Aqua.c1ub.net
*
  Mon 27/Oct/2025
หน้า: 1   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ธรรมะ ช่วยอะไรได้บ้าง ธรรมะ ให้อะไรได้บ้าง  (อ่าน 2549 ครั้ง)
SUNZONESKY ออฟไลน์
Club Veteran
« เมื่อ: 05/08/11, [12:40:06] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ส่วนตัว อันนี้ใช่เลย
ท่านเป็นแบบไหนครับ คนธรรมดา คนมีปํญญา หรือเป็นชาวพุทธแท้

คนธรรมดาทำบุญก็อยากได้บุญ
คนมีปัญญาทำบุญหวังจะเกิดในภพใหม่ที่ดีกว่าเดิม
แต่ชาวพุทธแท้ทำบุญเพื่อการปล่อยวางกิเลสอย่างสิ้นเชิง

ว.วชิรเมธี



มาผิดเว็บเปล่าไม่รู้ซิเรา emb01










อันนี้สำหรับท่านนี้กับกระทู้ของท่านครับ
http://aqua.c1ub.net/forum/index.php?topic=145436.0
เลิกกันแล้วเป็นเพื่อนกัน มันยากกว่าทางใคร ทางมัน เนอะ


ความทุกข์ไม่เคยยึดติดเรา
มีแต่เราต่างหากที่ยึดติดความทุกข์
ความสุขไม่เคยไปจากใจเรา
มีแต่เราต่างหากที่ไม่เคยถนอมมันไว้ในใจของเรา

ว.วชิรเมธี


ถ้าก้าวล่วงอภัยด้วย [on_008]






บัง! ออฟไลน์
in Wonderland
« ตอบ #1 เมื่อ: 05/08/11, [13:02:22] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ธรรมมะ ทำให้ลูกผู้ชายได้มีโอกาสบวช


.
.
.
และรู้ว่าเรารักอินเตอร์เน็ตมากแค่ไหน
Tao ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #2 เมื่อ: 05/08/11, [13:11:42] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ธรรมมะ ทำให้ลูกผู้ชายได้มีโอกาสบวช


.
.
.
และรู้ว่าเรารักอินเตอร์เน็ตมากแค่ไหน
้hahaha
Ta ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #3 เมื่อ: 05/08/11, [13:45:06] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ธรรมะช่วยขัดเกลาทำให้เราเป็นคนดี,อยู่ในศีลธรรม {แต่ไม่เคยทำ}
 ้hahaha ++
Yoda ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #4 เมื่อ: 05/08/11, [13:48:01] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ธรรมมะ ทำให้ลูกผู้ชายได้มีโอกาสบวช


.
.
.
และรู้ว่าเรารักอินเตอร์เน็ตมากแค่ไหน

 ้hahaha ้hahaha ้hahaha ้hahaha
SUNZONESKY ออฟไลน์
Club Veteran
« ตอบ #5 เมื่อ: 05/08/11, [14:40:34] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

การได้บวชก็ดีนะครับ ตามความเชื่อของคนรุ่นเก่า ถือเป็นการทดแทนบุญคุณพ่อแม่
พ่อแม่รุ่นเก่าส่วนใหญ่ อยากให้ลูกตัวเองได้บวช ยิ่งถ้าเป็นแถวบ้านนอกด้วยแล้ว
ยิ่งอยากให้ได้บวชครบ 1 พรรษา เลยครับ แต่เดี๋ยวนี้ บวชกันแค่ ไม่กี่วัน  
ผมอยากบวชจนบัดนี้จะลงโรงยังไม่ได้บวชเลย
















โดย...พุทธทาสภิกขุ
สวนโมกขพลาราม

การบวช คืออะไร ? ดังนี้แล้ว ทางที่ดีที่สุดควรจะถือเอาใจความตัวพยัญชนะคำว่า “บวช“ นั่นเอง คำว่า “บวช“ เป็นภาษาไทย ซึ่งถอดรูปมาจากคำในภาษาบาลีว่า ปพฺพชฺชา

            คำว่า “ปพฺพชฺชา“ นี้ มีรากศัพท์ คือ ป + วช : ป แปลว่า ทั่วหรือสิ้นเชิง

            วช แปลว่า ไป หรือเว้น

            คำว่า ป + วช จึงแปลว่า ไปโดยสิ้นเชิง หรือ เว้นโดยสิ้นเชิง

            ที่ว่า “ไปโดยสิ้นเชิง“ นั้นหมายถึง ไปจากความเป็นฆราวาส คือ จากการครองเรือนไปสู่ความเป็นบรรพชิต คือ ผู้ไม่ครองเรือนโดยสิ้นเชิง โวหารที่สูงไปกว่านั้น ท่านเรียกว่า ไปจากโลกโดยสิ้นเชิง ซึ่งหมายความว่า ละเสียจากวิสัยที่ชาวโลกเขามีกัน เป็นกันโดยสิ้นเชิง นั่นเอง

            คำว่า "ไปจากความเป็นฆราวาส" นี้หมายความว่า ไปจากบ้านเรือน ซึ่งหมายถึง

            การสละความมีทรัพย์สมบัติ
            การสละวงศ์ญาติทั้งหลาย
            การเลิกละการนุ่งห่มอย่างฆราวาส
            เลิกละการกินอยู่อย่างฆราวาส
            เลิกละการใช้สอยอย่างฆราวาส
            เลิกละอาการกิริยาวาจาอย่างฆราวาส
            เลิกละความรู้สึกนึกคิดอย่างฆราวาสสิ้นเชิง

            ดังนี้ จึงจะเรียกว่า ไปหมดจากความเป็นฆราวาส โดยสิ้นเชิง หรือไปจากโลกโดยสิ้นเชิง

            ข้อที่ว่า “ สละความมีทรัพย์สมบัติ “ นั้น หมายถึง การยอมรับดำเนินชีวิตชนิดที่ไม่ต้องมีทรัพย์สมบัติ ไปมีชีวิตอยู่ด้วยเครื่องอาศัยเลี้ยงชีวิต ตามแต่จะมีผู้ศรัทธาหรือตามแต่จะหาได้มาบริโภคด้วยสิทธิอันชอบธรรมของนักบวชอันจะได้กล่าวถึงข้างหน้า ทรัพย์สมบัติทั้งหลายเหล่าโน้น เป็นของที่ฆราวาสผู้ไม่มีสิทธิอันชอบธรรมในอันที่จะบริโภคสิ่งของอันเขาถวายด้วยศรัทธา จึงไม่มีความจำเป็นอันใดสำหรับบรรชิตผู้ตั้งหน้าแสวงหาคุณอันสูงโดยแท้จริง

            ข้อที่ว่า “ สละวงศ์ญาติทั้งหลาย “ นั้นหมายถึงไม่มีความอาลัยในหมู่ญาติอันเป็นเหตุให้ต้องเกี่ยวข้องหรือสงเคราะห์กันอย่างชาวโลกเขาทำกัน บางคนยังต้องติดกับหมู่ญาติ เพราะเห็นแก่ปากท้อง ในเรื่องอาหารการกินและอื่น ๆ จนไม่มีโอกาสได้รับความเป็นอิสระโปร่งโล่งของบรรพชา

            ในบาลีที่กล่าวถึงการบวช มีการย้ำถึงการสละวงศ์ญาติอยู่ทั่วๆ ไป และอยู่ในรูปพระพุทธภาษิตโดยตรง นักบวชบางประเภทในสมัยพุทธกาล สมาทานการไม่ไปเยี่ยมบ้านของตนจนตลอดชีวิตก็ยังมี แต่ในพุทธศาสนา เรามุ่งเอาแต่เพียงการสละความอาลัยในหมู่ญาติ ชนิดที่เป็นความรู้สึกของฆราวาสทั่วไปนั่นเอง

            ข้อที่ว่า “ เว้นการนุ่งหุ่มอย่างฆราวาส “ นั้น ย่อม ๆ เห็นกันอยู่แล้วว่า หมายความถึงอะไร แต่ขอให้ถือเอาใจความสำคัญให้ได้ว่า ไม่ใช้เครื่องนุ่งห่มด้วยความมัวเมาในความงาม หรือความนิ่มนวลทางสัมผัสของสิ่งที่ใช้นุ่งห่ม ซึ่งหมายความว่า แม้จะใช้จีวรอย่างบรรพชิตแล้ว แต่ถ้ามุ่งไปในทางสวยงาม หรือความนิ่มนวลทางสัมผัสเป็นต้นแล้ว ก็ยังมีความหมายว่า ใช้เครื่องนุ่งห่มอย่างฆราวาส ทั้งที่กำลังห่มจีวรอยู่นั่นเอง

            ข้อที่ว่า “ เว้นจากการกินอยู่อย่างฆราวาส “ นั้น มิได้หมายแต่เพียงว่า เว้นการฉันในเวลาวิกาลหรือเว้นอาหารบางชนิดที่พระเณรไม่ควรฉันเป็นต้น เพียงเท่านี้ก็หามิได้ใจความสำคัญนั้นอยู่ที่ว่าพวกฆราวาสกินเพื่อความเอร็ดอร่อย กินเพื่อความสนุกสนานเฮฮากินจุบกินจิบพิถีพิถันตามวิสัยของฆราวาสผู้เอาแต่การตามใจตัวเองเป็นที่ตั้งผู้บวชแล้วจะต้องเว้นจากการกินอย่างฆราวาสนี้โดยเด็ดขาด จะฉันด้วยความรู้สึกเพียงแต่ว่า นี้เป็นอาหารที่ฉันเพียงเพื่อยังอัตตภาพนี้ให้เป็นไปได้พอสะดวกสบายพอเหมาะสมแก่การที่จะปฏิบัติธรรมวินัยอันเป็นไป เพื่อออกจากทุกข์โดยประการทั้งปวง

            โดยสรุปแล้ว ฉันอยู่ด้วยการระลึกถึงพระพุทธภาษิตของพระพุทธองค์ ซึ่งเราถือว่าเป็นพระพุทธบิดา อันได้ตรัสไว้ว่า “ พวกเธอ จงฉันบิณฑบาตสักว่าเหมือนกับน้ำมันสำหรับหยอดเพลาเกวียนหรือเหมือนกับมารดาบิดาซึ่งหลงทางกลางทะเลทราย ต้องจำใจกินเนื้อบุตรของตน ที่ตายแล้วในกลางทะเลทราย เพื่อประทังชีวิตของตนเองฉันนั้น “

            กิริยาดังกล่าวนี้ คือ การเลิกละจากการกินอยู่อย่างฆราวาสโดยสิ้นเชิง

            ข้อที่ว่า “ เลิกละการใช้สอยอย่างฆราวาส “ นั้น หมายถึง ไม่ใช้สอยที่อยู่อาศัยและเครื่องใช้สอยมีภาชนะเป็นต้น โดยทำนองที่ฆราวาสเขาใช้กัน คือเพื่ออยู่อย่างสำรวย เพื่ออยู่อย่างสนุกสนานในทางตามใจตัวเอง หรือเพื่อโอ้อวดกันในทางสวยงามและมีมากเป็นต้น นี้เรียกว่า ไปจากฆราวาสโดยสิ้นเชิง ในด้านการใช้สอยเครื่องใช้สอย

            ข้อที่ว่า “ ละขาดจากกิริยาวาจาอย่างฆราวาส “ นั้น หมายถึง ฆราวาสย่อมมีกิริยาวาจาอันเป็นไปตามใจกิเลส ตัณหา ตามความสะดวกสบาย โดยปราศจากการควบคุม เพราะมุ่งแสวงแต่ความสนุกสนาน เพลิดเพลินจากการตามใจตัวเองอย่างเดียว ผู้บวชแล้ว จะต้องมีกิริยาวาจาอย่างสมณะ ในบทว่า

            “ กิริยาวาจาใด ๆ เป็นของแห่งสมณะ เราจักประพฤติตนให้เป็นไปด้วยกิริยาวาจาอาการนั้น ๆ “ ผู้บวชแล้วลืมตัวในเรื่องนี้ ย่อมมีกิริยาวาจาที่คล้ายฆราวาสอยู่ทุกอิริยาบถ เมื่อมีมิตรสหายที่เป็นฆราวาสมาหา ย่อมทำการต้อนรับเหมือนอย่างที่เคยกระทำต่อกันในครั้งเป็นฆราวาส ในบางรายถึงกับกอดคอกันก็มี หรือนั่งเข่าทับก่ายกันก็มี กิริยาทางกายและวาจาเหล่านี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงถือว่าเป็นอาการของสมณะเลย แม้กิริยาวาจาอื่น ๆ ซึ่งเป็นของฆราวาสซึ่งมีอยู่มากมายนั้น ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผู้บวชแล้วจะต้องละขาดด้วยสติสัมปชัญญะอย่างยิ่ง

            ข้อที่ว่า “ เว้นจากความรู้สึกคิดนึกอย่างฆราวาสโดยสิ้นเชิง “ หมายความว่า พวกฆราวาสตามปรกติ มีความรู้สึกคิดนึกไปในทางเหย้าเรือน คิดนึกไปในทางกามคุณ ชอบปล่อยจิตให้ไหลไปในความคิดนึกทางกามารมณ์อยู่เป็นประจำ เมื่อความรู้สึกคิดนึกทางกามคุณเกิดขึ้น ย่อมไม่ประสงค์ที่จักหักห้าม แต่กลับจะพอใจ ปล่อยให้จิตใจไหลไปตามแนวนั้น ๆ ให้มากยิ่งขึ้นไปเสียอีก เพราะเป็นความเพลิดเพลิน นี้เรียกว่า ความรู้สึกคิดนึกอย่างฆราวาส

            ผู้บวชแล้วจะต้องละความรู้สึกคิดนึกชนิดนั้นโดยเด็ดขาด ด้วยสติสัมปชัญญะอย่างยิ่ง คอยควบคุมกระแสแห่งความคิดนึกให้ไหลไปในทางของบรรพชิตโดยส่วนเดียว นี้เรียกว่า ละความรู้สึกคิดนึกอย่างฆราวาสโดยสิ้นเชิง

            การละทรัพย์สมบัติ การละวงศ์ญาติ การละการนุ่งห่มอย่างฆราวาส การละการกินอยู่อย่างฆราวาส การละการใช้สอยอย่างฆราวาส การละกิริยาอาการทางกายวาจาอย่างฆราวาส และการละความรู้สึกคิดนึกอย่างฆราวาส ทั้งหมดรวมกันแล้วได้ในคำสรุปสั้น ๆ ว่า “ ไปหมดจากความเป็นฆราวาส “ เต็มตามความหมายของพยัญชนะที่ว่า “ ป+ วช “ หรือเป็นภาษาบาลีอย่างเต็มรูปว่า "ปพฺพชฺชา" นั่นเอง นี้คือความหมายของคำว่า “ บวช “ ในส่วนที่ว่า “ ไปหมด “ คือไปหมดจากความเป็นผู้ครองเรือนหรือเพศฆราวาสนั่นเอง

            ส่วนความหมายของคำว่า “ บวช “ ที่ว่า “ เว้นหมด “ นั้น อธิบายว่าเมื่อบวชเป็นบรรพชิตแล้ว จักต้องเว้นสิ่งซึ่งควรเว้น ตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้อย่างไรนั้นโดยสิ้นเชิง ข้อนี้ผู้บวชแล้วย่อมจะได้รับการศึกษาธรรมวินัยจนรู้ว่าอะไรเป็นสิ่งควรเว้นหรือควรละทั้งในส่วนวินัยและทั้งในส่วนธรรมะ แล้วตนก็จะพยายามเว้นสิ่งที่ควรเว้นนั้นโดยสิ้นเชิงโดยอาศัยกำลังใจที่ได้รับมาจากการระลึกถึงอยู่เสมอว่าบวชนี้เราบวชเองการปฏิญาณในการบวชนี้ได้ทำในสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์และโอกาสอันศักดิ์สิทธิ์และการบวชที่มีอานิสงส์อันสมบูรณ์นั้น เป็นความหวังอย่างยิ่งของมารดาบิดาและเราผู้มีความเป็นมนุษย์อันถูกต้องนั้นจักต้องประพฤติปฏิบัติตนให้เจริญงอกงาม ก้าวหน้าขึ้นไปสู่ความสูง หรือยอดสุดของความเป็นมนุษย์อยู่เสมอไป จึงจะสมกัน เมื่อระลึกได้ดังนี้ ก็มีกำลังใจที่จะละเว้นสิ่งที่ควรละเว้นได้โดยหมดจดสิ้นเชิง ตามระเบียบวินัยอย่างครบถ้วน

            นี้คือความหมายของคำว่า “ บวช “ ในส่วนที่ว่า “ เว้นหมด “

            เมื่อรวมความหมายของคำว่า “ ไปหมด “ และคำว่า “ เว้นหมด “ เข้าด้วยกัน ก็เป็นความหมายที่แสดงอยู่ในตัวเองอย่างครบถ้วนแล้วว่า ตัวลักษณะแห่งการบวชที่จริงนั้นคืออะไร ?

อานิสงส์ของการบวช คืออะไร ?

            เมื่อกล่าวถึงผลหรืออานิสงส์ของการบวชแล้วผู้บวชควรจะทำในใจถึงผลของการบวชให้กว้างออกไปเป็น3 ประการ เป็นอย่างน้อย อานิสงส์ของการบวชนั้นย่อมมีมากมายกว้างขวางเหลือที่จะกล่าวให้ครบถ้วนเป็นรายละเอียดได้แต่เราอาจจะประมวลเข้าด้วยกัน แล้วจำแนกออกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 3 ประเภท กล่าวคือ

            อานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ ตัวผู้บวชเอง
            อานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ ผู้อื่น มีมารดา บิดาที่เป็นประธาน
            อานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ พระศาสนา
            รวมเป็น 3 ประการด้วยกัน ดังนี้

            สำหรับ อานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ตัวผู้บวชเองนั้น โดยส่วนใหญ่ ย่อมหมายถึงการพ้นไปจากการเผาผลาญของไฟกิเลสและไฟทุกข์ หรือที่เรียกว่า “ นิพพาน “ นี้เป็นที่ตั้ง หากไม่ได้ถึงนั้น ก็ย่อมได้รองลงมาในอันดับที่รองลงมา คือ มีไฟกิเลส และไฟทุกข์เผาผลาญแต่เพียงเบาบาง แล้วแต่ว่าตนจะสามารถประพฤติปฏิบัติธรรมวินัยได้ดีเพียงไร นี้กล่าวสำหรับผู้บวชตลอดไป

            ส่วนผู้ที่บวชเฉพาะกาลชั่วคราว ตามขนบธรรมเนียมประเพณีของบางประเทศนั้น ย่อมได้ผลโดยสรุปคือ จักได้เรียนรู้ศาสนาที่ตนนับถือได้อย่างใกล้ชิด จักได้ลองชิมการปฏิบัติธรรมะเป็นเครื่องพ้นทุกข์ดู เท่าที่ตนจะปฏิบัติได้ และในที่สุดจักได้กลับออกมาเป็นคนที่ดีกว่าเก่า เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำในครอบครัว

            ทั้งหมดนี้เรียกว่า อานิสงส์ที่ผู้นั้นจะพึงได้รับ เฉพาะตนและตนจะต้องทำให้ได้รับจริง ๆ อย่าให้เสียทีที่ได้บวชเลย

            สำหรับอานิสงส์ที่ได้พึงได้แก่ผู้อื่น มีมารดาบิดาเป็นต้นนั้น ข้อนี้ย่อมหมายถึงการมุ่งตอบแทนบุญคุณของผู้มีบุญคุณ เป็นที่ตั้ง มีมารดาบิดาเป็นประธานของบุคคลเหล่านั้น ๆ คนเราพอสักว่าเกิดมาในขณะนั้น ยังไม่ทันจะลืมตาดูโลกได้ก็เป็นหนี้บุญคุณแก่คนทั้งหลาย อย่างมากมายเหลือที่จะกล่าวได้เสียแล้ว สำหรับมารดาบิดานั้นไม่ต้องกล่าวเพราะว่าท่านมีบุญคุณเหนือเศียรเกล้าของบุตรเพียงไรนั้น ย่อมเป็นที่ประจักษ์กันดีแล้ว

            ส่วนที่ว่า “ เป็นหนี้บุญคุณผู้อื่นอีกมากมายเสียตั้งแต่ยังไม่ทันลืมตาดูโลก “ นั้น ข้อนี้หมายความว่า พอเด็กคลอดออกมาก็ต้องอาศัยสติปัญญาวิชาความรู้ของผู้ที่เป็นแพทย์ เป็นหมอ ของผู้ที่รู้จักคิดรู้จักทำเครื่องนุ่งห่มขึ้นในโลก และของผู้ที่ทำการช่วยเหลือแวดล้อมทุกอย่างทุกประการโดยไม่รู้สึกตัว จนอาจจะสรุปได้ว่า พอเกิดมาก็เป็นหนี้บุญคุณคนทั้งโลกทีเดียว

            เพราะฉะนั้นจึงเป็นหน้าที่ของคนดี ที่จะต้องตอบแทนบุญคุณของผู้มีบุญคุณทั้งหลาย ซึ่งมีมารดาบิดาเป็นประธาน

            ในการตอบแทนบุญคุณนั้น บัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น ได้กล่าวไว้ว่า ไม่มีอะไรที่จะตอบแทนดียิ่งไปกว่าการทำให้ผู้มีบุญคุณนั้น ๆ ได้รับความดี ความงามอันสูงสุด สำหรับความดีความงามอันสูงสุดนั้น ก็ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่า การได้พ้นไปจากความทุกข์ หรือพ้นไปจากการถูกเผาผลาญของไฟกิเลสและไฟทุกข์

            เพราะเหตุฉะนี้แหละ บุตรที่จะต้องตอบแทนมารดาบิดาจักต้องสำนึกถึงการทำให้มารดาบิดาเป็นต้นนั้น ได้รับความดีความงามเป็นความพ้นทุกข์ก่อนสิ่งอื่นใดทั้งสิ้นท่านผู้รู้ได้กล่าวเปรียบความข้อนี้ไว้ว่าแม้หากจะทำได้ถึงกับว่าให้มารดาบิดาทั้งสองอยู่บนบ่าของบุตร แล้วฟูมฟักรักษามารดาบิดานั้น ไม่ให้อนาทรร้อนใจด้วยการกินอยู่เป็นต้น บนบ่าโดยไม่ต้องลงสู่พื้นดินเลย เป็นเวลาตลอดกัปป์ตลอดกัลป์ ก็ยังหาจัดว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณมารดาบิดา ได้เพียงพอหรือเหมาะสมกันไม่ แต่ท่านได้กล่าวไว้สืบไปว่า ถ้าหากบุตรคนใดได้ทำมารดาบิดา ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ หรือว่าทำมารดาบิดาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ให้เป็นสัมมาทิฏฐิยิ่งขึ้น จนถึงกับออกจากทุกข์ได้หมดจนสิ้นเชิง นี้แหละ ก็คือการตอบแทนบุญคุณของมารดาบิดาได้อย่างสมกัน

            เราจึงเห็นได้ชัดว่า โอกาสแห่งการตอบแทนบุญคุณของมารดาบิดานั้น นับว่ามีมากที่สุดในการบวช คือว่าด้วยการบวชนั้น จักทำให้มารดาบิดาเป็นต้นนั้น มีศรัทธามั่นคงในพระพุทธศาสนายิ่งขึ้น ได้เป็นผู้ใกล้ชิด หรือเป็นญาติในพระศาสนายิ่งขึ้น ได้ใกล้ชิดการประพฤติปฏิบัติธรรมวินัยยิ่งขึ้นได้มีความรู้ความเข้าใจในธรรมอันลึกซึ้งยิ่งขึ้นหรืออย่างน้อยที่สุดก็เป็นผู้มั่นคงไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัย จนเป็นที่รับประกันได้ว่า ไม่มีทางที่จะตกไปสู่อบายได้เลย ดังนี้เป็นต้น

            จึงนับว่า การบวชที่ถูกต้องนี้เป็นโอกาสที่จะตอบแทนบุญคุณมารดาบิดาได้จริง ๆ แต่ทั้งนี้ ย่อมหมายถึงว่า ผู้นั้นจะต้องบวชจริง ศึกษาเล่าเรียนจริง ประพฤติปฏิบัติจริง ๆ ได้รับผลแห่งพรหมจรรย์นี้จริง ๆ แล้วตั้งหน้าตั้งตาสอนผู้อื่นจริง ๆ ล้วนแต่เป็นการทำจริงไปทั้งหมดดังนี้ จึงจะมีผลเป็นการตอบแทนบุญคุณมารดาบิดาเป็นต้น อันเป็นที่รักที่เคารพจริงอย่างเหมาะสมกันได้

            ขอให้ผู้บวชแล้วทั้งหลาย จงอ้างเอาคุณมารดาบิดาเป็นที่ตั้ง โดยมีความสำนึกว่า ท่านเหล่านั้นได้มีบุญคุณแก่เรามาก่อนแล้ว เป็นฝ่ายที่ทำแก่เราก่อน เรากำลังเป็นหนี้บุญคุณของท่านอยู่แล้ว แล้วตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรมวินัย ด้วยการทำจริง ดังกล่าวมา ให้เป็นการตอบแทนบุญคุณมารดาบิดาอย่างเหมาะสมกัน อย่าให้เป็นขบถหรือหลอกลวงต่อความหวังของมารดาบิดาแต่ประการใดเลย อันนี้แลเรียกว่า อานิสงส์ของการบวชที่จะพึงได้แก่ผู้มีบุญคุณทั้งหลาย มีมารดาบิดาเป็นต้น

            สำหรับอานิสงส์อันจะพึงได้แก่พระศาสนาเอง เป็นประการสุดท้ายนั้น ข้อนี้หมายความว่า แม้พระศาสนาก็เป็นสิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่ง อาจจะเสื่อมสูญไปได้ ถ้าหากไม่มีการปรุงแต่งสืบต่ออายุเอาไว้

            เพราะฉะนั้น การบวชของพวกเรา จึงมีความมุ่งหมายให้เป็นการสืบอายุพระศาสนาไปด้วยอีกส่วนหนึ่ง เราที่ได้บวชนี้ก็เพราะมีพระพุทธศาสนา ถ้าหากไม่มีพระศาสนา เราจะบวชได้อย่างไร เป็นสิ่งที่เข้าใจกันได้อยู่ดีแล้ว บุญคุณของพระศาสนานั้นเองที่ทำให้เราได้บวช เพราะฉะนั้นเราจักตอบแทนคุณของพระศาสนา

            ถ้ากล่าวให้ยืดออกไปกว่านี้อีก คือ เราต้องรำลึกถึงคุณอุปัชฌาย์อาจารย์ ที่ได้สืบอายุพระศาสนากันมาเป็นลำดับ ๆ นับตั้งแต่สมัยพุทธกาลมาจนถึงบัดนี้ จนทำให้เราได้บวช เราต้องสำนึกถึงบุญคุณของอุปัชฌาย์อาจารย์เหล่านั้น ซึ่งแต่ละท่านล้วนแต่หวังว่า เราผู้เป็นลูกศิษย์ชั้นหลัง ๆ จักช่วยกันสืบอายุพระศาสนาให้เป็นช่วง ๆ รับมอบกันไปอย่าให้ขาดสายได้ นี้เป็นเหตุให้เราต้องคิดตอบแทนคุณอุปัชฌาย์อาจารย์เหล่านั้น ด้วยการสืบอายุพระศาสนาไว้ให้ได้จริง ๆ ถ้าจะกล่าวให้ยืดออกไปกว่านั้นอีก เราจะต้องรำลึกถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นต้นกำเนิดของพระศาสนา ในข้อที่พระองค์ได้ทรงเสียสละ ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบากในการประดิษฐานพระศาสนาซึ่งเมื่อเราได้ศึกษาประวัติอันประเสริฐของพระองค์แล้วเราจะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงบากบั่นในการประดิษฐานและเผยแพร่พระศาสนานี้ จนถ้าจะกล่าวโดยโวหารธรรมดาก็กล่าวได้ว่า “ ตายคาที่บนแผ่นดินกลางทางเดิน ที่โคนต้นไม้แห่งหนึ่ง “ ไม่ได้ตายบนกุฏิเหมือนเราท่านทั้งหลายโดยมาก

            สรุปข้อความนี้ว่า พระองค์ทรงมีความพยายามและความหวังอย่างยิ่ง ที่จะประดิษฐานพระศาสนาของพระองค์ให้มั่นคงอยู่ในโลกนี้เพื่อเป็นประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายรวมทั้งพวกเราด้วย เพราะเหตุฉะนั้นแหละเราจะต้องบากบั่นในการสืบอายุพระศาสนา ให้สมกับตัวอย่างที่พระองค์ได้ทรงกระทำไว้และให้สมกับบุญคุณอันใหญ่หลวงที่พระองค์ทรงกระทำไว้แก่สัตว์ทั้งหลายรวมทั้งพวกเราด้วย เพื่อจะให้เป็นการสืบอายุพระศาสนาได้สมจริงนั้น ย่อมมีอยู่แต่ทางเดียวเท่านั้น คือ

            เราจะต้องบวชจริง ศึกษาเล่าเรียนจริง ประพฤติปฏิบัติจริงให้ได้รับผลของพรหมจรรย์นี้จริง แล้วพยายามสั่งสอนผู้อื่นต่อกันไปจริง จึงจะเป็นการสืบอายุพระศาสนาเป็นเครื่องบูชาตอบแทนพระคุณของพระองค์ได้จริง

            เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายควรจะรำลึกถึงพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงพระคุณของอุปัชฌาย์อาจารย์ ที่ได้สืบอายุพระศาสนา สืบต่อกันลงมาจนถึงพวกเรา และรำลึกถึงคุณของพระศาสนา ซึ่งเป็นเครื่องบำบัดความทุกข์ของสัตว์ได้จริง แล้วตั้งหน้าตั้งตาตอบแทนคุณพระศาสนา คุณอุปัชฌาย์อาจารย์และคุณพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยการเรียนจริงปฏิบัติจริงเป็นต้น ดังกล่าวแล้ว

            นี้เรียกว่า อานิสงส์ของการบวชอันจะพึงได้แก่ ตัวศาสนาเอง ซึ่งในที่สุดอานิสงส์อันนั้นก็จะแผ่ไปในทุก ๆ โลก ทั้งมนุษยโลกและเทวโลกเป็นเหมือนร่มโพธิ์ร่มไทรที่คุ้มครองสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายให้เยือกเย็นอยู่ภายใต้ร่มเงาของพระศาสนาตลอดกาลนาน

            รวมอานิสงส์ ทั้ง 3 ประการเข้าด้วยกัน คือ

            อานิสงส์ที่พึงจะได้แก่ ตัวผู้บวชเอง

            อานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ ผู้มีบุญคุณทั้งหลาย มีมารดาบิดาเป็นประธาน

            และอานิสงส์ที่จะพึงได้แก่ ตัวพระศาสนา

            ดังนี้แล้ว ย่อมเห็นได้ว่าเป็นการเพียงพอแล้ว ที่เราจะต้องเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยการอดกลั้นอดทนเพื่อให้เกิดการบวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้รับผลจริง แล้วสั่งสอนสืบต่อกันไปจริง ซึ่งอาจจะกล่าวได้ด้วยความมั่นใจว่า ไม่มีการกระทำอย่างใดที่จะดียิ่งกว่าการกระทำอันนี้ ซึ่งถือว่าเป็นอานิสงส์ของการบวชที่พวกเราจะพึงได้รับ

SaHaRa ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #6 เมื่อ: 05/08/11, [16:14:29] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

แต่ชาวพุทธแท้ทำบุญเพื่อการปล่อยวางกิเลสอย่างสิ้นเชิง

อยากถามมีใครรู้บางไหมว่า ทำไมทำบุญ ถึงเป็น การปล่อยวางกิเลสอย่างสิ้นเชิง

ไม่รู้ว่าความหมายที่แท้จริงของคำว่า ทำบุญของท่านนี่หมายถึงอะไร

อาเดียว ออฟไลน์
Club Veteran
« ตอบ #7 เมื่อ: 05/08/11, [16:32:48] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ผมก็ไม่ได้รู้มากนัก แต่ก็รู้ว่าธรรมะช่วยให้หลักการดำเนินชีวิตและแหง่คิดของชีวิตผมดีขึ้น หลังจากที่ได้ไปบวชมา

ทำให้เรามองจากหลักความเป็นจริงมากขึ้น ยับยั้งอารมณ์ได้ดีขึ้น ช่วยได้เยอะอยู่ครับ

ถึงจะทำตามไม่ได้หมดปล่อยวางอย่างสิ้นเชิงไม่ได้ แต่ผมคิดว่าถ้าทุกนมีธรรมะและระลึกถึงการทำดีอยู่เสมอก็ทำให้สังคมดีขึ้นครับ


คำที่ว่าทำดีทำยากทำชั่วทำง่ายนั้นมันไม่จริงหรอกครับ

พระอาจารย์ท่านบอกว่าเป็นแค่คำที่พูดตามกันมา ลองแค่อยู่ดีๆคุณลองเอาหินไปปาหัวคนอื่นสิหรือเอาไม้ไปตีคนอื่น

ก็ทำไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่เรื่อง่ายที่คนธรรมดาจะทำได้ แต่คนที่ทำเรื่องพวกนี้ได้คือ คนที่ใช้อารมร์ คนที่ไม่ใช่ความคิด และคนที่ไม่มีสติอยู่กับตัว มีแต่อารมณืกับความอยากเท่านั้นเอง
SaHaRa ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #8 เมื่อ: 05/08/11, [16:37:40] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ผมก็ไม่ได้รู้มากนัก แต่ก็รู้ว่าธรรมะช่วยให้หลักการดำเนินชีวิตและแหง่คิดของชีวิตผมดีขึ้น หลังจากที่ได้ไปบวชมา

ทำให้เรามองจากหลักความเป็นจริงมากขึ้น ยับยั้งอารมณ์ได้ดีขึ้น ช่วยได้เยอะอยู่ครับ

ถึงจะทำตามไม่ได้หมดปล่อยวางอย่างสิ้นเชิงไม่ได้ แต่ผมคิดว่าถ้าทุกนมีธรรมะและระลึกถึงการทำดีอยู่เสมอก็ทำให้สังคมดีขึ้นครับ


คำที่ว่าทำดีทำยากทำชั่วทำง่ายนั้นมันไม่จริงหรอกครับ

พระอาจารย์ท่านบอกว่าเป็นแค่คำที่พูดตามกันมา ลองแค่อยู่ดีๆคุณลองเอาหินไปปาหัวคนอื่นสิหรือเอาไม้ไปตีคนอื่น

ก็ทำไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่เรื่อง่ายที่คนธรรมดาจะทำได้ แต่คนที่ทำเรื่องพวกนี้ได้คือ คนที่ใช้อารมร์ คนที่ไม่ใช่ความคิด และคนที่ไม่มีสติอยู่กับตัว มีแต่อารมณืกับความอยากเท่านั้นเอง

มันมีเหตุมากระทบครับ ถึงจะเอาไม้ไปตีคนได้ ถ้าไม่มีเหตุมากระทบก็ไม่มีอะไร

เช่นเดียวกัน เมื่อมีเหตุมากระทบ (โดยเฉพาะเหตุที่มันแรง)

โดยส่วนมากแล้วคนธรรมดาทั่วไป ยากจะชนะกิเลสได้ครับ

จึงเป็นที่มาที่ไปของคำที่ว่าทำดีทำยากทำชั่วทำง่าย ลองพิจารณาดูดีดีครับ
อาเดียว ออฟไลน์
Club Veteran
« ตอบ #9 เมื่อ: 05/08/11, [16:49:00] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

มันมีเหตุมากระทบครับ ถึงจะเอาไม้ไปตีคนได้ ถ้าไม่มีเหตุมากระทบก็ไม่มีอะไร

เช่นเดียวกัน เมื่อมีเหตุมากระทบ (โดยเฉพาะเหตุที่มันแรง)

โดยส่วนมากแล้วคนธรรมดาทั่วไป ยากจะชนะกิเลสได้ครับ

จึงเป็นที่มาที่ไปของคำที่ว่าทำดีทำยากทำชั่วทำง่าย ลองพิจารณาดูดีดีครับ

ใช่ครับ  [on_035]

แต่ถ้าเรามีธรรมะแล้วรู้จักระงับได้ก็จะหยุดการกระทำไม่ดีหรืออาจจะให้คิดได้บ้างนะ ส่วนตัวผม ผมว่าช่วยได้มากเลยล่ะครับ

แต่ผมไม่ค่อยอยากให้คำว่าทำดีทำยากทำชั่วทำง่ายมันติดปาก เพราะเวลาใครทำอะไรผิดก็จะยกตัวอย่างคำนี้ขึ้นมาซึ่งผมคิดว่ามันไม่ค่อยถูกต้องซักเท่าไร

เพราะคนทั่วไปจะเข้าใจคำนี้แบบผิวเผินโดยไม่ได้คิดว่าอะไรมากระทบ
SaHaRa ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #10 เมื่อ: 05/08/11, [16:59:11] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ใช่ครับ  [on_035]

แต่ถ้าเรามีธรรมะแล้วรู้จักระงับได้ก็จะหยุดการกระทำไม่ดีหรืออาจจะให้คิดได้บ้างนะ ส่วนตัวผม ผมว่าช่วยได้มากเลยล่ะครับ

แต่ผมไม่ค่อยอยากให้คำว่าทำดีทำยากทำชั่วทำง่ายมันติดปาก เพราะเวลาใครทำอะไรผิดก็จะยกตัวอย่างคำนี้ขึ้นมาซึ่งผมคิดว่ามันไม่ค่อยถูกต้องซักเท่าไร

เพราะคนทั่วไปจะเข้าใจคำนี้แบบผิวเผินโดยไม่ได้คิดว่าอะไรมากระทบ

มาดีแล้วครับ แนะนำปฏิบัติต่อไปนะครับ แล้วจะเข้าใจได้มากขึ้น  [เจ๋ง]


บัง! ออฟไลน์
in Wonderland
« ตอบ #11 เมื่อ: 06/08/11, [13:48:32] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

แต่ชาวพุทธแท้ทำบุญเพื่อการปล่อยวางกิเลสอย่างสิ้นเชิง

อยากถามมีใครรู้บางไหมว่า ทำไมทำบุญ ถึงเป็น การปล่อยวางกิเลสอย่างสิ้นเชิง

ไม่รู้ว่าความหมายที่แท้จริงของคำว่า ทำบุญของท่านนี่หมายถึงอะไร



จริงๆมันไม่ใช่ "การปล่อยวางกิเลสอย่างสิ้นเชิง" หรอกครับ
ต้องเรียกว่า "หนทางสู่การปล่อยวางกิเลสอย่างสิ้นเชิง" จะเหมาะกว่า

การทำบุญ ก็คือการแบ่งปันนั่นแหละครับ เป็นคำสอนที่มีในทุกศาสนา (แม้แต่ในศาสนา UFO หัวนม)
หัดแบ่งปันให้ผู้อื่น เพื่อลดความเห็นแก่ตัว ลดความตระหนี่ (ลดความงกนั่นแหละ)

อะไรที่เราหัดทำบ่อยๆ มันก็จะทำได้ง่ายขึ้น และมีพฤติกรรมที่จะโน้มเอียงไปทางนั้นได้ง่าย

คล้ายๆกับการเชิดชูเกียรติทหารที่ตายอย่างวีรบุรุษพลีชีพในสงคราม เพื่อหวังผลใหทหารอื่นๆรบอย่างกล้าหาญ
บอกว่าการทำบุญนั้นดี ทำแล้วลดความงกนะ มึงจะเป็นคนดีนะ ทำกันเถอะ ก็เป็นการจูงใจแบบหนึ่งเหมือนกัน

หลังๆก็มีการเสริมเรื่องทำบุญแล้วจะมีชีวิตที่ดีในภพนี้ภพหน้า ขึ้นสวรรค์ ไม่ทำความชั่วก็ไม่ตกนรก
ลามไปถึงสามารถเก็บบุญสะสมแต้มแลกของรางวัลได้เหมือนสะสมไมล์บัตรเครดิต

ทั้งหมดก็เพื่อจูงใจคนแหละครับ แต่ในระดับและกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน

ทั้งๆที่ถ้าทุกคนคิดได้ว่าเราไม่ควรงกและเห็นแก่ตัวมากจนเกินไป ถ้าอยากอยู่ในสังคมนะ ก็ไม่จำเป็นต้องสอน ต้องบอกกันเลยซักนิด
แต่คนส่วนมากมันดื้อ มันรั้น มันเหี้ย มันเห็นแก่ตัวมากจนเกินไป ก็เลยต้องกึ่งจูงใจ กึ่งหลอก ซึนๆกันไปแบบนี้แหละ
นางฟ้าไร้ใจ ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #12 เมื่อ: 06/08/11, [22:21:28] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ทำดีได้ดี

ทำชั่วได้ชั่ว
SUNZONESKY ออฟไลน์
Club Veteran
« ตอบ #13 เมื่อ: 07/08/11, [12:47:56] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

กิเลส
คำว่า กิเลส แปลว่า สิ่งที่เศร้าหมอง หรือ เครื่องทำให้เกิดความเศร้าหมอง
มีความหมาย ๓ อย่าง คือ

ให้เกิดความสกปรก หรือ เศร้าหมองอย่างหนึ่ง
ให้เกิดความมืดมิดไม่สว่างไสวอย่างหนึ่ง
ให้เกิดความกระวนกระวายไม่มีความสงบอีกอย่างหนึ่ง


เพื่อให้เข้าใจง่าย ท่านแบ่งชั้นกิเลสเป็น ๓ ชั้น คือ ชั้นละเอียดหรือชั้นใน
อย่างหนึ่ง, ชั้นกลางอย่างหนึ่ง, ชั้นหยาบหรือชั้นนอก อย่างหนึ่ง

ที่เป็นชั้นใน หมายถึงชั้นที่นอนนิ่งอยู่ในสันดานอย่างเงียบๆ จนกว่าจะมีอารมณ์มา
กระทบ จึงจะปรุงขึ้นเป็นกิเลสชั้นกลางที่เกิดขึ้นกลุ้มรุมจิต หรือเป็นกิเลสชั้นหยาบ
ที่ทะลุออกมาปรากฏเป็นกิริยาต่างๆ ที่ชั่วร้ายภายนอก ตัวอย่างกิเลสชั้นละเอียดที่
เป็นภายในมีชื่อเรียกว่า อกุศลมูล มี ๓ อย่าง คือ โลภะ-ความโลภ, โทสะ-ความ
โกรธ ประทุษร้าย, โมหะ-ความหลง หรือ ที่มีชื่อเป็นอย่างอื่นอีกมากชื่อ  แต่โดย
ใจความแล้ว ได้แก่ กิเลสที่ยังสงบอยู่ภายใน จนกว่า ได้อารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องจน
เกิดความรู้สึกอยากได้รุนแรง รบกวนอยู่ในใจ พลุ่งพล่านอยู่ด้วยความอยาก หรือ
พลุ่งพล่าน อยู่ด้วยความโกรธแค้นเกลียดชัง หรือ พลุ่งพล่านอยู่ด้วยความโง่สงสัย
กระวนกระวายอยู่ในใจ เป็นกิเลสชั้นกลางเรียกชื่อว่า นิวรณ์ มี ๕ อย่าง คือ
กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา. ถ้าความปรุงแต่งไม่หยุด
อยู่แต่เพียงเท่านั้น ก็จะทะลุออกมา ทางกาย ทางวาจา เป็นการกระทำด้วยเจตนา
เช่น การล่วงละเมิดในทางกาม การฆ่าเขา เบียดเบียนเขา การพูดเท็จ ตลอดจน
การดื่มน้ำเมา เป็นต้น ซึ่งเรียกว่า กิเลสหยาบ ถ้าพิจารณากันอีกทางหนึ่ง จะเห็นได้
ว่า ตัวกิเลสที่แท้นั้น คือ กิเลสชั้นใน หรือ ชั้นละเอียดนั่นเอง ส่วนอีก ๒ ชั้นที่เหลือ
เป็นเพียงกิริยาอาการของกิเลสชั้นในที่แสดงออกมา มากกว่าที่จะเป็นตัวกิเลสเอง
แต่โดยเหตุที่ท่านเพี่งเล็งถึงตัวความเศร้าหมองมืดมัวและไม่สงบ ท่านจึงจัดกิริยา
อาการของกิเลสอย่างนั้นทั้ง ๒ ชั้น ว่าเป็นตัวกิเลสโดยตรงอีกด้วย เช่นกิริยาอาการ
ที่เรียกว่า กามฉันทะ หรือ พยาบาทนั้น ทำให้มโนทวาร หรือ ใจเศร้าหมอง และ
กิเลสในการล่วงละเมิดในกาม และการพูดเท็จ เป็นต้นนั้น ทำให้กายและวาจาเศร้า
หมอง ในทำนองเดียวกันกับที่กิเลสชั้นละเอียดได้ทำให้สันดานพื้นฐานส่วนลึกของ
ใจเศร้าหมอง ในที่สุดเราก็จะได้เป็นคู่ๆ กันดังนี้

๑. กิเลสชั้นละเอียด ทำให้สันดานเศร้าหมอง
๒. กิเลสชั้นกลาง ทำให้มโนทวารเศร้าหมอง
๓. กิเลสชั้นหยาบ ทำให้วจีทวารและกายทวารเศร้าหมอง

กิเลสชั้นละเอียด ซึ่งได้กล่าวแล้วเรียกว่า อกุศลมูล ในที่นี้ มีเพียง ๓ อย่าง แต่ใน
ที่อื่นมีชื่อเรียกเป็นอย่างอื่น และจำแนกออกไปมากกว่า ๓ อย่าง ตัวอย่างเช่น
แทนที่จะจำแนกเป็น โลภะ โทสะ โมหะ ก็จำแนกเป็น กามราคะ ปฏิฆะ ทิฎฐิ
วิจิกิจฉา มานะ ภวราคะ อวิชชา รวมเป็น ๗ อย่าง และเรียกว่า อนุสัย แต่ในที่สุด
เราก็เห็นได้ว่า กามราคะ ความกำหนัดในกาม และ ภวราคะ ความกำหนัด ใน
ความมีความเป็น ในที่นี้ ได้แก่ โลภะ หรือ ราคะ นั่นเอง ปฏิฆะ ในที่นี้ ก็คือ โทสะ
นั่นเอง ส่วน ทิฎฐิ วิจิกิจฉา มานะ อวิชชา ทั้ง ๔ อย่างนี้ สรุปลงรวมได้ในโมหะ
จึงยังคงเหลือเพียง โลภะ โทสะ โมหะ อยู่นั่นเอง แม้จะจำแนกให้มากออกไปกว่า
นี้ เช่น เป็น สังโยชน์ ๑๐ ก็ทำนองเดียวกัน คือ อาจจะย่นให้เหลือ เพียง ๓ ได้
ดังกล่าว หากแต่ว่า เป็นเรื่องละเอียดเกินภูมิ ของผู้เริ่มศึกษา จะงด ไม่กล่าวถึง


 

 

 

   
คัดจาก หนังสือ ศึกษาธรรมะอย่างถูกวิธี หรือ ธรรมวิภาค นวกภูมิ   
คำบรรยายธรรมะ ของ พุทธทาสภิกขุ ในพรรษา ปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ 
พิมพ์โดย สำนักพิมพ์สุขภาพใจ
 




ที่มา : buddhadasa.com
หน้า: 1   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: