Aqua.c1ub.net
*
  Sat 02/Aug/2025
หน้า: 1 ... 144 145 146 147 148 ... 201   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: มาเล่นเกมทายภาพจากภาพยนตร์เรื่องดังกัน  (อ่าน 757920 ครั้ง)
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4350 เมื่อ: 14/10/13, [22:58:21] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

beautiful creatures รึเปล่าครับ ไม่มั่นใจ

ผิดวอ  ้hahaha
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4351 เมื่อ: 14/10/13, [23:11:27] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ




เรื่องอะไรครับ ?

THE EXPATRIATE ฆ่าข้ามโลก
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4352 เมื่อ: 14/10/13, [23:50:59] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ




เรื่องอะไรครับ ?
The Mortal Instruments : City Of Bones  นักรบครึ่งเทวดา ให้ 7.5/10 ครับ(ตอนหลังมั่วไปหมดไม่รู้ใครเป็นลูกใคร)
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4353 เมื่อ: 15/10/13, [00:16:19] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

แซมมี่ 2 ต.เต่าซ่าส์ไม่มีเบรค

ท่ามกลางหนังฟอร์มใหญ่ทั้งหนังไทยและต่างประเทศที่เข้าฉายในไทยในขณะนี้ ก็มีหนังอนิเมชั่นแอบเข้าฉาย ซึ่งอาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจของผู้ชมที่อยากดูอนิเมชั่นเนื้อหาเบาสลาย กับเรื่อง Sammy 2 เรื่องราวการผจญภัยของเต่าทะเล ที่หากมันออกมาก่อนหน้านี้สัก 5 – 6 ปี มันจะเป็นงานที่มีความน่าสนใจมากกว่าที่เป็นอยู่

แต่ในเมื่อมันถูกสร้างออกมาใน พ.ศ. นี้ มันเลยเป็นงานอนิเมชั่นธรรมดา ที่มีเนื้อเรื่องเบาๆ ให้จับต้อง และสามารถมอบความเพลิดเพลินได้พอสมควร แต่ระดับของอนิเมชั่นจากประเทศเบลเยี่ยมเรื่องนี้ ก็ยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าสตูดิโอในฮอลลีวู๊ดหรือแม้แต่อนิเมชั่นของไทยก็ ดูจะก้าวล้ำกว่าไปแล้วในภาพรวม แต่กระนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า Sammy 2 จะเป็นงานอนิเมชั่นที่ใช้ไม่ได้แต่อย่างใด เพราะมันก็มีอะไรบางอย่างที่น่าจะสามารถส่งผ่านไปให้กับกลุ่มเด็กที่เป็นก ลุ่มเป้าหมายหลักของอนิเมชั่นเรื่องนี้!

Sammy 2 เป็นเรื่องของการออกผจญภัยอีกครั้งของ 2 เต่าเพื่อนซี้ แซมมี่ (ให้เสียงโดย บิลลี่ อังเกอร์) และ เรย์ (คาร์ลอส แม็คคัลเลอร์ส ที่ 2) ที่ถูกจับชาวประมงจับไปขายในพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำใต้ทะเลอันสุดอลังการในดูไบ ซึ่งที่นี่เขาต้องเผชิญหน้ากับ บิ๊กดี ม้าน้ำขาใหญ่ของที่นี่ ที่คิดจะหาทางหลบหนีออกจากที่แห่งนี้ ในขณะที่อีกฝาก ริคกี้ และ เอลล่า ก็กำลังเดินทางไปช่วย แซมมี่ และ เรย์ ออกมา

เบน สเตสเซ่น ผู้กำกับชาวเบลเยี่ยมที่ยังกลับมารับหน้าที่เดิมเป็นครั้งที่สอง ซึ่งครั้งนี้ร่วมด้วยผู้กำกับหน้าใหม่ วินเซนท์ เคสเตล็อต ที่ครั้งนี้มาในพล็อตเรื่องที่ใหญ่มากขึ้น ที่มาพร้อมกับมุมมองการนำเสนอที่โดดเด่น แม้งานอนิเมชั่นจะไม่ได้ละเอียดนักแต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ภาพสัตว์น้ำและธรรมชาติใต้ท้องทะเลทำออกมาได้สวยสดงดงาม การเคลื่อนไหวของตัวละครทำออกมาได้ดี อีกทั้งการจำลองพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำใต้ทะเลสวยงามอลังการ จนอยากมีโอกาสไปสัมผัสสักครั้ง

ในฉากพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำถือเป็นส่วนที่มีเรื่องราวมากที่สุด และมันแฝงอะไรหลายๆ อย่างที่น่าสนใจ ตัวละครม้าน้ำ บิ๊กดี เป็นขั้วตรงข้ามของแซมมี่และเรย์ เป็นตัวสะท้อนทัศนคติในการดำรงชีวิตรูปแบบหนึ่งที่พอใจกับกรอบที่ตัวเอง รู้สึกปลอดภัย จนลืมไปว่าอิสรภาพที่แท้จริงคืออะไร ในขณะที่แซมมี่และเรย์พยายามทุกทางที่จะหาหนทางรอดและปลดปล่อยสัตว์น้ำทุก ตัวให้ได้รับอิสรภาพ เพราะพวกเขาเชื่อว่าการอยู่ในกรอบไม่ใช่หนทางของการมีชีวิตที่แท้! แม้ว่าโลกภายนอกต่างหากที่ใช่แม้จะเต็มไปด้วยอันตรายก็ตาม!

ในอีกมุมหนึ่งพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำก็ยังสะท้อนความน่ารังเกียจของมนุษย์ ที่ตัวเองมักจะบอกว่าเราต้องการอิสระในขณะที่เรายังสนุกกับการจับสิ่งมีชีวิ ตอื่่นๆ มากักขังเพื่อปรนเปรอตนเอง จนอาจลืมไปว่า สิ่งมีชีวิตทุกชนิดไม่ได้เกิดมาเพื่อถูกกักขัง!

หนังเต็มไปด้วยบทสนทนาที่ยือยาวจนเกือบจะหลับ แต่มาแก้ตัวด้วยเสน่ห์ของตัวละคร (โดยเฉพาะ ลูลู่ (โจ โทมัส) กุ้งล็อบสเตอร์สุดเพี้ยน ที่เป็นตัวขโมยซีนชั้นดี) และฉากการรวมพลังสามัคคีหาทางรอดของเหล่าสัตว์น้ำที่ทำออกมาได้ดูสนุกตื่น เต้นและลุ้นเอาใจช่วยให้พวกเขาหนีรอดออกมาให้ได้

Sammy 2 จัดเป็นงานอนิเมชั่นเบาๆ ดูเพลินๆ ที่แม้ในภาพรวมไม่ใช่งานชั้นดีแต่อย่างไร แต่มันก็เพียงพอที่จะสร้างความบันเทิงให้กับครอบครัว และส่งมอบความคิดดีๆ ให้แก่เด็กได้ซึมซับความรักสัตว์และธรรมชาติ

5/10
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4354 เมื่อ: 15/10/13, [00:18:39] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ




เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

the croods เดอะครู้ดส์ มนุษย์ถ้ําผจญภัย

The Croods อนิเมชั่นเรื่องล่าสุดของ DreamWorks Animation นับเป็นงานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่นในสายสัมพันธ์ของครอบครัว และความหมายของการเรียนรู้สิ่งใหม่ในชีวิต แม้หน้าตาตัวละครจะทำออกมาได้ไม่น่ารัก (เหมือนอนิเมชั่นทั่วไปที่จะสร้างความประทับใจแรกด้วยตัวละคร) แต่เมื่อติดตามเรื่องราวของตระกูลครู๊ดส์มากขึ้น เรากลับหลงรักครอบครัวนี้ ซึ่งจะว่าไปมันก็มีความทับซ้อนอยู่กับครอบครัวของผู้ชมแต่ละคนด้วยเช่น ในเรื่องของพฤติกรรมการปกป้องของผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว ที่ต้องรับมือกับเด็กรุ่นใหม่ที่มีความอยากรู้อยากเห็น

แน่นอนว่ากลุ่มผู้ชมของ The Croods คงเป็นกลุ่มผู้ชมแบบครอบครัว แต่กระนั้นสาระของหนังที่แฝงไว้กลับมีคุณค่ามากพอที่ไม่ว่าใครก็ควรได้รับชม กับเรื่องราวในยุคหินเมื่อ กรั๊ก (นิโคลัส เคจ) เป็นผู้นำครู๊ดส์ที่รู้ว่าไม่มีที่ใดปลอดภัยอีกแล้วนอกจากถ้ำที่พวกเขาอยู่ และเกือบทุกคนทั้ง แม่ ลูกชายคนกลาง ลูกสาวคนเล็ก ยาย ทุกคนล้วนเชื่อฟังความหวังดีของกรั๊ก แต่กลับ อิ๊บ (เอ็มม่า สโตน) ลูกสาวคนโต เธอกำลังอยู่ในวัยอยากรู้อยากเห็นโลกภายนอก และด้วยเหตุนี้ทำให้เธอได้พบกับ กาย (ไรอัน เรย์โนลด์ส) บุคคลปริศนาที่มีความรู้เหนือกว่าครู๊ดส์ทุกคน ที่มาพร้อมกับข่าวร้ายว่าโลกกำลังจะถึงกาลอวสาน และหนทางเดียวที่จะอยู่รอดก็คือ การออกเดินทางเพื่อเผชิญโลกภายนอกที่ตระกูลครู๊ดส์ไม่คุ้นเคย!

อนิเมชั่นในเรื่องนี้นับว่าเป็นการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นของ DreamWorks Animation ในการนำเสนอฉากเปิดการล่าอาหารของตระกูลครู๊ดส์ที่ให้อารมณ์ความรู้สึกไม่ ต่างจากการชมกีฬาเลย ทั้งมุมกล้อง การเคลื่อนภาพ การตัดต่อ มันคือการนำเสนอแนวสปอร์ต ซึ่งทิศทางการนำเสนอแบบนี้เราคงต้องติดตามต่อไปกับ Turbo หายทากซิ่งสายฟ้าที่มีฉากประลองความเร็ว ว่าจะนำเสนอออกมาได้ดีแค่ไหน เพราะมันจะช่วยตอกย้ำความเป็นไปได้ที่ว่าในอนาคตทาง DreamWorks Animation จะมีอนิเมชั่นที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับกีฬาแบบจริงๆ จังๆ

หนังมาด้วยประเด็นหนักแน่นในเรื่อง กับกรั๊กผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวที่ต้องปกป้องและเชื่อว่าการอยู่กับสิ่ง เดิมๆ ที่คุ้นเคยคือการป้องกันตัวจากภัยรอบด้านที่ดีที่สุด ในขณะที่กายแสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้และการปรับตัวต่างหากคือหนทางแห่งการ อยู่รอดที่แท้จริง จะว่าไปทั้งกรั๊กและกายก็เป็นคนประเภทเดียวกันเพียงแต่ต่างกันที่ทัศนะคติ และแนวคิดเพียงเท่านั้น แต่แนวคิดที่อันตรายที่สุดก็คือ แนวคิดของอิ๊บ ที่มีเพียงความอยากรู้อยากเห็น ลุยไปข้างหน้าแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ทั้ง 3 เป็นตัวแทนของมุมมองของการเรียนรู้ ที่บอกไม่ได้ว่าสิ่งใดคือสิ่งที่ถูกต้องเพราะแต่ละแนวคิดก็เหมาะสมตามแต่ละ สถานการณ์

การผจญภัยของตระกูลครู๊ดส์และกาย นำเสนอออกมาได้อย่างสนุกสนานและเต็มไปด้วยมุขแอบแฝงที่คมคาย หนังแม่นมากในจังหวะการตัดต่อเรื่องที่ลงตัวและต่อเนื่อง แม้การออกแบบตัวละครจะดูธรรมดาและไม่ค่อยดึงดูดใจนัก แต่กับโลกมหัศจรรย์ในยุคหินนั้นสวยงามและเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ มีไม่กี่ครั้งที่เราจะรู้สึกว่าการออกเดินทางผจญภัยก็คือการเรียนรู้โลก เรียนรู้ชีวิต และรู้จักตัวเองมากขึ้น แต่กับงานอนิเมชั่นเรื่องนี้ทำให้รู้สึกเช่นนั้น

และเหนืออื่นใดและเป็นภาคบังคับที่หนังแนวครอบครัวต้องมี นำเสนอออกมาได้ดีและไม่ฟูมฟาย ซึ่งในที่นี้ก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างอิ๊บลูกสาวและกรั๊กผู้เป็นพ่อ ที่หนังปูประเด็นความขัดแย้งที่มีของทั้งสองมาต้น ระหว่างลูกสาวผู้รักอิสระกับผู้เป็นพ่อที่หวงลูกสาวที่ทำออกมาได้ดี ที่ในที่สุดลูกสาวก็รู้ว่าสิ่งที่พ่อทำไปทั้งหมดนั้นเพื่ออะไรและพ่อก็ เข้าใจความคิดของลูกสาวมากขึ้น

ทั้งหมดที่กล่าวมาเมื่อผสานกับงานภาพ 3 มิติ ที่สวยงามแล้ว ทำให้ The Croods เป็นอนิเมชั่นอีกเรื่องที่มอบทั้งความบันเทิงและความประทับใจ ที่นอกจากจะสร้างชื่อให้กับ เคิร์ก เดมิกโค้ ผู้เขียนบทที่ได้โอกาสลองมาจับงานกำกับในโปรเจ็คท์ที่ใหญ่ขึ้นและตอกย้ำความยอดเยี่ยมของ คริส แซนเดอร์ส ที่เคยสร้างชื่อมาจาก How to Train Your Dragon แล้ว มันยังเป็นงานอนิเมชั่นแนวครอบครัวชั้นดีอีกเรื่องที่่อาจทำให้เราลืมอนิเมชั่นครอบครัวยุคหินระดับตำนานอย่างฟลิ้นท์สโตนส์ (Flintstones) ไปเลยก็เป็นได้!

คนวิจารเรื่องนี้ให้ถึง 9.5/10
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16/10/13, [09:47:10] โดย จอมใจไร้รัก »
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4355 เมื่อ: 15/10/13, [00:19:27] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ




เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

the great gatsby รักเธอสุดที่รัก

เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ความรักทำให้โลกหมุน ซึ่งก็คงจะจริงส่วนหนึ่ง เพราะความรักถือเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ใครอยู่ในห้วงยามนี้จะสามารถทำสิ่งต่างๆ ได้เพื่อคนที่ตัวเองรัก แต่กระนั้นก็ยังมีเรื่องน่าเศร้า เพราะแม้เราจะเพียรทำทุกอย่างเพื่อฝ่ายตรงข้ามเพราะรัก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าฝ่ายตรงข้ามจะเข้าใจและรับรู้ถึงความรู้สึกนั้น… โลกนี้จึงเต็มไปด้วยคนที่ผิดหวังในความรักมากกว่าสมหวัง

บัซ เลอร์แมนน์ ผู้กำกับผู้โด่งดังจาก Romeo + Juliet (1996) และ Moulin Rouge! (2001) กลับมาอีกครั้งกับ The Great Gatsby ซึ่งสร้างมาจากนวนิยายชื่อเดียวกันของ เอฟ. สก็อตต์ ฟิตซ์เจอรัลด์ นักเขียนชาวอเมริกัน ที่ถูกสร้างมาเป็นภาพยนตร์แล้วหลายครั้ง

ซึ่งครั้งนี้มีความพิเศษคือ การนำเทคนิคภาพ 3 มิติ มาใช้ ซึ่ง เลอร์แมนน์ ก็เหมือนผู้กำกับชื่อดังหลายรายที่หันมาลองทำงาน 3 มิติกับเขาบ้าง หากพิจารณาหนัง 3 มิติ ที่ออกมา ส่วนมากมักจะเป็นหนังแอ็คชั่นโชว์ฉากซีจีอลังการ แต่กับ The Great Gatsby มันคือหนังแนวดราม่า! นี่จึงทำให้งาน 3 มิติในเรื่องนี้มีความน่าสนใจว่ามันเหมาะสมแค่ไหนกับหนังเรื่องนี้ ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมาหลังจากชมต้องถือเป็นความน่าพอใจ งานภาพ 3 มิติไปกันได้ดีกับฉากมากสีสันและเครื่องแต่งกายสีฉูดฉาดของยุคสมัยอัน ฟุ้งเฟ้อในอเมริกายุคทศวรรษที่ 20 และทำให้เข้าใจกับคำว่า หลงแสงสี มันเป็นอย่างไร

The Great Gatsby เล่าเรื่องราวชีวิตของ นิค คาร์ราเวย์ (โทบี้ แม็กไกวร์) ที่เดินทางมาสู่นิวยอร์กเพื่อไล่ตามความฝันแบบอเมริกันดรีม เขาพักอาศัยอยู่ใกล้กับคฤหาสน์มหาเศรษฐีลึกลับนาม เจย์ แกสบี้ (ลีโอนาร์โด ดิคาพริโอ้) ที่ไม่เปิดเผยตัวตน แต่มักจะจัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ให้ผู้คนมาฉลองกัน

นิค เป็นลูกพี่ลูกน้องกับ เดซี่ (แคร์รี่ มูลิแกน) ซึ่งเป็นภรรยาของทอม (โจแอล เอ็ดเกอร์ตัน) ชายตระกูลสูงผู้มั่งคั่ง นิคต้องรับรู้ว่าทอมนั้นนอกใจเดซี่ แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ และทอมยังทำให้เขาลุ่มหลงไปกับกิเลศ ตัณหา ราคะ จนวันหนึ่งเขาได้รับบัตรเชิญจากแกสบี้ให้ไปร่วมงานเลี้ยง ความสัมพันธ์ฉันมิตรของแกสบี้และนิคจึงเริ่มขึ้น และนั่นทำให้นิครู้เบื้องหลังของการจัดงานเลี้ยงอันยิ่งใหญ๋ของแกสบี้ ซึ่งมันเกี่ยวพันกับชะตาชีวิตหลายคนที่เขารู้จัก

The Great Gatsby ยังคงสไตล์การเล่าเรื่องในแบบ บัซ เลอร์แมนน์ ไว้ได้อย่างเหนียวแน่น โดดเด่นกับมุมมองการถ่ายภาพและการเคลื่อนกล้องอันเป็นเอกลักษณ์ ที่หวือหวามาในช่วงต้นที่เผยให้เห็นมุมมองของเมืองและสถานที่ต่างๆ ของนิวยอร์กในอดีตได้อย่างสวยงาม นอกจากนี้เลอร์แมนน์ยังคงเก่งกาจกับการทำฉากสังสรรค์ เต้นรำ ให้ออกมาดูสนุกตื่นเต้นจนอยากจะออกมาขยับแข้งขาเลยทีเดียว

หนังเต็มไปด้วยทีมนักแสดงคุณภาพที่ต่างมาประชันกันในเรื่องนี้ ซึ่งทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองได้ดี ที่ช่วยให้หนังดูสนุกและน่าติดตาม แต่ที่น่าจับตามองในเรื่อง นอกจาก ลีโอนาร์โด ดิคาพริโอ้ ที่โดดเด่นและทำให้ผู้ชมเอ็นดูและเห็นใจกับตัวละครซึ่งเป็นศูนย์กลางของเรื่องแล้ว คู่ปรับอย่าง โจแอล เอ็ดเกอร์ตัน ก็แสดงให้เห็นถึงพลังการแสดงที่ทัดเทียม ทำให้ฉากปะทะคารมของตัวละครทั้งสองเป็นอะไรที่สนุกสนาน

หนังเรื่องนี้มีอยู่หลายฉากที่เต็มไปด้วยบทสนทนาอันยาวเหยียดที่่ชวนให้ รู้สึกเบื่อได้ง่ายๆ แต่ว่าเอาเข้าจริงเรากลับไม่รู้สึกเช่นนั้น! ซึ่งต้องยกความดีส่วนหนึ่งให้กับ คราร์ก อาร์มสตรงค์ คอมโพเซอร์มือรางวัลออสการ์ ที่มาทำดนตรีประกอบให้เรื่องนี้จนมีเสน่ห์โดดเด่นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าฉากและ เครื่องแต่งกายเลย

แต่กระนั้นสิ่งที่ บัซ เลอร์แมนน์ ไม่สามารถทำได้เช่นเดียวกับ The Great Gatsby หลายเวอร์ชั่นที่ผ่านมานั้นก็คือ ไม่สามารถสะท้อนความโดดเด่นในฉบับนวนิยายออกมาได้ ปมเสียดสีสังคมอเมริกันที่เกิดขึ้นในยุคทศวรรษที่ 20 ที่เรียกกันว่า ยุคแจ๊ส ที่เศรษฐกิจอเมริกาเติบโตอย่างไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งสวนทางกับจิตใจและศีลธรรมที่ตกต่ำของคน เป็นยุคที่เต็มไปด้วยความฟุุ้งเฟ้อที่ผู้คนใช้ชีวิตแบบวัตถุนิยมแบบเต็มขั้น

แม้จะมีนิคที่เป็นตัวถ่ายทอดเรื่องราวในจุดนี้แต่ก็จับเพียงผิวเผินใน ช่วงต้นเท่านั้น เพราะพอตัวละครแกสบี้ปรากฎตัวหนังก็แปรเปลี่ยนเป็นหนังชีวิตความรักรันทดไป และไม่ได้แตะอะไรในจุดนี้อีก! ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเสียดายเพราะคุณค่าในเบื้องลึกของ The Great Gatsby ไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสุดทางในแบบที่ควรจะเป็น!

รวมไปถึง ความรัก อันเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนตัวละครในเรื่องนี้ บัซ เลอร์แมนน์ ไม่สามารถทำให้ผู้ชมรู้ถึงคุณค่าของ เดซี่ ที่ควรค่าแก่การแย่งชิงนอกจากรูปโฉมอันงดงามเท่านั้น เราอินไปกับการกระทำเพื่อรักอันน่าทึ่งแต่เรากลับตั้งคำถามว่าสิ่งที่ทำไป นั้นมันคุ้มค่าหรือไม่ หรือการไม่ได้ขับเน้นคุณค่าในตัวเดซี่เป็นความตั้งใจที่จะให้เราไม่รู้สึก ผูกพันกับตัวละครนี้มากนัก ทำให้เราเห็นอย่างชัดแจ้งในตอนท้ายว่า สิ่งที่ชายหนุ่มเพียรพยายามเพื่อให้ได้เธอคืนมานั้นมันช่างไร้สาระและเสีย เวลาเปล่า…

ใจคนยากแท้หยั่งถึง เราย่อมรู้ตัวเองว่าเรามีรักให้เขาหมดใจ แต่เราไม่อาจรู้หัวใจเขามีเราเต็มหัวใจหรือไม่ ความรักมันช่างซับซ้อนและยากเข้าใจ จวบจนลมหายใจสุดท้ายก็มิอาจได้คำตอบ

8/10
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15/10/13, [00:24:11] โดย จอมใจไร้รัก »
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4356 เมื่อ: 15/10/13, [00:20:14] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ




เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

The Expatriate ฆ่าข้ามโลก

แอรอน แอ็คฮาร์ท คือชื่อนักแสดงที่เริ่มคุ้นหูคุ้นตากับแฟนหนังทั่วไปหลังจากที่ได้รับบท ฮาร์วี่ย์ เดนท์ หรือ ทูเฟซ ใน The Dark Knight (2008) นอกจากจะมีความสามารถทางการแสดงเป็นพิเศษแล้ว เขายังมีบุคลิกของพระเอกแอ็คชั่น และกับ The Expatriate ก็ถือเป็นโอกาสให้เขาได้แสดงฝีมือทางด้านบู๊ ที่อีกองค์ประกอบด้านดราม่าระหว่างพ่อลูกเสริมให้เรื่องมีมิติมากขึ้น ซึ่งเขาก็สามารถทำหน้าที่ได้ดีทีเดียว!

The Expatriate เป็นชื่อหนังที่ใช้นอกอเมริกาซึ่งแต่เดิมมีชื่อว่า Erased โดยเป็นเรื่องราวของคุณพ่อ เบน โรแกน (แอรอน แอ็คฮาร์ท) อดีตเจ้าหน้าที่ซีไอเอ ที่พยายามลบเลือนอดีต ด้วยการอพยพมาอาศัยอยู่ที่ประเทศเบลเยี่ยมพร้อมกับเอมมี่ (ลีอาน่า ลิเบอราโต้) ลูกสาว และทำงานเป็นพนักงานบริษัท ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัย ทำหน้าที่ถอดรหัสระบบความปลอดภัย ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกไม่ค่อยลงรอยกันนัก

แต่แล้วในวันธรรมดาวันหนึ่งเมื่อเขาไปทำงานตามปกติ ปรากฎว่าบริษัทได้อันตรธานหายไป เขาพยายามสืบหาข้อเท็จจริง แต่ก็กลับถูกลบข้อมูลไปหมด ท่ามกลางความสงสัยเขาและลูกสาวได้ถูกกลุ่มคนตามล่าเอาชีวิต เช่นเดียวกับ เพื่อนซีไอเออย่าง แอนนา (โอลก้า คูรีย์เลนโก้) เขาไม่สามารถเชื่อใจใครได้ เขาจึงต้องหาทางออกเพื่อจบเรื่องบ้าๆ นี้ด้วยตัวเอง!

ว่าไปแล้วพล็อตเรื่องของ The Expatriate ก็เป็นพล็อตแนวแอ็คชั่นทั่วไป ที่ตัวละครผู้มีฝีมือเก่งกาจพยายามหลบหนีจากอดีต แต่แล้วอดีตก็มาตามล่าให้เขาต้องแก้ไข ซึ่ง แอแรช อเมล ผู้เขียนบท ซึ่งกำลังจะมีผลงานที่มาจากบทภาพยนตร์ของเขาที่ได้รับการจับตามองอย่างเรื่อง Grace of Monaco ก็ได้ใส่เรื่องราวระหว่างพ่อและลูกสาวลงไปที่ทำให้หนังมีอะไรให้จับต้องบ้าง

หนังได้ผู้กำกับหน้าใหม่อย่าง ฟิลิปป์ สโตลซ์ มาทำหน้าที่ ซึ่งการเล่าเรื่องในช่วงครึ่งชั่วโมงแรกยังทำได้ไม่ดีนัก ผู้กำกับสนุกกับการสร้างปริศนาและข้อสงสัยต่างๆ ให้เกิดขึ้นในใจผู้ชม ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ถูกต้องกับการทำหนังแนวแอ็คชั่นทริลเลอร์แบบนี้

ซึ่งปมสำคัญในเรื่องที่ใช้ทำประชาสัมพันธ์ในตัวอย่างหนังให้ชวนติดตาม ก็คือการที่พระเอกของเราถูกลบตัวตนออกไป ซึ่งตัวพระเอกต้องหาสาเหตุอันนำไปสู่การบู๊เพื่อทวงชีวิตคืนมา ซึ่งปมนี้ถือว่าเปิดออกมาได้น่าสนใจ ที่ทำให้อยากรู้ว่าศัตรูเป็นใครจึงมีศักยภาพที่สามารถทำได้ขนาดนี้ (แม้จะดูเกินจริงไปมากก็เถอะ)

ครึ่งหลังของหนังที่เป็นการเคลียร์ปมปัญหา และเป็นส่วนโชว์ฉากแอ็คชั่นก็นับว่าทำออกได้ดีทีเดียว แม้จะรู้สึกว่าหนังหาทางออกให้กับปัญหาได้ง่ายไปนิด แต่ก็พอจะทำให้เรารู้สึกลุ้นเอาใจช่วยได้พอสมควร ซึ่งใครเป็นคอหนังแอ็คชั่นน่าจะชอบใจกับการจัดการเหล่าร้ายในฉากสุดท้าย ที่จะว่าไปมันก็สะใจดีเหมือนกัน!

โอลก้า คูรีย์เลนโก้ ได้บทบาทที่เหมือนจะเด่นแต่ไม่เด่นซะงั้น! แถมสถานการณ์ยังพาให้เราลืมเลือนตัวละครนี้ได้อย่าง่ายดาย ออกจะน่าเสียดายที่ได้นักแสดงมีชื่อระดับนี้แต่บทไม่ได้เปิดช่องให้เธอแสดง ฝีมือมากนัก

การใส่เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูก ถือเป็นส่วนที่มาช่วยหนังในภาพรวมได้มากทีเดียว ซึ่งเคมีที่พอไปกันได้ระหว่าง แอรอน แอ็คฮาร์ท และ ลีอาน่า ลิเบอราโต้ ก็พอทำให้อินกับเรื่องราวพ่อลูกคู่นี้ ซึ่งในกรณ๊ของลีอาน่าเธอแสดงบทเด็กสาวที่ทั้งรักทั้งเคืองผู้เป็นพ่อได้น่า เอ็นดูและเธอมีเสน่ห์ขึ้นกล้องมากๆ

สุดท้าย The Expatriate จึงเป็นหนังแอ็คชั่นทริลเลอร์ที่ดูได้เพลินๆ เท่านั้น หากใช้มาตรฐานของหนังแอ็คชั่นที่พัฒนาไปไกลอย่างทุกวันนี้ ก็นับว่าหนังไม่ได้พาไปสู่ทิศทางใหม่ๆ แต่อย่างใด สิ่งที่น่าสนใจต่อจากนี้ก็คือ หนังแนวแอ็คชั่นเรื่องใหม่ของ แอรอน แอ็คฮาร์ท เพราะกับผลลัพธ์ที่ออกมา เฉพาะตัวเขาถือว่าผ่านสำหรับบทพระเอกแอ็คชั่น

4/10
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15/10/13, [00:25:27] โดย จอมใจไร้รัก »
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4357 เมื่อ: 15/10/13, [00:21:12] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ






เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

The Mortal Instruments : City Of Bones นักรบครึ่งเทวดา

ในปีนี้มีหนังที่พยายามจะเดินตามรอย Twilight ด้วยกันถึง 3 เรื่อง โดย 2 เรื่องนั้นได้เข้าฉายไปเมื่อต้นปีแล้วอย่าง Beautiful Creatures และ The Host ซึ่ง The Mortal Instuments: City of Bones ก็จัดว่าเป็นหนึ่งใน 3 นั้นเช่นเดียวกัน โดยหนังสร้างจากนิยายแนวแอ็คชั่น แฟนตาซี โรแมนติค ที่มีด้วยกันทั้งหมด 5 เล่มนั้นเอง

เรื่องราวของเด็กสาวที่ชื่อแคลรี่ (ลิลลี่ คอลลินส์) ซึ่งเห็นการฆาตกรรมในไนท์คลับ จากน้ำมือของเด็กหนุ่มที่มีอาวุธและรอยสักประหลาด แต่กลายเป็นว่ามีเพียงเธอคนเดียวที่พบเห็น และศพที่ถูกฆ่าก็หายไปเฉยๆ แคลรี่ได้เจอกับเด็กหนุ่มคนนั้นอีกครั้ง รู้ว่าเขาชื่อเจซ (เจมี่ แคมป์เบล โบเวอร์) ซึ่งบอกความจริงแก่เธอว่าเธอไม่ควรเห็นเขา เพราะเขาคือนักฆ่ารัตติกาล ครึ่งมนุษย์ครึ่งเทพ ที่อยู่ในอีกโลกที่ซ้อนกับโลกมนุษย์ มีหน้าที่คอยกำจัดปีศาจต่างๆ มนุษย์ปกติไม่ควรมองเห็นโลกแห่งนี้ แต่แล้วจู่ๆ แม่ของแคลี่ก็หายตัวไปอย่างลึกลับ และมีเงื่อนงำเกี่ยวกับความเป็นมาของเธอ เจซจึงต้องพาแคลี่ไปยังเมืองโครงกระดูกเพื่อไขปริศนา จนทำให้เธอเข้าไปผัวพันกับเรื่องราวต่างๆในโลกลึกลับใบนี้อีกด้วย

หนังกำกับการแสดงโดย ฮาราลด์ ซวาร์ต จาก The Karate Kid ฉบับรีเมค ซึ่งได้นักแสดงสาวที่กำลังเป็นขวัญใจวัยรุ่นอย่าง ลิลลี่ คอลลินส์ และ หนุ่มหน้าใส เจมี่ โบเวอร์ มารับบทเป็นคู่พระนาง ซึ่งโดยส่วนตัวผมก็เคยอ่าน City of Bones อยู่เกือบประมาณครึ่งเล่ม ซึ่งส่วนตัวนั้นคิดว่าในแบบฉบับหนังสือตอนดำเนินเรื่องจัดได้ว่าสนุกกำลังดี แต่น่าเสียดายเมื่อเข้าสู่โลกของ นักล่าเงา แล้ว กลับกลายเป็นแนวแฟนตาซีที่ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ๆไปจากเรื่องอื่นๆสักเท่าไหร่นัก เพราะฉะนั้นตอนที่ดูหนัง จึงคาดหวังให้มันสนุกกว่าหนังสือในระดับนึง เพราะเนื่องด้วยชื่อผู้กำกับ ที่ชอบผลงานเก่าอย่าง The Karate Kid ค่อนข้างมากเลยทีเดียว

ซึ่งผลที่ออกมาของหนังก็มีทั้งข้อดี และ ข้อเสีย ปะปนกันไป โดยข้อดีของตัวหนัง The Mortal Instuments คือการที่ผู้กำกับ ฮาราลด์ ซวาร์ต ดำเนินเร่งเครื่องให้กับตัวหนังอย่างไม่รอช้า โดยรีบเข้าเรื่องตั้งแต่ 5 นาทีแรก โดยถ้าหากเทียบกับหนังสือ ก็คงใช้เวลาประมาณ 60-70 หน้ากว่าจะไปถึง พร้อมกับหลังจากนั้นค่อยๆอัดแน่นทั้งฉากแอ็คชั่น และ โรแมนติค ควบคู่กันไปตามสไตล์ ซึ่งการทำตัวหนังแบบนี้ ข้อเสียของมันคืออาจจะทำให้คนดูไม่สามารถซึมวับกับตัวละครได้อย่างเต็มที่ เพราะแทบจะไม่มีช่องว่างของตัวหนังให้เราได้รู้จักกับตัวละครก่อนจะเข้าเรื่องเลย แต่กลับเน้นที่จะดำเนินเรื่องพร้อมกับแนะนำตัวละครไปพร้อมๆกัน ซึ่งมองอีกด้านนึงการทำแบบนี้ มันก็มีข้อดีตรงที่ว่า คนดูจะได้รับความบันเทิงในทันที เฉกเช่นอาหาร Fast Food ที่เน้นแต่จุดขายสำคัญอย่าง ฉากแอ็คชั่น และ โรแมนติค

ที่ 2 พระนางอย่าง ลิลลี่ คอลลินส์ และ เจมี่ โบเวอร์ ก็สามารถถ่ายทอดเคมีเข้าขากันได้อย่างไม่น่าเกลียด โดยเช่นเดียวกับฉากแอ็คชั่น ที่ควบคู่ความเป็นแฟนตาซี ที่มีทั้ง มนุษย์หมาป่า, แวมไพร์ และ เวทมนตร์ มาผสมปนเปเข้าด้วยกัน จนยอมรับว่า บางช่วงยังแอบชวนให้นึกถึง Underworld แนวแฟนตาซี ซึ่งฉากแอ็คชั่นของตัวหนัง The Mortal Instuments ก็ไม่ได้ออกมาในแนวที่เด็กมากเกินไปจนน่าเกลียด เพราะความบันเทิงในฉากไคล์แมกซ์ยังถือว่าสามารถทำให้คนดูทุกเพศ ทุกวัย สนุกได้อย่างไม่เสียหาย รวมไปถึงมุกตลก คู่จิ้น ที่สอดแทรกระหว่างตัวหนังก็เป็นอีกสิ่งนึงที่ทำให้แฟนๆหนังสืออาจจะต้องกรี๊ดกันเป็นระยะๆ

ซึ่งโดยรวมแล้ว The Mortal Instuments : City of Bones ก็จัดได้ว่าเป็นการเริ่มต้นที่พอถูไถสำหรับซีรี่ย์ชุดนี้ที่ประกาศสร้างภาคต่อออกมาแล้ว ที่ถึงแม้โดยรวมแล้วมันอาจจะใช้ปัจจัยทุกอย่างในตัวหนังได้อย่างไม่คุ้ม และไม่อาจจะเทียบขั้น ทไวไลท์ ได้ แต่ถ้าหากคุณต้องการหนังแฟนตาซีเพลินๆสักเรื่อง เรื่องนี้ก็เป็นตัวเลือกที่น่าพอใจในระดับนึงครับ

 6.5/10
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15/10/13, [00:25:23] โดย จอมใจไร้รัก »
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4358 เมื่อ: 15/10/13, [00:21:35] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

To คุณทอม รูปไม่ตรงครับ เรื่องล่าข้ามโลก (เฉลย)
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4359 เมื่อ: 15/10/13, [00:26:24] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

To คุณทอม รูปไม่ตรงครับ เรื่องล่าข้ามโลก (เฉลย)

ขอบคุณครับแก้แล้วครับมั่วไป3เรื่องเลย
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4360 เมื่อ: 15/10/13, [00:28:36] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ขอบคุณครับแก้แล้วครับมั่วไป3เรื่องเลย
เมื่อกี๊คุยPMเเล้วติดเชื้อมึนๆผมไปเรียบร้อย 55555
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4361 เมื่อ: 15/10/13, [12:19:17] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?
เฉลยครับ Flashdance ไม่มีวันฝันสลาย
สาวน้อยอเล็กซ์ (นำแสดงโดย เจนนิเฟอร์ บีลส์) ต่อสู้ฝ่าฟันเพื่อให้บรรลุจุดหมายในการเป็นนักเต้นมีระดับ แต่สภาพเศรษฐกิจบีบบังคับ ให้ต้องทำงานเป็นช่างเชื่อมโลหะตอนกลางวัน และนักเต้นในตอนกลางคืน เธอดิ้นรนเพื่อให้ได้เข้าไปอยู่ในสถาบันบัลเลต์อันทรงเกียรติ ท่ามกลางมรสุมชีวิตมากมาย
Flashdance หรือในชื่อไทยว่า “แฟลชแด๊นซ์ .. ไม่มีวันฝันสลาย” เป็นหนังรักโรแมนติก/คอมอดี้ ออกฉายในเดือนเมษายน ปี 1983 เป็นความร่วมมือกันครั้งแรกของ Don Simpson และ Jerry Bruckheimer กำกับโดย Adrian Lyne ผู้กำกับชาวอังกฤษ ตัวหนังได้รับคำวิจารณ์ที่ไม่ดีนักจากนักวิจารณ์ภาพยนตร์ แต่กลับประสบความสำเร็จอย่างมากมายบน Box office แต่น่าแปลกใจที่หนังเรื่องนี้ กลายเป็นหนังทำเงินมากในสหรัฐเป็นอันดับสามในปีนั้น และทำรายได้ทั่วโลกกว่า 100 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ และเพลงนี้ ก็ได้รับรางวัลอะคาเดมีอีกด้วย ซึ่งร้องโดย Irene Cara.
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4362 เมื่อ: 15/10/13, [12:22:10] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ








เรื่องอะไรครับ ?
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4363 เมื่อ: 15/10/13, [12:23:06] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4364 เมื่อ: 15/10/13, [12:24:00] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ








เรื่องอะไรครับ ?
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4365 เมื่อ: 15/10/13, [12:24:40] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ









เรื่องอะไรครับ ?
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4366 เมื่อ: 15/10/13, [12:25:29] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4367 เมื่อ: 15/10/13, [12:41:26] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ








เรื่องอะไรครับ ?
Tron
Wars ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #4368 เมื่อ: 15/10/13, [12:44:24] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ








เรื่องอะไรครับ ?

Thor ครับ
T.Dark ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #4369 เมื่อ: 16/10/13, [07:20:44] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ









เรื่องอะไรครับ ?
The Girl With The Dragon Tattoo






เรื่องอะไรครับ ?
Man of Steel
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4370 เมื่อ: 16/10/13, [09:37:57] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?

Moneyball  [เจ๋ง]
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4371 เมื่อ: 16/10/13, [14:58:16] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4372 เมื่อ: 16/10/13, [14:58:32] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4373 เมื่อ: 16/10/13, [14:58:56] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4374 เมื่อ: 16/10/13, [14:59:12] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4375 เมื่อ: 16/10/13, [14:59:33] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4376 เมื่อ: 16/10/13, [15:00:54] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

World War Z  ครับ  [เจ๋ง]
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4377 เมื่อ: 16/10/13, [15:02:53] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

vehicle 19
Wars ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #4378 เมื่อ: 16/10/13, [17:06:45] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

Jack the giant slayer ครับ
T.Dark ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #4379 เมื่อ: 16/10/13, [18:49:46] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
World War Z
หน้า: 1 ... 144 145 146 147 148 ... 201   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: