Seeking a Friend for the End of the World เรื่องราวเริ่มต้นด้วย ภรรยาของ สตีฟ คาร์เรล ทิ้งเขาไป จากนั้นเขาก็ได้รับจดหมาย เป็นจดหมายจากหญิงที่เขาหลงรักตั้งแต่สมัยไฮสคูล บอกว่าอยากเจอเขาเดี๋ยวนี้ทันที เขาจึงออกเดินทาง แต่เรื่องก็ป่วนเมื่อเพื่อนบ้าน (คีร์ร่า ไนท์ลีย์) ติดสอยห้อยตามไปด้วย และเกิดความสัมพันธ์และความซับซ้อนระหว่างทางก็เกิดขึ้น ระหว่างทางก่อนโลกจะแตกในอีก 3 อาทิตย์ ที่พวกเขาทั้ง 2 คนจะต้องทำภารกิจที่ตัวเองอยากทำก่อนจะตายให้ได้ โดยหนังเข้าฉายแล้ววันนี้เฉพาะในโรงภาพยนตร์ พารากอน ซีนีเพล็กซ์ และ เฮ้าส์ อาร์ซีเอ ที่มีรอบฉายเหลือเพียบสำหรับโรงภาพยนตร์ที่สองครับ
Seeking a Friend for the End of the World เป็นผลงานการกำกับของ ลอเรน สการ์ฟาเรีย ที่ก้าวมาจากการเคยเป็นมือเขียนบทของหนังนอกกระแสจี๊ดๆในใจใครหลายๆคนอย่าง Nick and Norahs Infinite Playlist เมื่อปี 2008 และรวมไปถึงเคยเขียนบทให้กับซีรี่ย์อย่าง Childrens Hospital ด้วยเช่นเดียวกัน โดยหนังเรื่องนี่ถือว่าเป็นการกำกับครั้งแรกของมือเขียนบทสาวที่ก้าวกระโดดมาเป็นผู้กำกับเลยทีเดียว ซึ่งถ้าหากจะบอกว่าหนังเรื่องนี่เป็นหนังโลกแตกที่แตกต่างไปจากเรื่องอื่นก็คงจะไม่แปลก เพราะถ้าเราคิดถึงหนังโลกแตกเราคงคิดถึงแต่หนังแนวผจญภัยหนีโลกแตกอย่าง 2012 หรือไม่ก็หนังดราม่าผสมทริลเลอร์นิดๆอย่าง Deep Impact แน่นอน แต่ว่าสำหรับ Seeking a Friend มันกลับกลายเป็นหนังที่นำเอาเรื่องราวมหันตภัยโลกแตก มาทำให้เป็นเรื่องขำๆปนซึ้ง
ซึ่งหลังจาก Seeking a Friend ได้ดำเนินตัวหนังไปแล้ว 2 องค์ประกอบของหนัง ก็ดูเหมือนจะมีแต่อะไรดีๆ จี๊ดๆ และค่อนข้างโดนใจ แต่น่าเสียดายที่เมื่อหนังเริ่มเข้าสู่องค์ที่ 3 หนังกลับค่อนข้างดรอปความน่าสนใจ และ ความน่าตื่นเต้น ของการเดินทางของ 2 ตัวละครนี่ไปมากพอสมควร โดยการที่หนังเล่นอ้อมไปอ้อมมา นำพาให้ 2 ตัวละครนี่ไปเจอกับอีกหลากตัวละคร ที่หลายๆอย่างผมกลับคิดว่ามันไม่น่าจะจำเป็นเลยสักนิด เพราะฉะนั้นข้อเสียหลักๆของ Seeking a Friend for the End of the World จึงอยู่ที่ด้านขององค์ที่ 3 ของหนังที่ค่อนข้างน่าเบื่อและเวิ่นเว้อไปนิด แต่ถ้าหากให้เทียบโดยรวมผมยังคิดว่าหนังดูดีกว่าที่คิดเลยนะ
เพราะฉะนั้นโดยสรุปแล้ว Seeking a Friend for the End of the World จึงเปรียบเทียบได้ว่าเป็น Deep Impact ของปีนี่ที่เสริมความโรแมนติค , ฉากน่ารักๆกุ๊กกิ๊ก และ มุกตลกหน้าตายให้เข้ากับสถานการณ์เข้าไปแบบอย่างละนิดอย่างละหน่อย พร้อมกับเสียดสีสังคมไปในเวลาเดียวกัน ที่ถือว่าทำออกได้ค่อนข้างเข้าท่าเลยนะ
Ice Age 4 หรือในชื่อตอนว่า Continental Drift กำกับการแสดงโดย 2 ผู้กำกับอย่าง สตีฟ มาร์ติโน่ และ ไมค์ ทูมีเอียร์ โดยรายแรกมีเครดิตเป็นถึงผู้กำกับอนิเมชั่นที่เคยกวาดทั้งคำวิจารณ์ และ รายรับไปอย่างล้นหลามในปี 2008 มาแล้วกับการดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนเด็ก 10 หน้าใน Horton Hears a Who! รวมไปถึงเคยกำกับหนังสั้นของเจ้า สแคร็ท มาแล้ว 2 ตอน โดยรายหลังก็เช่นเดียวกัน เพราะเขาก็เป็นคนกำกับหนังสั้นของเจ้า สแคร็ท ร่วมกับ สตีฟ มาร์ติโน่ พร้อมทั้งยังเป็นคนทำ Ice Age ภาคที่แล้วอย่าง Ice Age: Dawn of the Dinosaurs ด้วย ซึ่งดูเหมือนว่าการกลับมาครั้งนี่หลังจากทิ้งห่างไป 3 ปีของซีรี่ย์ชุด Ice Age ทางทีมผู้สร้างจะต้องการให้หลายๆอย่างยิ่งใหญ่ขึ้นจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำเรื่องราวเกี่ยวกับปัญหาโลกแตกที่ต้องสร้างยิ่งใหญ่อลังการกว่าเดิม
หรือแม้แต่การที่หนังในภาคนี่ได้จ้างดารานักแสดงดังๆมาพากย์เป็นตัวละครใหม่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น เจนิเฟอร์ โลเปซ , ปีเตอร์ แดงเลจ , นิค ฟอส รวมไปถึงนักร้องชื่อดังอย่าง นิคกี้ มินาช ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งหลังจากในภาค 3 ของหนังชุดนี่เข้าฉายในระบบ 3D ก็แน่นอนว่าภาคนี่ก็ต้องเข้าฉายในระบบ 3D ด้วยเช่นเดียวกัน และมันก็เป็นสิ่งที่ถือว่าพัฒนาจากภาคก่อนอย่างเห็นได้ชัดเป็นสิ่งแรกเลยก็ว่าได้ เพราะ 3D ของ Ice Age 4 นอกจากมันจะสามารถทำออกมาได้ตามมาตรฐานของอนิเมชั่นทั่วไปแล้ว (นั่นคือมีฉากที่นูน มีมิติความ ตื้น ลึก หนา บาง ได้ชัดกว่าหนังคนแสดงทั่วไป) หลายๆฉากของหนังในภาคนี่ก็ถือว่าสามารถดูสนุกขึ้นด้วยระบบ 3D ก็ว่าได้ เพราะหนังมีการใส่ฉากสิ่งของทะลุจอ ทะลุตา มาให้เด็กๆและผู้ใหญ่ทั้งหลายได้สนุกกันตลอดแทบทั้งเรื่องเลยก็ว่าได้ครับ
แถมดูเหมือนว่าการพัฒนาของ Ice Age ภาคนี่จะไม่ได้มีแค่ด้านของระบบ 3D และกราฟฟิคตัวละครที่ดูสวยงามขึ้น เพราะด้านของความสนุกผมก็ยังต้องยอมรับเลยว่าสามารถทำออกมาดูสนุก และ เข้าถึงตัวของผู้ใหญ่ได้มากขึ้น ถ้าหากจะให้เทียบด้านของความสนุกและความฮาผมต้องขอยกให้ Ice Age 4 เป็นภาคที่ฮาที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะผู้กำกับ สตีฟ มาร์ติโน่ ถือว่าสามารถเลือกใช้ฉาก มิวสิเคิล มาผสมผสานเข้ากับฉากการดำเนินเรื่องได้อย่างสนุกสนาน แถมยังมาพร้อมกับการรู้วิธีปล่อยมุกได้อย่างมีจังหวะ และค่อนข้างลงตัว ซึ่งหนึ่งในนั่นต้องขอบคุณทีมพากย์ที่ยังถือว่าคงคุณภาพตามสไตล์ฮอลลีวู้ดได้อย่างไม่มีตก พร้อมทั้งฉากการขโมยซีนของเจ้าตัวละคร สแคร็ท ในภาคนี่สำหรับผมก็ยังถือว่าออกมาได้ไม่ค่อยแป๊ก และไม่ได้รู้สึกยัยเยียดให้ฮาเหมือนภาค 3 อีกด้วยครับ
ซึ่งถ้าหากคุณเข้าไปดู Ice Age 4 เพื่อคาดหวังความฮาที่จะทำให้คุณหายเครียดจากสถานการณ์ในสมัยนี่ ผมก็ต้องขอแนะนำอย่างยิ่ง แต่ถ้าหากคุณอยากจะเข้าไปดู Ice Age 4 เพื่อหวังที่จะได้ความประทับใจแบบที่ภาค 1 เคยทำไว้ผมก็ต้องขอบอกเลยว่าคุณอาจจะผิดหวังในระดับนึง เพราะข้อเสียหลักของ Ice Age ก็ยังถือว่าเป็นความผิดหวังเดิมๆที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ภาค 2 และไม่เคยพัฒนานั่นคือการที่หนังยังคงหยิบเรื่องราวประเด็น ครอบครัว เอามาเล่นแบบไม่รู้จบตั้งแต่ภาคที่แล้ว จนทำให้ความประทับใจของประเด็นนี่ที่เคยเกิดขึ้นในภาค 1 มาดูในภาคนี่แล้วมันยังมีความรู้สึกที่ค่อนข้างยัดเยียด และพยายามซึ้งไปนิด
แต่อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าใครหลายๆคนในที่นี้ก็ต้องเข้าไปดู Ice Age 4 เพื่อเอาความฮาให้กับตัวเอง และบุตรหลาน อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นจงอย่างลังเลที่จะตีตั๋ว Ice Age 4 ในระบบ 3D เข้าไปฮาแบบกรามค้าง พร้อมทั้งยังได้ฉากมิวสิเคิลสนุกๆตามสไตล์หนังอนิเมชั่นที่ถือว่าดูสนุกกว่าทุกภาคเลยก็ว่าได้ครับ
การกลับมาแบบร้อนแรง และ ทำให้หัวใจสูบฉีดมากกว่าทุกภาค STEP UP 4EVER จะกลับคืนสู่แสงสีอีกครั้งในระบบ 3 มิติ หนังได้หนุ่มหล่อ ไรอัน กัซแมน และ แคทธาลีน แม็คคอร์มิค สาวนักเต้นจากเวที So You Think You Can Dance มาประกบคู่กัน โดย ได้ สกอต สเปีร์ย ผู้กำกับมิวสิควิดีโอ คนดังมารับหน้าที่กำกับการแสดงหนังไปถ่ายทำที่ไมอามี่ ฟลอลิด้า และ จะมีฉากแดนซ์กระจายกันตั้งแต่นาทีแรกของใหนัง จนนาทีสุด เพื่อให้เข้าถึงแก่นของหนังเฟรนไชสืชุด Step Up ของทุกภาคว่าทุกหัวใจของคนเรานั้นเกิดมาเพื่อเต้น และทำบางอย่าง เพื่อที่จะบรรลุให้ฝันของเรานั้นเป็นจริงเพื่อตัวของเราเอง ไม่ใช่ของผู้อื่นอย่างแน่นอน
Step Up Revolution หรือว่าชื่อในตอนแรกอย่าง Step Up 4Ever หรือแม้แต่ชื่อที่ใช้ขายในนอกอเมริกาอย่าง Step Up : Miami Heat คือผลงานการกำกับของผู้กำกับหน้าใหม่ ที่ผันตัวเองหลังจากการเคยกำกับซีรี่ย์เกี่ยวกับกลุ่มนักเต้นทางจอทีวีมาแล้วอย่าง สก๊อตต์ สเปียร์ ให้กลายเป็นผู้กำกับหนังใหญ่เต็มตัว โดยหลังจาก Step Up ภาคที่แล้วเมื่อปี 2010 ได้ออกฉายในระบบ 3D กันอย่างเต็มตัว เพราะฉะนั้นแน่นอนว่าในภาคใหม่นี่ก็ไม่มีพลาดเช่นกันที่จะออกฉายในระบบ 3D อย่างเต็มตัว ซึ่งตัวผมนั้นได้มีโอกาสดูหนังเรื่องในระบบ 3D ก็ต้องขอเอ่ยปากชมเลยว่า ในระบบ 3D ของหนังชุด เสต็ปอัพ ยังถือว่าสามารถทำออกมาได้อยู่ในระดับ มาตรฐาน ไม่ได้ออกมาหวือหวาจนน่าตกใจ หรือมีอะไรมาให้กระแทกตาเหมือนภาค Step Up 3D แต่ความเป็นมิติ และฉากวิวทิวทัศน์
ด้วยมาตรฐานงานสร้างในระดับสูงของภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่ที่มีความจริงจังในตัวอย่าง Batman Begins (2005) สานต่อด้วยความเหนือชั้นขึ้นไปอีกกับ The Dark Knight (2008) ที่ถึงพร้อมคุณภาพด้วยตัวมันเอง โดยมี ฮีธ เลดเจอร์ (Heath Ledger) ในบทโจ๊กเกอร์ ที่เป็นภาพจำของทุกคนที่ได้ชมเมื่อเอ่ยถึงภาคนี้ แม้ว่าจะเชื่อมือผู้กำกับมือทองของยุคนี้อย่าง คริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าในภาคปิดตำนานอัศวินรัตติกาล The Dark Knight Rises นั้น โนแลนจะมีอะไรมานำเสนอไม่ให้น้อยหน้า The Dark Knight ที่ใครต่างก็มองว่ามันอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว แต่หลังจากที่ชมจบก็ทำให้ผมพบคำตอบว่า ไม่ควรสงสัยในฝีมือการกำกับของโนแลนตั้งแต่แรกแล้ว!