Aqua.c1ub.net
*
  Sun 03/Aug/2025
หน้า: 1 ... 180 181 182 183 184 ... 201   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: มาเล่นเกมทายภาพจากภาพยนตร์เรื่องดังกัน  (อ่าน 758157 ครั้ง)
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5430 เมื่อ: 26/11/13, [09:33:00] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?

Nim''S Island ฮีโร่แฝงร่างสุดขอบฟ้า
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5431 เมื่อ: 26/11/13, [09:50:34] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

what to expect when you're expecting เธอ เริ่ด เชิ่ด ป่อง

ได้มีโอกาสดูรอบพิเศษก่อนใครอื่น กับหนังแนวโรแมนติค คอมเมดี้ รวมดาราคับฟ้าอีกเรื่อง ที่สร้างมาจากนิยายขายดีติดอันดับ เบสแซลเลอร์ ในชื่อเดียวกัน โดยเห็นดารามาร่วมสร้างสีสันเยอะขนาดนี้ ก็อย่าคิดไปว่าผู้กำกับมีหลายคน เพราะที่จริงแล้วหนังกำกับโดยผู้กำกับคนเดียวเท่านั้นที่มีหน้าที่คุมดารา

What to Expect When You?re Expecting ภาพยนตร์โรแมนติกคอมเมดี้สุดครื้นเครง ภารกิจว้าวุ่น อุ้มบุญมาป่วน จากหนังสือชุดเรื่องดัง ที่ถ่ายทอดพลังแห่งการเป็นพ่อและแม่ของคนหนุ่มสาว หนังถ่ายทอดชีวิตของมนุษย์ตาดำ ๆ ที่กำลังจะกลายเป็นผู้ปกครองในอีกไม่นานข้างหน้านี้ ภารกิจที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตพวกเขาไปตลอดกาล บ้างก็ว่านี่เป็นสิ่งพิเศษที่สวรรค์ส่งมาให้ แต่บ้างก็ว่ามันคือความยุ่งเหยิงที่พวกเขาจะจำไปจนวันตาย ประสบการณ์ของการเป็นว่าที่คุณพ่อและคุณแม่ จะถูกถ่ายออกมาในอารมณ์ชวนหัว ขบขัน ดูแล้วก็เพลิดเพลินจำเริญใจขนานแท้ พบกับเรื่องราวสุดวุ่นวายของพ่อแม่ได้ 28 มิถุนายน นี้

What to Expect When You?re Expecting กำกับการแสดงโดยผู้กำกับ คิกค์ โจนส์ ที่หลังจากได้สร้างตำนานแม่เลี้ยง แม่มด มาแล้วกับ Nanny Mcphee ในปี 2005 และหนังครอบครัวดราม่าอีกเรื่องของ โรเบิร์ต เดอ นีโร ใน Everybody’s Fine ในปี 2009 ปีนี้ผู้กำกับคนนี้กลับมาอีกครั้ง กับหนังที่ไม่เชิงเรียกว่าแนวถนัดซะทีเดียว กับหนังแนวโรแมนติค ดราม่า ผสมความเป็นคอมเมดี้นิดหน่อย ที่สร้างมาจากนิยายชื่อดังในชื่อเดียวกัน ซึ่งโดยส่วนตัวผมก็ไม่เคยอ่านหนังสือ หรือแม้แต่รู้จักหนังสือมาก่อนเลยด้วยซ้ำ แต่ว่าสิ่งที่ผมรับประกันได้เลยว่า แค่ผู้ชมตีตั๋วเข้าไปดูก็น่าจะคุ้มแล้ว นั่นคือการที่หนังได้รวบรวมนักแสดงหนังแนวโรแมนติคมามากมายไม่ว่าจะเป็น คาเมรอน ดิเอซ , แอนนา เคนดริก , เจนนิเฟอร์ โลเปซ , อลิซาเบธ แบงค์ส และ บรูคลิน เดคเกอร์ มาเป็นฝ่ายหญิง

ซึ่งเมื่อเราลองมองนักแสดงฝ่ายชายก็จะยิ่งคุ้มไปอีกเพราะหนังยังประกอบไปด้วย เดนนิส เควด , แมธธิว มอร์ริสัน , คริส ร็อค , แชนส์ คราวฟอดส์ และ ร๊อดริโก้ ซาโตโร โดยถ้าหากหนังสามารถใช้นักแสดงเหล่านี้ ควบคู่ไปกับบทที่ดีๆได้ก็คงจะกลายเป็นหนังที่ประทับใจแน่นอน เพราะสำหรับผมดูเหมือนว่าหนังเรื่อง What to Expect When You?re Expecting จะมีดีแค่ตรงที่ สีสัน และ เสน่ห์ ของเหล่านักแสดงที่มารวมตัวกันเท่านั้น เพราะถ้าหากไม่มีนักแสดงเหล่านี้ หนังคงกลายเป็นหนังโรแมนติค คอมเมดี้ แป๊กๆเรื่องนึงอย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่น่าผิดหวังที่สุดของหนังเรื่องนี้ คือการที่หนังได้ปูวัตถุดิบดีๆเกี่ยวกับ การตั้งท้อง

โดยหนังได้บอกเล่าถึงเรื่องราวของ การตั้งท้อง ผ่านชีวิตคู่ของหลากตัวละครมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ชีวิตคู่ที่ไม่ได้อยากมีลูก , ชีวิตคู่ที่เตรียมพร้อมจะมีลูก หรือแม้แต่ชีวิตคู่ที่ต้องมีลูกกันโดยไม่ได้ตั้งใจ โดยในทีแรกที่หนังปูเรื่องราวเหล่านี้ผ่านตัวละครทั้งหลาย ต้องขอบอกเลยว่าเป็นประเด็นที่ ค่อนข้างน่าสนใจ และ น่าจะไปต่อยอดได้ดีเลยทีเดียว ถ้าหากหนังไม่กลับตกม้าตายในตอนกลางเรื่อง เพราะว่าหลังจากหนังได้ปูเรื่องราวเหล่านั้นเสร็จหมดแล้ว ผมกลับรู้สึกว่าหนังหาทางที่จะต่อยอดประเด็นเหล่านั้นไปได้ไม่ถูก หนำซ้ำหนังยังมีการตัดต่อที่ค่อนข้างมีอารมณ์ประมาณ มุกต่อมุก เยอะมากพอสมควร จนทำให้ท้ายสุดหนังไม่ได้สามารถนำพาอารมณ์คนดูไปให้ถึงจุดที่หนังจะสื่อถึง การตั้งครรภ์ ได้อย่างดีนัก และหนึ่งในสิ่งที่ต้องโทษคือการที่หนังได้ใส่ตัวละครชีวิตหลากคู่มากเกินไป

เพราะถ้าหากหนังลองตัดชีวิตคู่ที่ไม่จำเป็นออกอย่างเช่นคู่ของ แอนนา เคนดริก และหนังเอาเวลาที่ได้เพิ่มมาไปละเลงประเด็นเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ในคู่ที่เด่นๆของหนังมากกว่านี้ ท้ายสุดตัวหนังคงออกมาเป็นหนังแนวสอนมนุษย์เกี่ยวกับ การมีลูกโดยไม่ได้ตั้งใจ และ การเตรียมรับมือการเป็นพ่อแม่ได้ดีกว่าแน่นอน แต่ถ้าหากใครช่วงนี้ค่อนข้างเครียดกับชีวิต และต้องการหนังแนว โรแมนติค คอมเมดี้ ที่ในตอนจบก็ยังถือว่าได้ประเด็น และ สาระ กลับบ้านติดไม้ติดมือไปได้อย่างพอหอมปากหอมคอ ผมว่า What to Expect When You?re Expecting ก็ถือว่าเป็นหนังเรื่องนั่นที่น่าจะสามารถมอบความเพลิดเพลิน และ สาระเล็กน้อย

ซึ่งโดยรวม What to Expect When You?re Expecting ก็ถือว่าเป็นหนังแนว โรแมนติค คอมเมดี้ ดราม่า ที่เหมาะกับคนที่กำลังจะเป็นพ่อแม่คน หรือว่า เป็นพ่อแม่คน อยู่ตอนนี้แล้ว เพราะหนังก็สามารถสอนเกี่ยวกับประเด็น การตั้งครรภ์ ได้อย่างพอหอมปากหอมคอพอเป็นน้ำจิ้มได้ค่อนข้างดี ถึงแม้จะไม่สุดก็ตาม

เรื่องนี้ผมให้ 6/10 ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5432 เมื่อ: 26/11/13, [09:50:48] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

Margin Call เงินเดือด

คุณจะทำอย่างไร! หากการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตของคุณมีทางเลือกให้ 2 ทาง ทางหนึ่งจะทำให้องค์กรที่คุณอยู่รอดพ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยได้รับโบนัสตอบแทนจำนวนมหาศาลเป็นรางวัลหากทำได้สำเร็จ แต่มันจะทำให้คนจำนวนมากพบเจอกับความหายนะครั้งใหญ่จากการตัดสินใจของคุณ อีกทางหนึ่งอาจะทำองค์กรที่มีอายุนับแต่ก่อตั้งมากกว่าร้อยปีซึ่งคุณรับใช้ องค์กรนี้มาหลายสิบปี ทั้งยังเป็นผู้ให้คุณมีทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตคุณ และนั่นหมายความหากองค์กรล้มคุณคือผู้ได้รับผลกระทบเต็มๆ แต่นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรมต่อทุกฝ่าย เป็นคุณจะเลือกทางไหน? นี่คือเรื่องราวในหนัง Margin Call ภาพยนตร์ประเด็นหนัก ที่ได้เข้าชิงออสก้าสาขาบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี 2012 มาแล้ว

เมื่อเค้าลางแห่งความไม่แน่นอนปรากฎขึ้น การปรับโครงการองค์กรเพื่อลดจำนวนพนักงานจึงเป็นเรื่องปกติ เช่นเดียวกับ อีริค เดล (สแตนลี่ย์ ทูซซี่) ที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งแผนกบริหารความเสี่ยงของสถาบันการเงินแห่งหนึ่งใน Wall Street ซึ่งขณะนั้นเขากำลังทำงานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่งค้างไว้ซึ่งงานนี้ได้ส่งมอบต่อ ให้กับ ปีเตอร์ ซัลลิแวน (แซคชารี่ ควินโต้) และก็เป็นปีเตอร์ที่สานต่องานชิ้นนี้จนสำเร็จ และพบว่าธุรกิจขององค์กรกำลังเดินเข้าสู่หายนะที่เกินกว่าจะรับมือได้! และผลจากการประชุมของคณะผู้บริหาร CEO จอห์น ทัลด์ (เจเรมี่ ไออ่อนส์) กับหัวหน้ากลุ่มธุรกิจ จาเร็ด โคเฮน (ไซม่อน เบเกอร์) และหัวหน้าฝ่ายควบคุมความเสี่ยง ซาราห์ โรเบิร์ตสัน (เดมี่ มัวร์) ได้ตัดสินใจให้ แซม โรเจอร์ส (เควิน สเปซี่ย์) หัวหน้าฝ่ายค้าหลักทรัพย์ ขายหลักทรัพย์ขององค์ทั้งหมดภายในวันซื้อขายวันเดียว เพื่อให้องค์กรพ้นวิกฤติ แต่นั่นเป็นการกระทำอันเลวร้าย ซึ่งหากแซมทำสำเร็จจะมีคนจำนวนมหาศาลที่ต้องรับเคราะห์จากวิกฤษเศรษฐกิจใน ครั้งนี้! ทั้งหมดคือเรื่องราวคร่าวๆ ของ Margin Call ผลงานจากการกำกับและเขียนบทของ เจ. ซี. ชานดอร์ (J. C. Chandor)

บทภาพยนตร์ได้รับแรงบันดาลใจจาก วิกฤติทางการเงินของอเมริกาเมื่อปี 2007-2008 ที่ขยายตัวจนลุกลามเป็นวิกฤติซับไพรม์ (Subprime mortgage crisis) หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในนามของวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ (Hamburger Crisis) และหากใครติดตามข่าวเศรษฐกิจโลก ก็คงจะทราบว่าวิกฤติการทางการเงินนี้ก็ยังคงส่งผลกระทบต่อเนื่องมาถึงปี 2012 เริ่มต้นจากการที่ราคาอสังหาริมทรัพย์ในอเมริกาพุ่งสูงขึ้น สถาบันการเงินได้คิดค้น ?นวัตกรรมทางการเงิน? เพื่อหาประโยชน์จากราคาที่สูงขึ้นโดยมีพื้นฐานของความโลภที่ต้องการผลตอบแทน ที่สูงยิ่งขึ้นไปอีก?

จนสุดท้ายราคาอสังหาริมทรัพย์ก็ขึ้นมาจนถึงจุดอิ่มตัว เมื่อประกอบเข้ากับเศรษฐกิจอเมริกาที่ชะลอตัวลง ราคาที่ดินที่เคยสูงก็ลดต่ำลง หนี้สินที่เกิดจากการปล่อยกู้ที่สูงเกินกว่าความเป็นจริง ทำให้สถาบันการเงินมีปัญหาเรื่องสภาพคล่องและหนี้เสีย จนสุดท้ายก็ปัญหาก็ได้ลุกลามกลายวิกฤติของสถาบันการเงิน!! การนำเรื่องราวเบื้องลึกเบ้องหลังของสถาบันการเงินนับว่าเป็นสิ่งท้าทายมาก เพราะนอกจากต้องเล่าเรื่องที่มีความซับซ้อน ยากแก่การทำความเข้าใจ ยังถึงต้องเสี่ยงกับบทสนทนาที่เต็มไปด้วยความน่าเบื่อ แต่ต้องยอมรับว่าผู้กำกับ เจ. ซี. ชานดอร์ ทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว!

Margin Call นำเสนอเนื้อหาและประเด็นต่างๆ ได้อย่างชาญฉลาดและแนบเนียนทำเรื่องราวที่ยากให้กลายเป็นเรื่องง่าย โดยการสร้างตัวละครที่เสมือนเป็นตัวแทนผู้ชมที่ไม่ค่อยรู้เรื่องคำศัพท์ทาง เทคนิคและเรื่องราวของการเงินการลงทุนมาเป็นตัวกระตุ้นให้ตัวละครในเรื่อง เลือกใช้การเล่าเรื่องด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายพร้อมยกตัวอย่างเป็นประกอบและ เปรียบเทียบได้ดี ซึ่งถ้าหากพยายามตั้งใจติดตามเรื่องราวสักนิดก็จะทำให้เข้าใจสถานการณ์ของ เรื่องและสนุกไปกับหนังได้มากขึ้น หนังมาในโทนจริงจังเคร่งเครียดที่แทบจะไม่ได้ยินดนตรีประกอบของหนัง ทำให้หนังในภาพรวมดูจริงมากยิ่งขึ้นไปอีก

หนังเล่าเรื่องราวเป็นเส้นตรง แถมไม่ค่อยมีลูกเล่นในการนำเสนอสักเท่าไหร่ ทำให้ความเพลิดเพลินที่ควรจะได้รับจากการชมลดลงไปบ้าง และที่ร้ายคือ หน้าหนังมันหลอกคนดู เนื่องจากหน้าหนังทำให้เผลอคิดไปว่าเป็นเรื่องราวการลงทุน เชือดเชือนทางกลยุทธ์ที่น่าสนุกตื่นเต้น แต่เมื่อได้ชมกลับพบว่าเรื่องราวของการเงินการลงทุนมันเป็นประเด็นรอง เพราะประเด็นหลักของหนังคือการบอกเล่าถึง ?ความโลภ? ของคนในยุคสมัยนี้ที่ ใครบางคนเห็นเงินเป็นพระเจ้า! โดยนำเรื่องราวของวิกฤตทางการทางเศรษฐกิจมาใช้ ซึ่งเป็นสิ่งทีชัดเจนที่สุดในการตัวสะท้อนธาตุแท้ของคน

แต่ถึงอย่างนั้น Margin Call ก็ยังเป็นหนังที่ย่อยยากอยู่ดี ทั้งนี้คงต้องยกความดีให้กับทีมนักแสดงชั้นยอดที่เข้ามาช่วยให้หนังน่า ติดตามมากขึ้น เพราะหากบทสนทนาอันยืดยาวและเต็มไปด้วยรายละเอียด ไม่ได้รับการถ่ายทอดจากการแสดงที่สมจริงและมีพลังสะกดคนดูที่มากพอ ก็อาจส่งผลให้ความน่าเชื่อถือในหนังลดลง โดยเฉพาะการแสดงของ เควิน สเปซีย์ ในบทแซม สแตนลี่ย์ ทูซซี่ ในบทอีริค เดล และ เจเรมี่ ไออ่อนส์ ผู้บริหาร CEO จอห์น ทัลด์ ที่ทำได้ถึงและทำให้เราเฝ้าติดตามการกระทำของตัวละคร ซึ่งนักแสดงทั้งสามคือผู้ที่ได้รับบทบาทที่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่แสดงให้ เห็นถึงด้านมืดของคนว่าเลือดเย็นแค่ไหน!

อย่างไรก็ตาม หนังเผยให้เห็นถึงสัจธรรมของการทำธุรกิจ ว่าสุดท้ายแล้วเป้าหมายสูงสุดของการทำธุรกิจก็คือ ?กำไร? ที่พร้อมจะทำทุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงจรรยาบรรณหรือธรรมาภิบาล หากว่าการกระทำนั้นจะทำให้ตัวเองอยู่รอด ซึ่งหากมองในมุมของผลประโยชน์ขององค์กร ผลประโยชน์ส่วนตัว และผลกระทบที่อาจจะตามมาหากไม่ทำ ก็พอจะเข้าใจและยอมรับได้ แต่นั่นควรจะเป็นวิธีการที่ถูกที่ควรหาและตรงไปตรงมา ไม่ใช่วิธีการอันโหดเหี้ยมโดยการโยนหายนะที่ตัวเองสร้างขึ้นไปให้คนอื่นรับ เคราะห์

บทสรุปของ Margin Call ถือว่าค่อนข้างน่าหดหู่และสิ้นหวัง เพราะสุดท้ายทุกคนก็ย่อมรักชีวิตของตัวเอง! ต่อให้จะรู้ว่าสิ่งที่เราทำลงไปนั้นจะทำให้คนอื่นเดือดร้อนมากมายแค่ไหน ถ้าหากสุดท้ายแล้วเรายังได้รับผลประโยชน์ เราก็พร้อมจะทำมัน เหมือนดั่งการกระทำของตัวละครในเรื่อง หรือ หนังกำลังจะบอกเราว่า หากอยากจะอยู่รอดในโลกของการแข่งขันจิตใจต้องเหี้ยม!

8/10
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5433 เมื่อ: 26/11/13, [09:51:02] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

cosmopolis เทพบุตรสยบเมืองคลั่ง

เป็นหนังเรื่องใหม่ของผู้กำกับคุณภาพอีกคนอย่าง เดวิด โครเนนเบิร์ก ที่มาคราวนี้แท็คทีมพร้อมกับนักแสดงสุดฮ๊อตอย่าง โรเบิร์ท แพตตินสัน พร้อมด้วย พอล เกียร์แมตติ มาร่วมกันในหนังแนวดราม่า ทริลเลอร์ ปนกลิ่นของความเป็นไซไฟบ้านๆที่ดัดแปลงมาจากนิยายแนวปรัญชาในชื่อเดียวกันกับ คอสโมโพลิส

Cosmopolis เป็นเรื่องราวของ เอริค แพ็คเกอร์ (โรเบิร์ต แพททินสัน) เศรษฐีหนุ่มวัย 28 ที่ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมอุดมคติของตัวเอง ที่เดินทางด้วยลิมูซีนส่วนตัวข้ามเมืองแมนฮัตตัน เพื่อไปตัดผมที่ร้านเก่าแก่ซึ่งพ่อของเขาเคยใช้บริการ แต่ในระหว่างการเดินทางข้ามเมือง สายตาของเขาจับจ้องไปที่กร๊าฟค่าเงินต่างประเทศ ที่พุ่งสวนทางกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทุ่มเทลงไป เอริค กำลังสูญเสียอาณาจักรของเขาในแต่ละวินาทีที่ผ่านเลยไป ขณะเดียวกันการก่อจลาจลก็เกิดขึ้นบนท้องถนน อันตรายจากโลกแห่งความเป็นจริงรุนแรงไม่ต่างจากข้อมูลบนจอคอมพิวเตอร์ เอริค กำลังเข้าตาจน ความวิตกจริตถูกสั่งสมขึ้นมากเรื่อยๆไป

Cosmopolis กำกับการแสดงโดยผู้กำกับยอดฝีมืออย่าง เดวิด โครเนนเบิร์ก ที่เคยฝากลีลาผลงานสยองขวัญในอดีตอย่าง The Fly ไอ้แมลงวัน และหนังดราม่าสุดระทึกมากมายที่ทำให้ชื่อของเขามาอยู่แถวหน้าของผู้กำกับคุณภาพอีกคนในฮอลลีวู้ด ไม่ว่าจะเป็น A History of Violence และ Eastern Promises หรือแม้แต่หนังที่เพิ่งเข้าฉายบ้านเราไปเมื่อต้นปีอย่าง A Dangerous Method ด้วยเช่นเดียวกัน โดยในหนังเรื่องใหม่นี่ ผู้กำกับได้เลือกที่จะดัดแปลงจากนิยายแนวดราม่า ระทึกขวัญ ปนกลิ่นไซไฟในชื่อเดียวกันของ ดอน เดอลิลโล ซึ่งสิ่งที่แปลกอย่างเดียวของหนังเรื่องนี่คือ การที่ผู้กำกับ เดวิด โครเนนเบิร์ก ไม่ได้เชิญดาราคู่บูญอย่าง วิคโก้ มอร์เทนเซ่น มาร่วมจอด้วย แต่กลับทนแทนด้วยการดึง โรเบิร์ต แพทตินสัน มาสลัดคราบแวมไพร์พร้อมรับบทหนักๆอีกครั้ง

ก่อนอื่นผมต้องขอเตือนก่อนเลยว่าใครที่ไม่ชอบหนังแนวดราม่าคุยหนักๆ เน้นแต่บทสนทนา ที่มาพร้อมกับการตัดต่อที่อารมณ์ไม่ต่อเนื่องกัน ควรหลีกเลี่ยง Cosmopolis เป็นอย่างยิ่ง เพราะตัวหนังมาพร้อมกับบทสนทนาที่พูดให้คิดตามตลอดเรื่อง พร้อมทั้งยังมีการตัดต่อแนวที่ถ้าหากคุณเผลอไปเพียงเสี้ยววินาทีก็อาจจะไม่รู้เลยว่าตัวละครกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ และใครที่หวังจะเข้าไปดูแต่หน้าหล่อๆของ โรเบิร์ต แพทตินสัน ก็อาจจะต้องคิดใหม่เพราะคุณอาจจะอยู่ดูหน้าของหนุ่ม แพทตินสัน ได้ไม่ถึงครึ่งเรื่องก็เป็นได้ เพราะสไตล์การเล่าเรื่องของ Cosmopolis ออกมาในแบบฉบับที่ให้ตัวละครออกมาบ่นๆถึงสังคมแล้วก็ไป

โดยถ้าหากใครนึกไม่ออกว่ามันเป็นอย่างไร อธิบายๆง่ายคือการเล่าเรื่องของ Cosmopolis มันเหมือนกับเป็นหนังที่ตัดฉากนึงมาใส่อีกฉากนึง ที่ในแต่ละฉากที่หนังตัดๆใส่ๆรวมๆกันก็จะมีการเสียดสีประเด็นสังคมมากมาย และนั่นดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ดี และโกยคะแนนจากผมได้มากที่สุด เพราะใน Cosmopolis ถือว่าเป็นหนังที่เสียดสีสังคมทุกชนชั้นมากมาย ออกมาได้อย่างเจ็บแสบ และตรงเอามากๆ ไม่ว่าจะเป็นการที่หนังบอกถึง การลุกขึ้นสู้ของคนที่ไม่มีบทบาทในสังคม , การที่เราเห็นสังคมคนรวยเป็นสังคมที่มีแต่ความสุภาพ อ่อนน้อม ทั้งที่จริงแล้วมันไม่ใช่อย่างที่เห็น , เรื่องราวความโลภในกาม โลภในเงิน ที่แท้จริงแล้วของเหล่านี้จะพาไปสู่จุดสิ้นสุดของชีวิต หรือแม้แต่การที่หนังพูดถึงเรื่องของความเลวร้ายในโลกของระบบทุนนิยมผ่านตัวละครมากหน้าหลากตามากมาย

ซึ่งถ้าหากเรามองดูผิวเผิน การที่หนังเล่นเสียดสีประเด็นเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นข้อดีไปซะทุกอย่าง แต่หารู้ไม่ว่าที่จริงแล้วมันกลับกลายเป็น ดาบสองคม ที่ท้ายสุดมันกลับไปฆ่าตัวหนังเอง เพราะการที่หนังใส่ประเด็นเสียดสีมาร้อยยี่สิบเอ็ด เจ็ดย่านน้ำ กันขนาดนี้ จึงทำให้ประเด็นที่หนังใส่มาดูแล้วไม่สุดสักทาง และคล้ายกับกลายเป็นว่าให้ตัวละครตัวนึงมาบ่นถึงปัญหาเน่าๆที่สังคมไม่สามารถแก้หายแล้วก็จากไป โดยไม่ได้มีเปิดประเด็นให้คนดูกลับไปคิดต่อ แถมหนังยังดันเริ่มการเสียดสีประเด็นใหม่ในทันที แต่ไม่รู้อะไรยังไงเหมือนกัน เพราะดูเหมือนประเด็นที่หนังหยิบมาพูดเล็กๆน้อยๆตลอดเรื่องมันกลับมีบางอย่างที่ไปสะกิดใจผมและทำให้ผมพูดกับตัวเองไปตลอดเรื่องเลยว่า ‘เออจริงหวะ’ พร้อมทั้งการแสดงของ โรเบิร์ต แพทตินสัน ที่อาจจะไม่แปลกใหม่และมาในสไตล์เดียวกับ Bel Ami

แต่แค่หนุ่ม โรเบิร์ต แพทตินสัน กล้ามารับเล่นบทแรงๆเพื่อสลัดคราบความติ๋มที่เคยทำให้ผู้ชมเหล่าชายรังเกียจไปก็ถือว่าโอเคในระดับหนึ่งแล้ว เพราะฉะนั้นผมจึงคิดว่า Cosmopolis เป็นหนังที่ตัดสินไม่ได้ว่าคนที่ได้อ่านบทความของผมไปจะชอบหรือไม่ แต่โดยส่วนตัวผมกลับค่อนข้างรู้สึกโอเคกว่าที่คิดไว้ครับ

เรื่องนี้ผมให้ 8/10 ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5434 เมื่อ: 26/11/13, [09:51:17] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

the dictator จอมเผด็จการ

กลับมาอีกครั้งกับหนังแนวตลก ล้อเลียน ที่แปลงโฉมนักแสดงสุดฮาอย่าง ซาช่า บารอน โคเอน ให้กลายเป็นใครก็ได้ โดยมาคราวนี้เขาจึงขอเลือกเป็นนายพลอลาดีน ที่ชอบระบบ เผด็จการ และเกลียด ประชาธิปไตย โดย The Dictator มีเปิดรอบพิเศษหลัง 2 ทุ่มเป็นต้นไปตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 11 กรกฏาคมเลยครับ

นายพลอลาดีน ผู้ปกครองจอมเผด็จการฝั่งแอฟริกาเหนือ เขาเป็นผู้นำสาธารณรัฐวาดิยาที่ซึ่งเขาไม่ยอมให้ประชาธิปไตยมากล้ำกราย มันไม่มีวันเกิดขึ้นได้ตราบใดที่เขายังคงเป็นผู้นำอยู่ แต่เมื่อถูกเรียกตัวให้ไปเข้าร่วมการประชุมกับสหประชาชาติที่สหรัฐอเมริกา อลาดีนไม่รู้ว่าชีวิตและประเทศของเขาต้องกลับตาลปัตร อลาดีนถูกลักพาตัวและถูกโกนหนวดเคราจนไม่มีใครจำได้ไม่มีใครเชื่อว่าเขาคือ ผู้นำประเทศ เขาจึงกลายเป็นคนเร่ร่อนในถิ่นต่างแดนแต่อลาดีนได้รับความช่วยเหลือจาก โซอี หญิงนักต่อสู้เคลื่อนไหวเพื่อสังคม เธอเสนองานและที่พักให้เขา โดยระหว่างนั่นเขาก็ต้องคิดแผนที่จะนำระบบเผด็จการของเขาคืน

The Dictator กำกับการแสดงโดย แลร์รี่ ชาร์ล และนี่เป็นการร่วมงานกันครั้งที่ 3 แล้ว สำหรับผู้กำกับจอมล้อเลียนเรื่องเชื้อชาติ และนักแสดงที่พร้อมแปลงโฉมทุกบทบาทอย่าง ซาช่า บารอน โคเอน โดยหลังจากหนัง 2 เรื่องแรกค่อนข้างประสบความสำเร็จในด้านคำวิจารณ์ และ รายได้ อย่าง Borat และ Bruno เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกถ้าหากหนังเรื่องที่ 3 ของพวกเขายังมาพร้อมกับลูกบ้าจากการแสดง และมุกตลกแนวเหยียดเชื้อชาติสุดเสื่อม ซึ่งต้องขอเตือนไว้ก่อนเลยว่า ใครที่ไม่ชอบมุกตลก หรือว่าไม่ชอบประเด็นการล้อเลียนใน Borat ท่านคงไม่ชอบ The Dictator ด้วยอย่างแน่นอน เพราะใน The Dictator มันก็เต็มไปด้วยมุกตลกแนวเหยียดเชื้อชาติ และเต็มไปด้วยประเด็นที่ทำให้คนอเมริกาดูสูงส่งมากกว่าชาติอื่นๆ โดยใครที่ไม่ชอบ Borat ควรหลีกเลี่ยงเลยครับ

แต่ถ้าหากใครที่ไม่มีปัญหากับหนังเรื่อง Borat และมุกตลกแบบเสื่อมๆใน Bruno ผมก็เชื่อเลยว่าท่านจะขำจนตกเก้าอี้ไปกับหลายๆมุกใน The Dictator อย่างแน่นอน โดยถึงแม้มุกตลกใน The Dictator จะจัดเป็นหนังที่มีมุกตลกเบาที่สุดใน 3 เรื่อง แต่นั่นดูเหมือนไม่ใช่ปัญหาเลยจริงๆ เพราะสิ่งที่ผู้กำกับ แลร์รี่ ชาร์ล ยังสามารถคุมทางได้อยู่คือจังหวะการใส่มุกตลก ที่สลับไปมาระหว่างมุกที่ทำให้คนดูขำจนน้ำตาไหล และมุกตลกใส่เข้ามาพอให้คนดูได้หัวเราะกันอย่างไม่น่าเบื่อ แถมในเรื่องนี่การรับบทเป็น นายพลอลาดีน ของ ซาชา บารอน โคเอน ก็ยังถือว่าฮาพอตัว และ กัดจิก ได้ในระดับมาตรฐานเดียวกับ Borat อีกด้วยครับ

โดยสิ่งที่หนังของ 2 คนนี้ยังใส่เข้ามาทุกเรื่องยังคงหนีไม่พ้นด้านของ ประเด็นเสียดสี ที่หลังจากใน Borat ได้เสียดสีเรื่องราวของ เชื้อชาติ และ นิสัยของคนอเมริกัน , ใน Bruno ได้เสียดสีเรื่องราวความเห็นของสังคม ที่มีต่อเหล่า ตุ๊ด แต๋ว กระเทย และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งเมื่อมาถึงหนังเรื่องต่อมา ก็แน่นอนว่าต้องหยิบเรื่องใหม่ๆมาเสียดสีเป็นธรรมดา และเรื่องที่ The Dictator หยิบมาเสียดสีคือเรื่องราวของ ระบบการปกครอง ระหว่าง ประชาธิปไตย และ เผด็จการ พร้อมทั้งยังใส่เรื่องราวการเสียดสีเชื้อชาติ และมุมมองของคน อเมริกัน ที่มีต่อคนอาหรับ โดยในเริ่มแรกการปูบทเสียดสีประเด็นของ The Dictator ก็ดูเหมือนจะออกมาดี และน่าจะเทียบชั้นความแสบได้เท่า Borat เลยทีเดียว แต่ไม่รู้ทำไมช่วงกลางเรื่องอยู่ดีๆหนังถึงกลับแผ่วลง และไปเน้นทำการตลาดด้านของมุกตลก

จนทำให้ช่วงองค์ประกอบที่ 3 ของหนังยังไม่สามารถนำพาประเด็นการเสียดสีเหล่านั่นไปให้ถึงจุดที่ดีได้เท่ากับ Borat ถึงแม้ว่าจะดีกว่า Bruno นิดหน่อยก็ตามที แถมในช่วงสุดท้ายปมปัญหาที่หนังสร้างมาเกี่ยวกับเรื่องราวของ ความรัก หนังก็ยังถือว่าหาทางออกง่ายไปนิดนึง แต่อย่างไรก็ตามถ้าหากใครช่วงนี้ที่ยังคงเครียดกับปัญหาชีวิต และอยากจะหาหนังที่สามารถทำให้ขำจนน้ำตาเล็ดได้ โดยที่คุณไม่มีปัญหากับมุกตลกแนวเหยียดเชื้อชาติ และล้อเลียนผู้นำคนต่างๆ ผมว่า The Dictator ก็เป็นตัวเลือกที่ดี

โดยสรุป The Dictator อาจจะไม่สามารถเทียบชั้นกับ Borat ได้ แต่อย่างน้อยมันก็ยังถือว่ามีคุณภาพความฮามากกว่า Bruno อย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่เด็ดที่สุดคงหนีไม่พ้น มุกตลก และ การแสดงของ ซาชา บารอน โคเอน ที่ยังฮาได้อยู่ แต่ถ้าหากใครหวังการเสียดสีหนักๆแนว Borat ก็อาจจะผิดหวังหน่อยครับ

เรื่องนี้ผมให้ 8/10 ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5435 เมื่อ: 26/11/13, [09:51:31] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?


ถูกต้องครับ

LOL คลิ๊กรักให้ลงล็อค


?วัยรุ่น? เป็นช่วงที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง เชื่อมั่นในทุกสิ่งที่ทำ คิดว่าเราโตพอที่จะจัดการเรื่องราวทุกอย่างในชีวิตตามที่เราเห็นสมควร แต่ในสายตาของผู้เป็นพ่อแม่มักไม่คิดเช่นนั้น ยังมองว่าวัยรุ่นก็เป็นแค่เด็กกะโปโล อ่อนประสบการณ์ ทำอะไรตามอารมณ์มากกว่าใช้หัวสมอง และยังต้องได้รับการชี้แนะจากพ่อแม่ผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน แถมยังมั่นใจว่าเราถูกต้องไปเสียทุกเรื่อง นั่นจึงนำมาซึ่งคำถามมากมายที่น่ารำคาญและรู้สึกถึงการตีกรอบในสายตาของวัย รุ่น และยิ่งในยุค Social Network ด้วยแล้ว ไม่แปลกที่จะเกิดปัญหาช่องว่างระหว่างวัยขึ้นมา ซึ่งนั่นเป็นประเด็นที่หนังเจาะตลาดวัยรุ่นชื่อเรื่องเก๋อย่าง LOL หยิบยกขึ้นมานำเสนอ!

LOL เป็นภาพยนตร์รีเมคจากหนังฝรั่งเศสที่ชื่อ LOL (Laughing Out Loud) ซึ่งออกฉายเมื่อปี 2008 ที่นำแสดงโดย โซฟี มาร์โซ?(Sophie Marceau) ที่เคยรับบท อีเลคตร้า คิง ใน James Bone 007: The World Is Not Enough (1999) และ LOL ฉบับ 2012 หรือฉบับฮอลลีวู๊ด ก็กำกับและเขียนบทโดย ลิซ่า อซูรอส (Lisa Azuelos) ซึ่งเป็นผู้กำกับฉบับฝรั่งเศสเช่นเดียวกัน

LOL เล่าเรื่องราวของโลล่า (ไมลี่ย์ ไซรัส) สาวมหาวิทยาลัยทั่วไปที่มีความรักและต้องการใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ โลล่าต้องอกหักเมื่อคนรักของเธอนอกใจแต่ยังดีที่ได้ ไคล์ (ดักลาส บูธ) เพื่อนสนิทของเธอคอยอยู่เคียงข้าง ด้วยยุคสมัยของโลกสังคมออนไลน์ที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน การพูดคุยกันระหว่างโลล่าและแอน (เดมี่ มัวร์) ผู้เป็นแม่ลดน้อยลง แต่แอนก็เป็นห่วงโลล่าและคอยถามไถ่ความเป็นไปอยู่เสมอราวกับจะจับผิดจน กระทั่งเกิดความบาดหมางระหว่างแม่และลูกขึ้น เมื่อแอนได้เจอบันทึกส่วนตัวของโลล่าที่ทำให้เธอไม่สบายใจกับสิ่งที่โลล่า กำลังทำอยู่!

LOL ก็คล้ายกับหนังรักวัยรุ่นทั่วไปที่ตัวเดินเรื่อง เป็นผู้หญิง แต่หนังก็เข้ายุคเข้าสมัยดี กับปัจจุบันที่ Social Network เข้ามาบทบาทกับชีวิตของคนยุคนี้จนแทบจะเรียกว่าขาดไม่ได้กันเลยทีเดียว ซึ่งสะท้อนออกมาผ่านการพูดคุยกันของโลล่าและกลุ่มเพื่อน ที่ไม่ใช้การพูดคุยผ่านโทรศัพท์มือถือหรือโทรศัพท์บ้าน แต่ใช้โปรแกรมแชทบนโลกอินเทอร์เน็ตในการสื่อสารเรื่องราวต่างๆ ถึงแม้หนังจะเล่นกับประเด็นเหล่านี้แต่ก็ไม่เต็มที่นัก สุดท้ายเลยกลายเป็นแค่การเปลี่ยนรูปแบบการสื่อสารของตัวละครในเรื่องเท่า นั้น

เรื่องราววนเวียนอยู่กับปัญหาวัยรุ่นทั้งเรื่องการเรียน เพื่อนฝูง และความรัก โดยเรื่องนี้จะเน้นไปที่ความรักในสไตล์อเมริกันซะมากกว่า ที่มีประเด็นเรื่องเซ็กซ์เข้าไปเกี่ยวข้องอยู่ค่อนข้างมาก และก็เป็นที่มาของมุขตลกหลายๆ ช่วง หนังตรงไปตรงมาในการนำเสนอเรื่องเซ็กซ์ในวัยเรียนโดยไม่ชี้ชัดไปว่าสนับสนุน หรือปฏิเสธ แต่หนังพอจะบอกเรากลายๆ ว่าเรื่องเซ็กซ์ในวัยเรียนเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ ถ้าโตพอรู้จักคิดที่จะรับผิดชอบและรู้จักการป้องกัน ซึ่งมุมมองนี้แตกต่างจากสังคมไทยของเรา!

ในประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัว เรื่องช่องว่างระหว่างวัยของแอนและโลล่า และเรื่องไคล์คนรักของโลล่ากับพ่อ ที่ไม่เห็นด้วยกับการที่ไคล์เล่นดนตรี เป็น 2 ประเด็นใหญ่ของเรื่อง ที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างแม่ลูกสาวและพ่อกับลูกชาย ที่สามารถนำเสนอถึงแนวคิดที่ไม่ตรงกันของคนสองช่วงวัย ความต้องการที่แตกต่างระหว่างลูกและผู้เป็นพ่อแม่ เมื่อถึงฉากเหล่านี้ ผู้กำกับ ลิซ่า อซูรอส เลือกที่จะบอกเล่าออกมาในโทนจริงจัง แต่กลับไม่มีพลังพอที่จะสามารถสร้างผลกระทบต่อผู้ชมได้ รายละเอียดในประเด็นเหล่านี้ถูกนำเสนอเพียงผิวเผิน ในระดับแค่พอที่จะให้ผู้ชมมีอะไรให้ยึดถือเพื่อตามเรื่องราวเท่านั้น ที่สุดท้ายปัญหาทุกอย่างก็คลี่คลายลงอย่างง่ายดาย โดยเราไม่ได้รับบทเรียนอะไรจากปัญหาที่ตัวละครต้องเผชิญ!

แม้กระนั้นเราก็ยังพอจะจับใจความของสาร ที่หนังต้องการสื่อเกี่ยวกับห่วงใยที่พ่อแม่มีต่อลูก ไม่ว่าลูกจะโตแค่ไหน คนเป็นพ่อแม่ก็ยังเป็นห่วงเป็นใยลูกเสมอ ประโยคคล้ายๆ กันนี้เราทุกคนต่างคงเคยได้ยินกันมา และมันแทบจะเป็นประโยคสัจธรรม เมื่อพ่อแม่ส่วนใหญ่มักเจริญรอยตามประโยคนี้แทบทั้งนั้น โดยหลงลืมไปว่า บางครั้งคนเราก็ควรที่จะมีประสบการณ์ด้วยตัวของตัวเอง มากกว่ามีประสบการณ์จากการได้ยินได้ฟังเพียงคำกล่าวจากคนอื่น จึงไม่แปลกที่เรื่องราวต่างๆ ที่ตัวละครในเรื่องเจอในบางช่วงบางตอนอาจจะไปตรงกับชีวิตจริงของใครบางคน!

ซึ่งจุดนี้คือสิ่งที่ LOL เริ่มต้นไว้ดีแต่ทำได้ไม่ถึง หาไม่แล้วฉากที่แอนได้แชทคุยกับลูกในช่วงท้าย ซึ่งเป็นฉากที่น่าเสียดายที่สุดในเรื่อง เพราะมันเป็นฉากที่เป็นคำตอบของคำถามทุกอย่าง เมื่อมันเป็นตัวแทนบอกให้เรารู้ว่าสุดท้ายแล้วไม่ว่ายังไงคนเป็นแม่ก็พยายาม ที่จะเข้าใจลูกเสมอ (โดยการยอมเข้ามาในสังคมที่ลูกอยู่) ซึ่งหากหนังให้รายละเอียดของความขัดแย้งทางแนวคิดและความสัมพันธ์ของสองแม่ ลูกได้ชัดเจนกว่านี้ รวมถึงให้ทางออกกับเรื่องที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ ฉากนี้จะเป็นฉากที่ทรงพลังและประทับใจมากๆ ฉากหนึ่งเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตามในส่วนของนักแสดงก็ถือว่าต่างทำหน้าที่ได้ดี พอจะอุ้มหนังที่เนื้อเรื่องล่องลอยเอาไว้ได้ เคมีของนักแสดงนำทั้ง ไมลี่ย์ ไซรัส และ เดมี่ มัวร์ ที่แสดงเป็นแม่ลูกได้เข้ากันกว่าที่คิด และเสน่ห์ของทั้งสองทำให้เราตามเรื่องราวไปได้จนจบ?ส่วน ดักลาส บูธ, แอชลี่ย์ กรีน ก็ถือว่าสอบผ่านในเรื่องความหล่อสวย แต่กับคู่ของ แอชลี่ย์ ฮินส์ชอว์ และ อดัม จี. เซวานี่ ที่เราจะุคุ้นหน้าจากหนัง Step Up? ถือว่าเป็นคู่ขโมยซีนของเรื่องนี้ ที่ำมีความน่ารักกว่าคู่พระนางเสียด้วยซ้ำ!

แม้ว่าประเด็นที่หยิบจับเรื่องช่องว่างระหว่างวัยและการนำเรื่องราวของยุค Social Network มาเชื่อมโยงจะทำได้น่าสนใจ แต่? LOL ก็ยังทำได้ไม่ดีพอ สุดท้ายตัวหนังเองจึงเป็นได้แค่หนังตามสูตรอีกเรื่อง ที่พอจะเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะได้บ้าง ที่มาพร้อมมุขตลกที่หนังค่อนข้างเป็นมุขปะติดไม่แนบเนียนในการนำเสนอและไม่ ส่งผลต่อเรื่องราว จึงทำแต่ละมุขขำบ้างแป๊กบ้างสลับกันไป

ถ้าหากถามว่าในเรื่อง LOL มีอะไรที่จดจำได้ก็คงต้องตอบว่า เป็นเพลงประกอบหนังหลากหลายเพลงที่ใส่เข้ามาได้อย่างลงตัว ทำให้จังหวะของหนังดำเนินไปได้อย่างไหลลื่น โดยเฉพาะเพลง ?Heart On Fire? หรืออีกชื่อหนึ่งว่า ?I?ve Been Crazy For You All This Time? ที่ไคล์คนรักของโลล่าร้องในงานประกวดวงดนตรีนั้นช่างติดหูดีเหลือเกิน!

5/10
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5436 เมื่อ: 26/11/13, [09:51:42] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

Architecture 101 รักแรกในความทรงจำ

หนังเกาหลี ที่มาพร้อมกับสโลแกน ไม่เรียกน้ำตา ไม่สร้างออกมา อีกเช่นเคยกับหนังที่เข้าแบบเงียบๆที่มีชื่อไทยว่า รักแรกในความทรงจำ

ความทรงจำในอดีตที่ย้อนคืนมาบรรจบกันของ ?ซึงมิน? เด็กหนุ่มที่อาศัยอยู่ในกรุงโซลมาตลอดชีวิต?แต่ ณ เวลานี้เขากำลังเดินทางไปยังสถานที่ห่างไกลออกไปเพื่อทำงานในหน้าที่สถาปนิก และ ?ซอยอน? อดีตเด็กสาวที่เคยตะลอนอยู่ในเมืองใหญ่อย่างกรุงโซลที่ไม่คุ้นเคย อย่างไร้จุดหมาย.. แต่ ณ ตอนนี้เธอกำลังจะลงหลักปักฐานอีกครั้งในบ้านที่จะสร้างใหม่ของเธอ ที่เกาะเจจู ไกลจากกรุงโซล สถาปนิกหนุ่มและลูกค้าสาว ได้กลับมาเจอกัน พร้อมๆ กับความทรงจำของทั้งสองก็ได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในแบบสมัยวันวานที่พวกเขาเคยรักกัน เข้าฉายแล้ววันนี้เฉพาะในโรงภาพยนตร์เครือ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ เท่านั้นนะครับ

Architecture 101 เป็นผลงานการกำกับของผู้กำกับชาวเกาหลี ลียงจู ที่เชื่อว่าใครหลายๆคนคงไม่คุ้นชื่อ รวมทั้งผมด้วยเช่นเดียวกัน โดยสำหรับ Architecture 101 เป็นหนังรักเกาหลีที่เล่าเรื่องสไตล์ตัดสลับไปมาระหว่าง ความทรงจำในอดีต และ เรื่องราวที่กำลังจะเกิดขึ้นในปัจจุบัน ของคู่รักคู่หนึ่งที่ต้องเดินทางกลับมาเจอกันอีกครั้งด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ซึ่งถ้าหากเป็นหนังเกาหลีเรื่องอื่นๆแนวที่ มีความรักในวัยเรียน ตัวหนังจะออกมาประเภทที่ทำให้เรื่องราวความรักที่หนังกำลังเล่าอยู่นั่นค่อนข้าง สดใส และ ใส่ลูกเล่นหลายๆอย่างที่จะสามารถทำให้คนดูรู้สึก อิน และเอาใจช่วยตัวละคร พระเอก-นางเอก ให้มารักกันให้ได้ แต่สำหรับ Architecture 101 กลับไม่ได้เลือกตัวเลือกที่ผมกล่าวมา แต่หนังกลับเลือกตัวเลือกที่จะเฉลยให้รู้ตั้งแต่ต้นเรื่องเลยว่า ‘พระนางไม่ได้คู่กัน’

ซึ่งการที่หนังเล่าเรื่องแบบนี้ ถ้าหากฝีไม้ลายมือของผู้กำกับไม่เด็ดพอจริงๆ ตัวหนังก็คงจะกลายเป็นหนังที่อุดมไปด้วยความน่าเบื่อเพราะการที่คนดูได้รู้บทสรุปตั้งแต่ต้นเรื่อง แต่ดูเหมือนกับว่ามันจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับ Architecture 101 เลยสักนิด ที่เล่าเรื่องแบบเฉลยปมให้คนดูรู้เสียก่อน เพราะสิ่งที่ผู้กำกับสามารถใส่เรื่องราวระหว่างความรักของคู่พระนางได้อย่างดี คงหนีไม่พ้นอารมณ์ความกุ๊กกิ๊กน่ารักสไตล์หนังแนว coming of age พร้อมทั้งยังสามารถมีลูกเล่นในการนำเอาเรื่องราวเกี่ยวกับการตั้งคำถามให้กับคนดูว่า ‘คุณยังจำรักครั้งแรกของคุณได้หรือไม่’ เอามาปรุงเสน่ห์ได้อย่างมีสีสัน ที่มาควบคู่ไปกับฉากเรียกน้ำตา

พร้อมทั้งอีกสิ่งที่ผู้กำกับยังถือว่าพอใส่ลูกเล่นเข้ามาได้อย่างมีสีสันพอสมควร ถึงแม้จะยังไม่หนักแน่นเท่าที่ควร แต่ก็ถือว่าพอให้หนังมีรสชาติขึ้นมาอีกหน่อยนั้นคือการที่ผู้กำกับใส่เรื่องราวเกี่ยว การเสียดสียุคสมัย ผ่าน เครื่องใช่ไฟฟ้า ทั้งหลาย พร้อมทั้งยังมีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องราวของ ชนชั้น และ ฐานะ ของคน ที่ว่าคนเราควรจะภูมิใจ และ รู้คุณค่า ในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ไม่ใช่ว่าเวลาจะดูใจคบหากับใครบางคน ต้องพยายามทำให้ตัวเองดูดีมีราคา เพราะหารู้ไม่ว่าเวลา ผู้หญิง บางคนจะคบหากับ ผู้ชาย ไม่ใช่ดูที่ราคาการแต่งตัว แต่หากดูที่จิตใจ และ เนื้อใน ของผู้ชายมากกว่าเสื้อผ้าราคาแพงที่ใส่เสร็จแล้วก็ต้องทิ้งอยู่วันยังค่ำสักวัน

โดยผมก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปากเหมือนกันว่าทุกคนจะชื่นชอบ Architecture 101 เหมือนที่ผมชอบ เพราะสิ่งที่ผมคิดว่ายังเป็นข้อเสียพอสมควรสำหรับ Architecture 101 ก็หนีไม่พ้นข้อเสียเดิมๆของหนังแนวที่เล่าเรื่องราวตัดสลับไปมาระหว่าง ปัจจุบัน และ อดีต ที่ทำให้ตัวเรื่องไม่สามารถดำเนินทางไปเป็นเส้นตรงได้ หนำซ้ำมันยังค่อนข้างมีผลกับฉากเรียกน้ำตาบางฉากด้วยซ้ำไป แถมตัวหนังก็ยังถือว่าไม่ค่อยเน้นเรื่องราวของ บุคคลที่สาม มากนัก ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ และญาติพี่น้อง ถึงแม้ว่าหนังจะมีการปูเรื่องราว ความยากจน ของตัวพระเอกมาแล้วก็ตามที และท้ายสุด Architecture 101 ก็น่าจะเป็นหนังที่ไม่เหมาะที่สุด กับใครก็ตามที่เบื่อหนังสไตล์บีบน้ำตา และมาพร้อมกับความรักน้ำเน่า สไตล์รูปแบบเกาหลี เพราะขอเตือนไว้เลยว่าเขาจัดเต็มมาตลอดเรื่อง

แต่สำหรับผมแล้ว Architecture 101 ก็ถือว่าเป็นหนังแนวบีบน้ำตาสไตล์เกาหลี ที่ถือว่ายังทำออกมาได้ดูสนุก ซาบซึ้ง และค่อนข้างประทับใจกว่าที่คิดไว้ เพราะนอกจากจะมาพร้อมกับฉากกุ๊กกิ๊กมากมาย หนังยังใส่ประเด็นเกี่ยวกับ ฐานะ ความเป็นอยู่ และ เสียดสียุคสมัย ออกมาได้อย่างค่อนข้างโอเคอีกด้วย

เรื่องนี้ผมให้ 8/10 ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5437 เมื่อ: 26/11/13, [09:51:54] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

ATM ตู้ กด ตาย

ไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง หรือว่าคิดจะล้อเลียนอะไรหนังไทยแนวโรแมนติค คอมเมดี้ อย่าง ATM : เออรัก..เออเร่อ ที่เข้าฉายไปเมื่อต้นปี แต่คงเป็นเพราะใจตรงกันพอดีทางฮอลลีวู้ดจึงได้ส่งหนังแนวตู้ ATM มาเช่นเดียวกัน แต่ว่าคนละแนวกันอย่างสิ้นเชิง เพราะของฝั่งฮอลลีวู้ดนี้กลับเป็นแนว สยองขวัญ นั้นเอง

ATM ตู้ กด ตาย ผลงานระทึกขวัญภายในพื้นที่จำกัด เขียนบทโดย คริส สปาร์ลิ่ง ผู้เขียนบท Buried ซึ่งนำแสดงโดย ไรอัน เรย์โนลด์ ที่หลอนระทึกจนได้ใจคนดูมาแล้ว คราวนี้เขาขอสานต่อความสยองอีกครั้งโดยได้สามนักแสดงดาวรุ่งอย่าง อลิซ อีฟ, จอช เพ็ค และ ไบรอัน แกเร็ตตี้ มาร่วมประสบชะตากรรม ในเหตุการณ์ที่จะกระชากขวัญคนดูให้กระเจิง เมื่อเพื่อนร่วม 3 คน ที่หลังจากไปกินเลี้ยงคืนวันคริสต์มาส ก็แวะกดเงินในตู้ ATM กลางลานจอดรถแห่งหนึ่ง แต่หารู้ไม่ว่ามีบุคคลสุดอันตรายจ้องรอที่จะคุกคามเอาชีวิตพวกเขา เพื่อเหตุผลอะไรบางอย่างที่ทำให้คืนนี้กลายเป็นฝันร้ายสยองของพวกเขาทั้ง 3 คนตลอดชีวิต

ATM กำกับการแสดงโดย เดวิด บรูคส์ ผู้กำกับหน้าใหม่ไร้ประสบการณ์ ที่แท็คทีมมากับมือเขียนบท คริส สปาร์ลิ่ง ที่เคยโด่งดังมาจากหนังในสถานการณ์ปิดตายอย่าง Buried โดยในปีนี้ คริส สปาร์ลิ่ง ก็ได้กลับมาเขียนบทกับหนังแนวสถานการณ์ที่บีบรั้น ในสถานที่ปิดตายอีกครั้ง แต่ในคราวนี้เปลี่ยนจากสถานที่ใต้ดิน มาเป็นบนดินแทน และเขาก็เลือกใช้ ตู้เอทีเอ็ม เป็นสถานที่ที่จะทำให้ผู้ชมรู้สึกอึดอัดเช่นเดียวกับตอนดู Buried ซึ่งโดยส่วนตัวผมไม่ได้มีปัญหาอะไรกับการดูหนังสยองขวัญที่ออกมาแนวพล๊อตซ้ำๆเดิมๆ ตัวละครโง่เง่าแบบที่ดูแล้วต้องถอนหายใจอยู่ตลอดทั้งเรื่อง หรือแม้แต่จุดหักมุมที่ต่างก็ออกก็ออกมาซ้ำมากมายจนไม่รู้จะหักมุมกันยังไงอยู่แล้วในสมัยนี้ เพราะว่าสิ่งที่ผมคิดว่าหนังแนวนี้ยังมอบให้กับคนดูได้อยู่คงหนีไม่พ้นด้านของ ความสยองขวัญ นั่นเอง

ซึ่งหนังที่ผมอ้างอิงมาจากข้างต้นก็มีอยู่มากมายก่ายกองไม่ว่าจะเป็น Wrong Turn , Cabin Fever หรือแม้แต่ Friday The 13th ภาครีเมคก็ตาม เพราะอย่างที่บอกว่าถึงแม้หนังที่ยกตัวอย่างมาจะไม่ได้เล่นในสถานที่ปิดตายอย่าง ATM แต่ว่าในด้านของความสยองขวัญ และฉากที่ทำให้คนดูสะดุ้งก็ยังถือว่าเป็นจุดขายสำคัญของหนังได้อยู่ แต่สิ่งเหล่านั้นมันกลับไม่ใช่กับหนังเรื่อง ATM สักเท่าไหร่นัก เพราะหลังจากดูจบ ผมกลับไม่ได้ความรู้สึกใดๆของหนังออกไปเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นด้านของ ความสยองขวัญ , อารมณ์ร่วมที่หนังพยายามจะให้คนดูเอาใจช่วยตัวละคร หรือแม้แต่เหตุผลดีๆในการฆ่าของฆาตรกรในหนัง

เพราะสิ่งแรกที่ดูเหมือนว่าจะเป็นการปิดความสนุกของตัว ATM เองเลยคงหนีไม่พ้นการที่หนังเลือกใช้ ตู้เอทีเอ็ม ที่บรรจุ ตัวละคร 3 คน ที่กลับมายืนกลัวหัวหดตดหายกับ ฆาตรกรลึกลับ เพียงคนเดียว โดยถ้าหากฆาตรกรเหล่านั้นมันมากันเป็นกองทัพ หมื่นแสนล้าน คน ผมจะไม่ว่าเลยที่หนังจะเล่นในสถานที่ปิดตาย แต่ในหนังมันกลับมาเพียง 1 คน โดยถ้าหากมองตามหลักความจริง เพียงแค่ให้ตัวละครนึงไปล๊อค อีกตัวละครวิ่งหนีไปสตาร์ทรถ ส่วนอีกหนึ่งก็รุมยำฆาตรกร หนังก็คงจบง่ายดายเพียงแค่ภายใน 5 นาที แต่มันกลับไม่ใช่อย่างงั้นเพราะ ATM ตู้ กด ตาย มันกลับดันทุรังที่จะสร้างต่อไป และสิ่งที่คนดูได้รับจากหนังชิ้นใหญ่ๆเลยคือ ความน่ารำคาญของตัวละคร , ความไม่น่าเกรงขามของตัวละคร และ การที่หนังหลุดจากหลักความเป็นจริงของโลกมนุษย์โดยสิ้นเชิงเลยจริงๆ

พร้อมทั้งสิ่งที่น่ารำคาญไม่แพ้กับบทที่ไม่สมเหตุสมผลของหนังคงหนีไม่พ้นการแสดงที่ โอเว่อร์ แอ็คติ้ง ของเหล่านักแสดงหน้าใหม่ไม่ว่าจะเป็น จอช เพ็คค์ หรือแม้แต่ ไบรอัน เจแร็คตี้ ที่มาในบทบาทของตัวละครชาย ที่ถ่ายทอดการแสดงออกมาได้ค่อนข้างน่ารำคาญ ซึ่งดูเหมือนจะมีเพียงสาว อลิซ อีฟ ที่ยังพอโชว์ความมีคุณภาพได้อยู่ในระดับหนึ่ง และท้ายสุดสิ่งที่น่าผิดหวังที่สุดของ ATM คงหนีไม่พ้นการที่หนังยังไม่สามารถทำจุดขายของตัวเองอย่าง ฉากระทึกขวัญ ให้ไปถึงดวงดาวได้เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะหลายๆฉากระทึกขวัญของหนังผมคิดว่า ให้ย้อนกลับไปดู The Exorcist ที่ผ่านมาแล้ว 40 กว่าปียังจะแลดูระทึกกว่า

ซึ่งโดยสรุปแล้ว ATM ตู้ กด ตาย ฉบับฮอลลีวู้ด มันจึงกลายเป็นหนังเกรดบีเล็กๆเรื่องนึง ที่ไม่ใช่แลดูแย่เพียงแค่ภายนอก แต่ภายในของหนังไม่ว่าจะเป็น ฉากระทึกขวัญ , ตัวบท , ความสมเหตุสมผล และ นักแสดง ก็แลดูแย่ และน่าจะเป็นหนังที่คอหนังสยองขวัญสามารถจะเดาบทได้หมดแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

เรื่องนี้ผมให้ 4/10 ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5438 เมื่อ: 26/11/13, [09:52:08] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

Magic Mike เขย่าฝันสะบัดซิกแพค

เป็นหนังที่ค่ายในไทยได้โปรโมทออกนอกหน้าไว้เหมือนละม้าย จะคล้ายหนังที่ขายแต่ ซิกแพ็ค ของเหล่า หนุ่มๆ อาทิ แชนนิ่ง เททั่ม และอีกมากมาย โดยที่หารู้ไม่ว่าเนื้อเด็ดที่สุดของหนังมันกลับอยู่ที่ภายในซิกแพคเหล่านั่น ที่ตัวหนังได้เข้าฉายให้คนทุกเพศ แต่ไม่เหมาะกับทุกวัยเข้าชมแล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปครับ

Magic Mike เป็นหนังที่ได้ถูกดัดแปลงมาจากชีวิตของ แชนนิ่ง เททั่ม ก่อนเข้าวงการฮอลลีวู๊ด เมื่อ อดัม เลือกที่อยากจะเต้นระบำเปลื้องผ้า ความเร่าร้อนของการเต้นเปลื้องผ้าบนเวที จากนักเต้นรุ่นพี่อย่าง ?ไมค์? ซึ่งสาเหตุที่เขาเลือกเพราะเป็นงานที่หาเงินได้ง่าย เพียงแค่ใช้สรีระ รวมถึงผู้หญิงและปาร์ตี้ที่มันส์สุดเหวี่ยงในชีวิตของเขา สาวน้อยสาวใหญ่เตรียมน้ำหลายไหลย้อยกันได้เลย เพราะแชนนิ่ง เททั่ม จะสลัดผ้าให้เหลือน้อยชิ้นที่สุดในหนังเรื่องนี้ ด้วยบทบาทที่เขาจะเล่นเป็นหนุ่มระบำเปลื้องผ้า ซึ่งใครจะรู้หรือไม่ว่า หนังเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริง ชีวิตจริงของ เททั่มเองด้วย ก่อนที่เขาจะเข้ามาวงการฮอลลีวูดและโด่งดังกัน

Magic Mike กำกับการแสดงโดยผู้กำกับ สตีเว่น โซเดอร์เบิร์ก ที่หลังจากที่เห็นเนื้อหนังในตอนแรก หลายๆคนก็ต่างสาปแช่งว่าตัวหนังจะไม่ได้ทั้ง กล่องเงิน และ คำวิจารณ์ แต่หลังจากอาทิตย์ที่ผ่านมาคนที่แช่งเหล่านั่นก็ต้องตกเก้าอี้กันไปหลายขมับ เพราะตัวหนังเปิดตัวสูงถึง 39 ล้านเหรียญ ซึ่งมากทีเดียวสำหรับหนังเรต อาร์ พร้อมทั้งยังได้รับคำชมจากมะเขือเน่าไปสูงถึง 79% อีกด้วย โดยดูเหมือนจะเป็นขาขึ้นของผู้กำกับคนเก่งอย่าง สตีเว่น โซเดอร์เบิร์ก จริงๆ เพราะหลังจากในปีที่แล้วพาเราไปติดเชื้อไวรัสใน Contagion มาแล้ว แถมต้นปีก็ยังพาเราไปลุยกับสาวสุดห้าวใน Haywire ก็ดูเหมือนกับว่าการที่ผู้กำกับผลิตหนังมาถี่ประมาณ 1-2 เรื่องภายในแต่ละปี จะไม่ใช่ปัญหาในด้านของคุณภาพในตัวหนังเลยสักนิด ต่างจากผู้กำกับอีกหลายๆคนที่รีบผลิตหนังโดยไม่สนคุณภาพ

เพราะดูเหมือนว่า Magic Mike จะกลายเป็นหนังที่เตรียมติดหนังสร้างชื่อให้กับผู้กำกับ สตีเว่น โซเดอร์เบิร์ก ได้เลยทีเดียว เพราะนอกจากการที่หนังได้มีการตลาดแนวขายทั้งเหล่าหญิงแท้ และ หญิงเทียม ได้อย่างอยู่หมัด เนื้อในของหนังก็ยังถือว่าสามารถมัดใจคนดูทุกเพศได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย เพราะ Magic Mike เป็นหนังที่พูดถึงเรื่องราวของ ความฝัน , การใช้ชีวิต และ กาลเวลา ของมนุษย์เรา ที่หนังได้ตั้งโจทย์ที่จี๊ดโดนใจไว้ว่า ‘ในตอนเราวัยรุ่น พวกเราหลายๆคนก็ต้องการแค่ชีวิตที่สุดเหวี่ยง แต่หลังจากเราเลยวัยนั่นมาแล้ว สิ่งที่เราต้องการมันกลับเป็นความมั่นคงในชีวิตเสียมากกว่า’ ผ่าน 2 ตัวละครหลักอย่าง อดัม และ ไมค์

โดยหนังสามารถถ่ายทอดประเด็นเหล่านั่นผ่านการดำเนินเรื่องที่ดูเหมือนจะให้ คนดู มีความรู้สึกเป็นตัวละครได้อย่างดีเยี่ยม ที่ในทีแรกหนังก็จะพาเราหลงเสน่ห์ไปกับชีวิตยามราตรี เงินดี หญิงมา ไปด้วยฉากเต้นที่มีทั้ง ลีลา และ ท่า มัดใจสาวน้อย สาวใหญ่ ได้อย่างดีเยี่ยม ก็ไม่ต่างอะไรจากตัวละคร อดัม ชายหนุ่มที่เพิ่งก้าวเข้ามาสู่โลกของแสงสีที่ตื่นตัวเป็นธรรมดา แต่หลังจากนั่นหนังก็ได้เสนอให้เราเห็นถึงด้านมืดของโลกราตรีแห่งนี้ ว่าเมื่อเราหลงไปในโลกของมายามากๆ สิ่งที่ทำให้เราต้องออกนอกทางก็คงหนีไม่พ้น ยาเสพติด , เซ็กห์ และความโลภมาก โดยหลังจากนั่นหนังก็เริ่มโชว์ฉากเต้นที่ค่อนข้างน่าเบื่อ และไม่น่าหวือหวาอีกต่อไป จนทำให้เรารู้สึกกลายเป็นตัวละคร ไมค์ ที่เบื่อหน่ายต่อชีวิตในโลกมายา และต้องการความมั่นคง เพราะเขาก็ไม่ใช่คนที่จะมาเต้นได้ตลอดนะ

ซึ่งดูเหมือนนอกจากหนังจะสามารถจับประเด็นเกี่ยวกับการใช้ความฝัน ควบคู่ไปกับเรื่องราวของกาลเวลาได้ดีเยี่ยมแล้ว หนังยังสามารถทำให้คนดูทุกเพศ ทุกวัย สนุกไปกับฉากการเต้นของเหล่า แดนเซอร์ชาย ได้อย่างมีเสน่ห์ และเหมือนโดนเวทมนตร์ของ ไมค์ ตามชื่อหนังเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากการเต้นที่ยังถือว่าเอาอยู่ของ เททั่ม นักแสดงแทบทุกคนในหนังก็ยังตีบทแตกไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น อเล็กซ์ เพ็ตติเฟอร์ ที่พัฒนาการแสดงได้อย่างเห็นได้ชัด , แชนนิ่ง เททั่ม ที่นอกจากจะเต้นเก่งแล้วยังสามารถอินไปกับตัวละคร ไมค์ แบบที่คนดูจับต้องได้ และปิดท้ายด้วย แมทธิว แม็คคอนาเฮย์ ที่ตีบทแตกกระจุยได้ดีที่สุดของเรื่อง

เพราะฉะนั้นโดยรวมแล้ว Magic Mike จึงถือว่าเป็นหนังที่ไม่ได้มีขายแค่เหล่า ซิกแพค และ ชายหนุ่ม แต่มันกลับเต็มไปด้วยประเด็นเสียดสีการใช้ชีวิต ของคนสมัยนี่ ที่มัวแต่สนุกกับโลกมายาในวัย 19 จนลืมนึกไปว่าในวัยย่างเข้า 40 ของตัวเองจะต้องการความมั่นคงมากกว่า ได้อย่างสนุกสนาน และจุกในตอนจบ

เรื่องนี้ผมให้ 9/10 ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5439 เมื่อ: 26/11/13, [09:52:19] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

The Prodigies 3D 5 พลังจิตสังหารโลก

เป็นอนิเมชั่นตัวละครออกมาแบบเหลี่ยมๆจาก ฝรั่งเศส ที่ตัวอนิเมชั่นเองก็ไม่ได้มีชื่อเสียงทั้งด้านคำวิจารณ์ หรือว่าด้านรายได้ที่โด่งดังมาจนถึงหูของฮอลลีวู้ด หรือประเทศไทยเราสักเท่าไหร่ แต่ไม่รู้อะไรยังไงค่าย เอ็ม พิคเจอร์ส จึงได้ซื้อหนังอนิเมชั่นเรื่องนี้เข้ามาให้คนไทยเราได้ลองรับรสชาติแปลกใหม่ดูด้วย

นิวยอร์ก ซิตี้, เซ็นทรัลปาร์ค ปี 2010 วัยรุ่นห้าคนถูกทำร้ายอย่างทารุณ แต่พวกเขาไม่ใช่วัยรุ่นธรรมดาๆ?พวกเขามีพลังพิศษ ความทุกข์ทรมานที่เกิดจากการถูกทำร้ายกระตุ้นให้พวกเขาแก้แค้นโลกอย่างเย็น ชาด้วยการวางแผนอย่างดี อัจฉริยะผู้เย็นชาห้าคนได้มาร่วมตัวกันเพื่อวางแผนการแก้แค้นที่สมบูรณ์แบบ คนเพียงคนเดียวที่ตระหนักถึงหายนะที่รออยู่เบื้องหน้าคือจิมโบ้ ฟาร์ราร์ ผู้มีพลังพิเศษคนที่หก ตราบเท่าที่เขาสู้กับผู้มีพลังพิเศษทั้งห้าคนสุดแรงเกิด โลกใบนี้ก็ยังคงมีความหวังอยู่ แต่ถ้าเขาเปลี่ยนไปเข้าข้างพวกเขา หายนะรุนแรงถึงขั้นการทำลายล้างโลกก็จะบังเกิดขึ้นแน่นอน ฉายแล้ววันนี้เฉพาะในระบบ 3D

The Prodigies กำกับการแสดงโดย อังตวน ชาร์เรย์รอน ผู้กำกับชาวฝรั่งเศส ที่ผันตัวเองจากการเคยทำกำกับ วีดีโอเกมส์ อาทิเช่น Lara Croft Tomb Raider: The Angel of Darkness มาลองทำหนังใหญ่ดูสักครั้ง และหนังที่เขาเลือกก็เป็นหนังอนิเมชั่นที่น่าจะเป็นแนวถนัดในการสร้างของผู้กำกับคนนี่อยู่แล้ว โดยตัวหนังก็ได้ดัดแปลงมาจากนิยายในชื่อว่า The Night of the Child Kings นิยายเบสต์เซลเลอร์ยุค 80s โดย เบอร์นาร์ด เลนเทอริค โดยนำมาเนรมิตใหม่ให้กลายเป็นอนิเมชั่นแนว ไซไฟ ดาร์คๆ ที่เผยให้เห็นถึงด้านมืดของเหล่าบุคคลที่ถูกสังคมกดขี่ และ รังแก ซึ่งก่อนอื่นต้องขอเตือนก่อนเลยว่า ใครที่จะพาเหล่าบุตรหลาน ไปดู The Prodigies ผมต้องขอบอกว่าไม่แนะนำเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากหนังจะมีทั้งบทสนทนา และ ธีมที่ดาร์คพอสมควรเกินได้แล้วนั่น

หนังยังกลับเต็มไปด้วยฉากโหดๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการยิงกันเลือดกระจุย , คอขาด หรือแม้แต่การข่มขืน ที่ตัวหนังก็ออกตัวอย่างชัดเจนเลยว่า นี่เป็นอนิเมชั่นสำหรับผู้ใหญ่ เพราะนอกจากความรุนแรงที่หนังใส่เข้ามาแล้ว ประเด็นของหนังก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ประเด็นเบาๆเลยสำหรับเด็กๆ และอาจจะไปกระตุ้มต่อมของผู้ใหญ่หลายๆคนด้วยเช่นกัน เพราะ The Prodigies เป็นอนิเมชั่นที่พยายามพูด และ เสียดสี ถึงสังคมอันโหดร้ายของทั่วโลกในตอนนี้ ที่เต็มไปด้วยการ กดขี่ , ข่มเหง และ รังแก เหล่าเด็กๆจากผู้ใหญ่ใจร้ายหลายๆคน โดยหนังก็ได้ตั้งคำถามแก่คนดูไปพร้อมกันเลยว่า ‘จะเป็นอย่างไรถ้าเด็กเหล่านี้ทำลายล้างโลกได้’

ซึ่งโดยหลังจากหนังได้ตั้งคำถามนั่น หนังก็ยังถือว่าเก๋ไก๋ตรงที่สามารถตอบปัญหาของหนังที่ตั้งมาตั้งแต่ต้นได้ตั้งแต่กลางเรื่อง ว่าเมื่อเด็กที่โดนสังคมรังแกมีพลัง พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากการนำพลังเหล่านั่นไปใช้ในทางที่ผิด ทั้งที่พวกเขาไม่ได้คำนึงถึงเลยว่า ความรุนแรง นั่นอาจจะไม่ใช่ทางออกของทุกปัญหา โดยหลังจากหนังได้ตั้งคำถาม และ ตอบคำถามไปทันทีแล้ว ในช่วงท้ายของหนังจึงเต็มไปด้วยการที่ผู้กำกับพยายามทำให้ตัวหนังดูสนุกแนวผู้ใหญ่ โดยการใส่ธีมดาร์คเกี่ยวกับ ความรุนแรง ไปพร้อมกับฉากแอ็คชั่นหลายๆฉาก ที่ถึงแม้ว่าดูแล้วมันอาจจะดันไปคล้ายกับหนังฮอลลีวู้ดหลายๆเรื่องไม่ว่าจะเป็น X-Men 2 หรือแม้แต่ Salt แต่ถ้าหากเราดูแบบไม่ได้เครียดอะไรมากมาย ก็ถือว่าเป็นอนิเมชั่นที่ถือว่ามีฉากแอ็คชั่นมาให้ดูสนุกเป็นน้ำจิ้มพอสมควร

แต่ก็ใช่ว่า The Prodigies จะไม่ได้มีปัญหาอะไรเลยด้านบทของหนัง เพราะสิ่งที่น่าเสียดายที่สุดของ The Prodigies คงหนีไม่พ้นการที่หนังได้มีวัตถุดิบดีๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวในอดีตของตัวละครนำอย่าง จิมโบ หรือแม้แต่ฉากการข่มขืนสุดมืดม่นที่ตีแผ่สังคมคนเมืองหรู ที่ปัญหาหลักๆที่หนังไม่สามารถพลักดันสิ่งเหล่านี่ไปได้สุดคงหนีไม่พ้นการที่หนังได้ทำออกมาเป็น ‘อนิเมชั่น’ เสียมากกว่า เพราะเอาเข้าจริงๆ ถ้าหาก The Prodigies ออกมาเป็นหนังคนแสดงผมคิดว่ามันน่าจะสามารถต่อยอดและสามารถตีแผ่เรื่องราวความรุนแรงของคนเมืองออกมาได้อย่างดีกว่านี่ทีเดียว แถมฉากแอ็คชั่นอาจจะมันส์กว่านี่ด้วยนะ

แต่อย่างไรก็ตามสำหรับ The Prodigies ก็ยังถือว่าเป็นอนิเมชั่นที่ดูดีเกินคาดในความคิดเห็นของผม เพราะหนังยังสามารถพูดถึงประเด็นการกดขี่ และ ข่มเหง มาพร้อมกับธีมดาร์คแนวผู้ใหญ่ออกมาได้โอเคอยู่เลยครับ

เรื่องนี้ผมให้ 7/10 ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5440 เมื่อ: 26/11/13, [10:01:17] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5441 เมื่อ: 26/11/13, [10:01:41] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5442 เมื่อ: 26/11/13, [10:02:00] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5443 เมื่อ: 26/11/13, [10:02:21] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5444 เมื่อ: 26/11/13, [10:02:56] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5445 เมื่อ: 26/11/13, [10:03:19] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5446 เมื่อ: 26/11/13, [10:03:43] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5447 เมื่อ: 26/11/13, [10:04:00] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5448 เมื่อ: 26/11/13, [10:04:17] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5449 เมื่อ: 26/11/13, [10:04:36] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5450 เมื่อ: 26/11/13, [10:51:01] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
Red Dog
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5451 เมื่อ: 26/11/13, [10:52:20] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
Chernobyl Diaries
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5452 เมื่อ: 26/11/13, [10:54:30] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
How I Spent My Summer Vacation  คนมหากาฬระอุ
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5453 เมื่อ: 26/11/13, [11:02:27] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
SnowWhite and the Huntsman สโนว์ไวท์และพรานป่า
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5454 เมื่อ: 26/11/13, [12:59:56] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ








เรื่องอะไรครับ ?
เฉลยครับ  อาบรักกระบี่คม ภาค 1 Sex & Zen

เรื่องราวของชายหนุ่มที่ได้แต่งงานกับสาว สวยนางหนึ่ง แต่เพราะไม่เสร็จสมอารมณ์หมายในคืนวันแต่งงาน เขาจึงออกเดินทางเอาชนะใจหญิงสาวให้ได้มากที่สุด และความที่เขามัวลุ่มหลงแต่กามารมณ์ จึงทำให้ชีวิตเขาตกต่ำลง ส่วนภรรยาของเขาถูกบังคับให้ไปเปนโสเภณีในซ่อง ท้ายที่สุดเขาทั้งสองได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้งแต่ชีวิตของทั้งคู่ไม่ เป็นเหมือนเดิมอีกต่อไป

เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5455 เมื่อ: 26/11/13, [13:06:22] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ








เรื่องอะไรครับ ?
ถูกต้องครับ  [เจ๋ง] The East (2013) เดอะอีสต์ ทีมจารชนโค่นองค์กรโฉด

จากผู้อำนวยการสร้าง ริดลี่ย์ สก็อตต์ และผู้กำกับ ซัล บัทมังกลิจ สู่ภาพยนตร์ทริลเลอร์เซ็กซี่ลุ้นระทึกที่มาพร้อมดารามากฝีมืออย่าง อเล็กซานเดอร์ สการ์สการ์ด และนักแสดงชิงออสการ์ เอลเลน เพจ เมื่อซาร่าห์ มอส (บริท มาร์ลิ่ง) ถูกว่าจ้างจากหน่วยงานสายลับเอกชนให้ทำภารกิจอันตรายด้วยการแทรกซึมเข้าไปอยู่ในกลุ่มนักกิจกรรมหัวรุนแรงที่ดำเนินยุทธวิธีแบบกองโจรโดยใช้ชื่อว่า "เดอะ อีสต์" โดยซาร่าห์ต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่ดูเหมือนจะรอดพ้นความผิดในการโจมตีทำร้ายเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่เมื่อการเคลื่อนไหวของเดอะ อีสต์ ยิ่งบานปลายมากขึ้นเท่าไหร่ ชีวิตของซาร่าห์ก็ตกอยู่ในอันตรายมากขึ้นเท่านั้น

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26/11/13, [13:31:11] โดย เอสวา »
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5456 เมื่อ: 26/11/13, [13:42:04] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

อันธพาล ครับ  [เจ๋ง]
Undel2line™ ออฟไลน์
Club Champion
« ตอบ #5457 เมื่อ: 26/11/13, [22:38:08] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?


RED DOG

ครับเรื่องนี้สนุกมากดูแล้วน้ำตาไหลและหัวเราะไปด้วยเรื่องนี้สนุกจริงๆครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5458 เมื่อ: 26/11/13, [22:46:35] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ


RED DOG

ครับเรื่องนี้สนุกมากดูแล้วน้ำตาไหลและหัวเราะไปด้วยเรื่องนี้สนุกจริงๆครับ

มีคนตอบไปแล้วครับ
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5459 เมื่อ: 27/11/13, [00:13:58] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
Art Idol อยากให้เธอรู้ว่ากูติสท์
หน้า: 1 ... 180 181 182 183 184 ... 201   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: