Aqua.c1ub.net
*
  Wed 02/Jul/2025
หน้า: 1   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ว่าด้วยเรื่อง"ความสัมพันธ์ของค่าK (color temperature) & ความยาวคลื่นเเสง(wavelength)"★★★★★  (อ่าน 21761 ครั้ง)
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« เมื่อ: 12/12/13, [03:49:23] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

 lau01
เนื่องจากผมเห็นว่ากระทู้หลายๆกระทู้(ส่วนมาก)มีการพูดถึงค่าK ในการเลือกซื้อหลอดไฟมาเลี้ยงไม้นํ้าว่าต้องเป็น 6500K นะ เเละบางกระทู้(ส่วนน้อย)จะพูดถึงความยาวคลื่นที่พืชต้องการ ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยครับว่าทำไมต้อง 6500K ??ดังนั้นผมจะนำมาอธิบายให้เข้าใจง่ายๆครับว่าจริงๆเเล้วมันสัมพันธ์กันอย่างไรครับ
#ถ้าพี่เอเห็นว่าเป็นประโยชน์รบกวนช่วยปักหมุดหรือใส่ในห้องบทความให้ด้วยนะครับ
                                                                                                           ด้วยความเคารพครับ ROMMY



มาเกริ่นนำเรื่องเเสงกันเล็กน้อยครับเพื่อง่ายต่อการอธิบายในประเด็นถัดไป (ผมจะเเปลให้ใต้รูปนะครับ เเปลสดๆด้วยความรู้ภาษาอังกฤษเท่าหางอึ่งครับ อิอิ) เเละจะอธิบายเสริมให้อย่างละเอียดครับ





> คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเดินทางในอวกาศในรูปของพลังงานไฟฟ้าและพลังงานแม่เหล็ก เเละบางครั้งพลังงานนั้นก็จะอยู่ในรูปของคลื่นเเละบางครั้งก็อยู่ในรูปของอนุภาคที่เราเรียกว่า"โฟตอน"   โดยเมื่ออยู่ในรูปของคลื่นเราจะสามารถอธิบายพลังงานของมันด้วย"ความยาวคลื่น" ซึ่งหมายถึงระยะทางระหว่างสันคลื่นถึงสันคลื่นที่อยู่ติดกัน หรือวัดจากท้องคลื่นถึงท้องคลื่นที่อยู่ติดกัน ดังรูปนี้

ซึ่งเจ้าความยาวคลื่นของคลื่นเเม่เหล็กไฟฟ้านี่ อาจจะมีความยาวเป็นไมล์ๆ(คลื่นวิทยุ) หรือมีความยาวเพียงไม่กี่นิ้ว(คลื่นไมโครเวฟ) หรือมีความยาวเป็นล้านๆนิ้ว(เช่นเเสงที่เราเห็น) หรือมีความยาวเป็นพันล้านนิ้ว(รังสีเอกซ์)

ความยาวคลื่นของเเสงโดยมากเเล้วก็วัดกันเป็นหน่วยนาโนเมตร (1นาโนเมตร เท่ากับสิบยกกำลังลบ9 เมตร)
โดยเเสงที่ตาเราสามารถมองเห็นได้จะมีความยาวคลื่นอยู่ระหว่าง 400 - 700 นาโนเมตร ซึ่งเรียกว่าช่วงคลื่นที่ตามองเห็นได้ ซึ่งถ้าดูจากรูปที่มีสีรุ้งจะเห็นว่าถ้าตํ่ากว่าที่ตามองเห็นได้คือรังสียูวี เเละถ้าสูงกว่าที่ตามองเห็นได้คือ รังสีอินฟาเรด











>>คลื่นเเม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงที่ตามองเห็นได้ จะมาจากหนึ่งในสามของเเหล่งกำเนิดนี้คือ
1.พวกที่เป็นหลอดไส้(หลอดที่ใช้การเเผ่รังสีของวัตถุร้อน) เช่น หลอดไส้ที่ทำด้วยทังสเตน

2.พวกที่ไม่ใช่หลอดไส้(หลอดที่ใช้หลักการการคายประจุในก๊าซ) เช่น หลอดฟลูออเรสเซนส์ , หลอดเมทัล เฮไลด์ ,หลอดไอปรอท ,หลอดนีออน,Hydrargyrum medium-arc iodide

3.ดวงอาทิตย์ ... พระอาทิตย์ ยิ้มเเฉ่ง เเก้มเเด๊ง เเดง เอ้ย ไม่เกี่ยวครับ555  (จริงๆเเล้วดวงอาทิตย์เป็นเเบบที่1 เพราะเเสงที่ได้มันเกิดจากการเเผ่รังสีของวัตถุร้อน เเต่ว่าในพวกคนที่ถ่ายภาพนั้นเจ้าหลอดที่ใช้การเเผ่รังสีของวัตถุ จะหมายถึงเเหล่งกำเนิดที่มนุษย์สร้างขึ้น เลยไม่รวมดวงอาทิตย์ครับ อิอิ

วัตถุทุกชนิดจะปล่อยคลื่นเเม่เหล็กไฟฟ้า เเละเมื่อวัตถุถูกให้ความร้อนจะปล่อยคลื่นเเม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่น"สั้น" มากขึ้นเเละจะปล่อยคลื่นเเม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความยาวคลื่น"ยาว" น้อยลง   ซึ่งเป็นคุณสมบัติของเเสงทำให้เครื่องวัด สามารถวัดอุณหภูมิสีของเเสงได้

รูปต่อไปนี้แสดงให้เห็นถึงความยาวคลื่นที่มองเห็นได้ของพลังงานที่ปล่อยออกมาเมื่อเทียบกับความยาวคลื่นของอุณหภูมิสีที่แตกต่างกันใน 5500K Daylight เเละ ที่ 3200K จะมีปริมาณความยาวคลื่นที่"ยาว"อยู่มากและจะมีปริมาณความยาวคลื่น"สั้น"อยู่น้อย
ในขณะที่อุณหภูมิสีเพิ่มขึ้น 5500K, 6500K และ 10000K  ทำให้สังเกตได้ว่าจะมีปริมาณความยาวคลื่นที่"ยาว"ลดลง เเละจะมีปริมาณความยาวคลื่นที่"สั้น"มากขึ้น




ที่5500K Daylight กราฟจะไม่สมูทเหมือนกับ 5500K เพราะเจ้า5500K Daylight จะรวมพลังงานที่ปล่อยจากดวงอาทิตย์ ,พลังงานที่ถูกดูดซับไว้ในชั้นบรรยากาศของโลก,พลังงานที่กระจายอยู่โดยอนุภาคในชั้นบรรยากาศ
^เห็นมั้ยครับว่า พลังงานจากดวงอาทิตย์เดินทางมาหาเราก็มีพลังงานมาเติมเสริมให้ เเละก็มีการสูญเสีย(ถูกดูดซับไว้เช่นกัน)











โอเคครับมาดูกราฟที่ว่ากันเลย








เเละจะพูดต่อเนื่องเกี่ยวกับความยาวคลื่นที่รงควัตถุในพืชสามารถดูดได้ (ความยาวคลื่นที่พืชตอบสนองได้ดี)ดังรูป


จากรูปจะเห็นว่ารงควัตถุในพืชมีการตอบสนองต่อความยาวคลื่นได้ไม่เท่ากันในเเต่ละช่วงความยาวคลื่น
โดยสังเกตว่าช่วงที่กราฟเป็นภูเขาสูงๆ ทั้งฝั่งซ้าย เเละฝั่งขวา นั่นคือช่วงความยาวคลื่นที่พืชต้องการมากที่สุด
โดยทั้งกราฟนั้นถ้าเรามาดูดีๆจะเห็นว่า ความยาวคลื่นที่พืชต้องการอยู่ในช่วง 400-700นาโนเมตร(ตามองเห็นได้) ซึ่งอย่างที่บอกไปตอนเเรกว่าเราเรียกช่วงนี้ว่า"visible light" ที่เป็นเเสงสีขาวที่มีการรวมกันของเเสงสี(หลักๆมี7สี)เเละเเสงจากดวงอาทิตย์ที่ผ่านชั้นบรรยากาศเเละผ่านท้องฟ้าลงมาก็เป็นเเสงขาว (ถ้าเเยกด้วยปริซึมจะเห็นเป็นเเถบสีจากม่วง-เเดง) ดังนั้นเเสงจากดวงอาทิตย์ที่ผ่านชั้นบรรยากาศลงมาเรียกได้ว่ามีความยาวคลื่นที่พืชต้องการอยู่ครบถ้วนเเละมากที่สุด เเละเราก็ต้องหาหลอดไฟที่มีค่าKใกล้เคียงกับเเสงอาทิตย์ที่ผ่านชั้นบรรยากาศลงมา
*หมายเหตุสำคัญที่เดี๋ยวจะอธิบายต่อด้านล่างคือ เเสงจากดวงอาทิตย์ กับเเสงจากดวงอาทิตย์ที่ผ่านชั้นบรรยากาศเเละผ่านท้องฟ้าลงมายังพื้นโลกที่เรายืนอยู่ ไม่เหมือนกันนะครับ!! อย่าเพิ่งสับสน












 [เย้ะ]

มาดูอีกครั้งจะเห็นว่า ที่6500 K เส้นสีฟ้า จะมีพลังงานของความยาวคลื่นในช่วง400-550นาโนเมตรอยู่มากที่สุด เเละก็ยังมีปริมาณพลังงานของความยาวคลื่นในช่วง600-700นาโนเมตรอยู่มากเช่นกัน คือตัวเส้นกราฟสีฟ้ามีช่วงความยาวคลื่นที่ครอบคลุม เเละมีปริมาณพลังงานมาก เเละตรงกับที่พืชต้องการมากที่สุด นั่นคือเหตุผลว่าทำไมต้องเลือกหลอดที่มีค่า K ที่6500 K ครับ  *จริงๆ5500K กับ6500K ดูจากกราฟจะใกล้เคียงกันมาก เเละกราฟด้านที่ความยาวคลื่นยาวๆ (ฝั่ง700nm) ดูเหมือนว่า 5500K จะดีกว่า เเต่ถ้าพิจารณาจากความยาวคลื่นช่วงที่พืชต้องการ(หลักๆ)คือ400-500nm เป็นหลักนั้น จะเห็นว่า 6500K ตอบโจทย์ได้ดีกว่าครับ  




เเละก็เห็นได้จากรูปด้านล่างว่า"เเสงจากดวงอาทิตย์ที่ผ่านชั้นบรรยากาศเเละผ่านท้องฟ้าลงมายังพื้นโลกที่เรายืนอยู่"  ก็มีค่าKประมาณ 5500K เเบบdaylight  ครับ



อย่าเพิ่งงง !!!ผมจะอธิบายต่อ (จุดนี้สำคัญมากๆ) ว่าถ้าดูจากรูปด้านบนจะเห็นว่าเเสงอาทิตย์มีค่าKประมาณ 5800K
อ้าวเเล้วไหนบอกว่าเเสงที่มี 6500K ดีกว่า ??? จริงๆเเล้วเเสงอาทิตย์ที่ออกจากดวงอาทิตย์โดยตรงมันมีค่าKประมาณ5800K เเต่พอเดินทางมาผ่านชั้นบรรยากาศโลกเเละผ่านท้องฟ้าเเละมีการรับพลังงานเพิ่ม เเละสูญเสียจนมาถึงตัวเรานั้นมันได้รวมเเสงของท้องฟ้าไว้ด้วยเเละมีค่าK ประมาณ5500   ซึ่งเป็นค่าK ที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของพืช ซึ่งสอดคล้องกับกราฟทั้งสองอัน เเล้วทำไมถึงบอกว่า6500K ดีกว่า?? ... คือผมจะอธิบายอย่างนี้ว่า ค่าKของเเสงที่ส่องตัวเราอยู่นั้นมันไม่ใช่ตัวเลขตรงๆโดดๆ เเต่มันเป็นช่วง ดังนั้นช่วงเเสงที่ส่องเรามันก็ครอบคลุมทั้ง 5500-6500 K  คือมันมีทั้งค่าK ในช่วงนั้นมากมาย เเต่ในทางทฤษฎีเเล้วค่าKที่6500K จะดีที่สุดครับ (ซึ่งเเสงที่ส่องเราก็เป็นช่วงที่รวมค่าKนี้ไว้ด้วย) เเต่ในกราฟอาจจะดูเหมือนว่าเเสงที่ส่องเราคือ 5500K เพียงตัวเดียว

*เเสงจากดวงอาทิตย์มีค่าK 5800K
*เเสงที่ส่องหน้าเราอยู่คือ 5500-6500K เเละพืชชอบด้วย(โดยเฉพาะ6500K)








จากตารางข้างบนจะเห็นว่า
"Average Summer Sunlight (plus blue skylight) 6,500K"
มันคือเเสงที่ออกจากดวงอาทิตย์ในหน้าร้อน ที่เฉลี่ย เเละรวมเเสงจากท้องฟ้าไว้เเล้ว ซึ่งก็คือเเสงอาทิตย์+เเสงจากท้องฟ้า ว่าง่ายๆเเบบชาวบ้านๆคือ เเสงที่ส่องถึงตัวเรานั่นเเหละครับ(เเสงที่ส่องผิวหน้าอยู่ในตอนนี้) เป็นค่าKที่ดีที่สุดที่เหมาะสม เเละอย่างที่บอกไปว่าเเสงที่ส่องเราก็รวม 6500K นี้ไว้ด้วยนะ (มันคลุม5500-6500Kเลยครับ)

คำจำกัดความของเเสงเเดด เเละเเสงจากท้องฟ้าดูในรูปล่างนี้เลยครับ








สรุปได้ดังนี้
-เเสงจากดวงอาทิตย์กลมๆ มีค่าKประมาณ 5800K
-เเสงจากดวงอาทิตย์ที่ผ่านชั้นบรรยากาศโลกเเละผ่านท้องฟ้าลงมาถึงตัวเรา(ส่องหน้า)มีค่าK 5500-6500K
-ช่วงความยาวคลื่นที่พืชต้องการ จะสัมพันธ์กับเส้นกราฟของ 6500K มากที่สุด
-sunlight =เเสงอาทิตย์(ที่ออกจากดวงอาทิตย์) =5800K (วัดที่พื้นผิวด้วยอาทิตย์)
-Daylight=Sunlight + skylight =5500-6500K










อธิบายมาจนเกือบจะจบ หลายคนอาจจะงงว่าค่าKคืออะไร วัดกันอย่างไร ผมเลือกที่จะเอามาอธิบายตอนท้ายสุดเพื่อจะได้ไม่งงครับ ส่วนการอธิบายตอนเรกให้รู้ว่าสิ่งที่เราสนใจมันคือค่าK กับความสัมพันธ์ของ ความยาวคลื่นที่เเสงต้องการ เเค่นั้นพอ

มาต่อกันครับ ดูคำอธิบายค่าKกันสั้นๆในรูปด้านล่างนี้ก็เข้าใจครับ



ก็คือคนมันช่างคิดครับ มันเอาวัตถุดำมาเผาเเล้วดูว่าเผาด้วยอุณหภูมิที่กำหนดเเล้วจะเป็นสีอะไร เเค่นั้นเองครับ
อุณหภูมิในหน่วยKelvin = 273 +อุณหภูมิในหน่วยองศาเซลเซียสนะครับ
เช่น 27องศาเซลเซียส จะเท่ากับ 300เคลวิน เป็นต้นครับ

ดังนั้นสีของไฟที่ออกมานั่นก็คืออุณหภูมิสีของเเสงที่เราสนใจครับ ลองดูตัวอย่างเทียบว่าหลอดLED ที่เปิดเเล้วมีสีต่างๆจะมีค่าKเท่าไหร่กันบ้างนะครับ




จากที่ผมอ่านกระทู้เก่าๆ(กระทู้พี่บังที่พูดเรื่องLEDไว้) สำหรับไฟ LED เเล้วต้องเลือกให้ดีเพราะว่าบางครั้งสีที่ออกมามันขาวจริง เเต่มันเกิดจากการผสมสีของหลอด ทำให้ดูขาว ซึ่งจริงๆเเล้วเลี้ยงไม้นํ้าไม่ได้ ก็มีถมไปครับ .... เเต่ถ้าเลือกตัวที่ดีๆหน่อย ผมว่า LEDดีกว่าเยอะครับ เพราะมันไม่ร้อนเเละอายุการใช้งานนานกว่ามาก ซึ่งLEDที่ผมลองใช้เเทนPL (เลี้ยงหวีดจิ๋ว)เเละพอใจกับโคมมากๆคือ LED up aqua z series ครับ(ไม่ได้ค่าโฆษณานะค้าบ5555) ส่วน LEDของIntenseเห็นเค้าว่าเเจ่ม เดี๋ยวจะลองใช้เเล้วมาบอกกันครับว่าดีเเค่ไหน เเละที่อยากลองอีกตัวคือพวกหลอด Grow light ที่สีออกม่วงๆ ชมพูๆ ต่างประเทศใช้เลี้ยงต้นไม้
กันเยอะมาก น่าสนใจครับ อิอิ





จบไปนะครับกับความสัมพันธ์ของค่าK อุณหภูมิสีของเเสง กับความยาวคลื่นในช่วงที่พืชต้องการ ยํ้าว่า
ตัวเลขของเเสงที่ส่องหน้าเราอยู่ตอนนี้นั้นมีค่าKเป็นช่วงนะครับ ไม่ใช่เป็นค่าโดดๆเหมือนเลขล๊อตเตอรี่ ดังนั้นสิ่งที่อยากจะให้เข้าใจมากที่สุดคือ เเสงจากดวงอาทิตย์ที่อยู่ไกลโพ้นนั้นเมื่อเดินทางมาหาเรา มันก็จะได้รับพลังงานเพิ่มเเละมีการสูญเสียพลังงาน
จนเดินทางมาถึงเราด้วยค่าK ในช่วงๆหนึ่ง ซึ่งในช่วงที่ว่านี้มันรวม 6500K ที่เป็นค่าKที่เหมาะสมเเละดีที่สุดสำหรับพืชไว้ด้วย
(เเหม่ เเสงมันก็เจ๋งนะครับ) เเละถ้าถามว่ารู้ได้อย่างไรว่าพืชชอบเเสงช่วงไหน ต้องไปดูที่ความยาวคลื่นที่รงควัตถุในพืชสามารถดูดกลืนได้(ตอบสนองได้ดี)อย่างที่กล่าวมาครับ ดังนั้นเลือกหลอดให้ใกล้เคียง6500K มากที่สุดนะครับ



อ้างอิงเนื้อหาส่วนต้นที่เเปลมาจากเว็บนี้ >http://www.theodoropoulos.info/attachments/076_kodak03_Nature-of-Light.pdf

อ้างอิงความหมายของค่าK > http://www.tieathai.org/know/general/general0.htm

อ้างอิงส่วนรูปภาพอื่นๆพวกรูปเเสดงการวัดความยาวคลื่น ฯลฯ มาจากกูเกิ้ลครับ อิอิ

เพิ่มเติมเรื่องรงควัตถุใครอยากอ่านเพิ่มก็ไปอ่านในด้านล่างของกระทู้อันนึงที่คุณ
ณชช โคม ปะการัง  เคยเอามาอธิบายไว้ครับ  > http://aqua.c1ub.net/forum/index.php?topic=238692.0






บทความอันนี้ค่อนข้างจะยาวมากเหมือนบทความอื่นๆที่ผมเคยทำไว้นะครับ เพื่อความละเอียดเเละครอบคลุมมากที่สุด เเละถ้ามีตรงไหนที่อธิบายไม่เคลียร์หรือมีข้อสงสัยก็ถามได้ครับ เเละถ้ามีข้อผิดพลาดประการใดผมขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ เพราะส่วนที่เเปลก็เเปลเองสดๆ ส่วนที่อธิบายก็อธิบายจากความเข้าใจ ประกอบกับเช็คจากเว็บต่างๆครับ ... อยากจะบอกว่า ตั้งใจทำมากกกกครับ บทความนี้ ดังนั้น ช่วยอ่านให้จบด้วยนะครับ ขอบพระคุณค้าบบบ ไว้พบกันใหม่ครับ อิอิ  ROMMY

12dec2013 [21.00] เเก้คำผิด&อธิบายบางส่วนเพิ่มเติม เเละใส่ภาพประกอบเพิ่มเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น เเล้วนะครับ ลองอ่านดูครับ อิอิ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12/12/13, [20:59:57] โดย ROMMY »
My Scape ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #1 เมื่อ: 12/12/13, [10:49:26] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ความรู้อีกแลั้ว ขอบคุณครับคุณรอมมี่  [เจ๋ง]  +++
×××MaxZiNumZeed××× On|in€ ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #2 เมื่อ: 12/12/13, [10:54:27] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ยาวมาก แต่ความรู้เน้นๆ....
ratchata ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #3 เมื่อ: 12/12/13, [20:57:57] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ขอบคุณมากๆเลยคับ ได้ความรู้เพิ่มอีกละคับ [on_066]
ณชช โคม ปะการัง ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #4 เมื่อ: 13/12/13, [11:16:33] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

เน้นๆ เนื้อๆ สุดยอดมากครับคุณ ROMMY  [กูร็อคคคค] ขอขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆมากมายนะครับ ถ้าอย่างไรขออนุญาตแชร์ต่อนะครับ อธิบายให้เข้าใจด้วยภาษาง่ายๆ
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5 เมื่อ: 13/12/13, [13:58:23] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

เน้นๆ เนื้อๆ สุดยอดมากครับคุณ ROMMY  [กูร็อคคคค] ขอขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆมากมายนะครับ ถ้าอย่างไรขออนุญาตแชร์ต่อนะครับ อธิบายให้เข้าใจด้วยภาษาง่ายๆ
ยินดีอย่างยิ่งครับ เเชร์ได้ตามสบายเลยครับ คุณ ณชช โคม ปะการัง   [เจ๋ง] ขอบคุณครับ
clextor ออฟไลน์
Club Follower
« ตอบ #6 เมื่อ: 13/12/13, [14:47:39] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ขอบคุณมากๆ สำหรับข้อมูลแน่นๆครับ [เจ๋ง] [เจ๋ง] [เจ๋ง]
pigasso ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #7 เมื่อ: 13/12/13, [20:50:35] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ความรู้แน่นๆ...กระจ่างในทันใด "เยี่ยมครับ  [เจ๋ง]

NiCoTiN ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #8 เมื่อ: 13/12/13, [21:41:03] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

เจ้าพ่อ บทความจริงๆ  lau01 lau01
ibiker ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #9 เมื่อ: 13/12/13, [22:52:25] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

อย่างพวกหลอดไฟ led ใช้ในบ้านเช่น philips ที่มีค่า k 6500 นี่ใช้ได้ไหมครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14/12/13, [00:37:40] โดย ibiker »
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #10 เมื่อ: 14/12/13, [02:07:32] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

อย่างพวกหลอดไฟ led ใช้ในบ้านเช่น philips ที่มีค่า k 6500 นี่ใช้ได้ไหมครับ

LED ถ้าspecระบุว่า 6500K น่าจะใช้ได้ครับ  ต้องลองทดสอบเลี้ยงดูเลยครับ ...เเต่ส่วนมากที่สังเกตคือไฟLEDที่ใช้ในบ้าน โดยเฉพาะห้องทานอาหาร มักจะเป็นสีออกเหลืองๆ ครับ ซึ่งค่าKจะประมาณ2000K-3000K ถ้าเป็นเเบบนี้ก็ไม่เหมาะที่จะนำมาเลี้ยงครับ

จริงๆนอกจากค่าอุณหภูมิสีของเเสง(ค่าK) ก็ควรจะดูเรื่อง ความสว่าง(Illuminance)ที่จะระบุมาในspecว่ากี่ ลูเมน(lumen)
เเละจำนวนหลอดไฟว่าเยอะเเค่ไหน เเละการวางตำเเหน่งของหลอดไฟว่ามันให้เเสงส่องลงตู้ทั่วถึงทั้งตัวโคมหรือไม่ด้วยครับ ฯลฯ ครับ   *หมายเหตุ ความสว่าง(Illuminance) ที่ระบุข้างกล่องจะเป็น lumen เเต่ถ้าอยากจะรู้ความสว่างจริงๆที่เเสงตกลงบนพื้นที่1หน่วย ต้องวัดเป็นlux (lumen/ตารางเมตร)จะมีเครื่องมือวัดครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14/12/13, [02:12:32] โดย ROMMY »
ibiker ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #11 เมื่อ: 14/12/13, [10:52:02] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

LED ถ้าspecระบุว่า 6500K น่าจะใช้ได้ครับ  ต้องลองทดสอบเลี้ยงดูเลยครับ ...เเต่ส่วนมากที่สังเกตคือไฟLEDที่ใช้ในบ้าน โดยเฉพาะห้องทานอาหาร มักจะเป็นสีออกเหลืองๆ ครับ ซึ่งค่าKจะประมาณ2000K-3000K ถ้าเป็นเเบบนี้ก็ไม่เหมาะที่จะนำมาเลี้ยงครับ

จริงๆนอกจากค่าอุณหภูมิสีของเเสง(ค่าK) ก็ควรจะดูเรื่อง ความสว่าง(Illuminance)ที่จะระบุมาในspecว่ากี่ ลูเมน(lumen)
เเละจำนวนหลอดไฟว่าเยอะเเค่ไหน เเละการวางตำเเหน่งของหลอดไฟว่ามันให้เเสงส่องลงตู้ทั่วถึงทั้งตัวโคมหรือไม่ด้วยครับ ฯลฯ ครับ   *หมายเหตุ ความสว่าง(Illuminance) ที่ระบุข้างกล่องจะเป็น lumen เเต่ถ้าอยากจะรู้ความสว่างจริงๆที่เเสงตกลงบนพื้นที่1หน่วย ต้องวัดเป็นlux (lumen/ตารางเมตร)จะมีเครื่องมือวัดครับ

ขอบคุณครับ เผื่อได้ทำโคมสำหรับโถวาบิเล็กๆน่ะครับ [เจ๋ง]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14/12/13, [10:56:08] โดย ibiker »
savagepong ออฟไลน์
Club Veteran
« ตอบ #12 เมื่อ: 14/12/13, [22:01:18] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

แบบนี้พวก LED ขาวจั๊วที่บอกว่าค่าอยู่ที่ 10000K ก็ไม่ค่อยดีน่ะสิครับ
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #13 เมื่อ: 14/12/13, [23:31:52] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

แบบนี้พวก LED ขาวจั๊วที่บอกว่าค่าอยู่ที่ 10000K ก็ไม่ค่อยดีน่ะสิครับ
ใช่ครับตามทฤษฎีเป็นเเบบนั้นครับ  เเต่ผมเเนะนำว่าให้ลองดูครับ เพราะตัวเเปรอื่นๆในตู้มีมากมาย การจะเลี้ยงรอดเเละฟอร์มสวย
ขึ้นกับหลายๆปัจจัยครับ อิอิ  [เจ๋ง] อย่างLED up aqua Z series ระบุค่าKข้างกล่องว่า 8000-10,000K ซึ่งผมก็คิดๆอยุ่ว่าจะเลี้ยงได้มั้ย เเต่พอลองเลี้ยงตู้18" ส่องหวีดจิ๋ว เเทนโคมPL ก็พบว่าถ้าตู้ไม่ลึกมาก สามารถเลี้ยงได้จริงครับ เเละต้นไม้งามเเละฟอร์มสวย ไม่ต่างอะไรกับPLเลยครับ (ประหยัดไฟกว่าด้วย อิอิ)  [เจ๋ง]  ส่วนพวกPL หาหลอด6500K มาใช้เลยครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14/12/13, [23:52:15] โดย ROMMY »
FINDING NEMO ออฟไลน์
Club Follower
« ตอบ #14 เมื่อ: 15/12/13, [09:51:42] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

เป็นบทความที่ดีมากๆเลยละครับ ผู้เลี้ยงไม้น้ำมือสมัครเล่นส่วนใหญ่มีปัญหาการเลือกใช้ไฟมากครับ เป็นปัญหาต้นๆเลย  ของตู้ทะเลก็เป็น  ปักหมุดไว้ก็ดีนะครับ

ปล. ของผมก็ใช้ led เหมือนกันครับ ต้นไม้มีการตอบสนองดีมากครับ ทั้งคายฟองและ แตกยอดไวมาก ตั้งตู้ได้อาทิตย์เดียวเอง
sthapana ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #15 เมื่อ: 03/01/14, [13:42:56] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

+ โล้ดด..ด

อธิบายได้ละเอียด เข้าใจง่ายดีครับ..
   [เจ๋ง]
JPS ออฟไลน์
Club Follower
« ตอบ #16 เมื่อ: 03/01/14, [17:19:39] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

แบบนี้พวก LED ขาวจั๊วที่บอกว่าค่าอยู่ที่ 10000K ก็ไม่ค่อยดีน่ะสิครับ

จริงๆ แล้วค่า K เป็นแค่ค่าสีของแสงที่ตาเรามองเห็นเฉยๆ ครับ
เป็นค่าที่บอกสีที่ผสมกันแล้วของแสงช่วงความยาวคลื่นต่างๆ ในสเปคตรัมทั้งหมดรวมกัน

ดังนั้นการดูที่ค่าK บอกอะไรเกี่ยวกับแสงที่พืชต้องการแทบไม่ได้เลย

มันบอกได้แค่แนวโน้มว่ามีแสงช่วงความยาวคลื่น(λ)สั้นมีมากกว่า หรือแสงช่วงความยาวคลื่นยาวมีมากกว่าแค่นั้นเองครับ
ถ้าแสง λสั้น(ช่วงแสงสีฟ้า ม่วง) มีมาก ก็จะ K สูง
ถ้าแสง λยาว(ช่วงแสงเหลืองส้มแดง) มีมาก ก็จะ K ต่ำ


การจะดูว่าแสงนั้นใช้กับพืชได้ดีรึเปล่าต้องดูที่ช่วงความยาวคลื่นที่ปล่อยออกมาครับว่ามีแสงช่วงความถี่ไหนบ้าง

หลอดที่ค่า K เท่ากัน ยี่ห้อเดียวกันคนละรุ่นยังมีสเปคตรัมออกไม่เหมือนกันเลยครับ



ตัวอย่างสเปคตรัมหลอด fluorescent T5 รุ่นต่างๆ ของ Osram ครับ ที่ตีกรอบสีแดงคือรุ่นที่แสงสี 6500K เท่ากันหมด
จะเห็นได้ว่ามีความเข้มของแสงที่ช่วงความยาวคลื่นต่างๆ ไม่เท่ากัน


การจะว่าดูหลอดไฟนั้นพืชชอบรึไม่นั้น เราต้องดูที่สเปคตรัมของแสงที่ปล่อยออกมา ว่ามีช่วงแสงที่ความถี่เท่าไหร่บ้าง โดยเอากราฟมาเทียบ ว่าตรงกับช่วงความยาวคลื่นที่ chlorophyll ดูดกลืนได้มากแค่ไหน




แสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องมาถึงโลก ถ้าตัดแค่เฉพาะช่วงที่ตามองเห็นก็จะได้เป็นกราฟที่คุณ Rommy เอามาให้ดูอันนี้


เมื่อเทียบกับกราฟสเปคตรัมของ chlorophyll เทียบพื้นที่ใต้กราฟจะเห็นได้ว่าแสงที่ chlorophyll สามารถนำไปใช้ได้มีเพียงประมาณ 20-25% ของแสงแดดที่มองเห็นเท่านั้นเอง
ดังนั้นแสงแดดจึงไม่ใช่แสงที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดสำหรับการปลูกพืชนะครับ


ด้านล่างนี่เป็นกราฟสเปคตรัมของ LED แบบที่เป็นสีๆ  เขียว แดง น้ำเงิน จะเห็นได้ว่าหลอดแต่ละสีจะปล่อยแสงออกมาเป็นช่วงความยาวคลื่นแค่แคบๆ ค่าเดียว




ส่วนนี่เป็นกราฟของ LED แบบแสงขาว


จะเห็นได้ว่าสเปคตรัมของพวกหลอด LED จะสมูทน่ารัก ง่ายต่อการผสม และมีช่วงแสงให้เราเลือกเจาะจงเฉพาะที่ต้องการได้ง่าย ถ้าผสมให้เหมาะสมจะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าหลอดไฟแบบอื่นๆ


สรุป ค่า K ไม่เกี่ยวนะครับ ชอบสีไหนก็เลือกสีนั้น ให้ดูที่สเปคตรัมของมัน
ส่วนตัวผมก็ชอบสีที่ 6500K นะ รู้สึกว่ามันกำลังดีไม่ขาวแสบตา และไม่เหลืองเกินไป [on_066]
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #17 เมื่อ: 03/01/14, [19:48:04] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

จริงๆ แล้วค่า K เป็นแค่ค่าสีของแสงที่ตาเรามองเห็นเฉยๆ ครับ
ใช่ครับ ประโยคนี้ถูกต้องเพราะว่า ค่าK มันได้มาจากการเผาวัตถุดำที่อุณหภูมิค่าหนึ่งๆ เเละดูว่าเป็นสีอะไร
เช่น เผาที่ A kelvin ได้สี ส้ม ก็จะบอกว่า ถ้าเจอเเสงไหนสีส้ม จะถือว่าค่าKของเเสงนั้น=A
เป็นค่าที่บอกสีที่ผสมกันแล้วของแสงช่วงความยาวคลื่นต่างๆ ในสเปคตรัมทั้งหมดรวมกัน
อันนี้ไม่ใช่ครับ เพราะค่าK เเต่ละค่า มีปริมาณพลังงานเรียกง่ายๆคือ ความมากน้อย ของความยาวคลื่นในช่วงต่างๆไม่เท่ากันดังกราฟนี้ครับ จะเห็นว่าค่าKในกราฟเเต่ละเส้นที่โค้งไป มันมีปริมาณพลังงานของเจ้าความยาวคลื่นไม่เท่ากันครับ(มีความมาก น้อย ของความยาวคลื่นไม่เท่ากัน) ดังกราฟ


& สีของสเปคตรัมทั้งหมด ถ้าเอามารวมกัน คือเเสงขาว ครับ
ซึ่งเเสงขาวถ้าเอามาเเยกด้วยปริซึม ก้จะได้สี7หลักๆสีครับนั่นเเหละครับ

เเละอย่างที่บอกครับ ค่าKเเละสีของค่าKเเต่ละค่า มันได้จากการเผาวัตถุดำเเล้วดูสีครับ ไม่เกี่ยวกับสีของสเปกตรัมของเเสงเเต่อย่างใดครับ เเต่มันสัมพันธ์กันในเเง่ปริมาณความยาวคลื่นในเเต่ละช่วง ที่มีความเเตกต่างกันในเเต่ละค่าK ซึ่งมันก็สอดคล้องกับ ความยาวคลื่นในเเต่ละช่วง ที่ต้นไม้ตอบสนองได้ดี(ดูดกลืนได้ดี) ครับ

ดังนั้นการดูที่ค่าK บอกอะไรเกี่ยวกับแสงที่พืชต้องการแทบไม่ได้เลย

มันบอกได้แค่แนวโน้มว่ามีแสงช่วงความยาวคลื่น(λ)สั้นมีมากกว่า หรือแสงช่วงความยาวคลื่นยาวมีมากกว่าแค่นั้นเองครับ
ถ้าแสง λสั้น(ช่วงแสงสีฟ้า ม่วง) มีมาก ก็จะ K สูง
ถ้าแสง λยาว(ช่วงแสงเหลืองส้มแดง) มีมาก ก็จะ K ต่ำ
อันนี้ก็ไม่ใช่ครับ ดูจากกราฟนะครับ ถ้าคุณบอกว่า "แสง λสั้น(ช่วงแสงสีฟ้า ม่วง) มีมาก ก็จะ K สูง "
ผมจะให้ดูกราฟ ลองลากเส้นตัดกราฟในเเนวดิ่ง ลงที่ ความยาวคลื่น=450นาโนเมตร
จะเห็นได้ว่า ที่ 450nm ณ. ตำเเหน่งจุดตัดบนกราฟเส้นสีฟ้าคือ 6500K (โดยเเกนyมันคือปริมาณพลังงานหรือว่าง่ายๆคือความมากน้อยของความยาวคลื่น ดังนั้นถ้าจุดใดบนกราฟสูงกว่า หมายถึงการมีปริมาณของความยาวคลื่นค่าหนึ่งๆมากกว่าครับ) ซึ่งจุดที่เส้นที่ผมบอกให้ลากเเนวดิ่งไปตัดกราฟที่เส้นสีฟ้า คือเเสงที่มีค่า K =6500K  มีปริมาณ ความยาวคลื่นที่450nm มากกว่า(จุดที่ตัด สูงกว่านะครับ) เเสงที่มีค่าKที่10000 K (เส้นสีดำ) อีกครับ

ดังนั้นเเสงที่มีช่วงความยาวคลื่นสั้นๆ อยู่มาก (พิจารณาที่450nm)ก็ไม่ได้มีค่า Kมากกว่า เเบบที่คุณบอกนะครับ


การจะดูว่าแสงนั้นใช้กับพืชได้ดีรึเปล่าต้องดูที่ช่วงความยาวคลื่นที่ปล่อยออกมาครับว่ามีแสงช่วงความถี่ไหนบ้าง

หลอดที่ค่า K เท่ากัน ยี่ห้อเดียวกันคนละรุ่นยังมีสเปคตรัมออกไม่เหมือนกันเลยครับ



ตัวอย่างสเปคตรัมหลอด fluorescent T5 รุ่นต่างๆ ของ Osram ครับ ที่ตีกรอบสีแดงคือรุ่นที่แสงสี 6500K เท่ากันหมด
จะเห็นได้ว่ามีความเข้มของแสงที่ช่วงความยาวคลื่นต่างๆ ไม่เท่ากัน


การจะว่าดูหลอดไฟนั้นพืชชอบรึไม่นั้น เราต้องดูที่สเปคตรัมของแสงที่ปล่อยออกมา ว่ามีช่วงแสงที่ความถี่เท่าไหร่บ้าง โดยเอากราฟมาเทียบ ว่าตรงกับช่วงความยาวคลื่นที่ chlorophyll ดูดกลืนได้มากแค่ไหน





แสงจากดวงอาทิตย์ที่ส่องมาถึงโลก ถ้าตัดแค่เฉพาะช่วงที่ตามองเห็นก็จะได้เป็นกราฟที่คุณ Rommy เอามาให้ดูอันนี้


เมื่อเทียบกับกราฟสเปคตรัมของ chlorophyll เทียบพื้นที่ใต้กราฟจะเห็นได้ว่าแสงที่ chlorophyll สามารถนำไปใช้ได้มีเพียงประมาณ 20-25% ของแสงแดดที่มองเห็นเท่านั้นเอง
ดังนั้นแสงแดดจึงไม่ใช่แสงที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดสำหรับการปลูกพืชนะครับ
กราฟทั้งสองอัน ไม่สามารถเทียบพื้นที่ใต้กราฟได้โดยตรงนะครับ ต้องใช้การพิจารณาเทียบเคียงกันครับ =.=
เพราะว่ากราฟอันที่ผมยกมา มันคือ กราฟที่"เเสดงให้เห็นว่า เเสงที่มีค่าKต่างๆกัน จะมีความมาก-น้อย ของความยาวคลื่นในช่วงต่างๆ ที่ไม่เท่ากัน ดังเเสดงในกราฟ"  เพราะกราฟที่ผมยกมา เเกนy มันคือ ปริมาณพลังงาน ว่าง่ายๆคือ ความมากน้อย ของความยาวคลื่น ซึ่งถ้ากราฟโด่งๆ คือมีความยาวคลื่น ช่วงนั้นๆมากครับ




ส่วนกราฟที่คุณยกมา มันคือกราฟเเสดง"การตอบสนองของรงควัตถุหรือสารสีในพืช ต่อความยาวคลื่นต่างๆกัน" โดยมันเเสดงให้เห้นว่า พืชต้องการความยาวคลื่นในช่วงไหนมากๆ เเละต้องการความยาวคลื่นในช่วงไหนน้อยๆ ดูได้จากความสูงกราฟครับ
เพราะเเกนyมันคือ ปริมาณที่พืช absorption ซึ่งคือการดูดกลืนครับ เเละถ้าพืชชอบดูดกลืนเเสงความยาวคลื่นช่วงไหนมาก เเสดงว่า พืชต้องการเเละมีการตอบสนองต่อความยาวคลื่นช่วงนั้นดีครับ



ด้านล่างนี่เป็นกราฟสเปคตรัมของ LED แบบที่เป็นสีๆ  เขียว แดง น้ำเงิน จะเห็นได้ว่าหลอดแต่ละสีจะปล่อยแสงออกมาเป็นช่วงความยาวคลื่นแค่แคบๆ ค่าเดียว




ส่วนนี่เป็นกราฟของ LED แบบแสงขาว


จะเห็นได้ว่าสเปคตรัมของพวกหลอด LED จะสมูทน่ารัก ง่ายต่อการผสม และมีช่วงแสงให้เราเลือกเจาะจงเฉพาะที่ต้องการได้ง่าย ถ้าผสมให้เหมาะสมจะมีประสิทธิภาพที่ดีกว่าหลอดไฟแบบอื่นๆ


สรุป ค่า K ไม่เกี่ยวนะครับ ชอบสีไหนก็เลือกสีนั้น ให้ดูที่สเปคตรัมของมัน
ส่วนตัวผมก็ชอบสีที่ 6500K นะ รู้สึกว่ามันกำลังดีไม่ขาวแสบตา และไม่เหลืองเกินไป [on_066]

"สรุปค่า Kไม่เกี่ยวนะครับ" =.= ลองดูกราฟอีกซักรอบครับ ปล.อย่าเทียบกราฟเเบบจับทับกันนะครับ
ไม่มีตำราไหนเค้าทำครับ ไม่ว่าจะเป็นกราฟเรื่องอะไรก็ตาม จะเอามาทับกันได้ต้องสัมพันธ์กันเช่น ตัวเเปรเเกนyเหมือนกัน เเละตัวเเปรเเกนxเหมือนกัน ครับ


ถ้าผิดพลาดตรงไหนต้องขออภัยนะครับ ตอนเเรกจะไม่เข้ามาเเย้งเเล้วครับ เเต่ผมคิดว่าคอมเม้นท์คุณมันผิดไปนิดนึงครับ...
ปล.ลองดูกราฟดีๆอีกสักครั้ง หรือเข้าไปอ่านลิ้งค์ เว็บไซต์ ต่างประเทศที่ยกมาเเปะไว้นะครับ ถ้าผมผิดพลาดตรงไหนต้องขออภัยครับ(ในเว็บที่ผมเอารูปมา ผมไม่ได้ก๊อบเเต่รูปนะครับ เเต่ผมเข้าไปนั่งอ่านคำบรรยายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดครับ)
 เเต่ส่วนใหญ่ กระทู้ที่ผมเขียน หรือคอมเม้นท์ที่ผมตอบ ถ้าไม่มั่นใจเเละไม่เข้าใจจริงๆ ผมจะไม่เขียนครับ  ... เเต่บางครั้ง ผมมั่วก็มีนะครับ5555 เเละคอมเม้นท์บางอันของผมก็เน้นฮาๆก้มีครับ

ด้วยความเคารพครับ .... ขอบคุณที่เเสดงความคิดเห็นครับ เเละถ้ามีประเด็นไหนที่คิดว่าผมผิด เเย้งได้เลยครับ
มาเเสดงความคิดเห็นกัน ดีมากๆครับ เพิ่มรอยหยักในสมอง เเละฝึกการคิดครับ

 ROMMY

*ถ้าพี่ๆเทพๆในเว็บคนไหน คิดว่าผมผิดตรงไหน มาบอกด้วยนะครับ ผมจะได้เเก้ไข เเละทำความเข้าใจให้ถูกต้องครับ ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03/01/14, [20:13:25] โดย ROMMY »
Longhairguy ออฟไลน์
Shrimp Admin
« ตอบ #18 เมื่อ: 03/01/14, [23:58:15] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

เป็นบทความที่ดี +1
JPS ออฟไลน์
Club Follower
« ตอบ #19 เมื่อ: 04/01/14, [01:52:51] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

อันนี้ไม่ใช่ครับ เพราะค่าK เเต่ละค่า มีปริมาณพลังงานเรียกง่ายๆคือ ความมากน้อย ของความยาวคลื่นในช่วงต่างๆไม่เท่ากันดังกราฟนี้ครับ จะเห็นว่าค่าKในกราฟเเต่ละเส้นที่โค้งไป มันมีปริมาณพลังงานของเจ้าความยาวคลื่นไม่เท่ากันครับ(มีความมาก น้อย ของความยาวคลื่นไม่เท่ากัน) ดังกราฟ


& สีของสเปคตรัมทั้งหมด ถ้าเอามารวมกัน คือเเสงขาว ครับ
ซึ่งเเสงขาวถ้าเอามาเเยกด้วยปริซึม ก้จะได้สี7หลักๆสีครับนั่นเเหละครับ

เเละอย่างที่บอกครับ ค่าKเเละสีของค่าKเเต่ละค่า มันได้จากการเผาวัตถุดำเเล้วดูสีครับ ไม่เกี่ยวกับสีของสเปกตรัมของเเสงเเต่อย่างใดครับ เเต่มันสัมพันธ์กันในเเง่ปริมาณความยาวคลื่นในเเต่ละช่วง ที่มีความเเตกต่างกันในเเต่ละค่าK ซึ่งมันก็สอดคล้องกับ ความยาวคลื่นในเเต่ละช่วง ที่ต้นไม้ตอบสนองได้ดี(ดูดกลืนได้ดี) ครับ

ขอยืนยันว่าในกราฟข้างบนมันเป็นกราฟสเปกตรัมของวัตถุดำ ในช่วง visible light ที่แกน y เป็น relative energy คือ E/Emax ครับ
ซึ่งถ้าแกน y ถ้าเป็นหน่วยพลังงาน E เฉยๆ จะเป็นประมาณรูปนี้ครับ

คือยิ่ง K มากพลังงานที่ปล่อยออกมาก็จะยิ่งมาก เส้นกราฟมันไม่ทับกัน เวลาเปรียบเทียบเรื่องสีมันจะดูยาก เค้าเลย ใช้แกน y เป็น  relative energy E/Emax เพื่อที่กราฟของแต่ละค่า K มันจะได้ทับกัน และจุด peak ของกราฟเท่ากับ 1

วัตถุดำมันเป็นค่า ideal ครับ แสงจากหลอดไฟต่างๆ มันไม่ได้มีแสงครบทุกช่วงความยาวคลื่นกราฟเป็นรูประฆังคว่ำสวยงามแบบนั้น แต่มันน่าเกลียดๆ แบบนี้ครับ

การรวมให้ได้แสงขาวไม่จำเป็นต้องมีแสงครบทุกสีนะครับ มีแสงแค่ 3 สีก็รวมกันได้ขาวแล้ว เช่นไฟ LED แสงขาวแบบที่มีหลอด 3 สี RGB จอ LCD ที่ฉายออกมาเป็นสีขาว ก็แยกสเปคตรัมออกมาได้แค่ 3 สีเองครับ

^
แสงขาวสเปคตรัมหน้าตาแบบนี้ก็มีครับ หาค่า K ได้ด้วย

อันนี้ก็ไม่ใช่ครับ ดูจากกราฟนะครับ ถ้าคุณบอกว่า "แสง λสั้น(ช่วงแสงสีฟ้า ม่วง) มีมาก ก็จะ K สูง "
ผมจะให้ดูกราฟ ลองลากเส้นตัดกราฟในเเนวดิ่ง ลงที่ ความยาวคลื่น=450นาโนเมตร
จะเห็นได้ว่า ที่ 450nm ณ. ตำเเหน่งจุดตัดบนกราฟเส้นสีฟ้าคือ 6500K (โดยเเกนyมันคือปริมาณพลังงานหรือว่าง่ายๆคือความมากน้อยของความยาวคลื่น ดังนั้นถ้าจุดใดบนกราฟสูงกว่า หมายถึงการมีปริมาณของความยาวคลื่นค่าหนึ่งๆมากกว่าครับ) ซึ่งจุดที่เส้นที่ผมบอกให้ลากเเนวดิ่งไปตัดกราฟที่เส้นสีฟ้า คือเเสงที่มีค่า K =6500K  มีปริมาณ ความยาวคลื่นที่450nm มากกว่า(จุดที่ตัด สูงกว่านะครับ) เเสงที่มีค่าKที่10000 K (เส้นสีดำ) อีกครับ

ดังนั้นเเสงที่มีช่วงความยาวคลื่นสั้นๆ อยู่มาก (พิจารณาที่450nm)ก็ไม่ได้มีค่า Kมากกว่า เเบบที่คุณบอกนะครับ

ทำไมอ่านกราฟอย่างนั้นละครับ  [on_065]
ที่มันสูงกว่า เส้น10,000K เพราะ ค่า peak ของ 10,000K มันอยู่นอกกราฟครับ มันสูงสุดที่ความยาวคลื่นสั้นกว่า 400nm

ถ้าแสง λสั้น(ช่วงแสงสีฟ้า ม่วง) มีมาก ก็จะ K สูง
ถ้าแสง λยาว(ช่วงแสงเหลืองส้มแดง) มีมาก ก็จะ K ต่ำ

ดูที่ 6500K นะครับ  450nm =1                   650nm = 0.75
ดูที่ 5500k            450nm = 0.94              650nm = 0.9
ดูที่ค่า กลางๆ อาจจะไม่ค่อยชัด ลองเทียบ 10,000K กับ 3000K ดูนะครับ

กราฟทั้งสองอัน ไม่สามารถเทียบพื้นที่ใต้กราฟได้โดยตรงนะครับ ต้องใช้การพิจารณาเทียบเคียงกันครับ =.=
เพราะว่ากราฟอันที่ผมยกมา มันคือ กราฟที่"เเสดงให้เห็นว่า เเสงที่มีค่าKต่างๆกัน จะมีความมาก-น้อย ของความยาวคลื่นในช่วงต่างๆ ที่ไม่เท่ากัน ดังเเสดงในกราฟ"  เพราะกราฟที่ผมยกมา เเกนy มันคือ ปริมาณพลังงาน ว่าง่ายๆคือ ความมากน้อย ของความยาวคลื่น ซึ่งถ้ากราฟโด่งๆ คือมีความยาวคลื่น ช่วงนั้นๆมากครับ



ส่วนกราฟที่คุณยกมา มันคือกราฟเเสดง"การตอบสนองของรงควัตถุหรือสารสีในพืช ต่อความยาวคลื่นต่างๆกัน" โดยมันเเสดงให้เห้นว่า พืชต้องการความยาวคลื่นในช่วงไหนมากๆ เเละต้องการความยาวคลื่นในช่วงไหนน้อยๆ ดูได้จากความสูงกราฟครับ
เพราะเเกนyมันคือ ปริมาณที่พืช absorption ซึ่งคือการดูดกลืนครับ เเละถ้าพืชชอบดูดกลืนเเสงความยาวคลื่นช่วงไหนมาก เเสดงว่า พืชต้องการเเละมีการตอบสนองต่อความยาวคลื่นช่วงนั้นดีครับ
แกนคนละหน่วย แต่มี degree เท่ากันครับ ไร้หน่วยทั้งคู่ กราฟของคุณ หน่วยเป็น E/Emax ส่วนกราฟ chlorophyll  ค่า absorption ก็ไร้หน่วย จะใส่หน่วยเป็น% ลงไปก็ได้ครับ 
วางทับกันตรงๆ ไม่ได้ แต่เทียบเคียงกันได้ครับ
อย่างกราฟสเปคตรัม ของหลอดไฟหลายๆ รุ่นที่ผมยกมาให้ดู เค้าไม่ใส่หน่วยด้วยซ้ำครับ เพราะมันใส่ได้หลายค่า จะให้เป็นรูปความเข้มพลังงาน หรือให้เป็นแกนไร้หน่วยแบบ relative energy อย่างกราฟที่คุณยกมาก็ได้ครับ รูปร่างกราฟมันก็เหมือนเดิมครับ แค่เอาค่า max ซึ่งเป็นค่าคงตัวหารเข้าไปก็ไร้หน่วยแล้ว
และจุดมุ่งหมายของกราฟสเปคตรัมคือไว้เทียบปริมาณของแต่ละความยาวคลื่นอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องบอกหน่วยครับ คนอ่านกราฟเค้าไม่สนใจ อย่างมากแค่ใส่สเกลให้ซักหน่อยก็พอแล้ว



ป.ล. เล่นยัดคำตอบลงไปใน quote คนจะ quote ตอบบ้างงานงอกเลยครับ มึนมากกว่าจะแกะได้  heaven
ตรวจทานผ่านๆ ไปรอบเดียว ผิดพลาดต้องขออภัย ต้องไปนอนก่อนละครับพรุ่งนี้มีธุระ ดูดพลังงานมากกระทู้นี้  [on_abe]
kibommm01 ออฟไลน์
Club Follower
« ตอบ #20 เมื่อ: 04/01/14, [05:10:15] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ จากที่ผมพิจารณาด้วยวิจารณญาณและความรู้ที่ตนเองมีอาจจะถูกหรือผิดก็ได้นะครับ

ประเด็นที่ 1: ผมเข้าในคุณ JPS ต้องการจะสื่อให้เห็นว่าอย่าไปสนใจค่า K เลยเพราะมันบอกอะไรเกี่ยวกับการเติบโตของพืชไม่ค่อยได้
(อ้างอิง: ค่า K บอกอะไรเกี่ยวกับแสงที่พืชต้องการแทบไม่ได้เลย)

ผมคิดว่ามีทั้งส่วนถูกและไม่ถูกนะครับ เพราะค่า K มันคือหน่วยอุณหภูมิสีของแสงที่ผสมกันออกมา (ได้มาจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่แผ่ออกมาจากวัตถุที่ผสมกัน) อุณหภูมิสีของแสง หรือ Correlated Color Temperature ( CCT ) อุณหภูมิสี บ่งบอกค่าเป็น K หรือ Kelvin (อ่านว่าเคลวินนะครับ อย่าอ่านองศาเคลวิน ผิดนะครับ) ทฤษฏีนี้ เป็นการวัดการกระจายแสงของวัตถุสีดำ(black body) ทางฟิสิกส์ ที่ถูกทำให้ร้อน เมื่อร้อนช่วงแรก ๆ จะปลดปล่อยแสงที่อยู่ช่วงความเข้มแสงสีแดงซะมาก แล้วเปลี่ยนเป็นสีส้ม เหลือง ....ไปจนถึงน้ำเงิน (ลองนึกถึงถ่านเมื่อโดยเผาไฟช่วงแรกจะเป็นสีแดง สักพักพออุณหภูมิสูงขึ้นจะเป็นสีเหลือง ==> ขาว ===>น้ำเงิน โดยสีขาวกับน้ำเงินจะเห็นได้ในเตาเผาโลหะพวกมีด ดาบ) หลอดที่มีอุณหภูมิสีน้อยประมาณ 4000 K จึงดูออกแสงสีส้ม และจะถูกเรียกว่า warm light ขณะที่หลอดที่มีอุณหภูมิสีสูง ๆ จะดูมีสีน้ำเงิน (Cool light ) บอกประมาณโทนสีร้อน โทนสีเย็น ประมาณนี้ ถ้าระบบมาตรวิทยาที่ใช้วัดอ้างอิงจากมาตรฐานเดียวกัน ก็พอจะคาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างความยาวคลื่นแสงกับค่า K อย่างมีนัยสำคัญแต่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะอย่างที่บอกมันคือการผสมผลรวมทั้งหมดของคลื่นแสงแล้วเปล่งออกมาให้ตาของเรามองเห็นเท่านั้น
ดังนั้นสรุปได้ว่า ค่า K สามารถอ้างอิงถึงความยาวคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เป็นองค์ประกอบของแสงชนิดนั้นๆ ได้ และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านั้นบางช่วงความยาวคลื่น พืชก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการสังเคราะห์ด้วยแสงเพื่อการเจริญเติบโตได้นะครับ
   แต่ผมเข้าใจที่คุณ JPS อยากจะเน้น สื่อสารให้ผู้อ่านสนใจค่าความยาวคลื่นแสงจำเพาะที่พืชใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสงมากกว่า (ซึ่งอาจจะเรียกว่าสเปกตรัมก็ได้) เพราะพืชจะมีกลุ่มรงควัตถุคลอโรฟิลล์ที่มีหน้าที่ดูดกลืนแสง และนำไปใช้ประโยชน์ในกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงเพื่อการเจริญเติบโต โดยที่คลอโรฟิลล์นี้จะดูดกลืนแสงช่วงความยาวคลื่นช่วงแสงสีน้ำเงิน และแดง เป็นหลัก (ซึ่งอนุมานได้ว่าช่วงคลื่นแสงทั้ง 2 ช่วงนี้กระตุ้นกระบวนการภายในเซลล์ของพืชเพื่อการเจริญเติบโต เพราะไม่อย่างนั้นจะดูดกลืนไปทำซากอะไร) ดังนั้นช่วงความยาวคลื่นแสงสีอื่นๆ เช่นช่วงความยาวคลื่นแสงสีเขียวจึงไม่มีประโยชน์ เพราะคลอโรฟิลล์ไม่ได้ดูดกลืนนำไปใช้ประโยชน์ ดังนั้นคุณ JPS จึงคิดว่าการพิจารณาความยาวคลื่นแสงที่จำเพาะ จะเป็นประโยชน์มากกว่าจึงแนะนำให้เลือกใช้หลอดไฟที่มีองค์ประกอบความยาวคลื่นแสงที่หลอดไฟนั้นๆ ปล่อยออกมาเป็นสำคัญเพราะตรงประเด็นที่พืชนำไปใช้สังเคราะห์แสงได้โดยตรง
ดังนั้นผมจึงสรุปว่า ถูกครับเพราะช่วงความยาวคลื่นแสงอื่นๆ เช่นสีเขียวแทบไม่มีประโยชน์ให้พืชนำไปใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสงเลย  

ประเด็นที่ 2: กราฟของน้องรอม (Rommy)
      น้องรอมครับพี่ว่ามันตัดมาเฉพาะช่วง visible light จริงๆครับ และแกน Y น่าจะเป็น relative energy E/Emax เพื่อที่กราฟของแต่ละค่า K มันจะได้ทับกัน และจุด peak ของกราฟเท่ากับ 1 (ตามที่คุณ JPS) บอกครับ
      
ประเด็นที่ 3: การอ่านกราฟของน้องรอม
       "อันนี้ก็ไม่ใช่ครับ ดูจากกราฟนะครับ ถ้าคุณบอกว่า "แสง λ สั้น(ช่วงแสงสีฟ้า ม่วง) มีมาก ก็จะ K สูง "
ผมจะให้ดูกราฟ ลองลากเส้นตัดกราฟในเเนวดิ่ง ลงที่ ความยาวคลื่น=450นาโนเมตร
จะเห็นได้ว่า ที่ 450nm ณ. ตำเเหน่งจุดตัดบนกราฟเส้นสีฟ้าคือ 6500K (โดยเเกน y มันคือปริมาณพลังงานหรือว่าง่ายๆคือความมากน้อยของความยาวคลื่น ดังนั้นถ้าจุดใดบนกราฟสูงกว่า หมายถึงการมีปริมาณของความยาวคลื่นค่าหนึ่งๆมากกว่าครับ) ซึ่งจุดที่เส้นที่ผมบอกให้ลากเเนวดิ่งไปตัดกราฟที่เส้นสีฟ้า คือเเสงที่มีค่า K =6500K  มีปริมาณ ความยาวคลื่นที่450nm มากกว่า(จุดที่ตัด สูงกว่านะครับ) เเสงที่มีค่าKที่10000 K (เส้นสีดำ) อีกครับ ดังนั้นเเสงที่มีช่วงความยาวคลื่นสั้นๆ อยู่มาก (พิจารณาที่ 450nm)ก็ไม่ได้มีค่า K มากกว่า เเบบที่คุณบอกนะครับ"
       รอมครับ กราฟจริงๆ จะเป็นแบบที่คุณ JPS บอกครับ รอมต้องเทียบจากกราฟเต็มรูปแบบ ดังนั้นการแปลผลจากกราฟของรอมนั้นอาจจะไม่ถูกทั้งหมดซะทีเดียวนะครับ  เช่นจุดพีคของ 10000 K อยู่ที่ต่ำกว่า 400 nm. จริงครับ หรือที่ 3000 k จุดพีคอยู่สูงกว่า 700 nm. ดังกราฟ


แต่พี่ว่าภาพนี้อาจจะทำให้เห็นและเข้าใจง่ายกว่า แต่ต้องเทียบจากอุณหภูมิสีของดาวเลยครับออกไปนอกโลกเลย


มันคือการบาลานซ์กันของช่วงความยาวคลื่นแสงน่ะครับ      
     คุณ JPS ครับน้องรอมยังเป็นน้องน้อยอยู่ครับ ยังแปลผลจากกราฟตรงไปตรงมาและอาจจะยังไม่เคยเจอกราฟการนำเสนอข้อมูลเชิงปริมาณเปรียบเทียบแบบละเอียดหลากหลายรูปแบบน่ะครับ เลยอาจจะมีการเข้าใจผิดได้
    
ประเด็นที่ 4: การเทียบพื้นที่ได้กราฟ
ในความคิดของผมมันมีทั้งส่วนที่เทียบกันได้ และเทียบกันไม่ได้นะครับ ด้วยความเคารพผมว่าส่วนที่มันทียบกันได้ก็คือแกน X
มันเป็น wavelength(nm.) ที่ช่วง visible light เหมือนกัน จึงพอเทียบกันได้ว่าแสงที่ K ต่างๆ ช่วงความยาวคลื่นแสงใดเป็นองค์ประกอบบ้าง (เน้นนะครับจากค่า K อุดมคติทางฟิสิกส์/ideal เพราะแสงจากหลอดไฟบางชนิดไม่ได้มีกราฟที่สวยงามขนาดนั้นอย่างที่คุณ JPS บอกเลยครับ)  แล้วช่วงคลื่นแสงไหนที่รงควัตถุนำไปใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสงบ้าง
แต่แกนของกราฟ Y ไม่ได้เหมือนกัน และไม่น่าจะใช้พื้นที่ใต้กราฟบอกเชิงปริมาณที่สามารถจะมาเทียบกันถึงปริมาณที่รงควัตถุดูดกลืนเข้าไป หรือปริมาณของความยาวคลื่นแสงที่มีอยู่ (ตอนนี้ผมง่วง อ่านดูคงงงๆ) ตรงส่วนนี้ก็คงเทียบไม่น่าจะได้ครับ
แต่ถ้าเทียบกันเอง ในกราฟของตัวเองพอจะอ้างอิงได้อยู่      

     จริงๆ ด้วยครับกระทู้นี้ดูดพลังมาก ว่างๆ ถ้ามีเวลาจะเข้ามาเขียนเรื่องเกี่ยวกับ
1.การสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช จริงๆ แล้วรงควัตถุที่ใช้ในการสังเคราะห์แสงของพืชมีมากมายไม่ใช่มีแค่ คลอโรฟิลล์ a, b, c, d
แคโรทีนอยด์ จริงๆ ยังมีอีกมากมาย และพืชแต่ละชนิดก็มีไม่เหมือนกัน เช่นสาหร่ายกับพืชมีดอก ก็มีกลุ่มรงควัตถุไม่เหมือนกันนะครับ และรงควัตถุแต่ละชนิดก็มีการดูดกลืนคลื่นแสงที่ช่วงความยาวคลื่นแตกต่างกัน เพราะอะไร?
2. สเปกตรัม กับค่าอุณหภูมิสีของแสง (K) ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่มีผมต่อการเจริญเติบโตของพืช ยังมีเรื่องของ Light Intensity,
Power Consumption, Photosynthetically Active Radiation, Photosynthetically Usable Radiation,Photosynthetically Stored Radiation อีกเยอะครับ ศึกษากันได้ไม่จบสิ้น

       สุดท้ายที่ผมเขียนคือความเห็นส่วนตัวของผมนะครับและให้ความเคารพทั้งคุณ JPS และน้องรอมด้วยครับ ไม่ได้มีเจตนาร้าย กับฝ่ายใดผ่ายหนึ่งผิดถูกอย่างไรช่วยกันวิเคราะห์และให้อภัยกันนะครับ จากใจของผมผมดีใจที่เห็นคนไทยคิดและวิเคราะห์เชิงวิทยาศาสตร์อย่างสร้างสรรครับ [on_026]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04/01/14, [05:35:30] โดย kibommm01 »
JPS ออฟไลน์
Club Follower
« ตอบ #21 เมื่อ: 04/01/14, [14:18:19] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ประเด็นที่ 4: การเทียบพื้นที่ได้กราฟ

อันนี้ผมก็อธิบายได้ไม่ดีครับใช้คำไม่ค่อยถูกด้วย คือผมจะสื่อว่าค่าแสงที chlorophyll เอาไปใช้ได้เนี่ยมันมีแค่ประมาณ 20% ของช่วงแสงที่มองเห็นน่ะครับ ตามพื้นที่ใต้กราฟของมัน แสงที่มันใช้ไม่ได้น่ะ มันเป็นพลังงานที่สูญเปล่าครับ
ในกำลังวัตที่เท่ากัน ถ้าหลอดไฟเปล่งแสงที่มีสเปคตรัมเหมือนที่ chlorophyll ต้องการเป๊ะๆ ได้ ในกำลังวัตต์ที่เท่ากัน ย่อมมีประสิทธิภาพดีกว่าหลอดไฟที่เปล่งแสงออกมาเต็มทุกค่าความยาวคลื่นแบบแสงจาก blackbody ครับ

แล้วจริงๆ กราฟปริมาณแสงช่วงต่างๆ ที่ chlorophyll ดูดกลืนได้ แค่เปลี่ยนคำพูดครับว่าเป็น กราฟสเปคตรัมของแสงที่ chlorophyll ต้องการ แค่นี้ก็เป็นหน่วยเดียวกันได้แล้วครับ
จับ E/Emax ซะ กราฟมันก็เทียบกันได้แล้ว เหมือนที่เอากราฟสเปคตรัมของ blackbody ที่ค่า K ต่างกันมาเทียบกันนั่นแหละ

ใครที่เคยมี grow light จะเข้าใจดีเลยครับ ไฟแค่อ่อนๆ สีม่วงๆ กราฟสเปคตรัมมีแค่สองแท่งน้ำเงินแดง แต่ต้นไม้คายฟองมากกว่าแสงขาวที่กำลังวัตต์เยอะกว่าเป็นเท่า


เรื่องรงควัตถุที่มี คลอโรฟิลล์ a, b, c, d แคโรทีนอยด์ อันนี้ทราบครับ แต่ chlorophyll  c, d เนี่ยส่วนมากจะอยู่ในพืชชั้นต่ำที่เราไม่ต้องการเช่นตะไคร่และแพลงตอนพืช การให้แสง full-range spectrum ที่มีช่วงแสงที่ chlorophyll  c, d ต้องการก็มีแต่จะเข้าไปช่วยให้ตะไคร่เติบโตได้ดีครับ ส่วนแคโรทีนอยด์นี่ก็มีไม่เยอะและมันก็มีดูดกลืนแสงช่วงทับกับ chlorophyll อยู่แล้วผมจึงไม่ได้พูดถึงแต่ chlorophyll a,b ครับ


     คุณ JPS ครับน้องรอมยังเป็นน้องน้อยอยู่ครับ ยังแปลผลจากกราฟตรงไปตรงมาและอาจจะยังไม่เคยเจอกราฟการนำเสนอข้อมูลเชิงปริมาณเปรียบเทียบแบบละเอียดหลากหลายรูปแบบน่ะครับ เลยอาจจะมีการเข้าใจผิดได้

ผมไม่ได้โกรธอะไรน้องเค้านะ อ่านแล้วเหมือนโกรธเหรอ... jealous ผมไม่ได้รู้จักตัวจริงน้องเค้าน่ะครับไม่ทราบว่าเป็นใครอายุเท่าไหร่ จริงๆ เรื่องอายุก็ไม่เกี่ยวหรอกครับ คนอายุมากกว่าประสบการณ์มากกว่าแต่เข้าใจผิดมาตลอดมีเยอะแยะ
การโต้แย้งมันก็อย่างนี้แหละ เถียงกันด้วยข้อมูลวิชาการครับ ประเทืองปัญญาดี ผมก็ไม่ได้มั่นใจว่าตัวเองถูกทุกเรื่องนะครับ
เห็นใครเข้าใจต่างจากเราก็ต้องมาถกกันดูครับว่าใครเป็นฝ่ายที่เข้าใจถูก ถ้าเราเข้าใจผิดมาก็จะได้เข้าใจให้ถูกครับ ยิ่งเป็นข้อมูลที่ตั้งใจเขียนมาเป้นบทความวิชาการเผยแพร่ ให้อ่านกันนี่ยิ่งต้องถกกันให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดครับเพื่อพัฒนาวงการไม้น้ำบ้านเรา [on_066]

เรื่องวิชาการมันต้องมีการโต้แย้งถกเถียงกันครับถึงจะเกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ ได้ ตรงไหนผมผิดเถียงมาได้เลยครับไม่ต้องยั้งเดี๋ยวผมเถียงกลับเองครับไม่ต้องเกรงใจกัน  [on_026]
คนไทยชอบขี้เกรงใจกันในเรื่องที่ไม่ควรเกรงใจครับ เล่นบอร์ดต่างประเทศเถียงเรื่องวิชาการณ์กันทีนี่มันส์มาก เอาไปลง drama addict ได้เลยทีเดียว
ถ้าไม่ถกเถียงเชื่อตามกันไปเรื่อยๆ มันก็ไม่ต่างอะไรกับเชื่อสรรพคุณน้ำหมักป้าเช็งหรอกครับ


ที่ผมเขียนอาจจะมีที่อ่านแล้วดูมึนๆ หน่อยนะครับ เรียบเรียงคำพูดไม่ค่อยเก่ง พอดีเขียนจากความเข้าใจที่เคยศึกษามาน่ะครับนึกอะไรได้ก็พิมพ์ลงไป ไม่ได้แปลจากบทความ รูปก็เซิชๆ google เอา ข้อมูลหลายๆ เรื่องก็ปะติดปะต่อจากข้อมูลหลายๆ แหล่งที่เคยศึกษาแล้วประมวลออกมา ไม่รู้จะใส่ reference ยังไง [on_abe]
พอดีเคยสนใจแล้วก็ค้นคว้าข้อมูลเรื่องแสงที่พืชต้องการอยู่ช่วงนึง(จะทำ growlight เล่นดู) และพอจะมีความรู้เรื่องสีของแสงอยู่จากประสบการณ์ทำงานเกี่ยวกับการ proof สีในงานสิ่งพิมพ์อยู่บ้าง
ROMMY ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #22 เมื่อ: 04/01/14, [19:03:17] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ขอบคุณพี่หมอบูมนะครับ ที่มาคอมเม้นท์ เเละขอบคุณคุณ JPS ด้วยค้าบบบ    [เจ๋ง]
เดี๋ยวมาอ่านนะครับ ยาวมากๆๆ 55555 .... ดีมากๆเลยครับ ได้เเสดงความคิดเห็นเพิ่มพูนความรู้กันครับ ^^

To.คุณ JPS
ผมเเฮปปี้มากๆครับ ได้โต้เเย้ง ยกข้อคิดเห็นมาคุยกัน ผมว่ากระทู้นี้มีสาระเเละเพิ่มรอยหยักในสมองได้ดีมากๆครับ
เเละที่ผมเเสดงความคิดเห็นไป ด้วยความเคารพนะครับ คือผมคิดเห็นอย่างไรก็จะพิมพ์ไปเเบบนั้นครับ ^^
เเละเท่าที่อ่านๆคร่าวๆ ผมผิดเรื่องกราฟที่ยกมาครับ เพราะว่าผมเอากราฟที่ตัดมาเเค่ส่วนๆเดียว ไม่ใช่ภาพรวมทั้งหมดของกราฟครับ  ยังไงเดี๋ยวผมจะมาอ่านอีกรอบนะครับ (ช่วงนี้ยุ่งๆนิดหน่อยครับ^^) ถ้าคุณJPSมีตรงไหนเพิ่มเติม พิมพ์เเสดงความคิดเห็นไว้ได้เลยครับ เดี๋ยวผมจะมาอ่านพร้อมกับอ่านคอมเม้นท์พี่หมอบูมนะครับ ขอบพระคุณค้าบบบบ  beg1
ด้วยความเคารพค้าบบบบบบ ROMMY

&หวังว่าจะไม่เข้าใจเจตนาผมผิดไปนะครับ.... ขอบพระคุณอีกครั้งครับ ..   [เจ๋ง]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04/01/14, [19:13:49] โดย ROMMY »
หน้า: 1   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: