กลับจากเชียงคาน ขับรถตามจีพีเอสด้วยความเคยชิน ลืมต่อล้อต่อเถียงกะมันเลยวิ่งตรงไปทางท่าลี่ จะไปออกด่านซ้ายแล้วไปนครไทยเข้าภูหินร่องกล้า ทางจากเชียงคานไปท่าลี่แย่สำหรับรถเล็กๆอย่างแจ๊ส มาก
เพราะหลุมและขึ้นลงเขาตลอดเวลา บางช่วงก็ทำใหม่เหมือนจะเตรียมไว้สำหรับสะพานข้ามแดนแห่งใหม่ที่ท่าลี่ ขับไปไม่ค่อยมีรถคาดว่าคงไม่ใช่เส้นทางยอดนิยม แล้วก็จริงดังที่คาดจากร่องรอยบนถนนพบว่ามีรถบรรทุกขนาดใหญ่วิ่งไปมาพอดู เจอรถบรรทุกแบบพ่วงยาวทะเบียน ໄຊຍະບູລີ ประเทศลาว สองสามคัน หนึ่งในนั้นมีรถขนไม้แปร
รูปด้วยคาดว่าจะข้ามจากฝั่งโน่น หรือว่าไม้บ้านเราสวมตอไม้นอกเข้ามาก็ไม่รู้ ไปถึงท่าลี่ ผ่านช่วงที่เป็นสะพานกำลังทำอยู่คาดว่ากลางปีหน้าคงเรียบร้อยได้ข้ามไปเที่ยวทางนี้ได้อีกทางจริงๆแล้วฝั่นโน้นเดิม ໄຊຍະບູລີ (แขวงไซยะบูลี ออกเสียงว่า ไชยบุรี)เคยเป็นส่วนหนึ่งของประเทศไทยก่อนเสียดินแดนเมื่อปี พ.ศ. 2447 ทำให้แขวงนี้ไปขึ้นกับอินโดจีนของฝรั่งเศส ไทยได้กลับคืนมาชั่วคราวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อได้กลับคืนมาจึงตั้งเป็นจังหวัดลานช้าง แต่ต้องคืนกลับไปเหมือนเดิมหลังสงคราม
ถ้าสะพานเรียบร้อยคงได้ข้ามไปเที่ยวดินแดนที่เคยเป็นของเรามาเล่าสู่กันฟังอีกครั้งครับ จากท่าลี่ถนนก็ยังคงชำรุดอยู่ตลอดทางไปเกือบถึงด่านซ้าย ส่วนจากด่ายซ้ายไปถึงนครไทยทางดีมาก กว้างขวางรถมีเล็กน้อยขับสบาย ออกจากเชียงคานสิบโมงมั๊ง ไปถึงบ่ายสอง ไวเหมือนกันทั้งที่ทางไม่ได้วิ่งได้เร็วเท่าไรเลย T___T
ออกจากนครไทยได้แป๊บเดียวก็มาถึงเส้นทางเข้าไปยังภูหินร่องกล้าเข้าด่านไปโดยเสียตังค์ 70 บาท เด็ก30บาทผู้ใหญ่ 40 บาท ที่นี่ไม่เสียค่ารถผ่านด่าน ไม่รู้ทำไม ที่เขาใหญ่ผมต้องเสีย 50 บาท เหมือนกับว่ารถมันจะเข้าไปเที่ยวเองได้เนอะ ไม่รู้ว่ารถพ่วงต้องเสียด้วยหรือเปล่าใครเคยลากรถพ่วงไปนอนบนเขาใหญ่กระซิบบอกผมที
ที่ภูหินร่องกล้ามาครั้งนี้เป็นการมาครั้งที่สองและเป็นการมาทางรถครั้งแรกของผมด้วยเลยตื่นเต้นกับเส้นทางเล็กน้อย(แต่ขอบอกว่าทางขับง่ายมากๆ)
ลิงหิวข้าวมากเมื่อถึงที่จอดรถของฐานพัชรินทร์

เลยหาอะไรใส่ปากลิงหน่อย วันที่ไปเป็นวันหยุดเลยมีอาหารขายเยอะหน่อย

กินข้าวกินปลาแล้วก็โทรถามพี่ชายเห็นว่ากำลังออกมาเลยตัดสินใจเดินเที่ยวลานหินปุ่มจุดชมวิวที่เคยมองมาไกลๆทางอากาศเมื่อครั้งที่มาครั้งก่อน

เส้นทางไปลานหินปุ่มนั้น แห้งมากเนื่องจากเป็นช่วงที่แล้งมาเป็นเวลานานมอสและต้นไม้หลายอย่างพากันแห้ง
และกรอบมาก



ในเส้นทางนี้มีไม้พวกกล้วยไม้หลายกอที่ยังใบเขียว ทนทานต่อความแห้งแล้งอย่างมากแต่ไม่มีดอกแล้ว


บางต้นอยู่บนลานก็ยังอดทนได้ดีมาก


แต่ที่เขียวแน่ๆและยังคงสภาพสวยๆมันอยู่ในช่องหินแตก อันนี้ไม่ได้ลงไปกลัวไม่ได้ขึ้นมาอีกรอบ



เส้นทางที่เดินมีสะพานข้ามร่องหินเป็นระยะๆ มั่นคงและปลอดภัยดี

ไปงวดนี้ไม่ได้เห็นดอกกุหลาบพันปีสีขาวที่ลือชื่อของที่นี่เห็นแต่ตาดอกจวนจะเป็นดอกใน อีกสองเดือนข้างหน้า
คาดว่าจะออกดอกให้ได้ยลโฉมกันแน่ๆ แต่มันจะร้อนหน่อยช่วงนั้น
มีการกำหนดตำแหน่งทิศทางที่เดินอย่างครบถ้วนไม่ต้องกลัวหลงทางไม่อยากบอกว่า 400 เมตร มันไม่ไกลเลย


แต่เคยได้ยินว่าพลัดตกลงไปหลายคนก่อนที่จะมีสะพานนี้เนื่องจากกระโดดข้ามไปมาหลงร่องที่เดินกัน



ที่ลานหินปุ่มเนี่ยอากาศเย็นสบายมากทั้งที่แดดจัดแต่ไม่ร้อนเลย

รูปเล็กไปหน่อยเนอะ เอาๆ ถ่ายรูปใหญ่ๆหน่อยก็แระกัน

เนื่องจากไม่มีฝนตกเป็นเวลานานแล้ว ลิงอากให้ป่าชุ่มชื้นเลยพยายามเต้นขอฝนบนลานหินปุ่ม


ไม่อยากบอกว่าได้ผล คืนนั้นที่ทับเบิกมีฝนตกเล็กน้อยและในสองวันต่อมาฝนถล่มทั้งพิษณุโลกสองห่า


เจอต้นอะไรไม่รุเหมือนพวกบลอมิเลียดแต่ไม่รู้จักชื่อ ฟอร์มสวยดี

แล้วพี่ชายก็มาถึงพร้อมหลานสองหน่อ...ดูเหมือนจะเป็นงานรวมลิง ดูท่าจะมีรายการหนุมานบุกร่องกล้า

เจอลูกไทรสุก ถามว่ามันกินได้ไม๊ เลยบอกว่าลองชิมดูดิ


อร่อยรึเปล่า ดูหน้า

พอเจอกันก็วิ่งเล่นกันพักใหญ่ กว่าจะตามกันครบเล่นเอาขาสั่น เพราะว่าวิ่งเล่นกันไปทั่วลานหิน จับลิงในป่ามันช่างยากยิ่งนัก




บนเส้นทางระหว่างลานจอดรถไปยังลานหิน มีแหล่งน้ำเล็กเหลืออยู่เพียงแห่งเดียว คาดว่าจะแห้งหมด
ลงในไม่ช้าแต่ก็ยังคงความชุ่มชื้นไปอีกพักใหญ่แน่ๆเพราะมีพืชพวกข้าวตอกฤาษีคอยเก็บน้ำไว้ส่วนนึง





พื้นที่บริเวณนี่เป็นป่าดิบเขาที่มีสนสามใบขึ้นอยู่ อากาศสะอาดและมีความชื้นสูงมาก




เย็นมากแล้วเลยรีบออกเดินทางไปภูทับเบิกต่อ แต่เนื่องจากเส้นทางค่อยข้างคดเคี้ยวจึงไม่มีภาพระหว่างทางสวยๆให้ดู
ทั้งที่บนเส้นทางที่ผ่านไปในวันนี้มีต้นเมเปิลใบเปลี่ยนสีเป้นสีแดงทั้งต้นสามสี่ต้นอยู่ใกล้ๆทางแต่จอดรถไม่ทัน
ได้แต่ภาพเบรอๆของเฟินส์หัสดำที่มีอยู่มากมายบนเส้นทางนี้ เนื่องจากขับไปถ่ายไป

เส้นทางนี้เราจะพบเจ้าถิ่นเป็นรถบรรทุกผักวิ่งไปมาขวักไข่ว เนื่องจากใกล้กับแหล่งผลิดกล่ำอันลือชื่อของประเทศ
นั่นคื่อภูทับเบิก

มาถึงก็วิ่งไล่จับลิงอีกรอบ

ลงรถได้วิ่งไปโน่น

ตรงที่มาถึงเนี่ยเค้าเรียกว่าด่านภูหินร่องกล้าแต่มันมีป้ายภูทับเบิกอยู่ด้วย

จริงๆมันก็อยู่ด้วยกันนี้แหละ

มีตลาดเล็กๆที่ชาวเขามาค้าขายกัน นักท่องเที่ยวเยอะกำลังซื้อแยะ

ทำแล้วก็ดึงดูดนักท่องเที่ยว สินค้าแปลกตาน่าสนใจเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวได้อีกรูปแบบนึง


ด้วยที่ว่าคนไทย ซื้อแหลกไม่ว่าจะอยู่มุมใหนของโลก
ตัวเล็กวิ่งเก่งมาก วิ่งไปล้มไป


มุมนี้เป็นจุดที่มีคนมาถ่ายรูปทะเลหมอกมากที่สุดจุดนึงของที่นี่ แต่วันนี้ไม่มีทะเลหมอก มันหมอกทั้งหมดภูเลย


แล้วเราก็ต้องไปหาที่กางเต้นท์ ช่วงที่เข้าไปยังไม่มืด ที่จอดรถข้างบนไม่มีแล้วเท่าที่ทำได้คือ
เดินขึ้นไปแล้วให้พี่ที่มารับขับรถไปส่งของที่จุดกางเต้นท์แล้วก็ขับลงอีกทาง เกือบสองกิโลถ่ายของ
ขึ้นรถอีกคันเดินแบกไปด้วยส่วนนึงเด็กๆนั่งรถขึ้นไป เดินขนของสองสามรอบ
คนเยอะร้านค้ามาก
มีอาการไม่ชอบคนขึ้นมาซ่ะงั้นทั้งที่เราเองก็เป็นหนึ่งใหนคนที่มาแสวงหาความสงบที่นั่นเหมือนกัน ใจตรงกันเยอะเนอะ
บนที่กางเต้นท์ มันรวมจอดรถด้วย เราได้จองที่กางไว้ก่อนหน้าแล้วแต่มันดูเหมือนมีคนมาแอบอ้างชื่อพี่สาวที่เป็นครูอยู่บนทับเบิก
เอาไปกางเต้นท์เสียแล้ว เอาไงดี....เค้าพาเราไปดูที่เลยไปหน่อนึงมันเอียงหน่อยและไม่ได้เกรดให้เรียบไว้อยูบนแปลงดอกผักกวาง
ตุ้งดอกสีเหลือง ไม่เรีบไม่ราบ แต่ก็ยังดีลงไปจากขอบทางนิดนุง เอาว่ะ รีบกางเต้นท์ด้วยความรีบเร่งเพราะมืดมากแล้วน้ำค้างลงแรงมาก
เหมือนว่าของที่เอามามันเปียกไปหมดเลยทุกชิ้น กว่าจะเอาของเข้าที่จุดตะเกียงและจับลิงใส่เข้าไปในเต้นท์หมดก็เกือบชั่วโมง
แต่ก็ยังดีกว่าเต้นท์ข้างๆ เต้นท์ขนาดใหญ่ คาดว่าเพิ่งจะซื้อมา เห็นเปิดโฉนดกางอยู่คนเดียว น่าจะกางอยูเกือบสองชั่วโมง
ฝากบอกนอยไว้เลยว่าถ้าจะใช้เต้นท์ขนาดนั้น หัดกางมาก่อนใช้งานจริงซักสองสามครั้ง ไม่งั้นก็ไปก่อนมืดซักสองชั่วโมง เผื่อหน่อย
จะได้ไม่งมกางเต้นท์ที่ไม่เคยเห็นหน้าตากลางความมืดอย่างเต้นท์ข้างๆวันนั้น คิดว่าเค้าคงไม่สนุกนักตอนกาง
เช้าวันต่อมากอนกลับออกมาเค้าเอาเต้นท์โกยใส่หลังรถโดยไม่ได้พับ..คงอีกนานกว่าจะรู้ว่ากางยังไงเก็บยังไง
ความมืดมาถึงเราเร็วมากพร้อมกับอาหารเย็นคืนแสนอร่อยที่เตรียมมาจากข้างล่าง หลังกางเต้นท์เสร็จเรายังเหลือของที่ต้องเดินลง
ไปเอาสองสามอย่างในรถที่อยู่ปากทางขึ้น หมายถึงไฟฉายด้วย ไม่ได้เอาไฟฉายมากันทิ้งไว้ในรถหมด เราเดินขึ้นไปยังลานกลาง
ที่กางเต้นท์แล้วเดินลงเขาไปที่รถ ทำไมมันช่างไกลเหลือเกิน ยังมีคนเดินขึ้นมาอยู่อย่างไม่ขาดสาย รถยนต์บางคันที่ขั้นมาวางแผน
จอดกางเต้นท์กันกลางถนนที่รถติดๆอยู่นั้นแหละ อ้อ ไม่อยากบอกว่ารถติดมาก พี่สาวที่เป็นคนพื้นที่นั้น เอารถลงไม่ได้ ต้องนอนค้าง
กันกับเราข้างบนนั้นทีเดียว
ตอนหัวค่ำเรามีสามสี่เตนท์ตรงนั้นไม่เท่าไร อยู่กันเงียบๆ แต่ช่วงดึกมีกลุ่มแว๊นมาจากข้างล่าง สำเนียงออกบ้านแยงมากๆ ตามมาสมทบ
กับพวกที่กางเต้นท์ที่อยู่เหนือเราไปสี่ห้าเมตรมาถึงสามทุ่มกว่ากางเต้นท์แล้วก็เริ่มดื่ม แล้วก็ร้องเพลงกับโทรศัพที่เปิด
เสียงงุ้งงิ้งมาก...คงสนุก...บนความไม่สงบของคนอื่น เค้าร้องเพลงตีกระป๋องจนตีหนึ่งได้มั๊ง คาดว่าเหล้าหมดก็เงียบเสียงไป
ด้วยที่ว่าเอาเต้นท์ไปกางบนแปลงผักที่ไม่ได้ราบเรียบอะไร มันจึงเป็นการทรมานมากๆเจ็บหลังเนื่องจากเอาผ้าห่มไปปูให้ลูกชายแทน
เพราะว่ากลัวจะนอนไม่ได้ แล้วนอนยิ่งดึกก็ยิ่งไหลไปกองทางด้านที่มันต่ำกว่าใหนจะเสียงเพลงที่แบ่งปันมาให้อย่างไม่ต้องการเลยนอนไม่สนุกนัก
กว่าจะหลับคาดว่าคงตีสาม มีฝนลงบางๆแล้วก็มีลม ดีใจที่นอนอยู่ด้านล่างไม่ได้นอนบนลาน เพราะได้ยินเสียงคนข้างบนวิ่งไล่เก็บของมั่ง
เก็บผ้าใบมั่งกันอลวนมากเพราะคงโดนลมตีกันกระจาย หุหุ

ลิงยังไม่ตื่น นอนอยู่ในกองผ้าที่เห็นนั้นแหละ
ตื่นเช้ามาด้วยเสียงลมที่กระหน่ำไม่เลิก พบว่าเรานอนกันห่างจากชายขอบของหน้าผาไปไม่ถึงสิบเมตร ดีแล้วที่ไม่ปล่อยให้ลิงวิ่งเล่นเมื่อคืน
ไม่งั้นคงได้เจ็บตัวกันแน่ๆ


หวังว่าจะเจอทะเลหมอกแต่ไม่ได้เจอแน่ๆเพราะว่าหมอกมาล้อมตัวเราอยู่ไม่ลงไปข้างล่าง



ฟ้าใสๆหม่นๆตลอดเวลา ทั้งหมอกก็ไหลผ่านไปรอบๆตัวตลอดเวลา

ผู้คนเดินถ่ายรูปกันกับแปลงกล่ำและดอกกวางตุ้งสีเหลืองแสนสวยงาม


หิวเชียวอยากกินผักกาดจอ.....




บนขอบทางก็ยังมีคนมากางเต้นท์นอนกัน คนเยอะมาก แต่เราได้นอนตรงนี้

ที่นี่มีแต่กล่ำ

กล่ำ

กล่ำ

และกล่ำครับ

และมีคนไม่เคยเห็นไร่กล่ำมาถ่ายรูปคู่กล่ำมากมาย โลล่ะบาท...ขนไปเลย

ถูกๆแต่ลิงไม่ยอมกินผักถามว่าเอามัยลูก ดูทำหน้า


จริงๆบนนี้มันเฉ่ำมากในหน้าฝนแต่ก็เละมากด้วย


ชอบอากาศ ทั้งที่ไปเนี่ยก็ไม่ได้หนาวอะไรนักหายใจเป็นไอเฉยๆ ไม่รู้ปีนี้ทำไมหน้าร้อนมาไวนัก

ไปเดินใส่เสื้อยืดกะขาสั้นนั่งมองนักท่องเที่ยวจาก กรุงเทพ ใส่โอเวอร์โค้ทมากันตัวใหญ่ ๆ
มองหน้ากะลิงบอกว่า สงสัยเค้าไม่สบายอะลูก ลิงหัวร่อฮ่าๆ

ห้องน้ำที่เห็นสองสามที่ก็มีน่าจะเพียงพอน่ะ แต่ให้สบายเหมือนที่บ้านคงไม่ต้องมาเที่ยวกันหรอก
ขากลับเก็บของไวมากรีบกลัวรถติด แล้วก็ยังเหลือวันที่หยุดอีกวัน
คนแห่ขึ้นมาอีกแน่ๆเลยรีบลงก่อน

แอบได้ของฝากจากข้างบนมาเป็นผักหลายอย่าง แล้วก็ได้มันปิ้งด้วยอร่อยมากกินร้อนๆตอนอากาศเย็นๆ

อร่อยมวากกกกก กินไม่ทันลิง

ขากลับวิ่งลงเส้นทางที่สวยมากแต่ถ่ายรูปไม่ได้เลย หมอกเต็มไปหมด


ทางลงตลอด คดเคี้ยวมาก
ลงมาวิ่งตามรถหลายคันมีกลิ่นเบรคใหม้ น่ากลัวมาก ขับลงมาไม่ได้นับว่ากี่โค้งมัวแต่มองวิวข้างทางที่สวยงาม
จนเลยงานปีใหม่ม้ง ไม่ได้ลงถ่ายรูปแหมเสียดาย
ได้มาเท่าที่เห็น ฝากไว้ก่อน ทับเบิกไว้ฝนเยอะๆจะมาเยือนอีกครั้ง