ดูรูปประกอบบทความได้ที่นี่ครับ http://myaqualove.blogspot.com/2010/09/blog-post_11.html
*********************************************************************
Bee Shrimp (Neocaridina sp)หรือ Normal Bee shrimp มีถิ่นกำเนิดจากประเทศจีน พบได้ตามลำธารทางใต้ของจีนไปจนถึงฮ่องกง
BeeShrimp คือต้นกำเนิดของกุ้งเรดบีในปัจจุบัน โดยการคัดเลือกยีนส์เด่นของ Bee shrimp ในที่เลี้ยงและผสมพันธุ์ โดยใช้หลักInbreed หรือหลักสายเลือดชิดนั่นเอง.
Mr. HISAYASU SUZUKI คือคนแรกที่ประสพความสำเร็จในการเพาะพันธุ์กุ้งชนิดนี้ขึ้นมา เขาได้จดทะเบียนชื่อผลงานของเขาว่า “Cystal Red” นับแต่นั้นมา เพื่อเป็นรางวัลแก่ความพยายามและทุ่มเทของเขา. Mr.SUZUKI ลงทุนไปกว่า 8 ล้านเยน (เกือบสามล้านบาท) ในการพัฒนาสายพันธุ์ Bee Shrimp ซึ่งใช้เวลานานถึง 6 ปี.
ในครั้งแรก เขาได้ค้นพบแรงบันดาลใจคือ กุ้ง Bee shimp ที่ได้เลี้ยงไว้กว่าพันตัว ตัวนึงมีสีแดงเป็นที่สะดุดตา จากนั้นอีกสามปีต่อมา Mr.Suzukiได้ Bee Shrimp สีแดงเพิ่มขึ้นอีก 3 ตัว จากสาม generation ของ Bee Shrimp จำนวน 3,000 กว่าตัว ต่อมาในปีที่หกนั่นเอง Mr.SUZUKI สามารถเพาะพันธุ์ Red Bee Shimp ได้มากถึง 8,000 กว่าตัว ซึ่ง Red Bee ในช่วงแรกนี้ เรดบีจะมีสีแดงสลับใส ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ Crystal Red
Mr.SUZUKI มีบ่อเพาะพันธุ์ Bee Shrimp กว่า 10 บ่อที่สวนหลังบ้าน. ทุกๆวันเขาจะมาเลือก Bee Shrimp ที่มีสีแดง เพื่อเก็บไว้เป็น พ่อแม่พันธุ์ต่อไป.
Mr.SUZUKI แยกเก็บพ่อแม่พันธุ์ของ Red Bee ไว้ในตู้เพาะพันธุ์ในบ้านของเขาเอง ทุกวันเขาต้องคัดเลือก RED BEE อย่างรอบคอบ เพราะว่า Red Bee ในช่วงแรกๆนี้ ถ้าเลือกไม่ดี หรือว่ากุ้งสภาพไม่ค่อยดี มันจะเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีน้ำตาลในไม่ช้า
ในช่วงแรกนี้ ประเทศญี่ปุ่น RED BEE 1 ตัว มีราคาถึง 2000 เยน (600 กว่าบาท) ซึ่งเป็นราคาที่ข่อนค้างแพงพอสมควรสำหรับกุ้งตัวเล็กๆชนิดนึง แต่เพื่อความสวยงามที่ไม่มีคำบรรยายและความพยายามของผู้เพาะพันธุ์กุ้งชนิด นี้แล้ว ผู้คนไม่น้อยที่ยอมควักกระเป๋าซื้อเจ้ากุ้งชนิดนี้ แม่ว่าจะมีค่าปัจจัยอื่นๆตามมาอีกมากมายก็ตาม ในขณะนี้กุ้ง RED BEE SHRIMP ได้ครองแชมป์ตลอดกาลและกลายเป็น NO.1 ของนักเลี้ยงปลาและไม้น้ำ
การ เลี้ยง RED BEE ให้มีสุขภาพดีเพื่ออวดความสวยงามได้เต็มที่นั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนพอ สมควร ในกรณีของผม เริ่มตั้งแต่เลี้ยงเจ้ากุ้งชนิดนี้ โดยมีความรู้ ความเข้าใจเป็นศูนย์ ในช่วงแรกๆ แต่เพราะความหลงไหลและทุ่มเทในตัว RED BEE จึงทำให้ผมลุกขึ้นใหม่ทุกครั้ง.
RED BEE ที่ได้มา 5 ตัวแรกในชีวิต จากโลกไปด้วยความด้อยประสพการ์ณเพียงสองวัน เป็นที่แปลกใจอย่างยิ่ง ว่าทำไมกุ้งชนิดอื่นในตู้เดียวกันยังมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ดี สภาพน้ำก็ดีเยี่ยม แล้วทำไม เจ้าเรดบี มันถึงได้ตายหมด
INTERNET เป็นความรู้อันดับแรกๆของผมเพื่อที่เลี้ยงกุ้งชนิดนี้ให้รอด ผมไม่รอช้าที่จะปฎิบัติตามไปทีละขั้น อย่างช้าๆ เริ่งจากเปลี่ยนไปใช้ดิน ADA Amazonia รองพื้นตู้กุ้ง นับได้ว่าเป็นดินภูเขาไฟที่ดีจริงๆครับ มันช่วยลด PH และ KH ได้เป็นที่น่าพอใจมากๆ และยังมีแบบ POWDER TYPE สำหรับ REDBEE โดยเฉพาะ ดินตัวนี้นอกจากเหมาะแก่การเลี้ยงกุ้งเรดบีแล้ว ยังเหมาะแก่การปลูกต้นไม้ในตู้เรดบีอีกด้วย (โดยไม่ต้องใส่ปุ๋ยอะไรเพิ่มอีกเลย) ผมปลูกกลอสโซและเพิร์ดวีดจิ๋วในตู้กุ้งที่ขาดปัจจัยทั้งปุ๋ย และ Co2 เป็นที่น่าประหลาดใจว่าทำไมพืชทั้งสองที่ว่ากันนักว่าจะขาดปุ๋ยและ Co2 ไม่ได้เลย แต่มันกลับขึ้นได้สวยงามในตู้เรดบีของผม ถึงแม้จะเลื้อยช้า หรือ ไม่สวยงามเท่าตู้ที่มีปัจจัยครบก็ตาม ซึ่งคำตอบคือดินตัวนี้แหละครับ
Chiller เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญทีเดียวในการเลี้ยงกุ้งชนิดนี้ เนื่องจากประเทศไทยเป็นเมืองร้อน อุณภูมิตู้อาจสูงถึง 30 C โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อนของเดือนเมษายนแล้วอุณหภูมิอาจสูง 32 c’ ได้เลยครับ เครื่องปรับอากาศสามารถช่วยลดอุณภูมิได้ในช่วงนึงเท่านั้น และส่วนมากเมื่อคุณไม่อยู่บ้าน มักจะปิดเครื่องปรับอากาศเสมอ คำถามสุดฮิตคือ เรดบี สามารถดำรงชีวิตในอุณหภูมิที่สูงกว่า 27 องศาได้หรือไม่ ผมตอบได้เลยครับ ว่าได้แน่นอน แต่การเจริญเติบโต สีสัน อายุขัยและการเจริญพันธุ์จะด้อยลงตามสภาพแวดล้อมที่เราจัดให้พวกเค้าอยู่ ครับ
อุณภูมิช่วงที่ดีที่สุดสำหรับเรดบีคือ 23-25 c’ หักลบไม่เกินไปกว่านี้ ซึ่งอุปกรณ์ที่สามารถคงระดับของอุณภูมิไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพคือ ชิลเลอร์ครับ ส่วนพัดลมนั้นสามารถลดอุณหภูมิได้ 1-2 องศาเท่านั้น ซึ่งหมายความว่ามันสามารถลดอณภูมิตู้คุณได้มากที่สุดเพียง 27-28 องศาเท่านั้น
จากประสพการ์ณของผม กุ้งเกรดธรรมดาสามารถดำรงชีวิตได้ในอุณภูมิเช่นนี้ แต่ความสมบูรณ์เมื่อกุ้งต้องการเจริญพันธุ์นั้นนับได้ว่า มีความสมบูรณ์น้อยมาก จะเห็นได้ชัดว่ากุ้งไม่เจริญอาหารและชอบแอบซ่อนตัว ยิ่งถ้าเป็นกุ้งเกรดสูงๆขึ้นไป คงไม่มีใครกล้าเสี่ยงเป็นแน่แท้ กุ้งในอุณภูมิ 27 องศาขึ้นไป สามารถท้อง และไข่สามารถฟักเป็นตัวได้ครับ แต่อัตตราการรอดนั้น มีเพียง 5-10% เท่านั้น ลูกกุ้งส่วนมากที่ฟักออกมาได้ โดยมากจะตายหรือหายสาบสูญไปในอาทิตย์แรก แตกต่างกับตู้ที่มีการติดชิลเลอร์ แม่กุ้งจะแข็งแรง และสังเกตได้ชัดว่ามีไข่เยอะมาก อัตรการฟัก มีถึง 70-80% ลูกกุ้งเจริญอาหารและเติบโตได้รวดเร็ว และนี่คือข้อดีของชิลเลอร์ในการเลี้ยง เรดบี ซึ่งนับได้ว่าสมควรมีอย่างยิ่งถ้าใจรักที่จะเลี้ยงพวกเค้าครับ
ชิ ลเลอร์มีหลายแบรนด์ หลายขนาด หลายราคาให้เลือกใช้ ขึ้นอยู่กับขนาดของตู้และงบประมาณครับ ชิลเลอร์จากประเทศจีนเป็นตัวเลือกที่ดีทีเดียวและคุณสมบัติใช้ได้ไม่แพ้ของ ยุโรปเลย ทั้งยังมีราคาถูกกว่าครึ่งแต่ส่วนที่ด้อยนั้น อยู่ที่วัสดุที่ใช้จะด้อยกว่าของยุโรปครับ ส่วนชิลเลอร์ของยุโรปที่มีราคาสูงนั้น เป็นเพราะวัสดุที่ใช้ในการประกอบตัวเครื่องที่ แข็งแรง ทนทานและมีคุณภาพดี จึงนับได้ว่าเป็นอีกตัวเลือกที่ดีทีเดียวหากคุณมีงบประมาณเพียงพอครับ
หลักในการเลือกชิลเลอร์นั้นมีอยู่ว่า
1.งบประมาณ
2.ปริมาณ น้ำในตู้และขนาดของชิลเลอร์ : ควรเลือกชิลเลอร์ที่รองรับปริมาณน้ำในตู้คุณเป็นสองเท่า เพราะว่าถ้าคุณเลือกรุ่นที่ปริมาณเท่ากับน้ำในตู้แล้ว มันจะทำงานตลอดเวลาครับ แต่ถ้าเลือกรุ่นที่ใหญ่ขึ้นมาอีกนิด ตัวเครื่องจะทำงานน้อยลงครับ ช่วยยืดอายุการใช้งานและประหยัดไฟได้ดีทีเดียวครับ
3.เมื่อตัดสินใจเลือก ซื้อชิลเลอร์ได้แล้ว ควรเช็คข้อบกพร่องให้ดี ชิลเลอร์ที่ดีนั้น เมื่อเครื่องทำงานจะเงียบ ไม่มีเสียงน่ารำคาญใดๆทั้งสิ้น ถ้าชิลเลอร์ของคุณมีเสียงผิดปกติควรนำไปเปลี่ยนตัวใหม่ทันทีและอย่าลืมเจรจา กับร้านค้า เมื่อมีปัญหาจะได้นำเครื่องมาเปลี่ยนตัวใหม่ได้อย่างราบรื่นครับ
คุณภาพ น้ำเป็นปัจจัยหลักของการเลี้ยงกุ้งชนิดนี้ น้ำที่ใช้เลี้ยงกุ้งชนิดนี้ต้องปราศจากตลอรีน ค่า Ph และ Kh เป็นหน้าที่ของดินภูเขาไฟที่ผมกล่าวไว้ข้างต้นครับ ดินตัวนี้จะลดค่า Ph และ Kh ได้ดีทีเดียวครับ ในเวลาเปลี่ยนน้ำใหม่ Ph และ Kh จะสูงขึ้น แต่เพียงแค่ไม่กี่นาที มันจะปรับไปตามเดิมครับ
น้ำประปาหรือน้ำที่ เราใช้เปลี่ยนน้ำในตู้กุ้งนั้น ควรพักให้คลอรีนระเหยอย่างน้อย 1 วัน เพราะกุ้งชนิดนี้ไวต่อสารเคมีต่างๆเป็นอย่างมาก (ระวังเรื่องการฉีดยาฆ่าแมลงด้วยครับ) และแน่นอนว่าแร่ธาตุในน้ำประปานั้นต้องไม่เพียงพอต่อความต้องการของกุ้งเป็น แน่แท้ นักเลี้ยงกุ้งเรดบีบางท่านใช้น้ำแร่ส่วนนึงในการเปลี่ยนน้ำในแต่ละครั้ง ข้อดีของน้ำแร่คือมีแร่ธาตุสูง โดยเฉพาะแคลเซียม ธาตุเหล็ก ซึ่งช่วยในการสร้างเปลือกที่แข็งแรงให้กุ้งในการลอกคราบแต่ละครั้ง ในประเทศญี่ปุ่นมีการผลิตน้ำแร่เพื่อใช้เลี้ยงกุ้งชนิดนี้โดยเฉพาะเลยที เดียว นับได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับกุ้งเกรดสูงและทำให้เราสบายใจขึ้นได้ ในอีกระดับนึงเลยทีเดียว
การชดเชยแร่ธาตุที่ไม่มีในน้ำประปานั้น ทำได้ง่ายมากครับ น้ำยา S1 (ข้อมูลเพิ่มเติมที่ Equibmentation) คือสารไคโตซานบริสุทธิ์ ที่ช่วยในการลอกคราบ,การสร้างเปลือกใหม่ให้แก่กุ้งและทำให้กุ้งมีสีสันที่ เด่นชัดขึ้นด้วยครับ นอกจากนี้ อาหารคือแหล่งแร่ธาตุหลักของกุ้งเลยทีเดียว ผักขมหรือปวยเล้งลวกเป็นอาหารเสริมชั้นเลิศสำหรับเรดบีครับ เพราะอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก อาหารสำเร็จรูปสำหรับเรดบี เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ไม่มีเวลามากนัก หรือจะใช้เป็นอาหารหลักก็ได้ครับ เพราะมีสารอาหารครบถ้วน ส่วนแคลเซี่ยมนั้น สามารถชดเชยได้จาก Gray Stone และ white stone รายละเอียดสามารถอ่านได้จากบทความใน Red Bee Equibmentation ครับผม
การ เปลี่ยนน้ำตู้กุ้งเรดบีนั้น หากเป็นไปได้ควรเปลี่ยนน้ำอย่างน้อย 15-20% ทุกๆ 5-7วัน และการดูดเศษอาหารที่กุ้งกินไม่หมดนั้น ควรทำต่อเนื่องเป็นกิจวัตรทุกๆวัน พร้อมทั้งเปลี่ยนน้ำ 5-10% พร้อมกับเศษอาหารที่ดูดออกมาทั้งนี้เพื่อช่วยป้องกันการเกิดพานาเรียที่จะมา กับเศษอาหารที่เหลือทิ้งและช่วยให้คุณภาพน้ำดีเยี่ยมอยู่ตลอดเวลาครับ
วัสดุกรอง เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามครับ เพราะหากวัสดุกรองมีคุณภาพดีแล้ว การกำจัดของเสีย เช่น แอมโมเนีย ไนเตรท ก็จะมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นด้วย นอกจากนี้วัสดุกรองบางชนิดยังช่วยดูดซับสารพิษ กลิ่น สีและแร่ธาตุส่วนเกินได้อีกด้วย
วัสดุกรองที่นิยมใช้ในหมู่นักเลี้ยง กุ้งเรดบีคือ POWER HOUSE ceramic ring ซึ่งมีสองแบบให้เลือกใช้คือแบบลด Ph(ใช้กับเรดบี) และเพิ่ม Ph สำหรับปลาทะเล,เลคแทง etc .ใส่กรองตัวนี้มีรูพรุนมาก ออกแบบมาเพื่อให้น้ำไหลวียนได้ดีและเป็นที่อยูของแบคทีเรียจำนวนมาก ทั้งยังช่วยลด Ph ได้เป็นอย่างดี แต่มีราคาที่ค่อนข้างสูง ดังนั้น Ehiem Substrate Pro จึงเป็นอีกทางเลือกนึงที่ได้ผลดีไม่แพ้กัน และยังราคาถูกกว่ากันหลายเท่าอีกด้วย
Bamboo Charcoal หรือ Ehiem Carbon เป็นวัสดุกรองที่ต้องมีอย่างยิ่ง เพราะมันสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการกำจัด แอมโมเนีย ไนไตร ไนเตรท ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยดูดซับแร่ธาตุ (ปุ๋ย) ที่มีมากเกินไปในน้ำ เพื่อช่วยลดปัญหาตระใคร่ได้อีกทาง สีจากไม้และกลิ่นคาวต่างๆก็จะหมดไปเพราะวัสดุกรองสองชนิดนี้ครับ
สรุปข้อมูลโดยสังเขปของปัจจัยในการเลี้ยงเรดบีครับ
- ค่า P.H ควรอยู่ในระดับ 6.2 – 7.2 หากเกินกว่านี้จะเป็นอันตรายอย่างยิ่ง จากประสพการณ์ของผม ผมใส่อ๊อกซิเจนและปะการังลงไปในตู้เรดบี ด้วยหวังดีว่าจะช่วยเพิ่มอ๊อกซิเจนและแคลเซียมในน้ำ ผมออกไปเรียนในตอนเช้าและกลับบ้านมาในช่วงบ่าย สังเกตที่ตู้เรดบี ปรากฎว่ามันว่ายน้ำกันอย่างร่าเริงผิดปกติและตัวของมันแอ่นจนน่ากลัวมากๆ วัด Ph ดูอยู่ที่ 9.5 ดังนั้นจึงต้องระวังอย่างมากในการใส่อ๊อกซิเจนและห้ามใช้วัสดุกรองเป็น ปะการังเป็นอันขาด หากว่าต้องการเพิ่มอ๊อกซิเจนจริงๆ ผมแนะนำให้ใช้ เรซิ่นร่วมด้วย เรซิ่นมีลักษณะคล้ายทราย กรวด บรรจุอยู่ในถุงตาข่าย ใช้แช่ลงในตู้เลี้ยงได้เลยครับ และควรใช้ร่วมกับ อ๊อกซิเจนเพราะค่า Ph จะลงเร็วมากๆ ควรตรวจเช็คค่าน้ำอย่างสม่ำเสมอและเมื่อค่าน้ำลดลงไปเกินกว่า 6.2 ควรรีบนำถุงเรซิ่นออกทันที
- อุณหภูมิจากที่กล่าวมาข้างต้น 23-25 C’เป็นช่วงอุณหภูมิที่ดีที่สุดครับ
- ควรเปลี่ยนน้ำ 1 ใน 3 ส่วนทุกๆ 5 หรือ 7 วัน เพื่อคุณภาพของน้ำที่ดีตลอดครับ
- วงจรชีวิตของ เรดบีนั้น เหมือนกับกุ้งแคระห์ต่างๆครับ คือ 1 ปีกว่าๆ มีบันทึกไว้ว่าเรดบีบางตัวที่ถูกดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีนั้น มีอายุถึง 1 ปี กับ 8 เดือน บางท่านที่อ่านได้ถึงตอนนี้ อาจเสียกำลังใจและเลิกล้มความคิดที่จะเลี้ยงกุ้งชนิดนี้ เพราะราคาที่ค่อนข้างสูงและอายุที่นับได้ว่าสั้นมากๆ แต่ทว่าในวงจรชีวิต 1 ปีกว่าๆนี้ แม่เรดบี 1 ตัว สามารถให้ลูกได้กว่า 6 ครั้ง ครั้งนึงไม่ต่ำกว่า 10 ตัว หากสภาพแวดล้อมดีแล้วจะส่งผลให้ความสมบูรณ์ของกุ้งดีตามไปด้วย พวกมันจะสามารถให้ลูกได้ถึง 20 ตัว ในทุกๆเดือน แม่กุ้งเรด บี ใช้เวลาอุ้มท้องประมาณ 1 เดือน ลองคำนวนดูว่าถ้าขั้นต่ำสุดแม่กุ้ง ให้ผลผลิตลูกกุ้งได้เดือนละ 10 ตัวเป็นเวลา 6 เดือน คุณจะได้ลูกกุ้งถึง 60 ตัว และเมื่อลูกกุ้งมีอายุ 6 เดือนขึ้นไปก็สามารถเจริญพันธุ์ได้ต่อ
ที่มาของบทความ : http://www.japan-net.ne.jp/next/red/red1e.html
http://cjsilver.wordpress.com/2009/07/16/red-bee-shrimp/
| |||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||









