Aqua.c1ub.net
*
  Wed 29/Oct/2025
หน้า: 1   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: สิ่งดี ๆ ...ที่มากับน้ำท่วม !!  (อ่าน 685 ครั้ง)
Smurfy Cray !! ออฟไลน์
Club Veteran
« เมื่อ: 23/10/11, [22:29:39] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการสลายกลุ่ม สลายสี ไม่มีขั้ว ไม่มีข้าง ไม่แบ่งฝ่าย

 [on_066] [on_066] [on_066] [on_066] [on_066] [on_066] [on_066] [on_066]

มีหลายประเทศที่ต้องเผชิญกับภัยธรรมชาตินานา เป็นประจำทุกเดือน ทุกปี ไม่ว่าจะเป็นแผ่นดินไหว สึนามิ ภูเขาไฟ วาตภัย อุทกภัย แต่บางประเทศในนั้นสามารถอยู่ร่วมได้ โดยประชาชนในชาติมีความรู้ มีจิตสำนึก และเอื้ออาทรช่วยเหลือซึ่งกันและกัน จนไม่ได้คิดว่าเป็นปัญหาใหญ่ แต่อยู่ร่วมกับมันได้ และมีความเชื่อมั่นในกลุ่มคน ชุมชน สังคม และผู้บริหารประเทศ ว่าจะสามารถช่วยกันดำเนินการในสิ่งที่เป็นความรับผิดชอบของตนได้โดยไม่มีปัญหา นั่นเป็นเพราะว่ามีความเชื่อมั่นในกันและกัน และเชื่อว่าทุกคนจะรับผิดชอบในบทบาท หน้าที่ที่ตนเองต้องทำโดยไม่ขาดตกบกพร่อง

สำหรับประเทศไทยภัยธรรมชาติที่เป็นปัญหาใหญ่ น่าจะไม่พ้นภัยที่เกี่ยวกับน้ำ ไม่ว่าจะน้ำมาก (อุทกภัย) หรือน้ำไม่มี (ภัยแล้ง) แม้ว่าเราจะชินชากับมันและแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้า อย่างเช่นที่บางคนพูดว่า “ยุทธศาสตร์กระสอบทราย” ขาดการจัดการน้ำและลุ่มน้ำอย่างเป็นระบบ จนผู้ที่มีหน้าที่อาจมองว่าเป็นปัญหาเรื่องน้ำที่เกิดเป็นประจำทุกปี และคิดว่าไม่น่าจะรุกรามใหญ่โต แต่กว่าจะตระหนักถึงภัยพิบัติ ก็เรียกว่าถึงขั้นหนักหนาสาหัสจริงๆ เพราะน้ำเริ่มไม่ไปตามคูคลองล่องน้ำ ปริมาณน้ำในที่เก็บกักไม่ว่าจะเขื่อน บึง หรือแก้มลิงเริ่มรับไม่ไหว จนต้องปล่อยออกมาบ้าง

ยุทธศาสตร์มากมายที่ระดมงัดออกมาใช้ในทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเป็น “ยุทธศาสตร์สู้น้ำ” ด้วยการสร้างแนวพนังกั้นน้ำในแนวขวาง และชะลอความเร็วลง “ยุทธศาสตร์รับน้ำ” ด้วยการเพิ่มระดับการกักเก็บน้ำของเขื่อนและอ่างเก็บน้ำต่างๆ การหาพื้นที่ว่างที่ไม่ใช้ประโยชน์เพื่อให้น้ำเข้าไปอยู่ชั่วคราว เพื่อหวังพร่องน้ำให้ลดระดับลงไปบ้าง และ  “ยุทธศาสตร์ระบายน้ำ” ด้วยการขุดคูคลองเดิมให้ลึกขึ้น ขุดรอกทางน้ำสาธารณะและขยะที่อาจจะไปอุดตันให้ปลอดโปร่งโล่งสะดวก การระดมเรือผลักดันน้ำในเจ้าพระยา รวมไปถึงการสร้างคูคลองเพิ่มเติมทางด้านตะวันตกของกรุงเทพฯ เพื่อเพิ่มช่องทางปล่อยน้ำลงสู่ทะเลให้เร็วที่สุด

ทั้งหลายเหล่านี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชนในทุกพื้นที่ ในภาวะที่ความเชื่อมั่นในผู้นำอาจจะลดหดหายลงไปบ้าง หลายคนหันไปช่วยเหลือตัวเองเป็นหลัก แต่ยังไงรัฐบาลก็ต้องเรียกความเชื่อมั่นกลับมาให้ได้ ด้วยการทำงานอย่างเป็นระบบและมีเอกภาพ

ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนภัย การให้ข้อมูล และการรายงานจุดเกิดเหตุผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่รวดเร็ว ทันเหตุการณ์ และสามารถสอบทานเพื่อยืนยันความถูกต้องแม่นยำได้ อย่างน้อยเราก็รู้ว่ามีหลายหน่วยงานที่มีข้อมูลทั้งภูมิศาสตร์ อุทกศาสตร์ และตัวแบบจำลอง ซึ่งทำให้ประชาชนสามารถเห็นได้ถึงแนวโน้มของการเกิดเหตการณ์ในอนาคต

แต่สิ่งดีๆที่ไม่ได้เกิดขึ้นมานานหลายปีแล้ว ก็เกิดขึ้นได้ในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นการสลายกลุ่ม สลายสี ไม่มีขั้ว ไม่มีข้าง ไม่แบ่งฝ่าย มีแต่ความมุ่งมั่นตั้งใจเดียวกันที่จะช่วยเหลือผู้ที่ประสบเหตุ ป้องกันพื้นที่จากน้ำหลาก ระวังภัยจากโจรขโมย บริจาคเงินและสิ่งของ ตั้งโรงครัว แจกจ่ายเสบียงไปยังจุดต่างๆ ไม่นิ่งดูดาย คนละไม้ละมือช่วยกัน ใครเตรียมพร้อมจัดการบ้านตนเองเสร็จแล้ว ก็มาแบ่งแรงงานช่วยเหลือส่วนรวม

หลากแบบหลายวิธีการสร้างแนวป้องกันในช่วงเวลาที่ทรายขาดแคลน เสื้อชูชีพอย่างง่ายๆที่ใครๆก็ทำได้จากวัสดุเหลือใช้ที่ได้จากการบริจาค(ขวดน้ำดื่มใช้แล้ว) และอีกมากมายสารพัดที่ช่วยกันคิดและแบ่งปันกันในสื่อสังคมออนไลน์ การดำรงชีพด้วยอาหารและน้ำที่จำกัด(ไม่มีเหลือให้ฟุ่มเฟือยเหมือนแต่ก่อน) การอยู่ได้แม้ไม่มีไฟฟ้า การหัดใช้เรือพาย(ที่มีน้อยคนแล้วที่จะพายเป็น) การเรียนรู้ภูมิศาสตร์และสถานที่ต่างๆของไทย การรายงานข่าวโดยประชาชนคนในพื้นที่ การได้รู้จักเพื่อนบ้านและชุมชนของตน(จากเดิมที่ต่างคนต่างอยู่) และการให้กำลังใจซึ่งกันและกัน

มาตรการรับมือภัยพิบัติที่เรียกว่า 2P2R ที่นายกรัฐมนตรีกล่าวไว้หลายโอกาสในช่วงแรกๆ จนเลิกพูดถึงไปแล้ว อันได้แก่

การเตรียมพร้อมรับภัยพิบัติ (P-Preparedness) – ด้วยการติดตามสถานการณ์ภูมิอากาศ ระบบการพยากรณ์ ตลอดจนแผนที่แสดงความรุนแรงของภัยพิบัติ การกำหนดเจ้าภาพรับผิดชอบ รวมถึงเตรียมแผนอพยพที่มีความพร้อม และซักซ้อมเป็นระยะ

การจัดการในภาวะฉุกเฉิน (R-Response) มาตรการลดผลกระทบเฉพาะหน้าจากเหตุการณ์ อาทิ ปฎิบัตการค้นหา กู้ภัย จัดส่งถุงยังชีพ เสบียงอาหาร น้ำสะอาด ยาสามัญ ขนย้ายผู้ป่วย และช่วยเหลือเยียวยาผู้เดือดร้อน

การจัดการหลังเกิดภัยพิบัติ (R-Recovery) การฟื้นฟูชุมชนที่ได้รับน้ำท่วมให้กลับสู่สถานการณ์ปกติ อาทิ ซ่อมแซมบ้านเรือน สาธารณูปโภค การคมนาคมขนส่ง ระบบสื่อสาร และฟื้นฟูสภาพจิตใจโดยส่งจิตแพทย์ นักจิตวิทยา และนักสังคมสงเคราะห์ลงพื้นที่เก็บข้อมูลอย่างทั่วถึง

การป้องกันและลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ (P-Prevention) ประเมินผลกระทบจากภัยพิบัติ การพัฒนาตัวแบบพยากรณ์และคาดการณ์สภาวะแวดล้อมที่มีความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น วางมาตรการใช้ที่ดิน วิเคราะห์ความเสี่ยงและความรุนแรง วางระบบเตือนภัยที่ทำงานได้ทันท่วงที และจัดทำแผนสำรอง แผนฉุกเฉินที่เพิ่มระดับความเข้มข้นมากขึ้น

ซึ่งเป็นหลักการที่ดี แต่ถ้านำมาพิจารณาร่วมกับเหตุการณ์จริง จะเห็นโอฟี (Opportunity for Improvement – OFI) มากมายหลายเรื่องที่รัฐบาลจะต้องเร่งให้เกิดเป็นแผนป้องกันภัยพิบัติแห่งชาติให้ได้ หวังว่าปัญหาจะผ่านพ้นไปในเร็ววัน แต่ขอให้น้ำใจและการช่วยเหลือเกื้อกูลกันนี้ดำรงอยู่ไปนานๆ

 


Tags : จำลักษณ์ ขุนพลแก้ว
หน้า: 1   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: