Aqua.c1ub.net
*
  Thu 07/Aug/2025
หน้า: 1 ... 158 159 160 161 162 ... 201   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: มาเล่นเกมทายภาพจากภาพยนตร์เรื่องดังกัน  (อ่าน 760008 ครั้ง)
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4770 เมื่อ: 05/11/13, [13:08:23] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
The Paperboy หนังเรื่องนี้ดาราดังหลายคน ยิ่งนิโคล คิดแมน เล่นได้ฉาวดี
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4771 เมื่อ: 05/11/13, [13:16:31] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
Cloud Atlas หยุดโลกข้ามเวลา หนังที่ต้องดู 2 รอบจึงพอจะเข้าใจ (ชอบจัง ดูน่า เบย์ ที่เล่นบท ฃอนมี 451 น่ารักดี)
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4772 เมื่อ: 05/11/13, [13:46:09] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

the impossible  หนังก็ซึ้งดีครับ เกี่ยวกับสึนามิ ที่บ้านเรา  [เจ๋ง]
TeW ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #4773 เมื่อ: 05/11/13, [18:24:31] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

เรื่องอะไรครับ ??
เพิ่งดูมาเมื่อวาน นอนผวาอยู่ทั้งคืน asspain




*อยากถามเพื่อนๆในนี้หน่อยครับ
พอดีเพื่อนมันบอกว่าหนังเรื่องนี้สนุกแต่จำชื่อเรื่องไม่ได้
เนื้อเรื่องที่เพื่อนจำได้มีประมาณนี้ครับ
 -นิโคลัส เคส แสดง
 -มีการนำทอง มาละลาย
 -น่าจะเกี่ยวกับการปล้น
ขอบคุณครับ [แด๊นซิ่ง]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 05/11/13, [18:27:19] โดย TeW »
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4774 เมื่อ: 06/11/13, [00:44:19] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

เรื่องอะไรครับ ??
เพิ่งดูมาเมื่อวาน นอนผวาอยู่ทั้งคืน asspain




*อยากถามเพื่อนๆในนี้หน่อยครับ
พอดีเพื่อนมันบอกว่าหนังเรื่องนี้สนุกแต่จำชื่อเรื่องไม่ได้
เนื้อเรื่องที่เพื่อนจำได้มีประมาณนี้ครับ
 -นิโคลัส เคส แสดง
 National Treasure
 -น่าจะเกี่ยวกับการปล้น
ขอบคุณครับ [แด๊นซิ่ง]
ใช่ Conjuring ไหมครับ ถ้าใช่เรื่องนี้น่ากลัวมาก และสร้างจากเค้าโครงเรื่องจริง

หนังที่ถามเกี่ยวกับหนังที่ นิโคลัส เคส เล่นที่มีการนำทองมาละลาย ไม่แน่ใจครับลองดูเรื่องนี้ Stolen
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06/11/13, [11:09:02] โดย เอสวา »
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4775 เมื่อ: 06/11/13, [10:23:19] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ






เรื่องอะไรครับ ?

Kick Ass 2 เกรียนโคตรมหาประลัย 2
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4776 เมื่อ: 06/11/13, [11:14:08] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
The Master  บารมีสมองเพชร
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4777 เมื่อ: 06/11/13, [11:15:48] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

เดี๋ยวจะลองดูนะครับ ดูจบเเล้วจะมาบอกครับคุณเอก  55555   ้hahaha

เเละผมจะเอาหนังมาทายมั่ง สัก3เรื่อง เเบบโหดๆ (รอบล่าสุดของผมง่ายเกิ๊น5555 พี่ๆคอหนังเเต่ละคนตอบได้หมด=.= ) รอติดตามเเละอย่าลืมตอบหนังที่ผมจะถามด้วยนะครับ
[/quot  ยินดีครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4778 เมื่อ: 06/11/13, [11:46:29] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

rise of the guardians ห้าเทพผู้พิทักษ์

อนิเมชั่นเรื่องล่าสุดจากค่าย ดรีมเวิร์กส์ ที่ลงทุนไปสูงกว่า 145 ล้านเหรียญ แต่กลับเปิดตัวที่บ้านเกิดอย่างอเมริกา ใน 3 วันแรกได้ไปเพียง 32 ล้านเหรียญ แต่กระนั้นแล้วก็อย่าเพิ่งมองข้ามหนังเรื่องนี้ไปเพียงเพราะรายได้ อย่างเช่นผมที่เคยจะทำ เพราะเอาเข้าจริงๆแล้วตัวหนังเรื่องนี้ก็ใช่จะเลวร้ายซะทีเดียวหละ

แอนิเมชั่นเรื่องยิ่งใหญ่จากดรีมเวิร์คส เรื่องราวการผจญภัยร่วมกันของ 5 เทพผู้พิทักษ์ที่มีความสามารถพิเศษต่างๆกัน ซานตาครอส, กระต่ายอีสเตอร์, นางฟ้าฟันน้ำนม,มนุษย์น้ำแข็ง,มนุษย์ทราย เหล่าเทพในนิยาย ในความเชื่อ และในความฝันของเด็กๆทั่วโลก ซึ่งต้องมารวมตัวกันเผชิญหน้ากับ ?พิช? ผู้ชั่วร้ายที่จะมาทำลายความฝันและจินตนาการของเหล่าเด็กๆและครอบครองมนุษยชาติ ครั้งนี้ โดยในขณะเดียวกัน แจ็ค ฟรอสต์ ก็ต้องพยายามหาเหตุผลไปด้วยว่า ทำไมเขาถึงต้องกลับกลายมาเป็นผู้พิทักษ์แบบไม่ได้ตั้งแต่ใจ ควบคู่ไปกับการผจญภัยอันแสนสนุกของเหล่าเทพพิทักษ์ที่เรารู้จักกันดี ในระบบ 3D ทะลุจอได้แล้ววันนี้

Rise of the Guardians เป็นผลงานอนิเมชั่นของผู้กำกับ ปีเตอร์ แรมซี่ย์ ผู้ที่ผันตัวจากการเป็นนักวาดเขียน สตอร์รี่ บอร์ด มาเป็นผู้กำกับ อนิเมชั่น เป็นครั้งแรก โดยเลือกที่จะหยิบเอาหนังสือที่มีชื่อว่า The Guardians ของ วิลเลียม จอยซ์ มาดัดแปลงเป็นหนังที่มีความคิด ความฝัน คล้ายกับ The Avengers ในฉบับของเด็กน้อย ซึ่งก่อนที่ตัวผมจะได้ดูหนังเรื่องนี้ ต้องขอบอกก่อนเลยว่าค่อนข้างจะคิดอคติกับเรื่องนี้มากพอสมควร เพราะโดยส่วนนึงก็คงเพราะ ลายเส้น ที่ไม่ค่อยสวยสมชื่อค่าย และ ตัวอย่าง ที่ยังตัดต่ออออกมาได้ไม่น่าสนใจพอ แต่อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้ดูตัวหนังเต็มๆแล้ว ความคิดก็แปรออกไปคนละขั้วกับที่เคยคิดไว้ตอนแรก เพราะแท้จริงแล้ว Rise of the Guardians กลับเป็นหนังที่ รูปอาจไม่สวย แต่จูบนั้นช่างหอม ไม่แพ้กับอนิเมชั่นเรื่องๆของ ดรีมเวิร์ก เลย

โดยเฉพาะในด้านของการที่ตัวหนังยังรักษาประคับประครองด้านของ การเล่าเรื่อง และ โทนหนัง ในสไตล์ของค่ายนี่ได้อยู่อย่างครบถ้วน ที่นำเอาความฮาสไตล์ของ Kung Fu Panda มาผสมผสานกับการดำเนินเรื่องที่ไม่น่าเบื่อและเน้นผจญภัย แอ็คชั่น ของ How to Train Your Dragon แถมตัวหนังยังแอบใส่เซอร์ไพรส์ให้กับคนดูรุ่นใหญ่ ด้วยการแถมข้อคิด และ ประเด็น อีกมากมายให้กลับมาทบทวนดูว่า ผู้ใหญ่เราที่มองความเชื่อ ความศรัทธา ของเด็กที่ยังคิดว่า ซานต้าครอส , นางฟ้าฟัน และ กระต่ายอีสเตอร์ มีอยู่จริง เป็นเรื่องล้อเล่นมันถูกแล้วหรอ โดยหนังมีหลายฉาก ที่พยายามทำให้คนดูนั้น ลองย้อนถึงช่วงวัยเด็ก

ว่าในช่วงที่เรายังเชื่อว่า ซานต้าครอส มีจริงนั้นเรามีความสุขมากแค่ไหน และ ตอนที่เราความเชื่อสลายว่าแท้จริงแล้วเป็นแค่คำลวงนั่นเรามีความรู้สึกอย่างไร โดยหนังพยายามให้ตัวผู้ใหญ่อย่างเราๆ อย่าพยายามที่จะมองข้ามเรื่องราวเหล่านี้ และมองว่ามันเป็นเพียงเรื่องไร้สาระของเด็กๆ เพราะเด็กบางคนนั้น ความเชื่อ อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ยึดเหนี่ยว และทำให้พวกเขาอยากมีชีวิตอยู่รอดู ซานต้าครอส และเทพพิทักษ์ ตนอื่นๆในอนาคตอีกต่อไปก็เป็นได้ครับ แถมทั้งการที่ตัวหนังได้นักแสดงแถวหน้ามาพากย์เสียงให้มากมายไม่ว่าจะเป็น ฮิวจ์ แจ็คแมน, จู๊ด ลอว์, ดาโกต้า โกโย, อเล็กซ์ บอลวิน หรือแม้แต่ คริส ไพน์ ก็เป็นอีกหนึ่งส่วนที่สร้างสีสันความสนุกให้กับตัวหนังใช่เล่น โดยเฉพาะการที่เราได้เห็นเฮีย ฮิวจ์ แจ็คแมน พากย์เป็น กระต่ายบันนี่ ก็คุ้มค่าตั๋วไปกว่าครึ่งแล้วจริงๆหละครับ

ซึ่งทางด้านของระบบ 3D ในตัวหนังก็ถือว่าสามารถทำออกมาได้สวยงามตามรูปแบบของ อนิเมชั่นทั่วไป โดยเฉพาะฉากสู้ตอนสุดท้ายต้องขอบอกว่า สามารถใช้งานระบบ 3D ได้เต็มรูปแบบไม่แพ้กับทางด้านของ Kung Fu Panda 2 เลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของ Rise of the Guardians ก็ยังพอมีให้ติอยู่บ้าง สิ่งหนึ่งอย่างแน่นอนนั่นก็คือ ลายเส้น อย่างที่ได้บอกไปแล้วในข้างต้น เพราะมันออกมาค่อนข้างไม่สวย และ ไม่ดึงดูด เช่นเดียวกับ มิติตัวละคร ตัวอื่น นอกจาก แจ็ค ฟรอสต์ ที่ออกมาค่อนข้างล้มๆแล้งๆ โดยเฉพาะ นางฟ้ารักษาฟัน และ ซานต้าครอส ที่น่าเสียดายที่ตัวหนังไม่ได้มีลูกเล่นในการเสริมมิติอีกนิด

แต่อย่างไรก็ตามโดยรวมแล้ว Rise of the Guardians อาจจะมีข้อเสียด้านมิติตัวละคร และ ลายเส้น ตัวละคร แต่ถ้าหากพูดถึงความสนุก ก็ต้องขอบอกเลยว่าออกมาได้ดีไม่แพ้กับอนิเมชั่นเรื่องเก่าๆของค่ายนี้ พร้อมทั้งยังแอบใส่เซอร์ไพรส์ด้วยการว่าด้วยเรื่อง ความเชื่อ ความศรัทธา ได้อย่างลงตัวมากอีกด้วยนะ

เรื่องนี้ผมให้ 8/10 ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4779 เมื่อ: 06/11/13, [11:46:37] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ


The Master เดอะมาสเตอร์ บารมีสมองเพชร

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งหนังที่เป็นตัวเต็งออสการ์ในปีนี้ ที่นักวิจารณ์คาดการณ์ไว้ว่าน่าจะเป็นหนังที่เต็งทั้งสาขา ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และ นักแสดงชายยอดเยี่ยม กับหนังเรื่องล่าสุดของผู้กำกับสุดเมพอย่าง พอล โธมัส แอนเดอร์สัน ที่ควบเอา 3 นักแสดงนำของเรื่องแถวหน้าของฮอลลีวู้ด มาพูดถึงชมรมพลังจิตนั่นเอง

ภาพยนตร์เรื่องนี้ติดตามความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของ เฟร็ดดี้ ที่รับบทโดย วาคิน ฟินิกซ์ อดีต นายทหารเรือผู้มีอารมณ์ปรวนแปร เขาไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับชีวิตประจำวันได้ รวมถึงการเดินทางที่ไม่คาดฝันของเขาเมื่อเขาได้เจอกับขบวนการเกิดใหม่ในชื่อ ของ เดอะ คอส เฟร็ดดี้ ผู้ติดต่อกับเดอะ คอส ในฐานะคนนอกและคนพเนจร ท้ายที่สุดแล้วกลับกลายเป็นเหมือนตัวแทนทายาทของผู้นำผู้มีสีสันของพวกเขา แลนคาสเตอร์ ด็อดด์ ผู้รับบท ฟิลิป เซย์มัวร์ ฮอฟแมน กระนั้น แม้ในระหว่างที่เดอะ คอส ล้วงลึกเข้าไปในการควบคุมอารมณ์ของมนุษย์ มิตรภาพระหว่างเฟร็ดดี้และด็อดด์จะพัฒนาไปสู่สงครามประสาทที่ดุเดือดมาก

The Master ผลงานการกำกับของผู้กำกับ พอล โธมัส แอนเดอร์สัน ผู้กำกับสุดเมพแถวหน้าของฮอลลีวู้ด ที่เราคงรู้จักเขาดีจากหนัง ฝนตกเป็นกบ อย่าง Magnolia และ แย่งชิงน้ำมัน ใน There Will Be Blood ซึ่งในผลงานใหม่ของเขานี้ ก็เป็นการหยิบเอาเรื่องราวของ ชมรมพลังจิต ที่มีอยู่จริงมาตีความเป็นหนัง ที่ต้องขอบอกก่อนเลยว่า ตัวเรื่องของ The Master และประเด็นที่ตัวหนังต้องการจะสื่อนั่น ไม่ได้ออกมาในแนวของหนังตลาดถูกปากคนไทยอย่างแน่นอน เพราะหนังมันจะเต็มไปด้วยการแช่กล้องนิ่งๆยาวๆ และการเล่าเรื่องไม่เป็นเส้นเวลา จนอาจจะทำให้ขาจรที่หวังเข้ามาดูหนังดราม่าเพื่อจะเอาข้อคิดแบบตรงๆ คงจะต้องมึนกันไปตามๆกัน แต่ถ้าหากคุณเป็นคนที่รับได้จากข้อที่ว่ามา ต้องขอบอกเลยว่า The Master จะเป็นหนังที่เปรียบเสมือน เนื้อซี่โครงติดมัน ที่เมื่อเรากินเข้าไปแล้ว มันจะย่อยค่อนข้างยาก แถมจะรู้สึกแน่นท้อง และมันยากยิ่งกว่า ถ้าหากเราพยายามที่จะกินเนื้อทั้งหมดที่ติดกับซี่โครงแบบไม่ให้เหลือแม้แต่นิด

เพราะผมก็ถือว่าพูดได้เต็มปากเหมือนกัน ว่าตัวผมไม่สามารถเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่ The Master สื่อออกมาได้หมด แต่สิ่งนึงที่ตัวหนังพยายามจะมุ่งเน้นจากทุกการกระทำ และ การดำเนินเรื่อง หนังจะมุ่งเน้นไปที่สิ่งเดียวคือ ‘แท้จริงแล้วมนุษย์เราก็ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉาน , และเป็นสัตว์เดรัจฉานที่พยายามจะแตกต่างจากเพื่อนฝูง เพราะคิดว่าสิ่งนั้นมันทำให้ตัวเองกลายเป็น สัตว์ประเสริฐ’ โดยหนังจะแสดงเรื่องราวสันดานต่างๆของ มนุษย์ตามธรรมชาติ และ มนุษย์ที่พยายามฝืนธรรมชาติ ผ่าน 2 ตัวละครอย่าง เฟร็ดดี้ และ ด๊อดส์ ที่รายแรกก็จะเต็มไปด้วยความเสื่อมโทรมจากจิตใจที่บอบช้ำหลังจากที่เขาสูญเสียทุกอย่าง

กับรายที่ 2 ที่พยายามจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน ที่เหนือกว่าตัวอื่น ทั้งที่จริงแล้วภายในก็เป็นเพียง ความพยายาม ที่ไร้เนื้อไร้น้ำ แต่แค่จะพยายามทำให้ตัวเองดูดีเท่านั้น ซึ่งฟังๆดูแล้ว The Master อาจจะเป็นหนังที่เต็มไปด้วยความน่าเบื่อ อืดเอื่อย ไม่ต่างจาก The Tree of Life แต่เอาเข้าจริงๆถ้าหากใครเป็นคอหนังแนวนี้ จะไม่คิดเช่นนั้นเลย เพราะทั้งหมดทั้งมวล ที่สามารถพยุงตัวหนังไปพร้อมกับเรื่องราวประเภทนี้ได้ คงหนีไม่พ้นการประชันบทบาทของ โจควินท์ ฟินิกซ์ และ ฟิลลิปส์ ซีมัวร์ ฮอฟแมน ที่สามารถทำออกมาได้น่าขนลุก ในฉากระเบิดอารมณ์ และทำเอาคนดูคิดจริงๆว่า นี่มันไม่ใช่การแสดง นี่มันคือตัวตนที่แท้จริงของเขา

แถมด้านของการถ่ายภาพ และ อารมณ์โทนเรื่อง ที่สามารถเล่าได้เปรียบเสมือตัวหนังกำลังสะกดจิตคนดูให้อยู่ในอำนาจของ พลังจิต จึงเป็นอีกส่วนนึงที่ยังต้องขอชมผู้กำกับ พอล โธมัส แอนเดอร์สัน ที่ยังคงสามารถเนรมิตรสิ่งต่างๆให้กลายเป็นหนังที่ยอดเยี่ยมได้อย่างน่าเหลือเชื่อ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องขอเตือนอีกครั้งสำหรับใครที่ชื่นชอบหนังดราม่าประเภทยัดข้อคิดตรงๆ หรือเล่าเรื่องเป็นเส้นเวลา ก็ขอให้หลีกเลี่ยง The Master โดยด่วน เพราะตัวหนังนั้นจะไม่มีสิ่งใดที่คุณชื่นชอบเลยสักนิด หนำซ้ำคุณอาจจะเข้าไปนั่งปวดหัวตึบๆว่า 2 ตัวละครนี้มันทำอะไรกันอยู่ก็เป็นได้ครับ โดย The Master เข้าฉายแล้ววันนี้แบบจำกัดโรง

โดยสรุปแล้วสำหรับผมถึงแม้จะไม่อาจเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างใน The Master แต่ จุดประสงค์หลัก และ การแสดง ก็พอจะเป็นสิ่งที่พยุงให้ตัวหนังดราม่านิ่งๆเรื่องนี้ไปถึงจุดที่สามารถทำให้คอหนังฟินได้พอประมาณแล้วหละ แต่ถ้าใครไม่ใช่คอหนังสไตล์นิ่งๆ ปวดหัวตึบๆ ก็ขอให้หลีกเลี่ยงเรื่องนี้โดดเด็ดขาดเลยหละครับ

เรื่องนี้ผมให้ 9/10 ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4780 เมื่อ: 06/11/13, [11:46:47] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

The Paperboy พลิกปมซ่อน ซ้อนแผนฆ่า

เป็นหนังเล็กๆอีกเรื่องที่อยู่ๆก็ได้หลุดเข้ามาฉายในบ้านเรา กับผลงานเรื่องล่าสุดของผู้กำกับ ลี แดเนียล จาก Precious ที่ยังคงมาขอทำหนังโทนแนว โลกไม่สวย อยู่เช่นเคย แถมคราวนี้ยังนำเอานักแสดงแถวหน้ามากมายไล่ตั้งแต่ แซ็ค แอฟรอน มาประกบคู่กับ นิโคล คิดแมน เพื่อความร้อนฉ่ากันอีกด้วยหละครับ

เล่าเรื่องราวของ นักข่าวกระหายเงินคนหนึ่ง (แมทธิว แม็คคอนาจ์เฮย์) ที่ชักชวนน้องชาย (แซ็ค เอฟรอน) ให้มาช่วยงานข่าวสืบสวนชิ้นหนึ่ง ซึ่งเกี่ยวข้องกับนักโทษประหารคดีอุกฉกรรจ์ (จอห์น คูแส็ค) ลำพังตัวคดีเองก็ซับซ้อนในระดับหนึ่ง แต่สองหนุ่มพี่น้องกลับต้องเจอปัญหาที่หนักกว่านั้น ซึ่งก็คือ สาวแรดที่ชื่อว่า ชาร์ล็อตต์ เบลสส์ (นิโคล คิดแมน) แฟนสาวของนักโทษคนดังกล่าว ที่พกความมั่นใจมาเกินร้อยที่จะช่วยเหลือผู้ชายของเธอให้ออกมาจากคุก แต่หลังจากที่ทั้ง 3 ยิ่งได้สืบลึกคดีนี้เข้าไปมากขึ้นเท่าไหร่ สิ่งที่พวกเขาได้พบเจอ กลับมีแต่ความจริงที่สกปรก และ โสมม ยากเกินกว่าคนธรรมทั้งหลายจะเคยพบเจอมาเลย

The Paperboy เป็นผลงานการกำกับของ ลี แดเนียล ผู้กำกับชาวผิวสี ที่แจ้งเกิดมาจากหนังดราม่า พ่อแม่ทารุณ เมื่อปี 2009 ใน Precious ที่ชนะรางวัลออสการ์ไปถึง 2 สาขา โดยในปีนี้เขากลับมาแล้วพร้อมกับโทนหนังแนวเดิมๆ พ่วงมาด้วยนักแสดงแถวหน้ามากมาย กับการหยิบเอานิยายของ พีท เด็กซเตอร์ ในชื่อเดียวกัน มาดัดแปลงให้กลายเป็นหนังแนวสืบสวน จิตตก ซึ่งโดยส่วนตัวผมนั่น ก็เป็นหนึ่งในคนที่ค่อนข้างชอบหนังเรื่อง Precious มากพอสมควร เพราะส่วนหนึ่งในที่ผมคิดว่ามันเสน่ห์ของผู้กำกับผิวสีคนนี้ คือ มุมมอง ในการที่เขามองโลกมนุษย์ เพราะใน Precious ก็เป็นหนังที่แสดงให้เห็นถึงความ ดำ-ขาว ของ จิตใจมนุษย์ ได้อย่างตรงไปตรงมา และ ทารุณ จิตตก จนคนฐานะร่ำรวยยังต้องขอเมินหน้าให้ และในผลงานใหม่อย่าง The Paperboy เขาก็ยังใช้เทคนิคเดิม

กับการบอกเล่าถึงเรื่องของ สันดาน และ จิตใจ ของมนุษย์ ที่ในคราวนี้ตัดเรื่องความ ขาวสะอาด ออก แล้วใส่สีดำแบบจัดจ้านเข้าไปแทน โดยการวางตัวให้แต่ละตัวละคร มีแต่ความผิด ความสกปรก โสมม และ เลวทรามในทุกวิธีทาง ที่เป็นหนังที่เปรียบเสมือนข้อพิสูจน์ว่า ในโลกของเราไม่มีใครดีไปหมดซะทุกอย่าง ผสมผสานไปกับการเล่าเรื่อง และ โทนภาพ ที่ให้อารมณ์เกรดบีในบั้นปลายยุค 40-50 ที่ถือว่าค่อนข้างเป็นหนึ่งองค์ประกอบที่ทำให้คนดูรู้สึกตกหลุ่มพราง เข้าไปในโลกของความดำมืดที่ไร้ความดีได้อย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น แถมนอกจากนั้นสิ่งที่ทำให้ตัวหนังเรื่องนี้ดูได้อย่างเพลิดเพลินไม่เนื่อยเนิบเหมือนหนังดราม่าทั่วไป

คือการที่ตัวหนังได้นำเอาเรื่องราวเหล่านั้น เล่าผ่านการสืบสวน คดีฆาตกรรมอันลึกลับ ที่ทำให้คอหนังแนวสืบสวนคงได้ถูกอกถูกใจกันไปในระดับหนึ่ง กับการสืบหาความจริงในโทนดาร์คๆ และ สกปรก โดยสิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือด้านของ นักแสดง ใน The Paperboy ที่ผู้กำกับ ลี แดเนียล ก็ช่างหาคาแรกเตอร์แปลกๆมาให้นักแสดงเล่นได้เก่งเหลือเกิน โดยเฉพาะด้านของสาว นิโคล คิดแมน ที่ต้องปรับลุคให้กลายเป็นผู้หญิงแรดๆ เถื่อนๆ ออกมาได้อย่างน่าสมจริง จนลืมไปเลยว่านี่คือนักแสดงหญิงแถวหน้าของฮอลลีวู้ด ไม่ต่างอะไรกับอีก 3 หนุ่มอย่าง แม็คคอนาห์เฮย์ , แอฟรอน และ คูแซ็ค ที่รายแรกก็ตีบทแตกได้สุดยอด

แต่อย่างไรก็ตาม ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายของ The Paperboy ที่ถึงแม้ทั้งเรื่องจะยังประคับประครอง ธีม ออกมาได้น่าประทับใจ แต่ครึ่งหลังของตัวหนังผมกลับรู้สึกว่ามันยังค่อนข้างล้มไม่เป็นท่า ไม่เหมือนกับตอน Precious ที่ยังทำออกมาได้สมบูรณ์แบบมากกว่า ซึ่งสิ่งนึงที่ผมคิดว่าทำให้ครึ่งหลังของ The Paperboy ไม่ค่อยน่าสนใจเท่ากับครึ่งแรก คือการที่ภายในครึ่งหลัง ตัวหนังได้เอาเวลาไปต่อเติม เสริมเรื่อง กับ สันดานมนุษย์ เสียมากจนเกิดไป จนได้ลืมเรื่องหลักของตัวหนังเอง นั่นคือเรื่องของ การสืบสวน ที่ท้ายสุดตัวหนังก็ไม่ได้แก้ไขรูปคดีให้จนหมด ไม่ต่างอะไรกับเหล่าปูมหลังของ ตัวละคร ที่ยังแอบใช้แบบทิ้งๆขว้างๆ โดยเฉพาะตัวละครของ แมธธิว แม็คคอนาห์เฮย์ และ จอห์น คูแซ็ค ที่ท้ายสุดตัวหนังก็ไม่ได้ปิดประเด็น และ เรื่องราว ของ 2 ตัวละครนี้ ให้เราได้เข้าใจสักเท่าไหร่

เพราะฉะนั้นโดยรวมแล้ว ตัวหนัง The Paperboy จึงออกมาเป็นหนังที่ค่อนข้างกึ่งดีกึ่งเสียมากกว่า เพราะถึงแม้ตัวหนังอาจจะมี ธีม หนังที่ดำมืด และ เสียดสีสันดานมนุษย์ออกมาได้ดีมากเพียงใด แต่ในช่วงครึ่งหลังท้ายสุดตัวก็กลับมาสะดุดล้มไปกับการทิ้งๆขว้างๆของเรื่อง สืบสวน และ ปูมหลังของตัวละคร เสียได้หละ

เรื่องนี้ผมให้ 7/10 ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4781 เมื่อ: 06/11/13, [11:46:55] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ


Cloud Atlas คลาวด์ แอตลาส หยุดโลกข้ามเวลา

เชื่อว่าทุกคนเคยตั้งคำถามว่า ตัวเรานั้นเกิดมาทำไม? เพื่อใคร? หรือเพื่อตัวเอง? แต่สุดท้ายเราก็ลืมที่จะหาคำตอบ และใช้ชีวิตตามกระแสโลกกันต่อไป หนักข้อขึ้น! บางคนอาจจะเคยถามว่า อดีตชาติมีจริงไหม? และชาติก่อนเราเป็นใคร? ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่เป็น กรรมวิสัย และโลกวิสัย ที่พระพุทธเจ้าเรียกว่ารวมๆ ว่า อจินไตย ที่ทรงเตือนว่า อย่าไปพยายามทำความเข้าใจด้วยตรรกะสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ เลย เสียเวลาเปล่า และสิ่งเหล่านี้ก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง ที่บางครั้งเมื่อเราประสบอะไรหนักหน่วงในชีวิต เราก็มักจะคิดคำนึงถึงแม้สุดท้ายเราจะพบแต่ความว่างเปล่า

เรื่องราวของ Cloud Atlas ใช้จุดนี้มาปรุงมาแต่งเป็นเรื่องราวที่คล้ายจะไม่เกี่ยวข้องกันแต่ก็มี บางอย่างที่เชื่อมโยงถึงกันอยู่ ซึ่งก็ไม่แน่ใจว่าสาส์นที่เราได้รับนั้นจะเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามความต้องการ ของผู้สร้างหรือไม่ แต่นั่นหาใส่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญคือเราได้อะไรจากหนังเรื่องนี้มากกว่า

Cloud Atlas เดิมทีเป็นวรรณกรรมจากนักเขียนชาวอังกฤษนามว่า เดวิด มิตเชลล์ และดัดเแปลงเป็นภาพยนตร์โดย ลานา วาชาวกี้, แอนดี้ วาชาวกี้ จากไตรภาค The Matrix และ ทอม ไทเควอร์ จาก Perfume: The Story of a Murderer เล่าเรื่องราวล้ำจินตนาการที่กินเวลาหลายศตววรษ!

ผ่านเรื่องราวบันทึนการเดินทางจากหมู่เกาะตอนใต้ของมหาสมุทรแปซิฟิกของ อดัม อีวิง (จิม สเตอเจสส์) ในปี ค.ศ. 1849 ที่มาเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักประพันธ์มือพรสวรรค์แต่ข้นแค้นชาว อังกฤษ โรเบิร์ต โฟรบิเชอร์ (เบน วิสชอว์) ให้สามารถประพันธ์เพลง Cloud Atlas Sextet ในปี ค.ศ. 1936 ซึ่งบทเพลงนี้ช่วยเป็นกำลังใจให้ หลุยซา เรย์ (ฮัลลี่ เบอร์รี่) นักข่าวจากซาน ฟรานซิสโก ที่ต้องการเปิดโปงความฉ้อฉลที่มีกลิ่นคาวเลือดแฝงอยู่เบื้องหลังของบริษัท ด้านพลังงานยักษ์ใหญ่ จนกลายมาเป็นนวนิยายแนวสืบสวนสอบสวน ในยุคสงครามเย็นเมื่อปี ค.ศ. 1973 จนมาเป็นแรงผลักดันให้ ทิโมธี คาเวนดิช (จิม บรอดเบนด์) บรรณาธิการสำนักพิมพ์วัยชราตกอับ ได้เขียนเรื่องราววิบากกรรมในชีวิตเขาที่ต้องทำทุกวิถีทางในการหลบหนีออกจาก บ้านพักคนชราที่เหมือนกับนรก! เมื่อปี ค.ศ. 2012 ที่ต่อมาถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ ที่มนุษย์สังเคราะห์สาวซอนมี-451 (ดูน่า เบ) ได้ชม และเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นให้เธอลุกขึ้นมาประกาศอิสรภาพ ในโลกอนาคตปี ค.ศ. 2144 ซึ่งสุดท้าย อุดมการณ์ในการปลดแอกของซอนมี-451 เป็นสิ่งที่ผู้คนในโลกอนาคตอีกหลายร้อยปี อันเป็นโลกยุคสูญสิ้นอารยธรรมต่างยึดถือเป็นที่พึ่งทางจิตวิญญาณ ในการผ่านเรื่องราวอันเลวร้ายในชีวิต จนเป็นที่มาของเรื่องเล่าข้างกองไฟเกี่ยวกับ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการล่มสลายของอารยธรรมมนุษย์ ของแซคคารี่ (ทอม แฮงค์) เมื่อประมาณปี ค.ศ. 2321

อาจจะพอพูดให้เจาะจงลงไปว่าภายใต้เรื่องใหญ่หนึ่งเรื่อง มีเรื่องย่อยลงไปอีก 6 เรื่อง ซึ่งการเล่าเรื่องใช้วิธีการเล่าเรื่องแต่ละเรื่องเพียงนิดและตัดสลับไปมา พร้อมทั้งนำเสนอด้วยจังหวะที่ให้เกิดความรู้สึกว่าเรื่องนั้นกำลังอยู่ใน ช่วงตื่นเต้นและเข้มข้นอยู่ตลอดเวลา เรากำลังรู้สึกอินและเรื่องก็ดำเนินถึงส่วนที่สำคัญๆ และฉากก็ตัดกลับไปเล่าเรื่องยุคอื่นสมัยอื่นบ้าง ออกจะขัดอารมณ์อยู่บ้างแต่ก็นับเป็นเสน่ห์อีกแบบหนึ่ง แม้ลูกเล่นแบบนี้จะเป็นลูกเล่นธรรมดาสามัญของการตัดต่อเรื่องราวเพื่อนำเสนอ ในแบบภาพยนตร์ แต่ด้วยเรื่องราวที่แตกต่างกันทั้งยุคสมัยและเหตุการณ์ทำให้เราอยากรู้ว่า อะไรคือส่วนที่เชื่อมเรื่องราวทั้งหมดเข้าด้วยกัน!

แน่นอน! ด้วยจำนวนของเรื่องราวและตัวละครที่ค่อนข้างเยอะ ทำให้ความสามารถในการจดจำรายละเอียดนั้นลดทอนลงไป หรือไม่หากใครที่สามารถจำรายละเอียดได้! ก็คงต้องเป็นคนที่จดจ่อกับหนังอย่างจริงจังและตั้งใจเป็นพิเศษ เพราะข้อมูลที่หนังมอบให้เพื่อปะติดปะต่อเรื่องราวนั้นมีมากเหลือเกิน แต่ด้วยวิธีการนำเสนอแบบที่ผู้กำกับทั้งสามเลือกใช้ ก็ช่วยให้ผู้ชมสามารถตามเรื่องไปได้เรื่อยๆ (ซึ่งตามวรรณกรรมก็ใช้วิธีการเล่าเรื่องเช่นเดียวกับในภาพยนตร์ครับ หรือจะกล่าวอีกแบบหนึ่งก็คือ ผู้กำกับใช้วิธีการเล่าเรื่องตามต้นฉบับหนังสือนั่นเอง!)

จะว่าไปแล้ว Cloud Atlas เป็นภาพยนตร์จากฝั่งตะวันตกที่แฝงความเป็นตะวันออกเข้าไปอย่างมากซึ่งคาดว่า ผู้เขียน เดวิด มิตเชลล์ อาจได้แรงบันดาลใจมาจากความเชื่อของชาวเอเชียทั้งเรื่องเวียนว่ายตายเกิด และอีกส่วนมาจากพุทธศาสนาที่ว่าด้วยเรื่องของ อิทัปปัจจยตา ที่กล่าวถึงความเกี่ยวเนื่องของเหตุและผล เมื่อมีเหตุย่อมมีผล สิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี สิ่งนี้ดับสิ่งนี้จึงดับ เป็นปัจจัยแห่งการก่อเกิด การดำรงอยู่ และการเสื่อมสลาย อันเป็นสัจธรรมของสรรพสิ่งในจักรวาล ซึ่งทั้งหมดสอดคล้องกับลักษณะการทำงานของสองพี่น้องวาชาวกี้ ที่ชื่นชอบในเรื่องของปรัชญาและความลึกซึ้งของชีวิต ซึ่งเคยใส่ไว้ในภาพยนตร์ The Matrix ไตรภาคมาแล้ว

นอกจากนี้ หนังยังแฝงความขบถอยู่ในตัว! ที่ต่อต้านการถูกบีบบังคับ กดขี่ข่มเหงอันมิชอบจากผู้มีอำนาจ และอีกนัยคือการขบถต่อสภาวะตึงเตรียดและกดดันที่มีในจิตใจ เพื่อหลุดพ้นจากสภาพชีวิตที่เราไม่ต้องการ ซึ่งเป็นลักษณะพิเศษของมนุษย์ ที่แม้สภาพภายนอกเราจะถูกปิดกั้นทุกทิศทุกทาง และภายในจิตใจและห้วงความคิดของเรา ไม่มีใครสามารถมารุกล้ำ เรามีอิสระที่จะเลือก ที่จะคิด ที่จะเป็นในสิ่งที่เราต้องการ ถ้าหากเราไม่ยอมจำนน ซอนมี-451 และ ทิโมธี คาเวนดิช จึงนับเป็นตัวละครที่มิติและมากสีสันที่สุดในเรื่องนี้ ที่ตลอดการเล่าเรื่องของทั้งสองเต็มไปด้วยเพลิดเพลินกับการทลายข้อจำกัดของ ชีวิต

สิ่งเชื่อมต่างๆ ในหนังเรื่องนี้อันได้แก่ หนังสือบันทึกการเดินทางของอดัม อีวิง, จดหมายและบทเพลง Cloud Atlas Sextet ของ โรเบิร์ต โฟรบิเชอร์, นวนิยายบันทึกการสืบสวนสอบสวนของนักข่าวสาวหลุยซา เรย์, หนังสือวิบากกรรมของคาเวนดิช,การประกาศอิสรภาพของมนุษย์สังเคราะห์ ซอนมี-451, เรื่องเล่าหลังอารยธรรมโลกสูญสลายของ แซคคารี่ กลายเป็นสิ่งแทนสัญลักษณ์ของการกลั่นกรองจากประสบการณ์ชีวิตของตัวละคร ที่บางอย่างต้องแลกมาด้วยชีวิตของเขาเอง ซึ่งนั่นมีค่าไม่ต่างจากสมบัติวัตถุธาตุที่มนุษย์โลกต่างยึดถือ และมีคุณค่าส่งมอบอุดมการณ์และจิตวิญญาณสู่อนุชนรุ่นหลัง ที่อาจเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้ผู้คนในอนาคตสามารถสร้างสรรค์สิ่งที่ยิ่งใหญ่ ขึ้นมาได้ และหากเรามาลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า ในชีวิตเรานี้ได้สร้างอะไรที่มีคุณค่าขึ้นมาบ้าง ที่เมื่อเราจากโลกนี้ไป? คุณได้คำตอบหรือไม่?

Cloud Atlas นับเป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ที่มีความทะเยอทะยานในตัวสูง เป็นภาพยนตร์แห่งชะตากรรม กินขอบเขตข้ามศตวรรษ ที่เล่าเรื่องราวอันหลากหลาย ซับซ้อน มากด้วยความนัยยะแฝงที่เราสามารถค้นหาคุณค่าได้ทุกครั้งที่เราได้ชม ยังมีอีกสิ่งที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้! เนื่องด้วยตัวละครต่างๆ ในเรื่องนี้ ทุกตัวต่างมีบทบาทในยุคสมัยของแต่ละคน และยังมีการกลับชาติมาเกิดในอีกยุคสมัยหนึ่ง ที่บุคลิกลักษณะ รวมถึงเพศสภาพแตกต่างไปจากเดิม เพื่อการเชื่อมโยงและสื่อสารให้ผู้ชมได้รับรู้ในจุดๆ นี้ นักแสดงนำทุกคนจึงต้องผ่านการแต่งหน้า ที่อาจจะเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมที่สุดตั้งแต่โลกภาพยนตร์เคยมีมา และนี่เป็นอีกส่วนหนึ่งที่มากสีสัน เมื่อนึกถึงภาพยนตร์เรื่องนี้!

9/10
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4782 เมื่อ: 06/11/13, [11:47:02] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

the impossible 2004 สึนามิ ภูเก็ต

The Impossible 2004 สึนามิ ภูเก็ต เป็นหนังอีกเรื่องที่ขนลุกตั้งแต่เห็นในหนังตัวอย่างแรก เพลงประกอบที่สร้างความอ้างว้าง และคาดหวังพอสมควรกับหนังเรื่องนี้ หนังฉายแบบจอกว้างยาวสุด เลือกดูโรงใหญ่จะดี ได้ดูรอบซาวด์แทรค พูดอังกฤษ มีซับไตเติลภาษาไทย ส่วนฉากที่ตัวละครพูดภาษาไทยสำเนียงใต้ช่วงนี้ไม่มีซับขึ้นนะ และมีฉากที่ตัวละครไทยพูดภาษาอังกฤษมีแปล เห็นหน้านักแสดงชาวไทยคงได้คุ้นๆหน้ากัน และเป็นภาพยนตร์ที่เหมาะที่จะชมในโรงภาพยนตร์ เพราะเล่นกับเสียงประกอบ บางตอนบางช่วง ราวกับจับเรากดลงทะเล อึกทึกกับความคลั่งของคลื่น หายใจแทบไม่ออก กดดัน ขอให้ลำโพงโรงหนังที่คุณเข้าชมไม่เน่า ส่วนความรุนแรงของหนัง ก็แปลกใจเหมือนกันที่ได้เรท ท.ทั่วไป มีหลายๆฉาก โหดจนต้องเบือนหน้าหลบ ส่วนเอฟเฟคของสึนามิ “น่ากลัว” จนขนลุก (ขอไม่ใช้คำว่า “สมจริง” เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่เคยประสพมากับตัวเองครับ)

เนื้อหาถูกสร้างมาจากเรื่องจริงของครอบครัวต่างชาติครอบครัวหนึ่ง ที่เดินทางมาพักผ่อนที่ทะเลไทย วันก่อนคริสต์มาส ปี2004 (ในหนังคือเขาหลัก พังงา) ถ่ายทอดทะเลไทยออกมาสวยงามเชียว ทั้งชายหาดและใต้น้ำ (พาแฟนไปดูระวังโดนคะยั้นคะยอว่า พาไปเที่ยวหน่อยๆ) แต่ก็แฝงอะไรบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกไม่ไว้ใจ ความเงียบกระมัง ครอบครัวประกอบไปด้วยแม่ มาเรีย พยาบาล (นาโอมิ วัตตส์), พ่อ เฮนรี่ (ยวน แม็คเกอร์เกอร์) และลูกชายทั้งสามคน ลูคัส (พี่ชายคนโต), ไซม่อน กับ โธมัส หนังปูพื้นฐานของสมาชิกในครอบครัว ให้บางคนมีความกลัวแฝงอยู่ ในขณะที่บางคนยังไม่รู้จักความกลัวที่แท้จริง

และไม่พูดพร่ำทำเพลง พระเอก(หรือผู้ร้าย)ของหนังเรื่องนี้ก็โผล่มา สึนามิคลื่นยักษ์ถล่มรีสอร์ตที่ครอบครัวนี้พักอยู่ และตามด้วยฉากใหญ่นั่นคือการเอาตัวรอดจากสายน้ำที่พัดพาเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปกับมัน ดูฉากนี้แล้วจะอึ้งว่า ถ่ายทำกันได้ขนาดนี้ ทั้งฉากบนน้ำหรือใต้น้ำ (ดูเบื้องหลังอึ้งกว่า ราวกับเสกเวทย์มนต์) แม่ กับ ลูคัส ผจญกับสายน้ำ และต้องเอาตัวรอดให้ได้ ฉากนี้ยาวและลุ้น ก่อนจะพบว่า “เหลือแต่ซาก” และบาดแผลที่มาเรียประสบมา ก็สาหัสจนต้องใช้ ขนาดของหัวใจ ที่ใหญ่มากพอในการเดินทางต่อ ระหว่างทางก็พบกับน้ำใจและความหวังในการมีชีวิต ช่วยกันและกัน คนที่เล่นเป็น ลูคัส ลูกชายคนโตที่อยู่กับแม่ บทบาทเยอะ และเล่นได้ดีมาก เด็กผู้ไม่เข้าใจว่าตนเองเจออะไรมาแย่มากพอ แต่ทำไมแม่เค้าจึงอยากให้ออกไปช่วยเหลือคนอื่นอีก จนทำให้ตัวเองต้องลำบากขึ้นไปอีก ความยากลำบากกับภัยธรรมชาติที่ได้เจอต่างบ้านต่างเมือง ต่างภาษา แต่ลูคัสก็ได้รู้ความหมายของการช่วยเหลือผู้อื่น การได้พบกันอีกครั้ง มีความสำคัญต่อหลายๆคนอย่างไร

เล่าขนานไปกับอีกฝั่งหนึ่ง พ่อ เฮนรี่ ที่อยู่กับสองลูก ไซม่อน โธมัส ซึ่งก็ตามหาเมียและลูกที่เหลือ ตามหาแบบตามมีตามเกิด พบปะทั้งผู้คนที่สูญเสีย สูญสิ้นความหวัง ฉากที่น่าประทับใจของ ยวน แม็คเกอร์เกอร์ คงเป็นฉากที่เขาแสดงความเข้มแข็งกำลังใจดี ต่อหน้าผู้ประสบภัยคนอื่นๆ แต่สุดท้ายก็ต้องปลดปล่อยความอ่อนแอที่อยู่ในใจออกมา ผู้ชายร้องไห้ นี่น่าสงสารยิ่งกว่าผู้หญิงร้องไห้อีกนะ บทยังขีดให้คนดูช่วยลุ้นว่า พ่อ แม่ ลูก ครอบครัวนี้จะตามหากันเจอหรือไม่ และจะปลอดภัยหรือเปล่า เพราะช่างลูกล่อลูกชน ให้เอาใจช่วยได้ตลอด

มีความตึงเครียดในหลายๆฉาก คนดูอาจจะถึงกับเกร็ง แต่หนังก็จะปลดปล่อยเราด้วยความประทับใจ ร้องไห้ออกมาเลย หลายๆคนในโรงก็คงไม่แพ้กัน ดนตรีประกอบยิ่งทำให้เพิ่มความรู้สึกอยากปลดปล่อยน้ำตามากขึ้น? อินไปกับหนัง น้ำตาไหลไปหลายรอบ อยากกลับไปกอดคนที่เรารัก ที่ยังไม่ได้จากกันไปไหน และก็เตือนให้เราไม่ลืมความน่าสะพรึงของธรรมชาติ มนุษย์เราตัวจ้อยเดียว แต่ความหวัง และการไม่ท้อถอย จะทำให้เราฝ่ามันไปได้

การถ่ายทอดภาพของประเทศไทย มีหลายๆจุดที่ผมอาจคิดไปบ้างว่า แสดงถึงการจัดการสถานการณ์ที่ไม่โอเคเลย รายชื่อคนไข้สับสน, การจัดการพยาบาลที่ดูไม่เอาใจใส่, ความโกลาหล และสุดท้าย นักท่องเที่ยวควรจะพึ่งตนเองดีที่สุด ความหวังในที่ต้องสร้างขึ้นมาเอง คงเพราะเป็นการโฟกัสเฉพาะเรื่องของครอบครัวนี้ ไม่ใช่ภาพรวมของเหตุการณ์ทั้งหมด เราจึงได้เห็นเพียงบางเหตุการณ์บางส่วน ส่วน tie-in ของเรื่องนี้ ดูกลมกลืนดี ภาพพจน์ดีมาก

ให้ 9/10 เลยครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4783 เมื่อ: 06/11/13, [11:50:38] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4784 เมื่อ: 06/11/13, [11:51:05] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4785 เมื่อ: 06/11/13, [11:51:27] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4786 เมื่อ: 06/11/13, [11:51:51] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4787 เมื่อ: 06/11/13, [11:52:17] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4788 เมื่อ: 06/11/13, [11:55:41] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

vampire twilight  [on_018]
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4789 เมื่อ: 06/11/13, [11:56:47] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

premium rush  [เจ๋ง] เรื่องนี้ชอบครับ สนุกดี ๆ คนปั่นจยย ส่งของในนิวยอร์ค 555
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4790 เมื่อ: 06/11/13, [12:00:57] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ตีสาม 3D  [on_055]
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4791 เมื่อ: 06/11/13, [12:52:56] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

bedtime stories  [เจ๋ง]
ถูกต้องครับ  [เจ๋ง] bedtime stories มหัศจรรย์นิทานก่อนนอน
จาก นิทานก่อนนอนที่เล่าให้เด็กๆฟังทุกๆคืน จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อนิทานเหล่านั้น กลับกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา โดยที่คุณไม่ใช่คนที่สามารถควบคุมเรื่องเราวได้อีกต่ อไป ภาพยนตร์ คอเมดี้ ผจญภัย แฟนตาซี เรื่องล่าสุดจาก วอลท์ ดิสนีย์ พิคเจอร์ส “เบดไทม์ สตอรี่ส์ มหัศจรรย์นิทานก่อนนอน” เรื่องราวของช่างประจำโรงแรมแห่งหนึ่ง สกีเตอร์ บรอนสัน (อดัม แซนด์เลอร์) ที่ต้องพบกับความมหัศจรรย์สุดพิศดารครั้งใหญ่ในชีวิต เมื่อนิทานก่อนนอนที่เขาเล่าให้หลานๆทั้งสองฟัง กลับกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา เขาจึงใช้ความมหัศจรรย์นี้ เล่านิทานโดยที่มีเขาเป็นตัวเอก แล้วแอบใส่ความปรารถนาของเขาเข้าไปด้วย แต่กลับกลายเป็นหลานๆของเขาเอง ที่เปลี่ยนเนื้อเรื่องจนทำให้แผนการที่เขาวางไว้กลับ ตาลปัตร เละตุ้มเป๊ะ จนทำให้เกิดเรื่องราวการผจญภัยในโลกแฟนตาซี สุดฮา แปลก แหวกแนว ตั้งแต่นักรบโบราณสไตล์ กราดิเอเตอร์ , คาวบอยโลกตะวันตก , ไปจนถึงแนวไซไฟอวกาศ เลยทีเดียว
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4792 เมื่อ: 06/11/13, [13:08:29] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
สูบคู่กู้โลก
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4793 เมื่อ: 06/11/13, [13:10:46] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
Red Dawn หน่วยรบพันธุ์สายฟ้า
TeW ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #4794 เมื่อ: 06/11/13, [18:23:38] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ใช่ Conjuring ไหมครับ ถ้าใช่เรื่องนี้น่ากลัวมาก และสร้างจากเค้าโครงเรื่องจริง

หนังที่ถามเกี่ยวกับหนังที่ นิโคลัส เคส เล่นที่มีการนำทองมาละลาย ไม่แน่ใจครับลองดูเรื่องนี้ Stolen

ถูกต้องครับ  [เจ๋ง]
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4795 เมื่อ: 07/11/13, [01:33:23] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

Premium Rush : ปั่นทะลุนรก

ถือได้ว่าเป็นหนังที่น่าดูอันดับต้นๆของปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวอย่างที่ตัดต่อออกมาได้น่าขนลุก , ไอเดีย ที่ทันสมัยด้วยจักรยาน ฟิกซ์เกียร์ หรือแม้แต่ คำวิจารณ์ ที่มะเขือเน่า ที่ผลบวกออกมาถึง 70 กว่าเปอร์เซนต์ แถมด้านพระเอกของเรื่องยังเป็น โจเซฟ กอร์ดอน เลวิตต์ ที่กำลังเนื้อร้อนอยู่ในขณะนี้อีกด้วยนะ

Premium Rush เป็นเรื่องราวของ ไวลี่ (รับบทโดย โจเซฟ กอร์ดอน เลวิตต์) พนักงานส่งเอกสารของบริษัทแห่งหนึ่งในมหานครนิวยอร์ก ที่มีจักรยานคู่ใจคอยทำหน้าที่เป็นพาหนะในการส่งของแต่ละชิ้น ซึ่งทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างปกติสุข จนกระทั่งวันหนึ่ง…ชีวิตเขาก็เปลี่ยนไป เมื่อต้องตกอยู่ในสถานการณ์ความเป็นและความตาย หลังจากเขาไปรับของชิ้นหนึ่งมาเพื่อส่งต่อให้ผู้รับภายในเวลา 90 นาที แต่จู่ ๆ ก็มีชายคนหนึ่งที่อ้างว่าเป็นตำรวจ มาขอรับเจ้าพัสดุปริศนาดังกล่าว แต่ ไวลี่ ปฏิเสธ และตัดสินใจซิ่งจักรยานหนีการไล่ล่าจากชายคนนั้น เพื่อไปส่งพัสดุให้ทันเวลา โดยอุปสรรค์ที่ตามมาคือปัญหาของพัสดุ และ คนร้าย

Premium Rush กำกับการแสดงโดย เดวิด โคเอปป์ มือเขียนบทจากหนังดังมากมายไม่ว่าจะเป็น Jurassic Park หรือแม้แต่ Mission: Impossible ที่ได้ผันตัวประเดิมผลงานหนังใหญ่ครั้งแรกเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา และผลงานดังๆที่เราคงรู้จักกันคือ หน้าต่างมรณะ อย่าง Secret Windows ที่นำแสดงโดย จอห์นนี่ เดปป์ ก่อนที่จะตามมาด้วย Ghost Town ที่มี ริคกี้ เจอร์วิส นำแสดง โดยเรื่องหลังถือได้ว่าเป็นขวัญใจนักวิจารณ์ม้ามืดแห่งปีเลยก็ว่าได้ และในผลงานใหม่ของเขาอย่าง Premium Rush ก็ยังคงเป็นการกำกับเอง เขียนบท เองอย่างเช่นเคย และตัวหนังก็ได้ โจเซฟ กอร์ดอน เลวิตต์ มารับบทเป็นสิงห์นักปั่นได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นข้อดีของ Premium Rush คงหนีไม่พ้นไอเดียความเก๋ไก๋ของ ผู้กำกับ ที่พยายามนำความทันสมัยมาใส่ในหนังได้ทุกเวลาที่มีนะ

ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องแบบ เรียลทาม (ดำเนินตามเวลาที่ในหนังบอกกล่าว) ที่ผสมผสานไปด้วยการใส่สัญลักษณ์การเล่าเรื่องที่เปรียบเสมือน จีพีเอส หรือแม้แต่การที่นำเอา จักรยานฟิกซ์เกียร์ ที่กำลังฮิตมาเป็นอุปกรณ์สำคัญในการดำเนินเรื่อง ที่ฟังไปฟังมาถือว่าเป็นหนังที่น่าสนใจ และ หลายๆคนต้องคาดหวังให้ออกมาสนุกอย่างแน่นอน แต่ก็น่าเสียดายที่เอาเข้าจริงๆ ไอเดียเหล่านี้ เมื่อมาผสมปนเปกันอย่างจะออกมาเข้าท่าในการดำเนินเรื่อง แต่ในด้านของ ฉากแอ็คชั่น ผู้กำกับนั้นดันทำออกมาไม่เดือดอย่างที่หวังไว้หนะสิ เพราะต้องขอบอกเลยว่า ในช่วงแรกของ Premium Rush ทุกสิ่งทุกอย่างแลดูน่าประหลาดใจไปหมดหละ

ทั้ง ลีลาการออกแบบคิวบู๊ด้วยจักรยาน , การเล่าเรื่องสลับกับฉากการดำเนินที่เก๋ไก๋ หรือแม้แต่ มุกตลกร้าย ที่ไม่ได้คาดหวัง ที่จะเห็น แต่หลังจากที่หนังได้นำเสนอสิ่งดังกล่าวไปหมดแล้วตั้งแต่ครึ่งแรก มันจึงทำให้ครึ่งหลังของหนัง มันกลับเต็มไปด้วย ความน่าเบื่อ ความซ้ำซาก ด้วยการที่หนังได้เอาสิ่งทั้งหมดที่อยู่ในครึ่งแรกทั้งหมด มาใช้ซ้ำใหม่อีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่น่าผิดหวังที่สุดจริงๆเห็นจะเป็น คิวบู๊ ที่ถึงแม้อาจจะมีลีลาการสู้ด้วยจักรยาน ที่น่าแปลกตา แต่ในเมื่อ ดนตรีประกอบ ของหนัง มันไม่ได้บิ้วให้คนดูลุ้น หรือ เอาใจช่วย ตัวเอกสักเท่าไหร่ มันจึงกลายเป็นวัตถุดิบดีๆ ที่ปรุงออกมาแล้วไม่อร่อย


โดยสิ่งที่เห็นว่าจะเป็นข้อดีที่สุด นอกจาก ลีลาคิวบู๊ และ มุกตลกร้าย ก็เห็นจะเป็นการแสดงของ 2 นักแสดงนำอย่าง โจเซฟ กอร์ดอน เลวิตต์ และ ไมเคิล แชนน่อน ที่รายแรกถึงแม้จะมีสแตนอิน เข้ามาช่วยในฉาก ปั่นจักรยานเสี่ยงตาย แต่กระนั้นนาย โจเซฟ ก็ยังถือว่าทำหน้าที่ได้ดีที่จะทำให้คนดูเชื่อไปได้ว่าฉากต่างๆนั้นคือตัวเขา เช่นเดียวกับ ไมเคิล แชนน่อน ที่หลังจากปีก่อนทำเอาเราทึ่งไปกับการแสดงใน Take Shelter แล้ว มาคราวนี้ถึงแม้ Premium Rush จะเป็นหนังแอ็คชั่นฟอร์มเล็ก แต่เขาก็ยังฝากการแสดงที่น่าทึ่งไว้ไม่ต่างกับเรื่องข้างต้น จนทำให้ดูเหมือนเขาเป็นคนที่คุมหนังไว้ทั้งเรื่อง และมีออร่าแรงกล้าอย่างมาก

แต่อย่างไรก็ตามโดยสรุปแล้ว ผมคิดว่า ใครที่รักการปั่นจักรยานเป็นชีวิตจิตใจ น่าจะเป็นคนที่ปลื้มกับหนัง Premium Rush ได้ไม่ยาก เพราะมันเป็นไปด้วยฉากจักรยานโลดโผนมากมาย และการแสดงดีๆอีกเพียบ แต่ถ้าใครจะหวังฉากแอ็คชั่นบู๊เดือดมันส์ๆ ก็อาจจะผิดหวังกันสักหน่อย เพราะแท้จริงมันค่อนข้างจืด

เรื่องนี้ผมให้ 6/10 ครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07/11/13, [01:35:18] โดย จอมใจไร้รัก »
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4796 เมื่อ: 07/11/13, [01:34:40] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

red dawn หน่วยรบพันธุ์สายฟ้า

ในยุคที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การชิงดีชิงเด่นเพื่อผลประโยชน์ทั้งของประเทศชาติ การเมือง และอำนาจส่วนตัว ถูกผสมปนเปกันไปจนเริ่มแยกไม่ออก! หน้าฉากแต่ละประเทศเสมือนหนึ่งบ้านพี่เมืองน้อง แต่ลับหลังดำเนินแผนการไม่ดีแฝงอยู่ เราในฐานะประชาชนตาดำๆ ทั่วไป ไม่สามารถรู้ได้หรอกว่าผู้บริหารประเทศกำลังนำพาประเทศไปสู่ทิศทางใด แต่ข่าวสารที่ถูกนำเสนออยู่ในตอนนี้ก็พอทำให้รู้ว่า โลกของเราทุกวันนี้ไม่ได้สงบนัก มันพร้อมที่จะเกิดความรุนแรงขึ้นได้ทันทีหากเหตุปัจจัยพร้อม นั่นจึงเป็นที่มาของเรื่องราวที่น่าสนใจ ที่ผู้สร้างใช้ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ของโลก มาสร้างเป็นภาพยนตร์ในชื่อ Red Dawn

Red Dawn เป็นผลงานการนำแสดงเรื่องล่าสุดของเทพเจ้าธอร์ คริส เฮมส์เวิร์ธ ที่มารับเป็น เจ็ด พี่ชายนาวิกโยธินสหรัฐที่เพิ่งกลับจากการประจำการที่ต่างประเทศ รอวันที่กองทัพเรียกตัวกลับ เขามีน้องชายชื่อ แม็ตต์ (จอช เพ็ค) ที่ดูจะไม่ค่อยลงลอยกันจากปมเก่าในอดีต และ ทอม (เบร็ตต์ คัลเลน) พ่อผู้เป็นสารวัตร ในขณะที่ทุกคนกำลังพักผ่อนอยู่นั้นปรากฎว่า สหรัฐได้ถูกโจมตีกระทันหันจากกองทัพเกาหลีเหนือ ผู้คนล้มตาย บ้างถูกจับเป็นตัวประกัน แต่ว่า เจ็ด และ แม็ตต์ ไม่ยอมถูกจับ จึงได้หลบหนีพร้อมกับเพื่อนๆ ของแม็ตต์ จำนวนหนึ่ง ทั้งหมดได้ถูกฝึกวิชาสู้รบจากเจ็ด และได้ตั้งกองกำลังพิเศษ วูล์ฟเวอรีน (Wolverines) ขึ้น เพื่อทำลายและเตือนผู้มาเยือนจากต่างถิ่นว่า พวกเขาไม่ยอมจำนนง่ายๆ

Red Dawn คือหนังรีเมคจากฉบับแรกเมื่อปี 1984 ที่เรื่องราวแทบจะไม่มีอะไรแตกต่าง แค่เปลี่ยนตัวศัตรูจากทัพโซเวียตบุกมาเป็นเกาหลีเหนือเท่านั้น หนังกำกับโดย แดน แบรดลี่ย์ ที่มีเครดิตจากการเป็นผู้กำกับกองสองของหนังดังอย่าง Independence Day, Spider-Man 2-3, The Bourne Supremacy ฯลฯ และล่าสุดกับ Mission: Impossible ? Ghost Protocol

หนังเปิดเรื่องด้วยผูกโยงสถานการณ์ของโลกในปัจจุบันทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการทหาร ที่พยายามล้อหลอกให้ผู้ชมรู้สึกถึงความไม่แน่นอนของเหตุการณ์ต่างๆ อันมีปัจจัยที่อาจทำให้เกิดสงครามขึ้น โดยโยนเหตุไปให้กับ เกาหลีเหนือ ที่เหิมเกริมมากขึ้นจากการเปลี่ยนตัวผู้นำ ซึ่งถือว่าหนังทำได้ดีในการสร้างความน่าเชื่อให้กับเรื่องราวที่จะเล่าต่อๆ ไป เช่นเดียวกันกับ ความสัมพันธ์ของตัวละครที่หนังพยายามให้ผู้ชมเชื่อเช่นเดียวกัน กับความสัมพันธ์ไม่สู้ดีนักของคู่พีน้อง แต่ดูจะรีบร้อนเกินไป เพราะยังไม่ทันที่ผู้ชมจะเข้าใจอะไร ก็เริ่มเข้าสู่ฉากสงครามกันแล้ว ที่หลังจากนั้นก็มีแต่ความชุมมุนวุ่นวาย และภาพที่ชวนปวดเศียรเวียนเกล้า ที่อาจทำให้ใครที่ทานข้าวอิ่มมาก่อนดูหนัง อาจมีคลื่นเหียนกันได้!

ฉากการบุกโจมตีแบบฉับพลันของกองทัพเกาหลีเหนือนั้น ถือเป็นจุดขายสำคัญของหนังเรื่องนี้ เพรามันดึงดูดความสนใจ ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นในตัวอย่างหนัง แต่ก็เท่านั้น มันดูดีในช่วงแรกจริงๆ ให้อารมณ์เหมือนหนังเอเลี่ยนบุกโลก แต่เมื่อเรื่องดำเนินไป ทำให้รู้สึกถึงความขัดใจ เพราะกองทัพสหรัฐในความเป็นจริงซึ่งเราพอจะพูดได้ว่า มีแสนยานุภาพสูงที่สุดในโลกนั้น กลับดูอ่อนและไร้ทางต่อต้านจนน่าสมเพชเกินไป เพราะไม่ว่าจะมองจากมุมไหน เกาหลีเหนือก็ไม่มีทางกำราบได้ง่ายขนาดนั้น อาจต้องยอมรับว่ามันเป็นเพียงแค่หนัง แต่เนื่องด้วย Red Dawn พยายามจัดวางตัวเองให้ดูสมจริงสมจัง ฉะนั้นเมื่อฉากไคลแม็กซ์ที่สุดของหนังเรื่องนี้ทำไม่ถึงแล้ว หลังจากนี้ก็คือความด้อยในทุกๆ ทาง

กลุ่มตัวละครเพียงหยิบมือเดียว กับมีทักษะทางการทหารเพียงหนึ่งคน กับเครือข่ายที่เชื่อมโยงให้พวกเขาสามารถจัดหาอาวุธ ยุทโธปกรณ์ได้ขนาดนี้ โดยไม่ลงในรายละเอียดทำให้รู้สึกออกจะขี้โม้เกินไป และยิ่งไม่น่าเชื่อเข้าไปใหญ่เมื่อ กองทัพเกาหลีเหนือสามารถปฏิบัติการโจมตีแบบสายฟ้าแล่บใส่อเมริกาได้ขนาดนั้น กลับไร้ซึ่งหนทางในการจับตัวกลุ่มคนเพียงไม่กี่คน จนต้องใช้วิธีการอันต่ำทราม มันจึงออกจะน่าขันไปสักหน่อย!

และเช่นเคยกับหนังแนวๆ นี้ที่ต้องมีพวกหักหลัง ก็ทำได้เพียงผิวเผิน หรือ คนที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนจนฝ่ายตนเองต้องได้รับอันตราย ซึ่งถ้าหากปูบทตัวละครได้ดีกว่านี้จะสามารถสร้างอารมณ์ร่วมกับผู้ชมได้มาก ความสัมพันธ์ของพี่น้องระหว่างเจ็ด และ แม็ตต์ ถือเป็นส่วนที่ทำให้เรื่องราวดูมีมิติไม่แห้งแร้งจนเกินไป จนทำให้ช็อตหลังจากพี่น้องปรับความเข้าใจกันเรียบร้อยแล้ว ส่งผลต่อความรู้สึกอยู่บ้าง

กับฉากแอ็คชั่นที่น่าจะเป็นอีกจุดขายหนึ่งของเรื่องนี้ ดูดีครับ คล้ายๆ ดูกลุ่มกองโจรปฏิบัติภารกิจ แต่น่าผิดหวังกับการเคลื่อนไหวของกล้องที่พยายามจะสมจริง โดยไม่คำนึงว่าการรับรู้เรื่องราวของผู้ชมจะมีปัญหา เพราะบางครั้งดูไม่ออกว่ากลุ่มตัวละครกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ พอมารู้อีกทีบทสรุปก็ออกมาแล้ว!

หนังสอดแทรกความเป็นชาตินิยมลงไปอย่างเห็นได้ชัด แต่ว่าอารมณ์ที่ได้มิอาจเปรียบกับหนังแนวสงครามได้เลย การคำนึงถึงชาติพันธุ์ถิ่นที่อยู่ เพื่อจะได้ดิ้นรนขัดขันนั้นพอจะเข้าใจได้ แต่ถ้อยคำนั้นกล่าวจากปากของตัวละครที่ไม่อาจทำให้เราเชื่อได้ว่าเขาแข็ง แกร่งและเป็นผู้นำพอ เพราะการแสดงของ จอช เพ็ค ที่มองยังไงเขาก็ยังเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งเท่านั้น (แม้ว่าตัวจริงของนักแสดงจะไม่ใช่เด็กแล้วก็เถอะ) ผิดกับ จอช ฮัทเชอร์สัน ที่รับบทเป็น โรเบิร์ต เพื่อนของ แม็ตต์ ที่แสดงน้อย แต่ให้มิติทางอารมณ์มากกว่า ส่วน คริส เฮมส์เวิร์ธ พระเอกของเราก็เอาตัวรอดไปได้มาดผู้นำที่ดูดีและช็อตไม่คาดคิดในช่วงท้ายเรื่อง

แม้หนังจะหาทางออกของตัวเองเจอ กับการที่ให้หน่วยวูล์ฟเวอรีนและนาวิกโยธินสหรัฐ 2 นาย (ที่มาสมทบในภายหลัง) ค้นพบเทคโนโลยีที่ทำให้พวกเขาสามารถเข้ายึดอเมริกาได้ แต่สุดท้ายหนังก็ไร้หนทางไปต่อ และจบด้วยบทสรุปที่ค้างคาใจ น่าเสียดายกับองค์ประกอบของหนังหลายๆ อย่าง ที่ควรจะมอบผลลัพธ์ที่ดีกว่าที่เป็นอยู่!

6/10
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4797 เมื่อ: 07/11/13, [01:36:39] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

สูบคู่กู้โลก

โดยส่วนตัวถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยโปรดปรานหนังตลกไทย และ ไม่ได้ชื่นชอบในหนัง สาระแน ทั้ง 3 เรื่องที่ผ่านมาสักเท่าไหร่นัก แต่อย่างไรก็ตาม ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตัวผมค่อนข้างอยากดู สูบคู่กู้โลก ผลงานเรื่องใหม่ของ เปิ้ล และ หม่ำ ที่แท็คทีมกับผู้กำกับหนังสาระแน 3 เรื่องก่อน โอเซกไก ด้วยหละครับ

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ จ๊อด กับ อี๊ด คู่เกรียนตัวเมพเจ้าของอู่ซ่อมรถมอเตอร์ไซค์ชอปเปอร์ กำลังถูกตามล่าจากเจ้าหนี้ ทั้งคู่จึงต้องคิดวิธีหาเงินชดใช้หนี้สินอันท่วมหัว ส่วนหลานชาย ป๋อง ที่ชอบก่อเรื่อง สร้างวีรกรรมบ้าบอไปวันๆ กลับกลายเป็นชายหนุ่มเรียบร้อย สุภาพบุรุษตัวพ่อ และเป็นขวัญใจของ เนย สาวพาณิชย์ใจกล้า เพื่อนสมัยเด็ก ที่ตกหลุมรักป๋อง จึงทำให้ จ๊อด กับ อี๊ด เริ่มสงสัยกับพฤติกรรมของหลานชาย และพยายามสืบหาสาเหตุที่เกิดขึ้นครั้งนี้แต่บร๊ะเจ้า!! มันชักจะวุ่นวายไปกันใหญ่ เมื่อความจริงถูกเปิดเผยว่า ป๋อง คือ มนุษย์ต่ำงดำว! ลงมาช่วยโลกมนุษย์ที่กำลังจะเกิดภัยพิบัติ ทำให้งานเข้า จ๊อด กับ อี๊ด ที่ต้องตัดสินใจ

สูบคู่กู้โลก กำกับการแสดงโดย เป้ นฤบดี เวชกรรม ผู้กำกับจาก สาระแน ห้าวเป้ง , สิบล้อ และ เห็นผี ที่คราวนี้หยิบเอาเรื่องราวที่ตัวเองเคยหลงใหลในสมัยเด็กๆอย่างเรื่อง มนุษย์ต่างดาว มาต่อยอดให้กลายเป็นหนังใหญ่ ที่เป็นรูปเป็นร่าง มีบท และ สคริป ไม่เหมือนกับ สาระแน ทั้ง 3 เรื่องที่ผ่านมา ที่ค่อนข้างจะคล้ายกับเอาฉากแปะฉาก และร้อยต่อกันจนเป็นหนังเสียมากกว่า ซึ่งทางด้านของนักแสดงในเรื่องนี้ก็น่าเสียดาย ที่ทางด้านของ เปิ้ล นาคร ได้ดันถอดหุ้นออกจากบริษัทของ สาระแน เสียก่อน ทางด้านนักแสดงที่ต้องคู่กับ เปิ้ล จึงตกเป็นของ หม่ำ จ๊กม๊ก และ 2 นักแสดงหน้าใหม่อย่าง ภูมิ รังษีธนานนท์ และ แม๊กกี้ อาภา โดยถึงแม้ตัวผมจะไม่ค่อยชอบ สาระแน ทั้ง 3 ภาคที่ผ่านมาสักเท่าไหร่อย่างที่บอก แต่ผมก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าทางด้านของผู้กำกับ เป้ นฤบดี เวชกรรม

ก็ถือได้ว่าเป็นผู้กำกับคนนึงที่พัฒนาฝีมือตนเองในหนังแต่ละเรื่องได้ค่อนข้างดี เริ่มตั้งแต่ ห้าวเป้ง ที่บทไม่เป็นบท มุกตลกไม่เป็นตลก จนมาถึง สาระแน เห็นผี ที่ตัวบทเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง มุกตลกก็พอพัฒนาจาก สิบล้อ มากพอควร และก็จนมาถึง สูบคู่กู้โลก ที่ดูเหมือนผู้กำกับเริ่มต้องการใส่ประเด็นหลายๆอย่างเข้าไปนอกจาก มุกตลก เสียแล้ว และสิ่งที่ผู้กำกับเลือกแต่งเติมเข้าไปก็คือ การเสียดสีสังคม และ เรื่องชาวบ้านๆ ที่วนเวียนอยู่กับการบอกเล่าเรื่อง ความดี ความชั่ว , ฐานะ และ สันดาน ที่ถึงแม้อาจจะดูเหมือนหยิบเอาหลายๆสิ่งมาปั่นรวมกัน จนออกมากลายเป็นน้ำที่ไม่อร่อยเท่าไหร่ แต่แค่ผู้กำกับพยายามก็ถือว่าดีแล้วหละ

ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผู้ชมท่านอื่นนั่นคิดอย่างไรกัน แต่สำหรับผมแล้ว สิ่งที่ผู้กำกับถือได้ว่าค่อนข้างพัฒนาเลยทีเดียวคือ มุกตลก ที่ในเรื่องนี้ถือว่ามีมุกตลกที่ทำให้ขำจนปรบมือได้อยู่ค่อนข้างหลายมุก ถึงแม้จะสลับกับมุกที่แป๊กไปบ้างก็ตาม โดยคงต้องขอบคุณด้านของการแสดง และ ลีลากวนๆ ของ 2 นักแสดงนำอย่าง เปิ้ล นาคร และ หม่ำ จ๊กม๊ก ที่เรื่องนี้ คาแรกเตอร์ ไม่ได้ดูหยาบคาย หรือว่า ดูเป็นตัวละครที่อยู่ในหนังตลกไร้สาระมากสักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะรายหลังอย่าง หม่ำ จ๊กม๊ก ที่ส่วนตัวผมก็ไม่ค่อยได้ฮากับหนังเรื่องเก่าๆของเขามากสักเท่าไหร่นัก แต่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องล่าสุดที่ผมได้หัวเราะเสียงดังไปกับลีลากวนๆเลย

แต่อย่างไรก็ตามถึงแม้ผู้กำกับจะมีการพยายามใส่เรื่องราวจุกจิก และ มุกตลก เข้ามาฮากว่าผลงานเก่าๆมากพอสมควร แต่กระนั้นแล้วผู้กำกับก็ยังคงมีสิ่งนึงที่ยังไม่สามารถแก้ไขได้ นั่นคือด้านของ ตัวบท ที่ไร้ทั้งเหตุและผล หนำซ้ำยังเต็มไปด้วยช่องโหว่ ที่ทำให้คนดูตั้งคำถามได้เรื่อยๆว่า ทำไมไม่ทำอย่างนั้น ทำไมไม่ทำอย่างนี้ รวมไปถึงด้านของ การตัดต่อ ที่ตัดออกมาค่อนข้างแย่ เพราะในช่วงแรก และ ช่วงหลัง หนังเต็มไปด้วยฉากที่ไม่ค่อยประติดประต่อ คล้ายกับว่านำฉากมาร้อยต่อกับอีกฉาก ที่ถึงแม้จะไม่แย่เท่ากับการตัดต่อของ สาระแนสิบล้อ แต่กระนั้นตัวเส้นเรื่องมันก็ยังดูจะไม่ค่อยเล่าเรื่องเป็นหนังเท่ากับ สาระแนเห็นผี สักเท่าไหร่นัก แต่อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังคิดว่า สูบคู่กู้โลก ไม่ใช่หนังที่เหมาะสำหรับทุกคนนัก เพราะถ้าหากคุณชอบ มุกตลก แนวหยาบคาย

และเคยตลกมาแล้วกับหนัง สาระแน 3 เรื่องก่อน คุณก็น่าจะเป็นคนที่ชอบ สูบคู่กู้โลก อย่างแน่นอน แถมหนำซ้ำอาจจะฮากว่าด้วยซ้ำที่ผู้กำกับหยิบเอาเรื่องฮ๊อตๆในสังคมมาล้อเลียน แต่ถ้าหากใครที่ไม่ชอบมุกตลกแนวที่กล่าวมา ก็ขอให้หลีกเลี่ยงเรื่องนี้ได้เลย เพราะคุณดูท่าว่าจะไม่ถูกใจเช่น สาระแน อย่างแน่นอนนะ

เรื่องนี้ผมให้ 7/10 ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4798 เมื่อ: 07/11/13, [01:38:13] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

the twilight saga breaking dawn part 2 แวมไพร์ ทไวไลท์ 4 เบรคกิ้งดอร์น ภาค 2

คงเป็นภาคที่ผู้ชายทุกคนบนโลกจะตะโกนร้อง ดีใจ เพราะว่าหนังชุดที่พวกเขาเบื่อที่สุดอย่าง ทไวไลท์ ได้จบลงแล้ว (ซึ่งในความจริงมันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะ ไลอ้อนเกตส์ ดันมีแผนจะวางสร้างภาคแรกเกี่ยวกับกลุ่ม หมาป่า ต่ออีกหลายภาค) แต่หลังจากรับชมผมกลับมีความรู้สึกไปอีกแบบและดันอยากดูต่อซะงั้น

เรื่องราวเกิดขึ้นหลังจาก เบลล่า ใช้เวลาปรับตัวกับชีวิตใหม่ในการเป็นแวมไพร์ กลุ่มแวมไพร์โวลตูรี่ก็แสดงความต้องการตัว เรเนสมี ลูกสาวของ เอ็ดเวิร์ด และ เบลล่า มาครอบครอง ครอบครัวคัลเลนจึงขอความช่วยเหลือจากกลุ่มแวมไพร์พันธมิตรทั่วโลก รวมถึง เจคอบ ที่ผูกวิญญาณกับ เรเนสมี แล้ว เพื่อร่วมต่อสู้ในสงครามครั้งสุดท้ายกับกลุ่มแวมไพร์โวลตูรี่ ที่จะเป็นบทสรุปของทุกสิ่ง หลังจากการเดินทางอันแสนยาวนานของความรักนี้ สงครามแวมไพร์ที่จะเกิดขึ้นในช่วงไคลแมกซ์ ถือเป็นการแนะนำให้รู้จักกับกลุ่มแวมไพร์ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มแวมไพร์เดนาลี พันธมิตรของครอบครัวคัลเลน และ กลุ่มแวมไพร์จากอียิปต์ด้วย

Twilight : Breaking Dawn – Part 2 ยังคงเป็นผลงานของผู้กำกับคนเดิมอย่าง บิล คอนดอน จากภาคที่แล้ว ซึ่งถ้าหากไม่นับหนังชุด ทไวไลท์ นาย บิล คอนดอน คนนี้ถือว่าเป็นผู้กำกับที่มีคุณภาพอยู่มากพอสมควร เพราะเขาเป็นคนที่เคยพาเอาหนังเพลง มิวสิเคิล อย่าง Dreamgirls ไปชนะ ออสการ์ 2 สาขามาแล้ว ซึ่งโดยส่วนตัวผมก็ไม่ได้เป็นคนที่ค่อนข้างชื่นชอบภาพยนตร์ชุด ทไวไลท์ มากนักหรอกครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาค 2 และภาค 4.1 ที่น้ำเน่า และ น่าเบื่อ เป็นที่สุด แต่ไหนๆเราก็ดูกันมาแล้ว 4 ภาค จะเป็นได้อย่างไรที่จะยอมถอดใจตอนภาคสุดท้าย โดยก่อนที่จะดูผมก็มีความคิดอคติต่างๆมากมาย ตามสไตล์ของ ผู้ชาย ไม่ค่อยชอบ ทไวไลท์ แต่ก็เป็นสิ่งที่น่าแปลกใจอยู่เหมือนกันนะครับ เมื่อหลังดูจบความคิดของผมดันกลับไปอีกทาง และอยากไปเสียตังค์อีกรอบจริงๆ

เพราะต้องขอบอกเลยว่า Breaking Dawn Part 2 ถือได้ว่าเป็น ทไวไลท์ ภาคที่สนุก และ ดีที่สุด รองมาจากภาค 1 ในหนังตระกูลนี้เลยก็ว่าได้ เพราะถ้าหากใครเคยคิดว่าภาค 1 สนุกได้เพราะอารมณ์รัก โรแมนติค ผสมผสานไปกับเพลงเพราะๆแล้วละก็ คุณก็น่าจะเตรียมพร้อมที่จะสนุกไปกับภาค 4.2 ได้เลย เพราะจะเป็นภาคที่ทำให้คนดูทั้งผู้หญิง และ ผู้ชาย ได้ร่วมสนุกไปกับฉากแอ็คชั่นมันส์ๆ และมุกตลกร้าย ที่ทำเอาคนดูปรบมือแทบทั้งโรง ซึ่งก็แน่นอนอยู่แล้วว่า ฉากปะทะกันระหว่าง วัลโตรี และ แก๊งค์แวมไพร์ ในตอนท้ายเรื่อง ถือว่าเป็นจุดขายที่สำคัญของภาค 4.2 ว่าแล้วสงสัยผู้กำกับ บิล คอนดอน คงแอบจะไปทำการบ้านอยู่

ผลลัพธ์ที่ออกมาในด้านของฉากแอ็คชั่นตอนท้ายเรื่อง จึงค่อนข้างน่าพอใจ และถือว่าทำเอาออกมาเอาใจฝ่ายของ ผู้ชาย มากพอสมควร ด้วยการที่ฉากแอ็คชั่นเต็มไปด้วยการต่อสู้อันหนักแน่น และ ฉูดฉาด ด้วยฉากโหดๆ จนทำให้เราหลายคนอาจจะลืมไปได้ว่า เรากำลังดู ทไวไลท์ อยู่ ผสมผสานไปกับการที่ภาคนี้ ผู้กำกับ บิล คอนดอน คงจะพยายามให้คนดูสนุกกับการต่อสู้ครั้งสุดท้ายมากที่สุด จึงตัดฉากรัก โรแมนติค ที่เหล่าผู้ชายเกลียดออกไปจนเหลือเพียงแค่ 10% ของเรื่อง จึงเป็นอีกข้อดีนึงที่สามารถทำให้ฉากแอ็คชั่นตอนท้ายเรื่องสนุก เพราะตลอดเวลา 115 นาทีของตัวหนังถือว่าปูเรื่องราวเพื่อนำไปสู่ตอนไคล์แมกซ์ได้ค่อนข้างลื่นไหล และไม่น่าเบื่อเท่าภาคอื่นๆ พร้อมทั้งตัวหนังยังมีการพยายามพูดถึงเรื่อง การรับวัฒนธรรมแปลกใหม่ และ ความเชื่อ ของสิ่งมีชีวิต

ผ่านกลุ่ม วัลโตรี ในท้ายเรื่องได้อย่างไม่ยัดเยียด และ เป็นธรรมชาติอีกด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ข้อเสียหลักของหนังชุดนี้ ที่ยังไงก็ยังแก้ไม่หายจนหนังเขาปิดชุดวรรณกรรมกันไปเรียบร้อยแล้ว ก็คงหนีไม่พ้นด้านของนักแสดง ที่ไม่ว่าจะเป็น คริสเต็น สจ๊วต, โรเบิร์ต แพททินสัน และ เทย์เลอร์ เลาท์เนอร์ ที่ดูยังไงก็ยังเหมือนกันกับคนดูกำลังดู ทไวไลท์ ภาค 1 ที่เหล่านักแสดงยังเป็นหน้าใหม่ และเล่นค่อนข้างแข็งกันอยู่ แถมการที่หนังใช้เวลาการเล่าเรื่องในช่วงแรกมากพอสมควร พร้อมทั้งตัวละคร เบลล่า ยังเป็นผู้หญิงที่น่ารำคาญอยู่ ก็อาจจะยังเป็นบางเหตุผลที่ทำให้คุณผู้ชายบางคนยังค่อนข้างไม่ชอบ ทไวไลท์ ในภาคนี้กันอยู่

แต่สำหรับตัวผมแล้ว ส่วนตัวผมกลับค่อนข้างพอใจ และเป็นตัวหนังที่พอดูสนุกกว่าที่คิด ด้วยการที่ตัวเรื่องไปในแนวทางของหนัง แอ็คชั่น ปน ตลกร้าย จึงได้ว่า Twilight ภาคนี้เป็นภาคที่ค่อนข้างลงตัวต่อจาก ภาค 1 เลยก็ว่าได้ โดยถ้าหากมีอะไรที่ยังคงไม่ทำให้คุณผู้อ่านถูกใจก็เห็นจะมีแต่การแสดงเนี่ยแหละนะครับ

เรื่องนี้ผมให้ 7/10 ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4799 เมื่อ: 07/11/13, [01:39:38] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

ตีสาม

ในขณะที่เทรนด์ของการสร้างภาพยนตร์ทุกวันนี้คือ ภาพยนตร์ 3 มิติ การที่มีผู้สร้างคนไทย สร้างหนัง 3 มิติ ขึ้นมาจึงเป็นอะไรที่น่าสนับสนุน ทั้งนี้ต้องมาพร้อมกับเนื้อหาที่ดีพอ และการเล่าเรื่องที่ใช้ได้ แน่นอน! ว่างานภาพ 3 มิติ ก็ต้องไม่ให้ขี้เหร่จนเกินไป?ไฟว์สตาร์ ที่มีประสบการณ์กับหนัง 3 มิติ มาแล้ว กับเรื่อง 407 เที่ยวบินผี ก็น่าจะพอคาดหวังได้ว่าผลงานเรื่องใหม่ในชื่อ ตีสาม 3D จะทำได้ดีกว่าผลงานก่อนหน้านี้

ตีสาม 3D เป็นงาน 3 มิติ ที่แบ่งย่อยเป็นหนัง 3 เรื่อง จาก 3 ผู้กำกับ ที่แยกจากกันอย่างเอกเทศ จะมีสิ่งหนึ่งที่เชื่อมเรื่องทั้งสามเข้าด้วยกัน ก็คงจะเป็นแนวคิดเรื่อง ช่วงเวลาตีสาม ที่ว่ากันว่าเป็นช่วงเวลาที่วิญญาณคนตายจะปรากฎตัวให้เห็นได้อย่างชัดเจน และเป็นช่วงเวลามี่คนที่มีชีวิตอยู่สามารถสัมผัสได้ถึงการคงอยู่ของวิญญาณ นั้นๆ แค่เพียงไตเติ้ลเปิดเรื่อง! กับการร้อยเรียงเรื่องราวต่างๆ บอกเล่าด้วยภาพและเสียง ที่โชว์ให้เห็นถึงความสามารถในการทำหนัง 3 มิติ และงานเทคนิคพิเศษได้อย่างเต็มที่ ซึ่งส่วนตัวค่อนข้างชื่นชอบเป็นพิเศษ เพราะมันสื่อถึงสารบางอย่างที่บอกอยู่ในหนัง ให้ผู้ชมทำความเข้าใจกับหนังได้คร่าวๆ ตั้งแต่ต้น

หลังจากไตเติ้ล หนังก็ไม่รีรออ้อยอิ่ง เริ่มต้นความหลอนทะลุจอด้วย เกศสยอง! ซึ่งกำกับโดย พัชนนท์ ธรรมจิรา เป็นเรื่องราวของ ร้านทำวิกผม ของสองพี่น้อง มิ้นท์ (สายป่าน อภิญญา) และ เมย์ (โฟกัส จีระกุล) ที่ไม่ค่อยจะลงรอยกันสักเท่าไหร่ ในคืนหนึ่ง เมย์ ได้รับซื้อเส้นผมมาโดยไม่รู้ว่าเส้นผมนั้นได้มาจากศพ! ในค่ำคืนอันรื่นเริงที่ มิ้นท์ พาเพื่อนมาสนุกต่อที่บ้านหลังจากไปเที่ยวกันมาทั้งคืน ซึ่งเพื่อนก็ได้นำวิกผมนั้นมาเล่น ซึ่งหารู้ไม่ว่าอันตรายได้เข้ามาเยือน!

ถ้าจะมีสิ่งใดที่สามารถบอกได้ว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของเรื่อง เกศสยอง ก็คงต้องบอกว่า เป็นการแสดงของนักแสดงนำหญิงทั้งสอง ที่รับส่งบทแรงๆ ได้ดี ทั้งสายป่านและโฟกัสมีเคมีที่เข้ากันอย่างดี และช่วยให้เราติดตามเรื่องราวของผีเส้นผมจอมอาฆาต ที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุของการเสียชีวิตของเธอและไม่รู้ว่าทำไมต้องทำร้ายคน อื่นสาหัสขนาดนั้น ตัวบทขาดการให้รายละเอียดในส่วนนี้ที่จะช่วยรองรับการกระทำของวิญญาณ สถานการณ์ในเรื่องก็ดูจะผลักดันไปสู่ตอนจบตามที่คาด ไม่มีอะไรหักมุมหรือเกินความคาดหมายของผู้ชมเท่าใดนัก และก็จบเรื่องไปแบบค้างๆ คาๆ

เรื่องที่ 2 เรือนหอคนตาย! กำกับโดย กิรติ นาคอินทนนท์ ที่หลายคนอาจเคยตาจากผลงาน รักสุดท้าย ป้ายหน้า เป็นเรื่องราวของ ทศ (โทนี่ รากแก่น) บุรุษพยายามหนุ่มที่รับจ็อบพิเศษ มาดูแลคู่รัก เชอร์รี่ (เกรซ กาญจน์เกล้า) และ ไมค์ (ปีเตอร์ ไนท์) ที่เสียชีวิตก่อนที่ทั้งสองจะแต่งงานกันเพียงไม่นาน แต่แล้วทศกลับตกหลุมรักร่างที่ไร้วิญญาณของเชอร์รี่ และยิ่งทราบว่าก่อนที่คู่รักคู่นี้จะเสียชีวิตนั้นมีเบื้องหลังอะไรซ่อนอยู่ ทำให้ทศตัดสินใจกระทำการที่หมิ่นเหม่ต่อศีลธรรมและเกินวิสัยคนทั่วไปจะเข้า ใจ แต่ว่าทศหารู้ไม่ว่าเบื้องหลังที่เขาได้รับรู้นั้น แท้จริงแล้วมีเบื้องหลังยิ่งกว่าซ่อนอยู่?

เรือนหอคนตาย จัดเป็นตอนที่ลึกลับและแปลกประหลาด ด้วยฉากเสพสังวาศระหว่างมนุษย์และศากซพ โทนี่ แสดงสีหน้าสีตาบอกความลุ่มหลงในความงามของร่างไร้วิญญาณได้ดี เข้าใจว่าความลุ่มหลงเมื่อรวมกับตัณหาจึงนำมาซึ่งพฤติการณ์ที่มิอาจรับ ไม่แปลกที่บทสรุปจะดุไม่สวย การถ่ายภาพของ เกรซ กาญจน์เกล้า ในชุดเจ้าสาว ดูดีมาก ขับเน้นถึงความสวยงามหมดจด แม้จะเสียชีวิตไปแล้ว และเช่นเดียวกับเรื่องที่แล้ว ที่หนังไม่บ่งบอกชัดเจนว่าตัวของ เชอร์รี่ ในขณะมีชีวิตอยู่เป็นอะไรกันแน่ นอกจากเดาได้ว่าเธอมีอาการทางจิตที่พัฒนามาจากโรคซึมเศร้า แต่ท้ายที่สุดผมกลับลงความเห็นว่า บุคคลที่น่ากลัวที่สุดและถ่ายทอดการแสดงได้ดีที่สุดในตอนนี้ คือ นางพยาบาลสาวใหญ่ที่เป็นผู้พาทศมาทำงานที่เรือนหอแห่งนี้ ที่แค่เพียงอยู่นิ่งๆ ก็รู้สึกถึงความน่ากลัวและไม่น่าไว้ใจได้อย่างชัดเจน

ตอนสุดท้ายกับเรื่อง O.T. ซึ่งกำกับโดย อิสรา นาดี ผู้กำกับจาก 407 เที่ยวบินผี เล่าเรื่องราวของพนักงานออฟฟิศของแห่บริษัทหนึ่ง ไม่แปลกหากวงจรของพนักงานออฟฟิศจะมีการทำงานล่วงเวลาหากงานไม่เสร็จหรือเร่ง ด่วนจริงๆ แต่หากอยู่โอเพื่อที่จะรับเงินเพิ่มเติมนั้น คงไม่มีเจ้าของกิจการใดชอบเป็นแน่ เช่นเดียวกับ การัน (ชาคริต แย้มนาม) และ ที (เรย์ แมคโดนัลด์) คู่หูเจ้าของบริษัทที่รู้ไต๋ของลูกน้องดี เลยลงมือกลั่นแกล้งลูกน้องที่ชอบอยู่โอให้ไม่กล้าอยู่โอกันอีก โดยเฉพาะกับลูกน้อง บั้ม (ซัน ประชากร) และ งิ้ง (เตยหอม กันยรินทร์) ที่โดนหนักหน่อย!! แต่แล้ว การัน และ ที ก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล เมื่อเริ่มมีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้น!!

นี่นับเป็นตอนที่ดีที่สุดของทั้งหมด ที่ทั้งสนุก ตลก น่ากลัว หลอน และคาดเดาไม่ได้ในเวลาเดียวกัน กับการกลั่นแกล้งตัวละครในเรื่องที่สลับซับซ้อน ที่ทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองถูกโดนหลอกอยู่เหมือนกัน แต่การใช้ลูกเล่นพร่ำเพรื่อทำให้เริ่มจะจับทางได้ และนำไปสู่บทสรุปที่ไม่ยากเกินคาดการณ์ การนำเสนอของ O.T. อาจทำให้ผู้ชมนึกถึงหนังไทยแนวเดียวบางเรื่องขึ้นมา แต่กระนั้นความดีความชอบในตัวของมันก็มีมากเกินกว่าจะทำไปเปรียบเทียบให้มัว หมอง นักแสดงทุกคนในตอนนี้ต่างเล่นได้เป็นธรรมชาติดีเหลือเกิน ทั้งนี้ต้องชื่นชมผู้ตัดต่อที่วางจังหวะต่างๆ ทั้งภาพและเสียงได้อย่างลงตัว ซึ่งช่วยให้การติดตามเรื่องราวเป็นไปด้วยความเพลิดเพลินตั้งแต่ต้นไปจนจบ และถือเป็นตอนจบของ ตีสาม 3D ที่ดูดีใช้ได้เลยทีเดียว!

งาน 3 มิติ ของ ตีสาม 3D โดยส่วนตัวผมค่อนข้างพอใจ มีฉากโชว์งาน 3 มิติ แบบชัดๆ อยู่หลากหลายฉาก ที่มองเห็นถึงความตั้งใจที่จะทำออกมา แต่น่าเสียดายในส่วนของบทที่ยังต้องปรับปรุงในส่วนของการสอดรับระหว่างเหตุ และผลที่สร้างข้อกังขาขณะชม ทำให้เสียอรรถรสไปพอสมควร อย่างไรก็ตามในภาพรวมของ ตีสาม 3D ก็ถือเป็นหนังไทย 3 มิติ ที่ทำออกมาได้ไม่น้อยหน้าใคร และนับเป็นหลักชัยหนึ่งของงาน 3 มิติ ในอนาคตของค่ายไฟว์สตาร์!

6.5/10
หน้า: 1 ... 158 159 160 161 162 ... 201   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: