 2 ภาคที่ผ่านมาได้อย่างมั่นคง ไม่ว่าจะเป็นความเข้มข้นของเรื่องราว ภาวะความกดดันของสถานการณ์ที่ไม่อาจคาดเดาได้ ยังคงเป็นเสน่ห์ที่ผู้ชมสามารถรับรู้ได้ด้วยตัวเอง เสริมด้วยดนตรีประกอบของ ฮานส์ ซิมเมอร์ (Hans Zimmer) ที่ปลุกเร้าความฮึกเหิมและเน้นถึงความยิ่งใหญ่ของเรื่องราวในภาคสุดท้ายได้ อย่างยอดเยี่ยม ไม่แปลกหากคุณจะเกิดความรู้สึกหลังจากชมแล้วว่า ดนตรีประกอบบางช่วงบางตอน โดยเฉพาะท่อนที่คล้ายเสียงสวดภาวนามันยังคงก้องอยู่ในหัวสมองอยู่! แต่มันจะไร้ความหมายทันทีหากไม่ได้บทภาพยนตร์ที่ถึงพอ ซึ่งส่วนสำคัญนี้ต้องชมเชย คริสโตเฟอร์ โนแลน และ โจนาธาน โนแลน (Jonathan Nolan) ที่ร่วมกันพัฒนาบท หนังซูเปอร์ฮีโร่มันๆ ผสมผสานความดราม่าลงไปได้อย่างพอดิบพอดี

The Dark Knight Rises เป็นหนังที่เน้นหนักในการสำรวจความคิดจิตใจของ แบทแมน หรือ บรูซ เวย์น เป็นหลัก (ซึ่งต่างจาก The Dark Knight ที่ถูกแซวว่าเรื่องราวเน้นไปที่ตัวโจ๊กเกอร์มากกว่าแบทแมน) กับการเลือกของเขา สิ่งที่แตกต่างอย่างหนึ่งของหนังอัศวินรัตติกาลกับหนังแนวซูเปอร์ฮีโร่ทั่ว ไป ก็คือตัวละครจะพัฒนาและมีพลังพอที่จะสามารถกลับไปสู่กับเหล่าร้ายได้ มักจะอาศัยเทคโนโลยี อุปกรณ์เสริม ความสามารถใหม่ หรือไม่ก็ต้องได้รับพลังใจจากผู้คนรอบข้าง แต่กับแบทแมนนั้นเขาพัฒนาด้วยการฝึกฝนตนเอง โดยทุ่มเททั้งทางร่างกายและจิตวิญญาณ จะสังเกตว่าเมื่อถึงช่วงซีนเหล่านี้ กล้องจะจับภาพให้เห็นแววตาของบรูซหรือแบทแมนให้เราได้เห็น เพื่อให้เราได้รับรู้อารมณ์ของบรูซอยู่ตลอด ซึ่ง คริสเตียน เบล สามารถถ่ายทอดความมุ่นมั่นในการที่จะปกป้องเมืองก็อทแธมเอาไว้ได้ไม่ว่าจะ ต้องแลกด้วยอะไรได้อย่างยอดเยี่ยม เมื่อบวกกับบทภาพยนตร์ที่ส่งเหลือเกินทำให้ แบทแมนในเรื่องนี้มีความเป็น ?ฮีโร่? ตามแบบฉบับอย่างแท้จริง!

บอสของภาคนี้แน่นอน! ว่าย่อมหลีกเลี่ยงที่จะถูกเปรียบเทียบกับโจ๊กเกอร์ที่ ฮีธ เลดเจอร์ ทำไว้ได้อย่างยอดเยี่ยมไม่ได้ แต่กระนั้นก็ดูจะเป็นการไม่ยุติธรรมต่อตัวละครที่ชื่อ เบน สักเท่าไหร่ ฉากเปิดตัวของเบนนั้นถูกวางให้ผู้ชมรู้สึกถึง ความน่าสะพรึงกลัว และยิ่งใหญ่มากๆ โดยตอนต้นเรื่องถือว่าเป็นฉากที่บ้ามากๆ และเผยให้เรารับรู้ว่าความสามารถเบนนั้นไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าแบทแมนเลย เบนเป็นตัวละครประเภทเก่งทั้งบุ๋นบู๊ มีพละกำลังและฝีมือการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม? ที่สามารถสร้างหายนะให้กับเมืองก็อทแธมได้ลุกลามใหญ่โตในแบบไม่เคยมีใครทำ ได้มาก่อน เพราะวัตถุที่ครอบปากอยู่นั้นทำให้เราเห็นหน้าตาของเบนไม่ชัดนัก แต่ ทอม ฮาร์ดี้ ก็สามารถถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกออกมาทาง สายตาได้อย่างลุ่มลึก แต่น่าเสียดายที่เมื่อเรื่องราวดำเนินไปเรื่อยๆ แล้ว กลับพบว่าบทบาทของเบนดูจะอ่อนด้อยลงไปเรื่อยๆ ตั้งแต่เบนสามารถยึดครองเมืองก็อทแธมได้สำเร็จ นั่นรวมไปถึงจุดจบของตัวละครตัวนี้ที่ทำให้เราต้องกลับมาคิดกันใหม่กับทุก สิ่งทุกอย่างของตัวละครที่ชื่อ เบน และแม้ เบน ของ ทอม ฮาร์ดี้ จะไม่คาดเทียบเคียงกับโจ๊กเกอร์ที่ ฮีธ เลดเจอร์ เคยฝากไว้ แต่การแสดงที่ทอมมอบให้ก็นับว่าน่าพอใจมากแล้ว

ตัวละครใหม่ที่เพิ่มเข้ามาที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้อย่าง เซเลน่า ไคล์ หรือ แคทวูแมน ที่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนมุมมองเดิมๆ ที่มีต่อบุคลิกของแคทวูแมนอย่างสิ้นเชิง เพราะแคทวูแมนฉบับโนแลนนั้น สวย ทรงเสน่ห์ เซ็กซี่ ในแบบที่ไม่ต้องพยายาม ถึงแม้เธอจะเป็นตัวละครที่เพิ่งปรากฎตัวและได้รับบทบาทเด่นในภาคนี้ แต่โนแลนก็ให้เวลาพอที่จะทำให้แคทวูแมนเวอร์ชั่นนี้มีมิติไม่แบนเรียบ และ แอน แฮทธาเวย์ ก็สอบผ่านกับบทนี้ได้แบบสบายๆ รวมไปถึงตัวละคร จอห์น เบรค ตำรวจหนุ่มไฟแรง ที่ถูกวางให้เป็นสายตาของผู้ชมในการสังเกตเรื่องราวในมุมกว้าง และเอ่ยคำพูดที่เราอาจถามอยู่ในใจขณะที่ชม ไม่แปลกถ้าเราจะชอบใจไปกับกระทำของเขา นอกจากนี้เบรคถือเป็นตัวละครที่ถูกสร้างมาให้แฟนคอมมิกได้ฮือฮาและจินตนาการ กันต่อไปว่า เขาจะใช่คนที่มาสานเจตนารมณ์ของแบทแมนต่อหรือไม่?

อย่างไรก็ตาม หนังยังมีข้อติอยู่บ้างตรงเรื่องราวที่จะบอกเล่านั้นมีมากเกินไปและเต็มไป ด้วยรายละเอียด ทำให้รู้ึสึกว่าบางช่วงของหนังเรื่องราวจะเดินทางไปข้างหน้าค่อนข้างเร็ว โดยให้ข้อมูลและอยู่ในจุดนั้นเพียงเล็กน้อย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นฉากสำคัญ เช่น ปฏิบัติการลับของเหล่าตำรวจที่หาทางติดต่อขอความช่วยเหลือจากโลกภายนอก, การฝึกฝนของบรูซ เวย์นในหลุมคุมขัง เป็นต้น ซึ่งฉากเหล่านี้ควรจะทิ้งช่วงไว้สักหน่อยเพื่อที่จะเล่นกับอารมณ์ของผู้ชม ได้มากกว่านี้ แต่ก็ชดเชยด้วยการผูกเรื่องระดับเทพที่ ใช้วัตถุดิบที่ตัวเองมีทั้งภาค 1 และ 2 มาเชื่อมโยงเกี่ยวพัน เป็นเหตุเป็นผลของกันและกัน ได้อย่างแนบเนียนมากๆ? รวมถึงฉากแอ็คชั่นที่ทำออกมาได้ยิ่งใหญ่ถึงใจ โดยเฉพาะฉากถล่มเมืองก็อทแธมที่รุนแรง น่ากลัวมาก และการปะทะระหว่างแบทแมนกับเบนที่นอกจากเป็นการเผชิญหน้ากันของศิษย์มีครู ทั้งสองแล้ว ยังเป็นการเผชิญหน้ากันของแนวคิดอันแตกต่างของคนสองคนที่มาจากความมืดมิด เหมือนกันอีกด้วย!

คุณค่าของ The Dark Knight Rises ที่มอบให้ นอกจากความสนุกสนานแล้วยังมีอะไรที่ให้เก็บไปคิดเป็นอาหารสมองอีก โดยเฉพาะเรื่องของความคิดคนที่มีต่อคนอื่นและสังคม! ฉากการกลับมาปรากฎตัวครั้งแรกของแบทแมนหลังจากหายตัวไป 8 ปี ที่มุมมองต่อเหตุการณ์นี้ของหลากหลายตัวละครมันเป้นตัวบอกเล่าและสะท้อนอะไร หลายๆ อย่าง ของสังคมทุกวันนี้,? ฉากการเข้ายึดครองก็อทแธมของเบน ที่เห็นแล้วรู้สึกว่ามันช่างคล้ายกับเมืองหนึ่งในโลกความเป็นจริง (ผมจำชื่อเมืองนั้นไม่ได้แล้ว!!) ราวกับว่าผู้กำักับได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุการณ์ในเมืองแห่งนี้ เลยเลือกที่จะนำมาเป็นตัวสะท้อนความคิดและพฤติกรรมของคน

นอกจากนี้ The Dark Knight Rises ได้ให้คำจำกัดความใหม่ของคำว่า ?ฮีโร่? (Hero) ตามคำพูดของแบทแมนที่กล่าวว่า ?ใครก็เป็นฮีโร่ได้?? ฮีโร่ ไม่ใช่คนที่ใช่เครื่องแบบแปลกๆ ออกไปต่อสู้กับเหล่าร้ายหรือช่วยเหลือผู้คนจำนวนมากด้วยพลังมหาศาล หรือทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ แต่ ฮีโร่ คือ คนธรรมดาทั่วไป ที่ทำในสิ่งเล็กๆ แต่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น ล้างทัศนะคติที่เป็นลบ หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนชีวิตของคนๆ หนึ่งให้ไปสู่เส้นทางที่ถูกต้อง! แม้สิ่งที่ทำจะมีผลกระทบต่อคนเพียงคนเดียวก็ตาม เราทุกคนต่างมีความเป็นฮีโร่อยู่ในตัว ขึ้นอยู่กับเราจะใช้มันหรือไม่!

The Dark Knight Rises ถือว่าเป็นภาคที่เป็นการปิดตำนานของอัศวินรัตติกาลที่ไม่สมบูรณ์แบบซะที เดียว ทำไมน่ะหรือ? เพราะมีการทิ้งเบาะแสบางอย่างเอาไว้ในตอนท้าย ที่ราวกับเป็นแสงแห่งความสว่างของเมืองก็อทแธมหลังยุคแบทแมน หรือมองอีกมุมหนึ่งมันคือ คำท้าทายของผู้กำกับโนแลน ว่าจะมีใครหาญกล้ามาสานงานชิ้นนี้ต่อจากเขา? หรือเลือกที่จะเริ่มต้นเรื่องราวใหม่ตามสมัยนิยม? ซึ่งนั่นเป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่มีใครคาดเดาได้ แต่ถ้าให้กล่าว ณ เวลานี้ คงต้องบอกว่าใครก็ตามที่คิดจะสานงานต่อเรื่องราวอัศวินรัตติกาลต่อจากโนแลน ถ้าไม่ใช่ผู้กำกับอัจฉริยะผู้มั่นใจในฝีมือตัวเอง ก็ต้องเป็นผู้กำกับที่บ้าดีเดือดเข้าขั้น นั่นยังไม่นับว่าผลที่ออกมาจะสามารถเทียบเคียงกับไตรภาคที่โนแลนทำ ไว้หรือไม่ และสำหรับผู้ชมทั่วไปแล้วแบทแมนฉบับของโนแลน คือภาพยนตร์ไตรภาคที่เต็มอิ่ม มีความครบถ้วนและสมบูรณ์ในตัวของมันเอง ชนิดที่เราไม่อาจเรียกร้องอะไรไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว!

8.5/10
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5362 เมื่อ: 24/11/13, [12:07:56] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5363 เมื่อ: 24/11/13, [12:08:32] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5364 เมื่อ: 24/11/13, [12:08:47] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5365 เมื่อ: 24/11/13, [12:09:02] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5366 เมื่อ: 24/11/13, [12:09:18] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5367 เมื่อ: 24/11/13, [12:09:36] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5368 เมื่อ: 24/11/13, [12:09:52] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5369 เมื่อ: 24/11/13, [12:10:12] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
หน้า: 1 ... 177 178 179 180 181 ... 201   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: