Aqua.c1ub.net
*
  Wed 22/Oct/2025
หน้า: 1   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: มีสูตรเลี้ยงปลาทองดีดีมาบอก  (อ่าน 22338 ครั้ง)
0lf ออฟไลน์
Club Member
« เมื่อ: 16/08/11, [20:01:24] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ทำให้โตเร็ว
ให้อาหารสดครับ ลูกน้ำดีที่สุด  ไรแดงด้วยจะโตเร็ว  แต่ข้อเสียคือน้ำจะขุ่นและเสียเร็ว ถ้าน้ำขุ่นให้เปลี่ยนน้ำดีกว่านะครับ บางคนไม่อยากเปลี่ยนน้ำใช้น้ำยาปรับใสแทน ไม่ดีครับ เพราะตัวปลาจะปรับสภาพตามนั้น พอมาเปลี่ยนน้ำอีกทีปลาจะว่ายเอื่อยๆบางตัวก็หงายท้องไปซะงั้น จะทำให้ไม่สบายใจกันเปล่าๆ และอีกอย่างที่อยากแนะนำคือ แหนครับ  แหนเล็กๆเขียวๆนี่แหล่ะทำให้ปลาทองโตเร็ว เคยไปเยี่ยมชมฟาร์มปลาที่ ปากท่อ ราชบุรีที่บ่อนี้เขามีเคล็ดลับครับเขาเลี้ยงแหนไว้ให้ปลากินกันเลย ผมเคยลองมาแล้วปลาชอบมากครับ  แต่จะโตเร็วโตช้าก็ขึ้นอยู่กับใจคนเลี้ยงครับว่าร้อนแค่ไหน  
ทำให้สวย
มีผู้กล่าวว่า ถ้าเลือกซื้อปลาที่สวยและมีสายเลือดที่ดี นำไปเลี้ยงแล้วปลามีการพัฒนาที่ด้อยลง แสดงให้รู้ว่าฝีมือการเลี้ยงยังไม่ดี ถ้าเลี้ยงแล้วปลาคงสภาพเดิม ฝีมือการเลี้ยงก็อยู่ในระดับทั่วไป แต่ถ้าเลี้ยงไปแล้วปลามีพัฒนาการที่ดีขึ้น ยิ่งโตยิ่งสวยขึ้น ก็เรียกได้ว่า มีฝีมือการเลี้ยงที่ดีมาก การที่จะทำให้การเลี้ยงปลาทองให้โตด้วย และสวยได้ั ไม่ใช่เรื่องยากเย็น การเตรียมความพร้อมให้ครบถ้วนตามที่ได้เขียนไว้ข้างต้น เป็นพื้นฐานของการเลี้ยงปลาให้มีคุณภาพดีได้ ปัจจัยหลักที่สำคัญที่สุด ก็คือ การเอาใจใส่ ดูแลปลา อย่างสม่ำเสมอ การรักษาคุณภาพน้ำให้สะอาดอยู่เสมอ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ควรมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำปลาทองของท่านอยู่เสมอ ๆ หากเปลี่ยนถ่ายน้ำได้ทุกวันยิ่งดี ไม่ใช่เรื่องยากหากท่านมีการเดินท่อน้ำใหม่ และเดินท่อน้ำเก่าทิ้ง เพียงแต่เปิดให้น้ำเก่าไหลทิ้ง ดูดสิ่งสกปรก ขี้ปลา ออก และเปิดเติมน้ำใหม่ลงสู่บ่อทีละน้อย ก็จะทำให้บ่อปลาของท่านมีน้ำที่ใสสะอาดอยู่ตลอดเวลา อุณหภูมิของน้ำใหม่ มักจะสูงกว่าอุณหภูมิของน้ำในบ่อ การเปิดเติมน้ำใหม่ทีละน้อย จะช่วยให้ปลาสามารถปรับตัวได้ และมีสุขภาพแข็งแรง ควรหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนถ่ายน้ำอย่างกระทันหัน เพราะอาจจะทำให้ปลาอ่อนแอ และป่วยได้
การให้อาหารปลา ควรเลือกสรรอาหารปลาที่สะอาด และมีคุณภาพดี ในปัจจุบันอาหารเม็ดก็มีการพัฒนาคุณภาพของสินค้าขึ้นไปมาก มีโปรทีนสูง และอาหารเม็ดบางชนิดก็ช่วยให้ปลาย่อยง่าย ขับถ่ายเป็นปกติ และสามารถซื้อหาได้สะดวก ควรให้อาหารแก่ปลาครั้งละน้อย ให้ปลาสามารถกินหมดได้ภายใน 5-10 นาที หากเป็นปลาเล็ก จนถึงปลาในรุ่นโทไซ ควรให้อาหารบ่อยครั้งเพื่อให้ปลาสมบูรณ์ หากไม่มีเวลามากพอ ก็สามารถหาซื้อเครื่องให้อาหารปลาอัตโนมัติ ซึ่งตั้งเวลาการให้อาหารปลา และจำนวนอาหารมากน้อยตามที่ต้องการได้ การให้อาหารสด จำพวก หนอนแดง ลูกน้ำ ก็จะทำให้ปลามีความสมบูรณ์เต็มที่ แต่ทั้งนี้อาจจะเสี่ยงต่อการติดโรคได้ จึงควรนำอาหารเหล่านี้มาฆ่าเชื้อ โดยการแช่ในน้ำที่ผสมยาที่สามารถฆ่าปรสิต ปลิงใส เห็บ และเชื้อโรคอื่น ๆ ได้ เช่น ยา Aquarium 2 , ไซเตส หรือแช่ในน้ำผสมด่างทับทิม เป็นต้น โดยแช่ไว้ในระยะเวลาประมาณ 30 นาที จากนั้นนำไปล้างในน้ำสะอาดหลาย ๆ เที่ยว แล้วจึงค่อยให้ปลากิน หรืออีกวิธีคือการนำอาหารสดล้างให้สะอาดตามขั้นตอนข้างต้น จากนั้นนำไปแช่ช่องแข็งในตู้เย็น อย่างน้อย 3 วัน แล้วจึงค่อยให้ปลากิน ก็จะสามารถควบคุมโรคได้อย่างดีที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม ้การล้างอาหารสดให้สะอาดก่อนให้ปลากินจะแก้ไขปัญหาของเชื้อโรคที่ติดมาได้ แต่ข้อสำคัญอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้ามก็คือเปลี่ยนถ่ายน้ำให้สะอาดหลังจากการให้อาหารสด
การจับปลาขึ้นมาจากบ่อ ควรใช้กาละมังตักปลาขึ้นมาพร้อมกับน้ำ หรือกระชอนพิเศษที่ทำขึ้นโดยเฉพาะ การจับปลาด้วยมือเปล่าควรล้างมือให้สะอาดก่อน แต่ก็ไม่ควรทำ เพราะอุณหภูมิของมือคนจะอยู่ที่ประมาณ 36.5 องศา แต่อุณหภูมิของปลาจะต่ำกว่ามาก หากต้องการจับปลาด้วยมือจริง ๆ ให้นำมือแช่ไว้ในบ่อปลาสักพักหนึ่งก่อนแล้วค่อยจับ ก็สามารถช่วยได้
เมื่อปลาป่วย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติธรรมดาของสิ่งมีชีวิต ก็ควรรีบทำการรักษาทันที อย่าปล่อยไว้สักระยะแล้วค่อยรักษา เพราะจะทำให้ปลามีอาการทรุดลง และยากต่อการรักษา การที่ปลาจะป่วยได้จะต้องมีสาเหตุ ลองนึกย้อนหลังไปสัก 1-2 วันว่า การเลี้ยงของท่านมีอะไรผิดปกติไปบ้างหรือเปล่า เช่น ให้อาหารสดที่ไม่สะอาด , ปล่อยให้น้ำในบ่อสกปรก โดยไม่เปลี่ยนถ่ายน้ำ, น้ำฝนตกสู่บ่อ เป็นต้น การรักษาในเบื้องต้นคือการเปลี่ยนถ่ายน้ำให้สะอาด แล้วใส่เกลือสะอาดลงไปในบ่อเล็กน้อย งดการให้อาหารเด็ดขาด เปิดออกซิเจนให้แรงขึ้น คอยดูอาการ หากวันรุ่งขึ้นยังไม่ดีขึ้น ให้เติมเกลือลงในบ่อเพิ่ม รวมเป็นประมาณ 300 กรัม ต่อน้ำ 100 ลิตร ตามปกติปลาจะมีอาการดีขึ้นภายใน 1 –2 วัน
สรุปแล้ว ก็คือ น้ำสะอาด อาหารสมบูรณ์ หลีกเลี่ยงที่จะทำให้ปลาต้องปรับสภาพกะทันหัน เพียงเท่านี้ก็สามารถเลี้ยงปลาให้สวยได้แล้ว
ผมรวบรวมวิธีการเลี้ยงปลาทอง โดยอาศัยประสบการณ์ในการเลี้ยงที่ผ่านมา โดยเฉพาะปลาทอง Ranchu, Tosakin และ Jikin และอาศัยการสังเกต และสอบถาม Breeder ที่มีชื่อเสียง จากการที่ได้เดินทางไปเยี่ยมชมฟาร์มปลาที่ประเทศญี่ปุ่น แต่โดยทั่วไปแล้ว ปลาทองทุกสายพันธุ์จะมีวิธีการเลี้ยงที่ใกล้เคียงกัน ทำให้สามารถนำวิธีการเลี้ยงนี้ ไปใช้ได้กับปลาทองทุกชนิด


การเพาะ

ปลาทองจัดว่าเป็นปลาที่ดำเนินการเพาะพันธุ์ได้อย่างง่ายๆ   โดยวิธีการเพาะแบบช่วยธรรมชาติ   ปกติปลาทองจะมีการแพร่พันธุ์วางไข่ในตู้กระจกหรือบ่อที่ใช้เลี้ยงอยู่แล้ว   ซึ่งมักจะไล่ผสมพันธุ์วางไข่ในตอนเช้าของวันถัดไปหลังจากที่ผู้เลี้ยงมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำใหม่ให้   แต่ที่ผู้เลี้ยงไม่พบว่ามีลูกปลาทองเกิดขึ้นในตู้เลี้ยงปลา   เนื่องจากว่าปลาทองเป็นปลาที่ไข่ทิ้งไม่มีการดูแลรักษาไข่   เมื่อวางไข่แล้วก็จะหวนกลับมากินไข่ของตัวเองอีกด้วย   นอกจากนั้นปลาทองตัวอื่นๆหรือปลาชนิดอื่นที่เลี้ยงรวมอยู่ในตู้ด้วย   ก็จะคอยเก็บกินไข่ที่ออกมาด้วย   กว่าที่ไข่ที่เหลืออยู่จะฟักตัวออกมา   ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 2 - 3  วัน   ไข่ก็จะถูกปลาทยอยเก็บกินไปเกือบหมด   ส่วนไข่ที่รอดจากถูกกินจนตัวอ่อนฟักตัวออกมา   ตัวอ่อนที่ยังช่วยตัวเองไม่ได้ก็จะกลายเป็นอาหารที่ดีของปลาต่างๆอีก   เพราะลูกปลาจะมีขนาดพอๆกับลูกน้ำ   ทำให้ถูกจับกินไปจนหมดอย่างรวดเร็ว

                  ดังนั้นหากต้องการลูกปลาทองก็จำเป็นต้องมีการจัดการการเพาะให้ถูกต้อง   จึงจะได้ลูกปลาจำนวนมากตามต้องการ     การเพาะปลาทองจะทำได้ดี   คือ   ปลาวางไข่ง่าย   ตั้งแต่เดือนเมษายน  ถึง  เดือนกันยายน   โดยดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้

6.1 การเตรียมบ่อเพาะ   บ่อที่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลาทองควรเป็นบ่อซีเมนต์   มีขนาดประมาณ  1  ตารางเมตร   ขัดล้างให้สะอาดด้วยแปรงและสบู่แล้วฉีดน้ำล้างหลายๆครั้ง   จากนั้นเตรียมน้ำใหม่ที่ระดับประมาณ  20 - 25  เซนติเมตร  นอกจากนั้นยังอาจใช้กะละมังขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 50 เซนติเมตรเป็นบ่อเพาะปลาทองก็ได้

                  ปลาทองหรือปลาเงินปลาทอง   มีชื่อสามัญว่า  Goldfish   เป็นปลาสวยงามน้ำจืดที่นิยมเลี้ยงมานานแล้ว   จัดเป็นปลาที่ติดตลาด   คือเป็นปลาที่มีจำหน่ายในร้านขายปลาสวยงามทุกร้านและสามารถขายได้ราคาดีตลอดปี   โดยทั่วไปจัดว่ามีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน   ซึ่งชาวจีนจะเรียกปลาทองที่ได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติว่า Chi Yu  และเรียกปลาทองที่เลี้ยงอยู่ตามบ้านว่า Chin Chi Yu   ในประเทศญี่ปุ่น   ปลาทองได้รับความนิยมเลี้ยงกันอย่างมาก   และมีการพัฒนาวิธีการเพาะพันธุ์   มีการคัดเลือกปลาที่มีลักษณะเด่นต่างๆมาผสมพันธุ์กัน   ทำให้ได้ปลาทองที่มีลักษณะสวยงามขึ้นมาหลายชนิด   และได้รับความนิยมแพร่หลายไปยังประเทศต่างๆ
1 ประวัติของปลาทอง          

                ชาวจีนเป็นชาติแรกที่นิยมเลี้ยงปลาทอง  โดยปลาทองสายพันธุ์ดั้งเดิมไม่มีความสวยงาม มากนัก   มีลักษณะทั่วไปคล้ายปลาไน   เพียงแต่ว่ามีสีสันสวยงามและสดกว่าปลาไน  

  

 

ภาพที่ 1  แสดงลักษณะปลาทองพันธุ์ดั้งเดิม (Wild Type)

                                               ที่มา : Coffey (1977)

               การเลี้ยงปลาทองได้รับความนิยมมากในระหว่างปี พ.ศ.  1243 - 1343   โดยชาวจีนในสมัยนั้นนิยมเลี้ยงปลาทองไว้ในสระน้ำในบริเวณรั้วบ้าน   ต่อมาในปี พ.ศ.  1716 - 1780  มีการนำปลาทองมาเลี้ยงในกรุงปักกิ่ง   โดยนิยมเลี้ยงในอ่างกระเบื้องเคลือบ   การเลี้ยงปลาทองเพื่อการจำหน่ายจึงขยายตัวอย่างรวดเร็ว   เริ่มมีการเพาะพันธุ์ปลาทองและได้พันธุ์ปลาแปลกๆมากขึ้น   ในปี พ.ศ. 2043   จึงมีการนำปลาทองเข้าไปเลี้ยงในเมืองซาไก   ประเทศญี่ปุ่น   แต่ได้รับความสนใจมากในปี พ.ศ.  2230   สำหรับประเทศอื่นๆที่มีรายงานเกี่ยวกับการเลี้ยงปลาทอง  ได้แก่

                ปี พ.ศ.  2234   ที่ประเทศอังกฤษ

                ปี พ.ศ.  2323   ที่ประเทศฝรั่งเศส

                ปี พ.ศ.  2419   ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา

                สำหรับในประเทศไทยไม่มีหลักฐานแน่ชัด   แต่คาดว่าราวปี พ.ศ.  1911 - 2031

  

      

ภาพที่ 2  ลักษณะปลาทองที่ได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ในระยะแรกๆ(Common Goldfish)

                             ที่มา :  http://koiandfreshwaterfishblog.blogspot.com/ (ซ้าย)            

                                       http://petesfishplace.com/pages/ (กลาง)                          

                                               http://kidsaquariums.blogetery.com/ (ขวา)

2 การจำแนกทางอนุกรมวิธาน          

                Frank (1969)  ได้จัดลำดับชั้นของปลาทองไว้ดังนี้

                Class                       :   Osteichthyes

                  Subclass               :   Teleostei

                    Order                  :   Cypriniformes

                      Suborder           :   Cyprinoidei (Carps)

                        Family             :   Cyprinidae

                          Genus           :   Carassius

                            Species       :   auratus                            

                                                                                                                                                

3 ลักษณะรูปร่างของปลาทอง            

                 ปลาทองสายพันธุ์ดั้งเดิมที่พบในธรรมชาตินั้น มีรูปร่างคล้ายปลาไนแต่มีขนาดเล็กกว่าปลาไนมาก คือ เป็นปลาที่มีรูปร่างป้อม แบนข้างเล็กน้อย ส่วนหัวลาด ปากมีขนาดเล็ก มีหนวดสั้น 2 คู่ ครีบหลังค่อนข้างยาว ครีบหางเป็นแฉกเว้าลึก ีลำตัวมีสีน้ำตาลคล้ำอมทองหรือสีส้ม ส่วนท้องสีจางกว่าลำตัว หรือสีขาว

                 เนื่องจากมีการนำปลาทองไปเลี้ยงในประเทศต่างๆ ประกอบกับเป็นปลาที่ผสมพันธุ์ข้ามสายพันธุ์กับปลาในกลุ่มเดียวกันชนิดอื่นๆได้ง่าย ทำให้มีการพัฒนาสายพันธุ์ปลาทองชนิดใหม่ๆออกมาหลายชนิด มีลักษณะเด่นสวยงามแตกต่างกันไป ซึ่งลักษณะเด่นๆที่สำคัญที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ได้แก่

ครีบหาง เปลี่ยนแปลงจากหางแฉก หรือหางเดี่ยว เป็น หางพวง หรือหางคู่
ครีบก้น  เปลี่ยนแปลงจากครีบเดี่ยว เป็น ครีบคู่
ครีบหลัง บางชนิดจะไม่มีครีบหลัง
ส่วนหัว บางชนิดจะมีลักษณะที่พองออกเป็นวุ้น
ตา  บางชนิดมีกระบอกตาที่โป่งพองออก
 

 

   ภาพที่ 3  แสดงส่วนต่างๆและรูปร่างของปลาทอง

 

        

ภาพที่ 4  แสดงลักษณะปลาทองสายพันธุ์ดั้งเดิมและสายพันธุ์ใหม่        

                               ที่มา : http://goldfish.ornamental-fishes.com/ (ซ้าย)      

                                        http://kidsaquariums.blogetery.com/ (กลาง)        

                                        http://www.exoticgoldfish.net/breeds-oranda.html (ขวา)  

4 ลักษณะพันธุ์ของปลาทอง            

จากการที่มีการพัฒนาทางด้านการเพาะพันธุ์   มีการคัดเลือกลักษณะเด่นที่ต้องการ  แล้วนำมาเพาะพันธุ์ต่อมาเรื่อยๆ   ทำให้ได้ปลาทองที่มีลักษณะและสีสันสวยงามหลายแบบด้วยกัน   และมีการตั้งชื่อพันธุ์ต่างๆไว้ดังนี้

                4.1 ปลาทองที่มีหางเดี่ยว   อาจเรียกหางปลาทู  หรือหางแฉก (Fork  Tail)   ลักษณะหางเป็นแผ่นแบนกว้าง   เว้าตรงกลางหรือเป็น  2  แฉก   มีสายพันธุ์ที่นิยม  2  สายพันธุ์   คือ

4.1.1 พันธุ์โคเมท (Comet)   เป็นปลาทองสายพันธุ์ดั้งเดิม   หรือต้นตระกูลของปลาทอง   ลักษณะลำตัวค่อนข้างแบนยาวคล้ายปลาไน   ลำตัวมักมีสีแดง   สีแดงสลับขาว   หรือสีทอง   ปัจจุบันไม่ได้รับความนิยม

 

      

                              ภาพที่ 5  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์โคเมท

                                           ที่มา : http://koiandfreshwaterfishblog.blogspot.com/ (ซ้าย)

                                                    http://petesfishplace.com/pages/ (ขวา)

 

4.1.2 พันธุ์ชูบุงกิง (Shubunkin)    ลักษณะคล้ายพันธุ์โคเมท   แต่จะมีจุดประที่ลำตัวหลายสี   เช่น  สีแดง  สีขาว  สีม่วง  สีส้ม  และสีดำ   เกล็ดจะค่อนข้างใส   จัดเป็นปลาทองที่สวยงามมากชนิดหนึ่ง   เนื่องจากมีสีเด่นหลายสี   สดใส   ได้รับความนิยมมากในสมัยก่อนและมีการตั้งชื่อไว้หลายชื่อ  เช่น   Speckled  Goldfish ,  Harlequin  Goldfish ,  Vermilion  Goldfish  หรือ  Coronation  fish


      

                               ภาพที่ 6  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์ชูบุงกิง

                                             ที่มา : http://www.aquarticles.com/ (ซ้าย)

                                                     http://goldfish2care4.com/goldfish-types/ (ขวา)              

 

                4.2 ปลาทองที่มีหางคู่   คือมีส่วนหางแยกออกเป็น  3 - 4  แฉก   มีทั้งที่มีครีบหลังตามปกติ   หรือบางชนิดไม่มีครีบหลัง   มีที่ได้รับความนิยมหลายสายพันธุ์  ดังนี้

4.2.1 พันธุ์ออแรนดา (Oranda) สมัยก่อนมักเรียกฮอลันดา   หรือฮอลันดาหัวแดง   ลักษณะลำตัวค่อนข้างยาว   มีครีบครบทุกครีบ   หางยาว   และมีลักษณะเด่นคือมีวุ้นที่ส่วนหัว (Hood) คล้ายพันธุ์หัวสิงห์   แต่มักไม่ขยายใหญ่เท่าหัวสิงห์   สีของวุ้นมักออกเป็นสีเหลืองส้ม   เป็นปลาทองที่มีขนาดใหญ่   และมีความสวยงามมากชนิดหนึ่ง   สีของลำตัวมักออกสีขาวเงิน    ชาวญี่ปุ่นเรียก   Oranda  Shishigashira

 

      

ภาพที่ 7  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์ออแรนดา

                                                  ที่มา : http://www.aquariumslife.com/ (ซ้าย)

4.2.2 พันธุ์ริวกิ้น (Ryukin  or  Veiltail )   ลักษณะเด่น  คือ   เป็นพันธุ์ที่มีหางค่อนข้างยาวเป็นพวงสวยงามเป็นพิเศษ   คล้ายริบบิ้นหรือผ้าแพร   ทำให้มีชื่อเรียกได้หลายชื่อ  คือ  Fringetail ,  Ribbontail ,  Lacetail ,   Muslintail  และ  Japanese  Fantail   ในขณะที่ว่ายน้ำครีบหางจะบานเป็นสง่า   ลำตัวค่อนข้างกลมสั้น   และมักมีสีแดงสลับขาว  บางชนิดอาจมี 5 สี  เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมค่อนข้างมาก      

 

    

ภาพที่ 8  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์ริวกิ้น

 

4.2.3 พันธุ์ตาโปน (Telescope-eyed  Goldfish)   อาจเรียก  Pop-eye  Goldfish   ชาวจีนนิยมเรียก  Dragon  Eyes   ชาวญี่ปุ่นเรียก  Aka  Demekin   ซึ่งแปลว่าตาโปนเช่นกัน   ลักษณะเด่นของพันธุ์  คือ  ลูกตาจะยื่นโปนออกมามากเหมือนท่อกล้องส่องทางไกล   พันธุ์ตาโปนที่นิยมเลี้ยงมี  5  ชนิด  คือ

             พันธุ์ตาโปนสีแดง (Red  Telescope-eyed  Goldfish)   มีสีแดงตลอดตัว   ได้รับความนิยมมากในญี่ปุ่น


      

ภาพที่ 9  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์ตาโปนสีแดงขาว

                                               ที่มา : http://www.nicaonline.com/new-168.html

               พันธุ์มัว (Moor)   หรือเล่ห์ (Black  Moor  or  Black  Telescope-eye  Goldfish)   เป็นพันธุ์ที่รู้จักดีในประเทศไทยในชื่อ เล่ห์ หรือ ลักเล่ห์  ลักษณะเด่น  คือ  ลำตัวมีสีดำสนิทตลอด  ตาจะไม่โปนมากนัก  ชาวญี่ปุ่นเรียกพันธุ์นี้ว่า  Kuro  Demekin

 

          

ภาพที่ 10  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์เล่ห์

                                                        ที่มา : http://www.petgoldfish.net/gallery/ (ขวา)      

                                                                                                          

                  พันธุ์ตาโปนสามสี (Calico  Telescope-eye  Goldfish)   รู้จักกันดีในประเทศไทยว่าลักเล่ห์ห้าสี   เป็นพันธุ์ที่มีเกล็ดค่อนข้างบาง   ลำตัวมีสีสันหลายสีสดเข้มและมักมีเพียง  3  สี   แต่สีที่พบในพันธุ์นี้จะมี  5  สี  คือ  สีแดง  สีขาว  สีดำ  สีน้ำตาลออกเหลือง  และสีแดงออกม่วง   ชาวญี่ปุ่นเรียกพันธุ์นี้ว่า  Sanshoku  Demekin

 

      

ภาพที่ 11  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์ตาโปนสามสี

                                                            ที่มา : http://www.petgoldfish.net/gallery/ (ซ้าย)        

                                                            http://www.truaqua.com/ (ขวา)

                   พันธุ์ตาลูกโป่ง (Bubble  Eye  Goldfish)   ลักษณะเด่น  คือ  มีเบ้าตาพองออกคล้ายลูกโป่งทั้งสองข้าง   เวลาว่ายน้ำมักจะแกว่งไปมา   ลำตัวมักมีสีขาวหรือเหลืองแกมส้ม   มีทั้งที่มีครีบหลังและไม่มีครีบหลัง

 

      

ภาพที่ 12  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์ตาลูกโป่งที่ไม่มีครีบหลัง

                                           ที่มา : http://fishkipedia.com/bubble-eye-goldfish/ (ซ้าย)    

                                                                http://fishkipedia.com/unique-goldfish-variant/ (ขวา)        

                   พันธุ์ตากลับ (Celestial  Goldfish)   ลักษณะเด่น  คือ  ตาที่โปนออกมาจะหงายกลับขึ้นข้างบน   ชาวจีนเรียกว่า   Shotengan   แปลว่าตามุ่งสวรรค์   หรือตาดูฟ้า   ต่อมาชาวญี่ปุ่นนำไปเลี้ยงและพัฒนาได้หางสั้นกว่าเดิม   เรียก  Demeranchu

 

    

ภาพที่ 13  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์ตากลับ

                                                      ที่มา : http://fishkipedia.com/unique-goldfish-variant/ (ซ้าย)

                                                                                http://www.bristol-aquarists.org.uk/goldfish/ (ขวา)

 

4.2.4 พันธุ์เกล็ดแก้ว (Pearl  Scale  Goldfish)   ลักษณะลำตัวค่อนข้างกลมคล้ายลูกปิงปอง   ส่วนหัวเล็กมาก  หางยาว   ลักษณะเด่น คือ  มีเกล็ดนูนขึ้นมาต่างกับเกล็ดธรรมดาทั่วไปอย่างชัดเจน   สีของลำตัวมักมีสีขาว  สีส้ม   และสีทอง      


    

ภาพที่ 14  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์เกล็ดแก้ว

                                              ที่มา : http://pirun.ku.ac.th/ (ซ้าย)

                                                                   http://www.petgoldfish.net/pearlscale-goldfish.html (ขวา)


4.2.5 พันธุ์หัวสิงห์ (Lionhead  Goldfish  or  Ranchu)   ลักษณะเด่นของพันธุ์นี้คือ   ไม่มีครีบหลัง   หางสั้นและเป็นครีบคู่   ที่สำคัญคือ  ส่วนหัวจะมีก้อนวุ้นปกคลุมอยู่   ทำให้มีชื่อเรียกได้อีกหลายชื่อ   เช่น  Hooded  Goldfish ,  Buffalo-head  Goldfish   ส่วนในญี่ปุ่นเรียก  Ranchu   ในประเทศไทยเรียกกันโดยทั่วไปว่า “หัวสิงห์”   เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน   และนิยมจัดประกวดกันเป็นประจำ   จนอาจเรียกได้ว่าเป็นเจ้าพ่อของปลาทอง (King  of  The  Goldfish)   มีอยู่หลายชนิดที่นิยมเลี้ยง  ได้แก่

                  สิงห์ญี่ปุ่น   เป็นพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด   ลักษณะทั่วไปคือ  ลำตัวค่อนข้างสั้นและส่วนหลังโค้งมนสวยงาม   สีของลำตัวเป็นสีส้มเข้มเหลือบทองต้องตา   วุ้นที่ส่วนหัวมีลักษณะเล็กละเอียดขนาดไล่เลี่ยกันและค่อนข้างหนา   ครีบหางสั้นและจะยกสูงขึ้นเกือบตั้งฉากกับลำตัว   ครีบก้นเป็นครีบคู่มีขนาดเท่ากัน


    

ภาพที่ 15  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์หัวสิงห์

                                                      ที่มา : http://fishkipedia.com/unique-goldfish-variant/(ขวา)

                  สิงห์จีน   เป็นพันธุ์ต้นตระกูลของหัวสิงห์   กำเนิดในจีน   ลำตัวค่อนข้างยาว   ส่วนหลังไม่โค้งมากนัก   หางค่อนข้างยาวอ่อนลู่   หัวค่อนข้างใหญ่และมีวุ้นดกหนากว่าสายพันธุ์อื่น   และทางด้านท้ายของวุ้นไม่ขรุขระ   ทำให้มองเหมือนหัวมีขนาดใหญ่กว่าลำตัว   สีของลำตัวเป็นสีส้มแกมทองแต่ไม่สดมากนัก  

 

    

ภาพที่ 16  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์สิงห์จีน

                                                      ที่มา : http://pirun.ku.ac.th/  (ซ้าย)  

                                                              http://www.bloggang.com/mainblog.php (ขวา)            

                   สิงห์หัวแดง  สิงห์ตันโจ  ลักษณะทั่วไปคล้ายสิงห์ญี่ปุ่น   แต่สีของลำตัวเป็นสีขาวเงิน   ส่วนหัวและวุ้นจะมีสีแดง

 

    

ภาพที่ 17  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์สิงห์หัวแดง

                                                   ที่มา : สุรศักดิ์ (2538) (ซ้าย)

                   สิงห์ตามิด   ลักษณะทั่วไปคล้ายสิงห์ญี่ปุ่น   แต่สีของลำตัวเป็นสีดำสนิทตลอดลำตัว   แม้กระทั่งวุ้นก็เป็นสีดำ   วุ้นค่อนข้างดกหนาจนปิดลูกตาแทบมองไม่เห็น  

 

            

ภาพที่ 18  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์สิงห์ตามิด

                                                                     ที่มา : http://pirun.ku.ac.th/  (ซ้าย)  

                                                            http://www.bloggang.com/mainblog.php (ขวา)            

                   สิงห์ห้าสี   ลักษณะทั่วไปคล้ายสิงห์จีน   แต่มีสีบนลำตัว  5  สี   คือ  สีดำ  สีแดง  สีขาว  สีน้ำเงิน  และสีเหลือง   เกล็ดค่อนข้างบางโปร่งใส

 

    

ภาพที่ 19  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์สิงห์ห้าสี

                                                     ที่มา : http://www.ninekaow.com/

                   สิงห์เงิน  ลักษณะทั่วไปคล้ายสิงห์หัวแดง   มีสีของลำตัวเป็นสีขาวเงิน   แต่ส่วนหัวและวุ้นจะมีสีเงินด้วย

 

    

ภาพที่ 20  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์สิงห์เงิน

                                                      

                 สายพันธุ์อื่นๆ  ยังมีปลาทองอีกหลายสายพันธุ์ที่ผลิตขึ้นมาจากประเทศต่างๆ  โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่นซึ่งเน้นผลิตปลาทองเพื่อการส่งออก  และค่อนข้างได้รับความนิยมจากตลาดต่างประเทศ ทำให้มีสายพันธุ์ใหม่ๆเกิดขึ้นเสมอ  


              

ภาพที่ 21  แสดงลักษณะของปลาทองพันธุ์อื่นๆ

                            ที่มา : http://www.bossranchu.com/technic_fish/ranchu0312.html      

  

5 การจำแนกเพศปลาทอง              

                การศึกษาความแตกต่างลักษณะเพศของปลาทองทำได้ไม่ยากนัก  ผู้เลี้ยงปลาโดยทั่วไปจะสามารถแยกเพศปลาทองได้   ผู้ที่ต้องการดำเนินการเพาะพันธุ์ปลาทอง   หากเข้าใจวิธีการแยกเพศปลาทองเป็นอย่างดี   ก็จะช่วยให้เลือกซื้อหรือจัดเตรียมปลาทองเพศผู้และเพศเมียตามจำนวนที่ต้องการได้

                ความแตกต่างลักษณะเพศของปลาทองนั้น   ถ้าจะดูจากลักษณะภายนอกของลำตัวแล้วจะไม่พบความแตกต่างกัน   การแยกเพศจะทำได้ก็ต่อเมื่อปลาสมบูรณ์เพศ  คือ  เป็นปลาโตเต็มวัยแล้ว   ซึ่งต้องเลี้ยงไว้ประมาณ  6 - 8  เดือน   เมื่อปลาสมบูรณ์เพศแล้วปลาเพศผู้จะเกิด   ตุ่มสิว (Pearl  Organ หรือ Nuptial Tubercles) ซึ่งเป็นตุ่มหรือจุดเล็กๆสีขาว   เกิดขึ้นบริเวณก้านครีบอันแรกของครีบอก   และบริเวณกระพุ้งแก้ม  ซึ่งถ้าสังเกตุดีๆจะพอเห็นได้   และมักจะเกิดเด่นชัดเมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ของปลาทอง   แต่ในช่วงนอกฤดูกาลผสมพันธุ์  เช่นในฤดูหนาว   หรือปลาไม่มีความพร้อมทางเพศ   ตุ่มสิวนี้จะมีขนาดเล็กสังเกตุได้ยาก   แต่ก็สามารถแยกเพศได้โดยการใช้มือลูบเบาๆที่ครีบอก   ถ้าเป็นปลาทองเพศผู้จะรู้สึกสากมือเนื่องจากมีตุ่มสิวดังกล่าว   แต่ถ้าเป็นปลาเพศเมียจะรู้สึกว่าครีบอกนั้นจะลื่น   นอกจากนั้นถ้าปลามีความพร้อมในการผลมพันธุ์   คือปลาเพศเมียมีไข่แก่   และปลาเพศผู้มีน้ำเชื้อสมบูรณ์   ถ้าจับที่บริเวณท้องของเพศเมียจะรู้สึกว่าค่อนข้างนิ่ม   และที่ช่องเพศจะขยายตัวนูนสูงขึ้น   ส่วนปลาเพศผู้ถ้าลองรีดที่บริเวณท้องลงไปทางช่องเพศ   จะเห็นว่ามีน้ำเชื้อซึ่งเป็นสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนมไหลออกมาเล็กน้อยได้

  

                

 ภาพที่ 22  แสดงบริเวณก้านครีบอันแรกที่จะเกิดตุ่มสิวในปลาทองเพศผู้        

                               ที่มา : http://www.bloggang.com/mainblog.php (ขวา)      

 



 ภาพที่ 23  แสดงบริเวณก้านครีบอันแรกและกระพุ้งแก้มที่จะเกิดตุ่มสิวในปลาทองเพศผู้        

                      ที่มา : http://www.flickr.com/photos/cfm/663680680/      

 

6 วิธีการเพาะปลาทอง                

                  ปลาทองจัดว่าเป็นปลาที่ดำเนินการเพาะพันธุ์ได้อย่างง่ายๆ   โดยวิธีการเพาะแบบช่วยธรรมชาติ   ปกติปลาทองจะมีการแพร่พันธุ์วางไข่ในตู้กระจกหรือบ่อที่ใช้เลี้ยงอยู่แล้ว   ซึ่งมักจะไล่ผสมพันธุ์วางไข่ในตอนเช้าของวันถัดไปหลังจากที่ผู้เลี้ยงมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำใหม่ให้   แต่ที่ผู้เลี้ยงไม่พบว่ามีลูกปลาทองเกิดขึ้นในตู้เลี้ยงปลา   เนื่องจากว่าปลาทองเป็นปลาที่ไข่ทิ้งไม่มีการดูแลรักษาไข่   เมื่อวางไข่แล้วก็จะหวนกลับมากินไข่ของตัวเองอีกด้วย   นอกจากนั้นปลาทองตัวอื่นๆหรือปลาชนิดอื่นที่เลี้ยงรวมอยู่ในตู้ด้วย   ก็จะคอยเก็บกินไข่ที่ออกมาด้วย   กว่าที่ไข่ที่เหลืออยู่จะฟักตัวออกมา   ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ 2 - 3  วัน   ไข่ก็จะถูกปลาทยอยเก็บกินไปเกือบหมด   ส่วนไข่ที่รอดจากถูกกินจนตัวอ่อนฟักตัวออกมา   ตัวอ่อนที่ยังช่วยตัวเองไม่ได้ก็จะกลายเป็นอาหารที่ดีของปลาต่างๆอีก   เพราะลูกปลาจะมีขนาดพอๆกับลูกน้ำ   ทำให้ถูกจับกินไปจนหมดอย่างรวดเร็ว

                  ดังนั้นหากต้องการลูกปลาทองก็จำเป็นต้องมีการจัดการการเพาะให้ถูกต้อง   จึงจะได้ลูกปลาจำนวนมากตามต้องการ     การเพาะปลาทองจะทำได้ดี   คือ   ปลาวางไข่ง่าย   ตั้งแต่เดือนเมษายน  ถึง  เดือนกันยายน   โดยดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้

6.1 การเตรียมบ่อเพาะ   บ่อที่เหมาะสมสำหรับการเพาะปลาทองควรเป็นบ่อซีเมนต์   มีขนาดประมาณ  1  ตารางเมตร   ขัดล้างให้สะอาดด้วยแปรงและสบู่แล้วฉีดน้ำล้างหลายๆครั้ง   จากนั้นเตรียมน้ำใหม่ที่ระดับประมาณ  20 - 25  เซนติเมตร  นอกจากนั้นยังอาจใช้กะละมังขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 50 เซนติเมตรเป็นบ่อเพาะปลาทองก็ได้

  

    

ภาพที่ 24  แสดงลักษณะบ่อเพาะปลาทอง

6.2 การเตรียมรัง   ปลาทองเป็นปลาที่มีไข่ประเภทไข่ติด   พฤติกรรมการวางไข่นั้นปลาเพศผู้จะว่ายน้ำไล่ปลาเพศเมียไปเรื่อยๆ   ปลาเพศเมียเมื่อพร้อมจะวางไข่จะว่ายน้ำเข้าหาพรรณไม้น้ำตามริมน้ำ   แล้วปล่อยไข่ครั้งละ  10 - 20  ฟอง   ปลาเพศผู้ที่ว่ายน้ำตามมาก็จะปล่อยน้ำเชื้อตาม   ไข่จะได้รับการผสมพร้อมกันนั้นก็เกิดสารเหนียวที่เปลือกไข่   ทำให้ไข่เกาะติดอยู่ตามราก  ลำต้น  และใบของพรรณไม้น้ำ   ดังนั้นการเตรียมรังในบ่อเพาะปลาทอง   ควรเป็นรังที่ช่วยให้ไข่ติดได้ง่ายและมากที่สุด   คือต้องมีลักษณะเป็นฝอยนิ่มและค่อนข้างยาว   รังที่นิยมใช้ในปัจจุบันได้แก่รังที่ทำจากเชือกฟาง   โดยนำเชือกฟางสีใดก็ได้มาผูกเป็นกระจุก(คล้ายกับพู่ที่เชียร์ลีดเดอร์ใช้)   มีความยาวประมาณ  20  เซนติเมตร   แล้วฉีกให้เป็นฝอยโดยพยายามให้เป็นเส้นฝอยขนาดเล็กให้มากที่สุด   จากนั้นนำไปจุ่มในน้ำเดือดเพื่อให้เกิดความนุ่ม   แล้วทำกรอบไม้ (อาจใช้ท่อ เอสล่อน)ให้ลอยอยู่ผิวน้ำ   ขนาดเล็กกว่าบ่อเพาะเล็กน้อยเพื่อให้กรอบลอยอยู่บนผิวน้ำในบ่อได้ดี   นำรังมาผูกในกรอบไม้เพื่อให้รังลอยตัว   และรังจะกระจายตัวกัน   หากไม่ทำกรอบผูกรัง   รังจะถูกแรงลมที่เกิดจากเครื่องแอร์ปั๊ม   ทำให้รังลอยไปรวมเป็นกระจุกอยู่ริมบ่อ   ปลาจะวางไข่ที่รังได้ยาก   การทำให้รังกระจายตัวกัน  ช่วยให้ปลาสามารถวางไข่โดยกระจายไข่ตามรังที่จัดไว้ทุกรังได้เป็นอย่างดี


6.3 การเตรียมพ่อแม่พันธุ์   คือการเลี้ยงและคัดปลาที่พร้อมจะผสมพันธุ์จากปลาที่เลี้ยงไว้รวมกัน   โดยจะต้องเน้นเป็นปลาที่มีไข่แก่และน้ำเชื้อดี   การที่จะเลี้ยงปลาทองให้มีไข่แก่และน้ำเชื้อได้ดีนั้นเป็นเรื่องไม่ยาก   จากที่ได้กล่าวไว้แล้วว่าการเลี้ยงปลาสวยงามเป็นการเลี้ยงปลาที่มีคุณภาพน้ำดีกว่าการเลี้ยงปลาแบบอื่นๆ   เนื่องจากมีระบบกรองน้ำที่ดี   ในสภาพน้ำที่ค่อนข้างดีปลาจะใช้อาหารที่ได้รับไปสำหรับการเจริญเติบโต   ส่วนการพัฒนาของระบบสืบพันธุ์จะเป็นไปอย่างช้าๆ   เมื่อใดที่คุณภาพน้ำเริ่มมีการสะสมของสิ่งหมักหมมต่างๆมากขึ้น   ปลาที่สมบูรณ์เพศแล้วจะเริ่มมีการพัฒนาระบบสืบพันธุ์มากขึ้น   เปรียบเทียบได้กับฤดูร้อนซึ่งน้ำในแหล่งน้ำธรรมชาติจะลดระดับลงเรื่อยๆน้ำจะมีการสะสมแร่ธาตุต่างๆมากขึ้น   ปลาจะใช้อาหารที่ได้รับเพื่อการพัฒนาระบบสืบพันธุ์   เป็นการเตรียมพร้อมเพื่อการแพร่พันธุ์ในฤดูฝนที่จะมาถึง   ดังนั้นการเลี้ยงปลาทองเพื่อให้ปลามีไข่แก่และน้ำเชื้อดีแทบทุกตัวพร้อมกัน   จึงต้องอาศัยการเลียนแบบธรรมชาติ   ซึ่งวิธีที่สะดวกและง่ายที่สุด  คือ  การปรับปรุงระบบเครื่องกรองน้ำ   โดยเปลี่ยนมาใช้เครื่องกรองน้ำแบบหม้อกรองในตู้   ซึ่งช่วยทำให้น้ำใสได้บ้างพอควรและเก็บตะกอนไว้ได้ด้วย   ล้างหม้อกรองประมาณ  3  วัน  ต่อครั้ง   และงดการเปลี่ยนถ่ายน้ำในตู้ปลาหรือบ่อเลี้ยงปลาโดยเด็ดขาด   หากจำเป็นต้องเติมน้ำเนื่องจากระดับน้ำลดลง   ควรเติมในช่วงเช้า   เพราะการเติมน้ำในตอนเย็นซึ่งอุณหภูมิเริ่มลดลง   และปลาได้รับน้ำใหม่อาจมีผลกระตุ้นให้ปลาไข่แก่บางตัววางไข่ในเช้าวันถัดไปได้   พ่อแม่พันธุ์ปลาทองที่จะนำมาใช้เพาะพันธุ์ควรมีอายุประมาณ  10  เดือน   นำมาเลี้ยงรวมกันเป็นเวลาประมาณ  30 - 50  วัน  ปลาทองที่คัดมาเลี้ยงแทบทุกตัวจะมีไข่แก่และน้ำเชื้อสมบูรณ์เหมือนกันแทบทุกตัว   ทำให้สะดวกที่จะคัดไปปล่อยลงบ่อเพาะ   และควรคัดไปปล่อยเวลาประมาณ  16.00  น.

                ข้อควรพิจารณาในการเตรียมพ่อแม่พันธุ์ปลาทอง   ควรหลีกเลี่ยงปลาในครอกเดียวกันเพื่อป้องกันการผสมเลือดชิด


6.4 จำนวนปลาและสัดส่วนเพศ   การปล่อยปลาลงบ่อเพาะแต่ละบ่อควรปล่อยปลาเพียงบ่อละ  1  คู่   หรือใช้ปลาเพศเมีย  1  ตัว  กับปลาเพศผู้  2  ตัว   เนื่องจากการใช้ปลามากกว่า  1  คู่ นั้น   ในขณะที่ปลาเพศเมียตัวที่พร้อมจะวางไข่ถูกปลาเพศผู้ว่ายน้ำไล่ไปนั้น   จะถูกปลาตัวอื่นๆคอยรบกวนโดยว่ายน้ำติดตามกันไปหมดทุกตัว   เพราะปลาเหล่านั้นต้องการตามไปกินไข่ของแม่ปลาที่จะปล่อยออกมา   การปล่อยปลาหลายคู่จึงกลับกลายเป็นข้อเสีย   ดังนั้นการปล่อยปลาเพียงบ่อละคู่จะทำให้ไข่มีอัตราการผสมค่อนข้างดี   และได้จำนวนมาก  

 
6.5 การเพิ่มน้ำและลม   หากต้องการให้ปลาได้รับการกระตุ้นและเกิดการวางไข่อย่างแน่นอน   ควรจะมีการให้ลมเพื่อให้น้ำเกิดการหมุนเวียนแรงพอสมควร   นอกจากนั้นถ้าหากสามารถทำให้เกิดกระแสน้ำ   หรือทำให้เกิดฝนเทียม   ก็จะทำให้ปลาวางไข่ได้ง่ายขึ้น   ฉนั้นบ่อเพาะที่ดีจะต้องมีระบบน้ำล้นที่ดีด้วย


 6.6 การวางไข่ของปลา   ถ้าหากคัดปลาได้ดี  คือ  ปลามีไข่แก่และน้ำเชื้อดี   ปลาจะผสมพันธุ์วางไข่ตอนรุ่งเช้าของวันถัดไป   หากปลายังไม่วางไข่จะปล่อยพ่อแม่ปลาไว้อีก  1  คืน   แต่ถ้าเช้าวันถัดไปปลาก็ยังไม่วางไข่   แสดงว่าผู้เพาะคัดปลาไม่ถูกต้อง   คือปลาเพศเมียที่คัดมาเพาะมีรังไข่ยังไม่แก่จัดพอที่จะวางไข่ได้   จะต้องปล่อยพ่อแม่ปลาที่คัดมาเพาะกลับคืนลงบ่อเลี้ยง   แต่ถ้าปลาวางไข่จะสังเกตได้ว่าน้ำในบ่อเพาะมีลักษณะเปลี่ยนแปลงไป   โดยมักจะเกิดเมือกเป็นฟองตามผิวน้ำและรัง   เมื่อพิจารณาที่รังจะเห็นว่ามีไข่ปลาทอง   มีลักษณะเป็นเม็ดเล็กๆสีเหลืองอ่อนค่อนข้างใส   เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ  1  มิลลิเมตรติดอยู่ตามเส้นเชือกภายในรัง   เม็ดไข่ที่ดูใสนี้แสดงว่าเป็นไข่ที่ได้รับการผสมหรือไข่ดี   และจะมีเม็ดไข่ที่สีขุ่นขาวซึ่งเป็นไข่ที่ไม่ได้รับการผสมหรือเป็นไข่เสีย

การฟักไข่

เมื่อประสบผลสำเร็จในการเพาะปลาทองหรือสามารถทำให้ปลาทองวางไข่ได้แล้ว   ขั้นตอนต่อไปคือการฟักไข่   ซึ่งอาจใช้บ่อเพาะเป็นบ่อฟักไข่ได้เลย   โดยการช้อนเอาพ่อแม่ปลาออก   จากนั้นเพิ่มระดับน้ำเป็น  30 - 40  เซนติเมตร   เปิดแอร์ปั๊มเพื่อให้ออกซิเจนและเกิดการหมุนเวียนน้ำตลอดเวลา   และถ้าสามารถเพิ่มน้ำใหม่ทำให้มีการระบายน้ำด้วย   จะช่วยไล่ความคาวที่เกิดขึ้นระหว่างการพัฒนาของไข่ออกไปเรื่อยๆ   จะทำให้ไข่ปลาทองฟักตัวได้ดีไม่ค่อยมีการติดเชื้อ   แต่ต้องใส่ผ้ากรองกันไว้ที่ทางออกของท่อน้ำล้น   เพื่อกันลูกปลาที่ฟักตัวออกจากไข่ไม่ให้ไหลไปตามน้ำ   แม่ปลา  1  ตัวจะสามารถวางไข่ได้ครั้งละ  1,000 - 3,000  ฟอง   ไข่จะใช้เวลาในการฟักตัวประมาณ  48 - 56  ชั่วโมง ( 2 - 3  วัน )   ลูกปลาที่ฟักตัวออกจากไข่แล้วมักจะเกาะอยู่ที่รัง   หรือว่ายน้ำออกไปเกาะอยู่ที่ผนังบ่อ   รอจนเช้าวันที่ 4 หลังจากที่ปลาวางไข่จึงค่อยๆเขย่ารังเพื่อไล่ลูกปลาออกจากรัง   แล้วปลดรังออก


การอนุบาลลูกปลาทอง

บ่อที่จะใช้สำหรับอนุบาลลูกปลาทองควรเป็นบ่อซีเมนต์   ขนาด  4 - 10  ตารางเมตร   มีความลึกประมาณ  40 - 50  เซนติเมตร   เป็นบ่อที่สามารถถ่ายเทน้ำได้อย่างดี   โดยเฉพาะถ้าสามารถปรับระบบน้ำไหลได้จะทำให้ลูกปลามีความแข็งแรงมาก   เจริญเติบโตรวดเร็วและมีอัตรารอดดี   เพราะการระบายน้ำจะช่วยระบายของเสียหรือสิ่งขับถ่ายของลูกปลาออกไปได้เป็นอย่างดี ดังนั้นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ลูกปลาเติบโตเร็วก็คือ   การระบายน้ำและการเปลี่ยนถ่ายน้ำเป็นประจำทุกวัน  

                การเลี้ยงลูกปลาทองหรือการอนุบาลจำเป็นต้องอาศัยสังเกตุเป็นหลัก   การจะกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนกระทำได้ยาก   เริ่มจากลูกปลาที่ฟักออกจากไข่   ในช่วงแรกจะมีถุงอาหาร (Yolk  Sac) ติดอยู่ที่หน้าท้อง   ลูกปลาจะยังไม่กินอาหาร   สังเกตุได้จากการที่ลูกปลาจะเกาะอยู่ที่รังหรือผนังบ่อ   เมื่อลูกปลาใช้อาหารจากถุงอาหารหมดแล้ว   ลูกปลาจึงจะว่ายน้ำตามแนวระดับไปเรื่อยๆเพื่อหาอาหารกิน   ควรดำเนินการให้อาหารดังนี้

8.1 ช่วงแรก   เนื่องจากปลาทองเป็นปลาที่กินอาหารได้แทบทุกชนิด   จัดว่าเป็นปลาที่กินอาหารได้ง่าย    จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้อาหารที่มีชีวิตในการอนุบาลลูกปลาทอง   การอนุบาลลูกปลาทองเลือกใช้อาหารได้ดังนี้

               ไข่ต้ม   ใช้ไข่ไก่หรือไข่เป็ดต้มสุก   แล้วเอาเฉพาะไข่แดงไปขยี้น้ำผ่านผ้าไนล่อนหรือกระชอน   จะได้น้ำไข่แดงเหมือนน้ำตะกอน  นำไปสาดให้ปลากิน   ควรใช้ไข่แดงเลี้ยงลูกปลาเป็นเวลา  3  วัน   ลูกปลาจะเคยชินกับการกินอาหารและกินอาหารเก่ง   ขนาดของลูกปลาก็จะโตขึ้นอย่างเด่นชัด

8.2 ช่วงหลัง   ถึงแม้ลูกปลาจะกินอาหารผงได้ดี   แต่อาหารผงก็มีข้อเสียที่มักมีการแตกตัวและกระจายตัวได้ง่าย   ซึ่งเป็นบ่อเกิดของน้ำเสีย   ดังนั้นเมื่ออนุบาลลูกปลาในช่วงแรกด้วยไข่และอาหารผง   เป็นเวลาประมาณ  15  วัน   ก็ควรจะเปลี่ยนมาเป็นอาหารเม็ดลอยน้ำโดยใช้อาหารเม็ดสำหรับเลี้ยงลูกปลาดุกเล็กระยะแรก   ให้ลูกปลาได้เลยจะเห็นว่าอาหารจะลอยตัวอยู่ผิวน้ำ   จากนั้นประมาณ  15 - 20  นาที อาหารจะพองขยายตัวขึ้นและนิ่ม   ในวันแรกลูกปลาจะยังไม่เคยชินกับอาหารลอยน้ำ   ฉนั้นให้ใช้นิ้วบีบอาหารที่ลอยอยู่บางส่วนให้จมตัวลง   และมีอาหารลอยน้ำเหลืออยู่บ้าง   ทำเช่นนี้ประมาณ  3  วัน ลูกปลาจะเคยชินกับการกินอาหารเม็ดลอยน้ำได้ดี    

 การจำแนกเพศปลาทอง

การศึกษาความแตกต่างลักษณะเพศของปลาทองทำได้ไม่ยากนัก  ผู้เลี้ยงปลาโดยทั่วไปจะสามารถแยกเพศปลาทองได้   ผู้ที่ต้องการดำเนินการเพาะพันธุ์ปลาทอง   หากเข้าใจวิธีการแยกเพศปลาทองเป็นอย่างดี   ก็จะช่วยให้เลือกซื้อหรือจัดเตรียมปลาทองเพศผู้และเพศเมียตามจำนวนที่ต้องการได้

                ความแตกต่างลักษณะเพศของปลาทองนั้น   ถ้าจะดูจากลักษณะภายนอกของลำตัวแล้วจะไม่พบความแตกต่างกัน   การแยกเพศจะทำได้ก็ต่อเมื่อปลาสมบูรณ์เพศ  คือ  เป็นปลาโตเต็มวัยแล้ว   ซึ่งต้องเลี้ยงไว้ประมาณ  6 - 8  เดือน   เมื่อปลาสมบูรณ์เพศแล้วปลาเพศผู้จะเกิด   ตุ่มสิว (Pearl  Organ หรือ Nuptial Tubercles) ซึ่งเป็นตุ่มหรือจุดเล็กๆสีขาว   เกิดขึ้นบริเวณก้านครีบอันแรกของครีบอก   และบริเวณกระพุ้งแก้ม  ซึ่งถ้าสังเกตุดีๆจะพอเห็นได้   และมักจะเกิดเด่นชัดเมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์ของปลาทอง   แต่ในช่วงนอกฤดูกาลผสมพันธุ์  เช่นในฤดูหนาว   หรือปลาไม่มีความพร้อมทางเพศ   ตุ่มสิวนี้จะมีขนาดเล็กสังเกตุได้ยาก   แต่ก็สามารถแยกเพศได้โดยการใช้มือลูบเบาๆที่ครีบอก   ถ้าเป็นปลาทองเพศผู้จะรู้สึกสากมือเนื่องจากมีตุ่มสิวดังกล่าว   แต่ถ้าเป็นปลาเพศเมียจะรู้สึกว่าครีบอกนั้นจะลื่น   นอกจากนั้นถ้าปลามีความพร้อมในการผลมพันธุ์   คือปลาเพศเมียมีไข่แก่   และปลาเพศผู้มีน้ำเชื้อสมบูรณ์   ถ้าจับที่บริเวณท้องของเพศเมียจะรู้สึกว่าค่อนข้างนิ่ม   และที่ช่องเพศจะขยายตัวนูนสูงขึ้น   ส่วนปลาเพศผู้ถ้าลองรีดที่บริเวณท้องลงไปทางช่องเพศ   จะเห็นว่ามีน้ำเชื้อซึ่งเป็นสีขาวขุ่นคล้ายน้ำนมไหลออกมาเล็กน้อยได้

ถ้ามีอะไรจะถ้าก็ถ้าได้เลย

+1ให้ด้วยนะครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16/08/11, [20:08:00] โดย 0lf »
0lf ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #1 เมื่อ: 16/08/11, [22:18:19] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

คนที่กด+1ให้ขอบคุณครับขอให้ปลาคุณเเข็งเเรงสีสดโตเร็วครับอวยพรให้ [รักจัง] [รักจัง] [รักจัง]
artc4 ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #2 เมื่อ: 17/08/11, [00:13:38] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

เยี่ยมครับ [เจ๋ง]
0lf ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #3 เมื่อ: 17/08/11, [11:06:27] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

เยี่ยมครับ [เจ๋ง]

ขอบคูณครับขอให้ปลาเเข็งเเรงนะครับ
Fibo ออฟไลน์
Club Champion
« ตอบ #4 เมื่อ: 17/08/11, [11:39:57] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

เยอะดีครับ
0lf ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #5 เมื่อ: 18/08/11, [21:20:09] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

เยอะดีครับ

ขอบคุณครับ
smob472 ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #6 เมื่อ: 18/08/11, [22:46:21] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

เยี่ยมครับ ขอบคุณครับมากครับ
Sqweez ออฟไลน์
Club Follower
« ตอบ #7 เมื่อ: 20/08/11, [06:11:50] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ทำไมรูปไม่ขึ้นอะครับ  036
หน้า: 1   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: