The Hobbit: An Unexpected Journey เดอะฮอบบิทการผจญภัยสุดคาดคิด
ถือว่าเป็นมุกหากินที่กำลังฮิตในช่วงนี้ที่ฮอลลีวู้ด กับการเรียงหน้าเอาหนังภาคก่อน นำมาสร้างเพื่อเรียกเงินจากแฟนๆ ไล่มาตั้งแต่ Prometheus ภาคก่อนของ เอเลี่ยน , X-Men : First Class ภาคก่อนของ X-Men และล่าสุดก็คือ The Hobbit ภาคก่อนสงครามแหวนใน The Lord of the Rings สุดยิ่งใหญ่นั่นเอง
The Hobbit เป็นหนังภาคต้นก่อนการกำเนิดสงครามอันยิ่งใหญ่ใน The Lord of the Rings ที่แน่นอนว่าผู้กำกับก็คงจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก ปีเตอร์ แจ็คสัน ผู้กำกับคนเดียวกับ The Lord of the Rings ทั้ง 3 ภาคนั้นเอง โดย The Hobbit ก็ยังคงเป็นหนังที่ดัดแปลงมาจากนิยายในชื่อเดียวกันของ เจ อาร์ อาร์ โทลเคี่ยน ที่ ปีเตอร์ แจ็คสัน ตัดสินใจแยกหนัง The Hobbit ออกเป็น 3 ภาค (ทั้งที่หนังสือมีอยู่เพียงเล่มเดียว) โดยในภาคแรกที่เราจะได้ดูกันนั้นชื่อ A Unexpected Journey ซึ่งก่อนอื่นผมก็ต้องขอบอกก่อนเลยว่า โดยส่วนตัวผมนั่นค่อนข้างเป็นคนที่ชอบ The Lord of the Rings มากพอสมควร เพราะถือว่าเป็นหนังในความทรงจำดีๆของผมเรื่องนึงเลยก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกถ้าหากผมจะรู้สึกตื่นเต้นกับ The Hobbit พร้อมด้วยระบบฉาย HFR 3D สุดคมชัด
แต่ก็น่าเสียดาย เมื่อรอบสื่อที่ผมได้ดูนั่นกลับกลายเป็นระบบฉาย 3D แบบเก่าแทน แต่กระนั้นแล้วก็ไม่เป็นไร เพราะหลังจากผมได้ชม The Hobbit ในรูปแบบ 3D ถึงแม้ว่ามันอาจจะไม่ได้เพิ่มประสบการณ์ใหม่ๆ หรือ ตื่นตา อะไรมากมาย แต่ในฉากการถ่ายทำวิวทิวทัศน์ และ ฉากต่อสู้ที่ใช้ คอมพิวเตอร์ กราฟฟิคหนักๆ ระบบ 3D สามารถทำหน้าที่ให้ฉากเหล่านั้นแลดูสมจริง และ มีมิติ ได้ดีในระดับนึง เช่นเดียวกับวิธีการกำกับหนังชุดนี้ของ ปีเตอร์ แจ็คสัน ที่เราทุกคนน่าจะมีความรู้สึกได้ว่า ตัวเรื่อง The Hobbit อาจจะเล่าเรื่องแบบอืดๆ เอื่อยๆ และขาดเสน่ห์ความหลงใหลแบบ The Lord of the Rings มากพอสมควรเลยก็ว่าได้ครับ
แต่กระนั้นแล้ว ผู้กำกับ ปีเตอร์ แจ็คสัน ก็คล้ายกับว่ามีมนต์สะกดอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เรารู้สึกสนุกไปกับการเดินทางของเหล่า คนแคระ ตลอดเวลา 164 นาที ได้อย่างไม่น่าเบื่อ แถมยังหวนคืนสู่โลกแห่ง มิดเดิ้ลเอิร์ท ได้อย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะใครที่เคยเป็นแฟนของ The Lord of the Rings มาก่อน คุณน่าจะมองข้ามข้อเสียต่างๆใน The Hobbit และมัวตื่นตาไปกับมนต์สะกดของ ผู้กำกับ ไปได้ไม่ยาก
โดยตัวละครที่ตัวหนังพยายามให้เด่น และ เสริมสร้าง มิติ ตัวหนังก็ยังสามารถสื่อสารกับคนดูได้อย่างสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นการตั้งตนให้ตัวละคร บิลโบ้ แบ๊กกินส์ เป็นคนที่วันๆมัวแต่อยู่ในบ้าน กินนอนคนเดียว สังคมมีแต่เขาคนเดียว ไม่เคยสนใจผู้ใด จนกระทั่งวันนึงเขาต้องมาร่วมเดินทางผจญภัยกับคนหมู่มาก ที่สอนให้เขาได้รู้วิธีการอยู่ร่วมกัน การอยู่รวมในสังคม ว่าต้องเสียสละความสุขส่วนตัวเสียบ้าง ผสมผสานไปกับฉากแอ็คชั่น ผจญภัย ที่อาจจะมีเสน่ห์ไม่ท่วมเท่า The Lord of the Rings แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ในภาค An Unexpected Journey ก็ทำให้เรานึกถึงภาค The Fellowship of the Ring
เพราะฉะนั้นโดยสรุปแล้ว The Hobbit อาจจะไม่ใช่หนังผจญภัยภาคต้น ที่ทำออกมาได้ดีเท่า The Lord of the Rings แต่กระนั้นแล้วในด้านฉากผจญภัย การเดินทาง และ บทเรียน ในการเดินทางครั้งนี้ ก็ยังเหมือนกับว่ามีมนต์สะกดจาก ผู้กำกับ และ ตัวละคร ที่ทำให้พวกเราชาวมิดเดิ้ลเอิร์ท ยังหลงใหลและสนุกอยู่
Life of Pi สร้างขึ้นจากหนังสือขายดีแนวผจญภัยแนวแฟนตาซีของ ยาน มาร์เทล ถ่ายทอดเรื่องราวของเด็กหนุ่มชาวอินเดีย ชื่อ พาย พาเทล ที่มีชีวิตรอดจากเหตุการณ์เรือล่ม โดยใช้ชีวิตอยู่ในเรือชูชีพเป็นเวลา 227 วัน กับบรรดาสิงสาราสัตว์นานาชนิด รวมถึงเสือเบงกอลตัวมหึมา พายต้องใช้ชีวิตเพียงลำพังกับเจ้าสัตว์ร้ายนี้โดยใช้ความรู้ ไหวพริบ และศรัทธาทั้งหมดเพื่อให้มีชีวิตรอดอยู่บนเรือนี้ ภาพยนตร์ Life of Pi มีการพัฒนาเทคนิคสำหรับการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ด้วยรูปแบบภาพ 3 มิติ เปิดประสบการณ์ที่มีมนต์เสน่ห์น่าหลงใหล สร้างแรงบันดาลใจได้อย่างน่าประทับใจและพาผู้ชมไปด้วยในเวลาเดียวกันเลยทีเดียวหละ
Life of Pi กำกับการแสดงโดย อังลี ซึ่งบางคน ก็อาจจะรู้จักผู้กำกับคนนี้มาจาก หนังเกย์หลังเขา ใน Brokeback Moutain หรืออีกหลายคนก็อาจจะรู้จักมาจาก ยักษ์เขียวจอมพลังใน Hulk แต่ไม่ว่าคุณจะรู้จักผู้กำกับคนนี้มาจากหนังเรื่องใด ก็มีสิ่งนึงที่ผมเชื่อว่า คนดูน่าจะสัมผัสได้ในหนังของผู้กำกับคนนี้ทุกเรื่อง นั่นคือ ความทะเยอะทะยาน ที่เขาพยายามใส่เข้าไปในหนังให้มันกลมกล่อมเข้าที่แทบทุกเรื่อง โดยเฉพาะใน Hulk และ Crouching Tiger, Hidden Dragon ที่ผลลัพธุ์ของมันก็ทำให้หนังทั้ง 2 เรื่อง ได้รับคำชมในสไตล์ที่ต่างกัน และในผลงานใหม่อย่าง Life of Pi ก็ถือว่าได้เป็นอีกเรื่องนึงที่ค่อนข้างเหมือนหนังที่ผมยกตัวอย่างเอาไว้ข้างต้น เพราะสิ่งนึงที่ผมต้องขอบอกเลยว่าเป็นข้อเสียเปรียบของตัวผู้กำกับ อังลี อย่างมาก คงหนีไม่พ้นการที่ตัวหนังสือ พูดถึงแต่ศาสนาคริสต์
แต่ว่าตัวของผู้กำกับ อังลี กลับเป็นคนเอเชีย ที่ต้องทำการบ้านมาอย่างดี และ เปรียบเสมือนต้องทำให้ Life of Pi กลายเป็นหนังที่อาจจะค่อนข้างคล้ายโฆษณาชวนเชื่อให้ศรัทธาในศาสนาคริสต์มากพอสมควร โดยผลลัพธุ์ดังกล่าวจากการทำการบ้านสุดหินของผู้กำกับ อังลี ก็คงหนีไม่พ้นการสร้างให้ Life of Pi กลายเป็นอีกหนึ่งหนังขั้น มาสเตอร์พีช จากตัวผู้กำกับที่ควรมีไว้ประดับบ้านอีกเรื่อง เพราะสิ่งที่แลดูจะโดดเด่นมากที่สุดใน Life of Pi ก็คงจะหนีไม่พ้นการที่ตัวหนังพูดเรื่อง ความเชื่อ ศาสนา และ ชีวิต ที่หนังเต็มไปด้วย ปรัชญาคมคาย มากมาย แต่ตัวหนัง Life of Pi จะแตกต่างกับหนังเรื่องอื่นๆตรงที่ว่า หนังจะไม่ได้ให้เชื่อตาม ปรัญชาคมคาย ทั้งหลาย ที่ตัวหนังใส่เข้ามาสักเท่าไหร่นัก แต่ตัวหนังจะเปรียบเสมือนให้คนดู 'เลือกที่จะเชื่อ' เสียมากกว่า ว่าปรัญชาข้อไหน สิ่งไหน เป็นสิ่งที่คนดูได้ฟังแล้วรู้สึกว่ามันน่าเชื่อถือ มันน่าศรัทธา ซึ่งทั้งหมดก็วนๆเวียนๆเข้าไปกับเหล่าตัวละครอย่าง พาย พาเทล ที่เลือกที่จะศรัทธาในทุกสิ่งที่เขาพบ จนกระทั่งเหตุการณ์เรือล่มที่สอนให้เขารู้จักอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น ซึ่งอีกด้านนึงที่ขาดไม่ได้เลย ที่จะทำให้การเดินของ พาย แลดูน่าสนใจ และ น่าตื่นตา คงหนีไม่พ้นด้านของระบบ 3D ที่สามารถทำออกมาได้อย่างเต็มรูปแบบ เต็มไปด้วยฉากน่าตื่นตา ประหลาดใจ ด้วย เทคนิคด้านภาพ ที่เมื่อผสมผสานกับระบบ 3D จึงทำให้เกิดประสบการณ์การดูหนังที่คุ้มค่าตั๋วมากที่สุด โดยเฉพาะลูกเล่นการ บีบ ขยาย เฟรมหนัง ที่เป็นอีกหนึ่งลูกเล่นที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก
ที่พากันพาบุตรหลานเข้าไปดูหนังเรื่องนี้ เพราะคิดว่าเป็นหนังสวนสัตว์ๆสนุกๆ ก็ขอแนะนำว่าอย่าดีกว่าครับ เพราะนอกจากเด็กจะไม่เข้าใจตัวเรื่องและ อาจจะยังพาหลับให้เสียค่าตั๋วฟรีๆกันก็เป็นได้ แต่ถ้าหากใครที่ไม่เข้าข่ายกับข้อที่กล่าวมา Life of Pi จะเป็นหนังแนวดราม่า แฟนตาซี ชั้นเยี่ยมเรื่องนึงเลยทีเดียวครับ