Aqua.c1ub.net
*
  Mon 04/Aug/2025
หน้า: 1 ... 171 172 173 174 175 ... 201   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: มาเล่นเกมทายภาพจากภาพยนตร์เรื่องดังกัน  (อ่าน 758915 ครั้ง)
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5160 เมื่อ: 20/11/13, [09:42:32] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

Bangkok Traffic Love Story รถไฟฟ้ามาหานะเธอ
ถูกต้องครับ  [เจ๋ง] Bangkok Traffic Love Story รถไฟฟ้ามาหานะเธอ
สภาพจราจรในปี 2552 ยังเป็นปัญหาหนักอกของคนกรุงเทพฯ แม้จะมีถนน สะพาน และทางด่วนใหม่ๆ ผุดขึ้นหลายต่อหลายสาย ผิวจราจรเหล่านั้นก็ยังติดขัดและไม่เพียงพอต่อความต้องการ ถนนในกรุงเทพฯ ก็เหมือนหนุ่มหล่อแสนดีที่มีน้อยและไม่เคยเพียงพอต่อความต้องการ!
เหมยลี่ (คริส หอวัง) เป็นสาววัย 30 ที่มีพฤติกรรมป่วนประจำตัวคือการเมาในงานแต่งงานเพื่อน เพราะมันช่างตอกย้ำซ้ำเติมชีวิตโสดสนิทไร้ชายใดมาแผ้วพานของ ลี่ วันหนึ่งหลังลากสังขารกลับจากการส่ง เป็ด (ปณิสรา พิมพ์ปรุ) เพื่อนสาวสุดซี้เข้าห้องหอ ลี่ ก็ประสบอุบัติเหตุจนขับรถไถลไปกับทางกั้นถนน เธอหักหลบรถจนไปหยุดหน้าแผงโจ๊ก ที่ซึ่ง ลี่ ได้พบหนุ่มหล่อชื่อ ลุง (ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์) เป็นครั้งแรก
เมื่อกลับถึงบ้าน ลี่ ถูกป๊าผู้ต่อต้านแอลกอฮอล์ทุกชนิดยึดกุญแจรถ และห้ามขับรถเองอีกโทษฐานเมาแล้วขับ ชีวิตที่ไม่มีชายหนุ่มคอยไปรับไปส่งอย่าง ลี่ จึงต้องออกไปผจญการจราจรสุดโหดของเมืองบางกอกเพียงลำพัง แต่ละวัน ลี่ ต้องปากกัดตีนถีบ ขึ้นรถจักรยานยนต์ ต่อรถตู้ โบกแท็กซี่ โหนรถเมล์ โดดลงเรือ ฯลฯ สารพันความเมื่อยล้าจากการเดินทางทำให้เวลานอนของ ลี่ แปรปรวน


เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5161 เมื่อ: 20/11/13, [09:48:46] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

goal club เกมล้มโต๊ะ
ถูกต้องครับ  [เจ๋ง] goal club เกมล้มโต๊ะ
ง้วน, เน, เปเล่, แบงก์ และอ็อตโต้เป็นกลุ่มเพื่อนนักเรียน ม.ปลาย ที่เป็นนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียน และยังชื่นชอบการดูบอลอย่างเป็นชีวิตจิตใจ เมื่อพวกเขาจบออกมา บางคนก็เรียนต่อ บางคนก็ไม่เรียนและบางคนก็เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย แต่เมื่อการถ่ายทอดฟุตบอลแมทช์สำคัญๆ ทางโทรทัศน์เมื่อไร พวกเขาก็กลับมารวมตัวกันเพื่อดูบอลด้วยกันเสมอ โดยพวกเขาตั้งชื่อกลุ่มดูบอลของตัวเองว่า..“โกลคลับ”

เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5162 เมื่อ: 20/11/13, [09:54:19] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

แวมไพร์ ทไวไลท์4 (The Twilight saga : Breaking Dawn Part 1)
ถูกต้องครับ  [เจ๋ง]  The Twilight Saga Breaking Dawn Part1 แวมไพร์ ทไวไลท์ ภาค4
เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อ เอ็ดเวิร์ด และ เบลล่า ตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน และพากันไปฮันนีมูนเงียบๆ ที่ชายฝั่งทะเลประเทศบราซิล ซึ่งไม่นานเบลล่าก็ตั้งครรภ์นำพาซึ่งความหนักใจให้กับเอ็ดเวิร์ด เพราะเขาทราบดีว่าเด็กน้อยที่เติบโตอย่างรวดเร็วในท้องนั้นมีสายเลือดครึ่งคนครึ่งแวมไพร์ และอาจมีพลังชั่วร้ายที่ควบคุมไม่ได้ ซึ่งเขาขอร้องให้เธอทำแท้ง แต่เบลล่าไม่ยอม จนกระทั่งข่าวนี้รู้ถึงกลุ่มโวลตูรี่ ที่ต้องการเด็กมาครอบครองและกลุ่มของมนุษย์หมาป่า ที่ต้องการกำจัดเด็กก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป ทว่า เจคอบไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ เขาจึงลาออกจากฝูง และไปรวบรวมฝูงใหม่ของตนขึ้นมา เพื่อปกป้องสาวที่ตนรัก

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21/11/13, [13:08:52] โดย เอสวา »
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5163 เมื่อ: 20/11/13, [10:02:34] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ


World War Z มหาวิบัติสงคราม Z  [เจ๋ง]
ถูกต้องครับ  [เจ๋ง]  World War Z มหาวิบัติสงคราม Z
ในวันธรรมดาวันหนึ่ง เจอร์รี่ เลนและครอบครัว พบว่าการเดินทางบนท้องถนนที่เคยเงียบสงบของพวกเขา ต้องเผชิญหน้ากับการจราจรติดขัดกลางเมือง เลนที่ในอดีตเคยเป็นเจ้าหน้าที่สืบสวนขององค์การสหประชาชาติ รู้สึกว่านี่ไม่ใช่รถติดธรรมดา และเมื่อมีเฮลิคอปเตอร์ของตำรวจบินอยู่ร่อนอยู่เหนือท้องฟ้า และมีมอเตอร์ไซค์ของตำรวจวิ่งไปมาอยู่เบื้องล่าง ทั้งเมืองต้องเผชิญกับเหตุโกลาหล บางสิ่งบางอย่างกำลังเป็นเหตุให้ผู้คนทำร้ายกันอย่างรุนแรง มันคือเชื้อไวรัสที่แพร่กระจายได้ผ่านการโดนกัดเพียงครั้งเดียว และเปลี่ยนมนุษย์ที่มีสุขภาพแข็งแรงดีให้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่จดจำอดีตไม่ได้ ไม่มีความรู้สึกรับรู้ ไม่มีความคิด และดุร้าย เพื่อนบ้านหันมาทำร้ายเพื่อนบ้าน คนแปลกหน้าที่มีน้ำใจช่วยเหลือจู่ๆ ก็กลายเป็นศัตรูตัวร้าย ต้นกำเนิดของไวรัสชนิดนี้ยังไม่ทราบที่มา และจำนวนคนติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นในแต่ละวัน จนกลายเป็นโรคระบาดไปทั่วโลก เมื่อผู้ติดเชื้อมีชัยเหนือกองทัพของโลก และทำให้หลายรัฐบาลต้องล่มสลาย เลนถูกสถานการณ์บีบให้ต้องหวนกลับไปใช้ชีวิตแบบเก่าที่เต็มไปด้วยอันตราย เพื่อรับประกันความปลอดภัยของครอบครัวของเขา และเป็นผู้นำการค้นหาที่มาของโรคระบาดทั่วโลก อันจะเป็นหนทางที่จะหยุดการแพร่ระบาดที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดได้ ทั้งนี้นอกจาก แบรต พิตต์ แล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังมีดาราชั้นนำคนอื่น ๆ ร่วมแสดงอีกมากมาย อาทิ ไมเรล อีโนส (Mireille Enos), แดเนียลลา เคอร์เตซ (Daniella Kertesz), เจมส์ แบดจ์ เดล (James Badge Dale), แมทธิว ฟ็อกซ์ (Matthew Fox) และ เดวิด มอร์ส (David Morse) โดยมี มาร์ค ฟอร์สเตอร์ (Marc Forster) เป็นผู้กำกับ แบรด พิตต์ กับสงครามซึ่งเป็นมหันตภัยคุกคามต่อมวลมนุษยชาติ

เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5164 เมื่อ: 20/11/13, [10:06:23] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ


 G.I. Joe 2 Retaliation สงครามระห่ำแค้นคอบร้าทมิฬ ภาค 2 ..
ถูกต้องครับ  [เจ๋ง] G.I. Joe 2: Retaliation สงครามระห่ำแค้นคอบร้าทมิฬ ภาค 2
หน่วยจีไอโจถูกทรยศและถูกสังหาร และตามไล่ล่า แต่เหลือแค่สามคน อันได้แก่โร้ดบล็อค (ดเวย์น จอห์นสัน), ผู้กองดุ๊ค เฮาเซอร์ (แชนนิ่ง เททัม) และ เลดี้เจย์ (เอเดรนเน แพลิคกี) โดยที่สเนคอาย (เรย์ ปาร์ก) กลายเป็นแพะรับบาปถูกใส่ร้ายว่าเป็นตัวการ แล้วเหล่าองค์กรคอบราผู้ร้ายตัวจริงก็เข้ายึดทำเนียบขาว ผู้ที่รอดชีวิตจึงต้องหาทางช่วยเหลือ โดยได้รับช่วยเหลือจากโจ โคลตัน (บรูซ วิลลิส) ผู้ก่อตั้งหน่วยจีไอโจ ในภาคที่ 2 นี้ กลุ่มจีไอโจ ไม่เพียงแต่ต้องต่อสู้กับศัตรูหมายเลขหนึ่งอย่างพวกคอบร้า แต่พวกเขายังถูกบีบให้ต้องรับมือกับภัยคุกคามจากภายในรัฐบาลที่ทำให้สถานะ ของพวกเขาตกอยู่ในภาวะเสี่ยง ภาพยนตร์เรื่องนี้นำแสดงโดย ดีเจ โคโทรน่า, ลีบยองฮุน, เอเดรียนน์ พาลิคกี, เรย์ พาร์ค, โจนาธาน ไพรซ, เรย์ สตีเวนสัน, แชนนิ่ง เททั่ม ร่วมด้วย บรูซ วิลลิส และดเวย์น จอห์นสัน ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย จอน เอ็ม ชู และอำนวยการสร้างโดย ลอเรนโซ่ ดิ โบนาเวนทูร่า และไบรอัน โกลด์เนอร์ จากบทภาพยนตร์ที่สร้างสรรค์โดย เร็ทท์ รีส และพอล เวอร์นิค โดยสร้างจากแคแร็คเตอร์ G.I. Joe ของฮาสโบร ผู้สร้าง Transformers และ Battleship นั่นเอง

เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5165 เมื่อ: 20/11/13, [10:55:46] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

Gravity มฤตยูแรงโน้มถ่วง
ถูกต้องครับ  [เจ๋ง] Gravity มฤตยูแรงโน้มถ่วง
นักบินอวกาศหญิงที่รอดชีวิตเพียงคนเดียว หลังจากประสบอุบัติเหตุยานชนดาวเทียม และต้องพยายามหาทางกลับโลกให้ได้ด้วยตัวเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20/11/13, [10:57:59] โดย เอสวา »
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5166 เมื่อ: 20/11/13, [11:03:04] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

เดอะเมีย
ถูกต้องครับ  [เจ๋ง] เดอะเมีย The Bullet Wives
 เดอะเมีย รักษาความปลอดภัยจากเมียน้อยฝ่ายเมียหลวง จิตตรา สาวสวยสดใส ที่ชีวิตเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังตีน เพราะแต่งงานได้ปีเดียวสามีก็ไปมีเมียน้อย สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือ ความแค้นในตัว...

เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5167 เมื่อ: 20/11/13, [11:06:24] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20/11/13, [11:08:53] โดย เอสวา »
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5168 เมื่อ: 20/11/13, [11:11:47] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ








เรื่องอะไรครับ ?
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5169 เมื่อ: 20/11/13, [11:14:49] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ






เรื่องอะไรครับ ?
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5170 เมื่อ: 20/11/13, [11:18:13] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ






เรื่องอะไรครับ ?
Wars ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #5171 เมื่อ: 20/11/13, [11:19:54] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ






เรื่องอะไรครับ ?

คนไฟบิน ครับบ
Wars ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #5172 เมื่อ: 20/11/13, [11:21:18] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?

ช๊อคโกแลต ครับบบ
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5173 เมื่อ: 20/11/13, [11:22:25] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ






เรื่องอะไรครับ ?
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5174 เมื่อ: 20/11/13, [11:23:24] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5175 เมื่อ: 20/11/13, [12:03:06] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ







เรื่องอะไรครับ ?

ความสุขของกะทิ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5176 เมื่อ: 20/11/13, [12:04:29] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ






เรื่องอะไรครับ ?

The Da Vinci Code Extended เดอะดาวินชี่โค้ด รหัสลับระทึกโลก

มีชื่อเรื่องในรูปครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5177 เมื่อ: 20/11/13, [12:06:51] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ






เรื่องอะไรครับ ?

สบายดี วันวิวาห์
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5178 เมื่อ: 20/11/13, [12:51:05] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ








เรื่องอะไรครับ ?

Love 911 l วุ่นรัก นักผจญเพลิง
เอสวา ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5179 เมื่อ: 20/11/13, [16:20:59] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

The Da Vinci Code Extended เดอะดาวินชี่โค้ด รหัสลับระทึกโลก

มีชื่อเรื่องในรูปครับ
ยังไม่ถูกต้องครับ ไม่ใช่ The Da Vinci Code ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5180 เมื่อ: 20/11/13, [16:31:37] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ






เรื่องอะไรครับ ?

angels & demons: เทวากับซาตาน
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5181 เมื่อ: 20/11/13, [20:14:12] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

Hope Springs คุณป้าดึ๋งดั๋ง ปึ๋งปั๋งกันมั้ยปู่

เป็นหนังที่ตอนแรกก็ไม่ได้ดูทั้งตัวอย่าง หรือ อ่านเนื้อเรื่องย่อ จะเห็นก็แต่โปสเตอร์ที่มีชื่อของ จากผู้กำกับ นางมารสวมปราด้า และชื่อของนักแสดงรุ่นใหญ่อย่าง เมอร์รีล สตรีป และ ทอมมี่ ลี โจนส์ เท่านั้น แต่หลังจากคำวิจารณ์ที่ดีเป็นเทน้ำเทท่า จากเมืองนอกนี่แหละ ที่ทำให้ในที่สุดผมจึงไปดูเรื่องนี้ครับ

เคย์ สาววัยทองที่ผ่านชีวิตแต่งงานมากว่า 30 ปี และพบว่ามันกำลังอยู่ในขั้นวิกฤติ ทางเดียวที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นก็คือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางด้านชีวิตคู่ ที่จะทำให้ทั้งคู่กลับมารักกันหวานชื่นรื่นรมย์เหมือนเดิม ที่มาพร้อมกับความฮาแสบซ่าไม่แพ้วัยรุ่น โดย เมอรีล รับบทเป็น เคย์ ภรรยาของ อาร์โนลด์ ที่อยู่กินกันมา 31 ปี แต่แล้วพวกเขาก็พบว่าชีวิตคู่กำลังอยู่ในช่วงจืดชืดอย่างหนัก เธอได้รับแรงบันดาลใจจากหนังสือกูรูด้านความสัมพันธ์ ที่เขียนโดย ดร.เบอร์นี เคย์ จึงลากสามีไปหาเขาเพื่อขอคำปรึกษา ซึ่งคำแนะนำของ ดร.เบอร์นี ก็ทำให้ทั้งคู่ได้เผชิญหน้ากับความต้องการลึกๆ ที่ช่วยเติมไฟรักให้กับชีวิตคู่อีกครั้งได้หรือไม่

Hope Springs เป็นผลงานการกำกับของผู้กำกับ เดวิด แฟรงค์เกล ผู้กำกับที่ชอบหยิบหนังสือมาทำเป็นหนัง และชื่อของเขาก็โด่งดังมาจากตอนที่ไปหยิบเอา นางมารสวมปราด้า อย่าง The Devil Wears Prada มาทำเป็นหนังที่ได้ใจทั้งนักวิจารณ์และคนดู ซึ่งในหนังเรื่องใหม่ของเขาอย่าง Hope Springs หน้าหนังอาจจะเหมือนหยิบจากหนังสือมาดัดแปลง แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่ เพราะมันเป็นหนังที่เขียนบทใหม่ทั้งหมด ซึ่งแนวหนังที่ผมชอบเป็นอันดับต้นๆเลยคือหนังรักโรแมนติค ที่เน้นเรื่องราวไป คู่ความรักของ คนแก่ และอีกแนวนึงคือ หนังแนวชีวิตคู่มีปัญหา ไปปรึกษาหมอ โดยไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า Hope Springs เป็นหนังที่มีแนวที่ผมชอบรวมอยู่ในนั้นทั้งหมด และมันก็เป็นหนังแนวที่ ฮอลลีวู้ด ไม่ได้หยิบขึ้นมาทำเป็นหนังใหญ่อยู่นานแสนนาน เพราะส่วนมากจะไปอยู่ทางทีวีมากกว่า

โดยสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Hope Springs สามารถโปรยเสน่ห์ใส่คนดูได้อย่างอยู่หมัดคงหนีไม่พ้นการที่หนังได้นำเอาเรื่องราว เสน่ห์ความรักในช่วงวัยทอง มาเล่นออกมาได้อย่างเป็น ธรรมชาติ สนุกสนาน และเต็มไปด้วยฉากฮาปนซึ้ง ที่ไม่ว่าจะเป็นทั้ง บรรยากาศ และฉากต่างๆนั้นล้วนแต่พาลทำให้ผมคิดไปถึง The Notebook เพียงแต่ว่านี่เป็นฉบับของ คนแก่ และเติมอารมณ์ความทะเล้นของ หมอ ในแบบฉบับ Hitch เข้าไป ซึ่งส่วนผสมเหล่านั้น มันไม่ได้มีความกลมกล่อม แค่เพียงเพราะว่าผู้กำกับมีกึ๋นที่จะทำอารมณ์ความรักในช่วงวัยทองได้อย่างถึงพริกถึงขิง แต่ความดีความชอบอีกส่วนคงหนีไม่พ้นด้านของเรื่อง การแสดง

อย่าง เมอร์รีล สตรีป และ ทอมมี่ ลี โจนส์ ที่สามารถรับบทของคู่รักที่มีปัญหา ออกมาได้อย่างเป็น ธรรมชาติ ที่ในเรื่องนี้ เมอร์รีล สตรีป ก็ไม่ได้เด่นไปกว่า ทอมมี่ ลี โจนส์ เหมือนกับหลายๆเรื่องที่เธอกลบรัศมีคนอื่นไป เพราะในด้านของตัวละคร ทอมมี่ ลี โจนส์ เอง ผู้กำกับก็ยังสามารถใส่เสน่ห์ความน่ารัก กุ๊กกิ๊ก แบบฉบับที่เหมาะกับคนที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไปออกมาได้อย่างลงตัว ซึ่งนักแสดงอีกคนที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสามารถทำให้หนังเรื่องนี้แลดูไม่เครียด แต่ก็เปี่ยมไปด้วยไออุ่น คงหนีไม่พ้น สตีฟ คาร์เรล ที่รับบทเป็น ดร.เบอร์นี่ ฟีลด์ ผู้ให้คำปรึกษาแก่ทั้งคู่ ที่เต็มไปด้วยมุกตลกหน้าตาย และอารมณ์ท่าทางความทะเล้นที่ฮาได้ทุกวัย

ซึ่งสิ่งที่ผมชอบไม่แพ้กันกับด้านของ การแสดง และอารมณ์โรแมนติคในวัยคนแก่ คือการที่หนังได้พูดถึงเรื่องราวของ ความรัก ในช่วงของบั้นปลายชีวิต ที่เปรียบเสมือนว่าหนังทำออกมาเพื่อสอนเหล่าวัยรุ่นทั้งหลาย ว่าเมื่อถึงบั้นปลายของชีวิต เมื่อหน้าตาและท่าทางไม่สามารถทำให้คนเรามีอารมณ์ให้รักกันต่อไปมันจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งหนังเลือกใช้ เซ็กห์ เป็นตัวกลางเพื่อถ่ายทอดเรื่องราวของ ความรัก ที่หนังเน้นหนักตรงจุดที่ว่า ไม่ใช่เพราะท่าทาง หรือ หน้าตา ที่ทำให้คนเรารักกัน แต่มันกลับอยู่ที่ใจของคนเราเสียมากกว่า ว่าในเมื่อถึงช่วงเวลาที่คน 2 คนไม่กล้าถ่ายทอดความรักให้กันและกันแล้ว และในใจลึกๆของเรามันจะยังหลงเหลือ ความรักที่แท้จริง ให้กับอีกคนอยู่รึปล่าว ซึ่ง Hope Springs เตรียมที่จะเข้าฉายทุกโรงภาพยนตร์ในวันที่ 30 สิงหาคม ที่กำลังจะถึงนี้ อย่าพลาดเชียว

โดยสรุปแล้ว Hope Springs จึงไม่ใช่หนังที่เหมาะเฉพาะกับคนวัย 40 ขึ้นไปเท่านั้น แต่เป็นหนังที่น่าจะเหมาะกับ วัยรุ่น เสียมากกว่าที่หนังได้บอกเรื่องราวของความรักในช่วงของ บั้นปลายชีวิต ออกมาได้อย่าง มีเสน่ห์ , อบอุ่น และเต็มไปด้วยมุกตลกสนุกสนาน ที่เต็มไปด้วยความเป็น ธรรมชาติ ของการแสดงครับ

เรื่องนี้ผมให้ 8/10 ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5182 เมื่อ: 20/11/13, [20:14:29] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

The Possession มันอยู่ในร่างคน

เป็นเพราะว่าตัวอย่างหนังที่สามารถตัดต่อออกมาได้โคตรน่าดู ผสมไปกับอารมณ์ในตัวอย่างที่พีคค่อนข้างมาก และชื่อของ แซม ไรมี่ เจ้าพ่อหนังผีสะดุ้งตุ้งแช่ ที่มาเป็น โปรดิวเซอร์ ให้กับหนังที่มีชื่อไทยว่า มันอยู่ในร่างคน จึงไม่แปลกที่จะเป็นหนังผีอีกเรื่องทีน่าสนใจมากสำหรับผมในปีนี้เลยทีเดียวหละครับทุกท่าน

หนังมีเรื่องราวที่ได้แรงบันดาลใจจากตำนานเล่าขานในอดีต ของกล่องไม้ปริศนาที่กักขังดวงวิญญาณชั่วร้ายที่สุดเอาไว้ The Possession เป็นเรื่องของ เอ็ม (นาตาชา คาลิส) วัยรุ่นสาวซื้อกล่องไม้โบราณมาจากร้านขายของเก่า แต่มันกลับทำให้เธอมีพฤติกรรมแปลกประหลาด จนทำให้พ่อ (เจฟฟรี่ย์ ดีน มอร์แกน) และแม่ (เคียร่า เซ็ตวิก) ต้องร่วมมือกันเพื่อค้นหาความจริง และพบว่าแท้จริงแล้วกล่องไม้ชิ้นนี้ใช้เพื่อกักขัง ?ดิ๊บบัค? วิญญาณร้ายที่เข้าสิงร่างมนุษย์ และกัดกินดวงวิญญาณของผู้ใดก็ตามครอบครองสิ่งของสยองใบนี้อยู่ และมันจะเลือกแต่วิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น เพื่อที่ท้ายสุดแล้วมันจะได้ครองร่างของวิญญาณนี้

ก่อนที่จะเข้าใจผิดไปซะใหญ่กับการโปรโมทของไทย จนทำให้นึกว่า The Possession เป็นผลงานการกำกับของ แซม ไรมี่ ซึ่งผมต้องขอบอกเลยว่า ไม่ใช่ เพราะที่จริงแล้วหนังเรื่องนี้เป็นผลงานการกำกับของผู้กำกับชาวเดนมาร์กอย่าง โอเล่ บอร์เนเดล ที่เคยโกอินเตอร์มาฮอลลีวู้ดตอนจับเอา ยวน แม็คเกรเกอร์ มาเฉือนคมกับ จอช โบรลิน ใน Nightwatch เมื่อปี 1997 และก็คงเป็นการที่หนังเรื่อง The Possession มีชื่อของ แซม ไรมี่ มาเป็น โปรดิวเซอร์ นั้นเอง เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกถ้าหากผมจะหวังให้ The Possession เป็นหนังสยองขวัญที่เต็มไปด้วยฉากสะดุ้งตุ้งแช่ไม่แพ้กับ The Evil Dead และ Drag Me to Hell ผลงานการกำกับเรื่องเก่าๆของ แซม ไรมี่ แต่แล้วผมก็ต้องยอมรับว่าผมดันไปคาดหวังแบบผิดตัลปัตรเสียได้ เพราะ The Possession กลับไม่ได้มาในแนวนั้น

โดยถ้าใครเคยหวังให้ The Possession เป็นหนังผีตุ้งแช่แบบผมหละก็ ต้องขอบอกเลยว่าให้คิดใหม่ได้เลย เพราะเอาเข้าจริงๆหนังกลับไม่ได้เต็มไปด้วยฉากตุ้งแช่อย่างที่เราหวัง แต่หนังกลับมาในแนวทางที่ดึงเอาอารมณ์หนังแนวไล่ผีอย่าง The Exocist มาปรุงรสให้มีความทันสมัยขึ้นซะมากกว่า และนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของหนังจริงๆ กับการที่ผู้กำกับ บอร์เนเดล ยังพอถือว่ามีฝีมือ กับการที่สามารถเรียกอารมณ์ความสยองขวัญยุคเก่าๆออกมาได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ไม่ว่าจะเป็นด้านของ ดนตรีประกอบ , ฉาก และฉากผีตุ้งแช่แบบมุกเก่าๆที่เคยเห็นกันมากมาย แต่ผู้กำกับนำมันมารีมิกซ์ใหม่โดยบิ้วท์ทุกส่วนเพิ่มขึ้น

ซึ่งนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ผมค่อนข้างชอบ และ พอใจ ใน The Possession มากที่สุด หลังจากที่ผมดันเข้าไปหวังให้มันเป็นแบบ Drag me To Hell เต็มที่ในตอนเริ่มแรก เพราะนอกจากการที่หนังสามารถดึงเอาสไตล์อารมณ์หนังสยองขวัญเก่าๆมาได้แล้ว หนังมันก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นไปกว่าหนังสยองขวัญเรื่องอื่นๆเลยสักนิดเดียว โดยเฉพาะสิ่งที่ผมรู้สึกไม่ชอบมากที่สุดคือในช่วงแรกของฉากสยองขวัญหลายๆฉากในหนัง ที่ตอนเริ่มแรกหนังก็มีการบิ้วท์อารมณ์คนดูจนเกือบจะไปถึงจุดที่ฟินแล้วแท้ๆ แต่หนังก็กลับตัดฉากไปเป็นฉากเงียบๆสงบ ซึ่งมันค่อนข้างขัดอารมณ์อย่างมากกับหนังแนวสยองขวัญ (ถ้าหากเป็นหนังแนวดราม่าจะไม่ว่าเลยสักนิด) แถมด้านของประเด็น ความสัมพันธ์ พ่อ-ลูก ในหนังเรื่องนี้ที่ในตอนแรกปูเริ่มเหมือนกับจะต่อยอดควบคู่ไปกับเรื่องผีได้ดี

แต่ก็น่าเสียดายที่ท้ายสุดไม่รู้ว่าผู้กำกับรู้สึกขี้เกียจหรือว่าอย่างไร จึงรวบเรื่องราว ความสัมพันธ์ที่ขัดแย้งกันของพ่อที่ไม่เอาไหน กับ เรื่องลูก ไปกับเรื่องผีสิงแบบเนียนๆโดยไม่นำมาใช้ประโยชน์ต่อในที่สุดครับ โดยในอีกด้านที่ยังไม่สามารถทำให้ The Possession กลายเป็นหนังผีที่น่ากลัวได้เท่าเรื่องอื่นๆคงหนีไม่พ้นการที่หนังแลดูแล้วค่อนข้างขาดเสน่ห์ในการเป็นหนังสยองขวัญอย่างแรง ไม่ว่าจะเป็น บทที่ค่อนข้างเชย หรือแม้แต่ด้านของประวัติผีที่เคยมีจริงๆอย่าง ดิ๊บบิ๊ค ที่ยังไม่สามารถนำมาต่อยอดให้ดูน่าสนใจได้เท่าไหร่ครับ แต่ผมคิดว่าถ้าหากใครที่ชอบหนังอารมณ์ The Exocist คงจะชอบเรื่องนี้เช่นเดียวกันนะ

เพราะฉะนั้นโดยสรุปแล้วใครที่กำลังคิดจะไปดู The Possession ก็ขอให้คิดว่ามันเป็น The Exocist ในเวอร์ชั่นหนังผียุคป๊อปคอร์นเสียมากกว่าจะไปคิดว่ามันจะเหมือน Drag Me To Hell เพราะแทบทั้งเรื่องในหนังมันมาพร้อมกับอารมณ์หนังผีเก่าๆ และ บทเชยๆ เสียมากกว่าจะมาแบบตุ้งแช่ให้ป๊อปคอร์นกระจายนะ

เรื่องนี้ผมให้ 6/10 ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5183 เมื่อ: 20/11/13, [20:14:45] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

 The Bourne Legacy พลิกแผนล่า ยอดจารชน‏

นับเป็นอีกหนึ่งหนังที่ค่อนข้างมีปัญหากว่าจะสร้างมาได้ เพราะหลังจากผู้กำกับคนเก่าอย่าง พอล กรีนกราสด์ เดินออกจากโปรเจค ยอดพระเอก เจสัน บอร์น อย่าง แมต เดมอน เลยต้องเดินออกตามด้วย และกว่าพระเอกในภาคใหม่จะลงตัวก็มีตัวเลือกมากมาย จนสุดท้ายหวยก็มาตกลงที่ เจเรมี่ เรนเนอร์ นี้เองครับ

12 ปีที่แล้ว คนดูได้รู้จักกับ เจสัน บอร์น เมื่อเขาถูกดึงขึ้นจากทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยนในสภาพหมดสติ และตลอดภาพยนตร์ 3 เรื่อง คนดูได้ติดตามการเดินทางเอาตัวรอดของเขาและการค้นหาตัวตนที่แท้จริง พวกเขาเฝ้าดูเหล่าซีไอเอออกตามล่าเขาไปทั่วโลก พวกเขาได้เรียนรู้เรื่องโครงการเทรดสโตน และทักษะฝีมือพิเศษและความสามารถของบอร์น และในบทสรุปของภาพยนตร์ไตรภาค พวกเขาอาจรู้สึกว่าเรื่องราวนี้สมบูรณ์แบบแล้ว The Bourne Legacy ได้เบิกม่านออกอีกครั้งเพื่อเผยให้เห็นความลึกลับที่ดำมืดมากขึ้น และฮีโร่คนใหม่ที่ต้องต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด เมื่อจู่ๆ โครงการของเขากำลังจะถูกปิดลงแบบลับๆโดยกลุ่มคน

The Bourne Legacy ได้เปลี่ยนผู้กำกับจากภาค 2-3 อย่าง พอล กรีนกราสต์ มาเป็น โทนี่ กิลรอย มือเขียนบทที่อยู่เบื้องหลังหนัง เจสัน บอร์น ทั้ง 3 ภาค พร้อมทั้งพระเอกก็ได้เปลี่ยนจาก แมต เดมอน มาเป็น เจเรมี่ เรนเนอร์ ที่กำลังดังขึ้นหม้ออยู่ในตอนนี้ โดยถึงแม้ตัวหนังในภาคนี้จะไม่มี เจสัน บอร์น แต่ในเมื่อผู้กำกับได้เอาชื่อ บอร์น มาตั้งเป็นชื่อหนังแล้ว ก็แน่นอนว่าตัวเนื้อเรื่องก็ต้องมีจุดเชื่อมโยงกับภาคก่อนๆเป็นอย่างแน่แท้ ซึ่งถ้าหากเราพูดถึง เจสัน บอร์น ผมเชื่อเลยว่าร้อยทั้งร้อยคนต้องพูดถึง บทอันซับซ้อนที่น่าติดตาม และ ชวนให้คนดูคิดปวดสมองเล่นๆ ผสมผสานไปกับฉากไล่ล่าไม่ว่าจะเป็นการเดินเท้า หรือ ขับรถ แบบที่คนดูสามารถลุ้นระทึกร่วมไปได้แบบที่เรียกได้ว่า นั่งไม่ติดเก้าอี้ ซึ่งสำหรับในภาคใหม่อย่าง The Bourne Legacy นี่อาจจะไม่สามารถตอบโจทย์ทั้งหมด

ที่ เจสัน บอร์น ของ พอล กรีนกราสต์ เคยทำไว้ได้ แต่สิ่งที่ผมถือว่าภาค Legacy นี่ยังสามารถคงความเป็น เจสัน บอร์น ได้อยู่ คงหนีไม่พ้นด้านของ ฉากแอ็คชั่น ไล่ล่า ที่ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ใส่อัดแน่นเข้ามาแทบตลอดทั้งเรื่องเหมือนภาคก่อนๆ แต่ว่า ฉากไคล์แมกซ์ ความยาวกว่า 25 นาที และฉากไล่ล่าที่ใส่เข้ามาระหว่างเรื่องแบบเบาๆ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดของหนังในภาคนี้ เพราะผู้กำกับ โทนี่ กิลรอย ยังถือว่าสามารถขนอารมณ์ความเป็น เจสัน บอร์น เข้ามาได้อยู่อย่างครบถ้วน ถึงแม้ว่าตัวหนังจะเปลี่ยนพระเอก และ เปลี่ยนทีมงาน ตัวร้ายใหม่ทั้งหมด โดยสิ่งที่ผมชอบไม่แพ้กันกับ ฉากแอ็คชั่นไล่ล่า คงหนีไม่พ้นด้านของ ตัวบทหนัง

ที่ถึงแม้ว่า บทหนัง ในภาคนี้อาจจะไม่สามารถทำออกมาได้ ซับซ้อน และ น่าติดตาม เหมือนกับภาคก่อนๆ พร้อมทั้งการผูกเรื่องที่ยุ่งยากทั้งที่จริงเนื้อในของหนังนั้นไม่มีอะไรเลยก็ตามที แต่สิ่งที่ผมยังถือว่าค่อนชอบอยู่คงหนีไม่พ้นการที่ผู้กำกับ โทนี่ กิลรอย สามารถนำเอาบทหนังที่ว่ามาในที่นี้ มาเชื่อมโยงเข้าให้เป็นเนื้อเดียวกันในรอยต่อระหว่างเหตุการณ์ในภาค The Bourne Ultimatum ได้อย่างแนบเนียน และทำให้คนดูไม่รู้สึกว่า ภาค Legacy นี้ เป็นภาคต่อที่ทำออกมาหลอกดูดเงินคนดู เพราะมันถือว่ายังมีเนื้อเรื่องเชื่อมโยงที่สามารถทำให้คนดูคิดต่อ และ สามารถสร้างภาคต่อได้อีกหลายภาคเลยก็ว่าได้ ซึ่งทางด้านพระเอกใหม่อย่าง เจเรมี่ เรนเนอร์ ที่ตอนนี้กำลังโด่งดังสุดๆ เพราะหลังจากได้รับบทเพื่อนร่วมทีม อีธาน ใน MI4 และ ตาเหยี่ยว ใน The Avengers มาแล้ว

ในเรื่องนี้เขาก็ได้มารับบทแนว สายลับ อีกครั้ง โดยถึงแม้ว่าการแสดงในด้านของฉากแอ็คชั่น และ อารมณ์ความเป็นดราม่า ตามฉบับ เจสัน บอร์น อาจจะแลดูไม่ขึงขังแบบ แมต เดมอน แต่อย่างไรก็ตามโดยรวมถ้าไม่เอาไปเทียบกับภาคก่อน และเริ่มต้นนับหนึ่งกับภาคนี้ใหม่ ผมว่า เจเรมี่ เรนเนอร์ ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่แย่นักถ้าหากจะทำเรื่องราวของ แอรอน ครอส ต่ออีกสัก 2 ภาคครับ ซึ่งโดยรวมแล้วถึงแม้ว่า The Bourne Legacy อาจจะเป็นหนังในตระกูล เจสัน บอร์น ที่สนุกน้อยกว่าทุกภาค เพราะบทที่ไม่ซับซ้อนแต่พยายามทำให้ซับซ้อน และ ฉากแอ็คชั่น ไล่ล่า ที่จัดเต็มแค่ 25 นาทีสุดท้าย ไม่ได้ใส่เข้ามาตลอดแบบภาคเก่าๆ

แต่สิ่งที่ยังถือว่าโอเคอยู่กับภาค Legacy นี่คงหนีไม่พ้นการที่หนังได้เปลี่ยนทั้ง ผู้กำกับ และ นักแสดง แต่ก็ยังถือว่าสามารถเรียกอารมณ์ความเป็น เจสัน บอร์น กลับมาได้ให้หายคิดถึงอยู่ในระดับนึงเลยทีเดียวครับ ซึ่งถ้าหากใครไม่เคยดู The Bourne มาก่อนสักภาค ผมแนะนำให้ไปหามาดูก่อนจะดู Legacy จะดีกว่า

เรื่องนี้ผมให้ 8/10 ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5184 เมื่อ: 20/11/13, [20:15:00] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

ชัมบาลา

เป็นหนังไทยที่ไม่ค่อยได้เห็นมากนักกับหนังแนว โร้ด มูฟวี่ เดินทางเพื่อตามหาอะไรสักอย่าง เพราะจากประวัติเก่าๆของหนังแนวนี้ก็ล้วนไม่เวิร์คทั้งด้านคำวิจารณ์ และ รายได้ แทบทุกเรื่องยกตัวอย่างเช่น เราสองสามคน หรือแม้แต่ ปายอินเลิฟ ซึ่ง ชัมบาลา จะลบล้างสิ่งเหล่านั้นได้หรือไม่ต้องไปดูกันเลยครับ

วุฒิ ชายหนุ่มสุดเซอร์ผู้ที่ยึดมั่นในความรักมากกว่าสิ่งใด และพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้ น้ำ แฟนสาวผู้ที่ฝันว่าครั้งหนึ่งในชีวิต เธอจะเดินทางไปถึง ชัมบาลา ดินแดนที่ผู้คนเชื่อกันว่า เป็นประตูของโลกที่อยู่ในจุดที่ใกล้กับสวรรค์มากที่สุด แต่เมื่อร่างกายที่ไม่อำนวยเธอจึงยกความฝันนั้นให้แก่วุฒิ ไปเยือนชัมบาลาแทนเธอ วุฒิแบกความหวังของน้ำโดยหวังที่จะเติมเต็มความฝันครั้งสุดท้ายก่อนที่เธอจะจากโลกนี้ไป เดินทางสู่ชัมบาลา พร้อมกับ ทินพี่ชายสุดกาก แถม ไม่กินเส้น ที่อาสาเดินทางไปเป็นเพื่อนถ่ายภาพ ช่วยเก็บหลักฐานการเยือนธิเบตของวุฒิ และ สักครั้งที่เขาทั้งคู่จะไปถึงชัมบาลาเพื่อลบล้างบางอย่างในใจของพวกเขา

ชัมบาลา เป็นผลงานการกำกับครั้งแรกของผู้กำกับ ปัญจพงศ์ คงคาน้อย ที่เมื่อก่อนเคยได้แต่อยู่ในเบื้องหลังของหนังดังๆมากมายไม่ว่าจะเป็น องค์บาก หรือแม้แต่ ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ซึ่งที่จริงแล้วในตอนแรก ชัมบาลา มีคิวกำหนดฉายไว้ตั้งแต่ประมาณปีที่แล้ว แต่แล้วก็ต้องประสบปัญหาบางอย่าง จนทำให้หนังเลื่อนฉายแล้วเลื่อนฉายอีก จนสุดท้ายก็มาลงเอยที่วันที่ 23 สิงหาคม นั่นเอง โดยเอาเข้าจริงๆไม่ว่าตัวหนัง ชัมบาลา จะเป็นอย่างไร แต่ก็ต้องขอยกย่องนายทุน ที่ให้เงินทำหนังเรื่องนี้ ที่กล้าลงทุนเสี่ยงกับหนังแนวโร้ด มูฟวี่ ไทยๆที่ไม่ค่อยรุ่งสักเท่าไหร่นัก แถมเรื่องนี้เล่นเดินทางไปถ่ายทำกันถึง ทิเบต ของจริง หนังเลยมีความเสี่ยงมากกว่าหนังโร้ด มูฟวี่ ไทยๆเรื่องอื่นๆที่เคยสร้างมา เพราะเรื่องอื่นๆที่ว่านั้นเขาเดินทางอยู่แค่เพียงบริเวณแถบประเทศไทยเท่านั้น

โดยเอาเข้าจริงๆผมถือว่า ชัมบาลา ได้มีวัตถุดิบที่น่าสนใจมาก ที่สามารถนำเอามาประกอบอาหารได้อย่างอร่อยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของ ศาสนา , จิตใจมนุษย์ หรือแม้แต่เรื่องราวของ ความศรัทธา แต่ก็น่าเสียดายที่ผู้กำกับดันเลือกใส่เครื่องปรุงผิดรสชาติไปหน่อยในตอนท้ายๆ จนทำให้ ชัมบาลา ยังไม่สามารถพาคนดูไปรู้สึกถึงอารมณ์ของความเป็น หลังคาโลก ได้อย่างอิ่มเอมนัก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถึงแม้ผู้กำกับจะไม่สามารถนับพาประเด็นสักอย่างไปได้ถึงฝั่งอย่างที่หวังไว้ แต่สิ่งที่ผมยังคงถือว่าชอบอยู่ใน ชัมบาลา คงหนีไม่พ้นด้านของประเด็นเรื่องของ ศาสนา และ ความศรัทธา ที่ผู้กำกับอาจจะยัดมาโต้งๆ

ผ่านด้านของ ประโยคคำพูด และ การกระทำของตัวละคร ที่สื่อสารให้คนดูอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘นี่ตรูกำลังพูดถึงเรื่องศาสนานะเว้ย’ แต่ก็คงเป็นเพราะความพิศวาสของตัวผมเอง ที่พื้นเพเป็นคนที่ค่อนข้างชอบเรื่องราวของ ศาสนา และ ความเชื่อ เป็นทุนเดิม เพราะฉะนั้นใน 1 ส่วน 3 ของหนังเรื่อง ชัมบาลา จึงเปรียบเสมือนกับเป็นการพาผมเดินทางเพื่อไปรู้จักเรื่องราวของ ศาสนา ในอีกโลกนึง ที่ระหว่างเส้นทางอาจจะมีหลุมที่ทำให้เรื่องราวสะดุด และ ไม่ลื่นไหล ไปบ้าง โดยเฉพาะด้านของการที่หนังได้มีวัตถุดิบด้านของ ศาสนา และ ความศรัทธา อยู่เต็มเปี่ยมทีเดียว แต่ท้ายสุดหนังก็กลับไม่ได้ปิดประเด็นนั้นที่สร้างขึ้นมา แถมยังค่อนข้างตัดจบไปทื่อๆ แต่ถ้าหากจะให้วัดโดยรวมแล้วผมก็ถือว่า ชัมบาลา เป็นหนังแนวโร้ด มูฟวี่ ไทยๆที่ทำออกมาได้ค่อนข้างดี และ น่าสนใจในส่วนหนึ่ง

ที่ใครอยากจะลองไปทดสอบหนังแนว โร้ด มูฟวี่ ไทยๆแนวที่ค่อนข้างซีเรียสมากกว่า 2 เรื่องข้างต้นที่ผมยกขึ้นมา ก็สามารถลองไปสัมผัสความเป็น ชัมบาลา ได้ด้วยตัวของคุณเองได้ ซึ่งในอีกด้านนึงอย่างเรื่องของ การแสดง ที่ในเรื่องนี้ได้ดึงเอา 2 ดาราหนุ่มฮ๊อตอย่าง อนันดา และ ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ มาเล่นเป็นตัวดำเนินเรื่อง โดยใครที่เป็นคนที่ชื่นชอบพระเอก 2 คนนี้ รับรองว่าเรื่องนี้ได้เห็นกันจนเบื่อแน่นอน เพราะทั้งเรื่องเล่นกันอยู่แค่ 4-5 คนเท่านั้น โดยสิ่งที่เห็นได้ชัดใน ชัมบาลา คือการที่ อนันดา และ ซันนี่ พยายามจะทำการปรับลุค และ เปลี่ยนคาแรกเตอร์ ของตัวเอง ซึ่งก็เป็นที่น่าเสียดายที่ทั้ง อนันดา ก็ยังไม่สามารถปรับลุคหล่อไปเป็นลุค กาก ได้ และ ซันนี่ ก็ไม่สามารถเปลี่ยนลุค อินดี้ ไปเป็นคนมีปัญหาได้ พอๆกับการที่หนังไม่สามารถสื่อเรื่อง ชัมบาลา ได้เต็มที่นัก

เพราะฉะนั้นโดยสรุปแล้ว ชัมบาลา จึงอาจจะไม่ใช่หนัง โร้ด มูฟวี่ ที่ทำให้คนอิ่มเอมไปกับคำว่า ชัมบาลา ได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าใครที่ชอบเรื่องราวของ ศาสนา และ เรื่องความเชื่อ ความศรัทธา พร้อมกับการเดินทางของ 2 หนุ่มหล่อที่ได้เห็นหน้ากันจนเบื่อตลอดทั้งเรื่อง ก็เป็นหนังไทยอีกเรื่องที่น่าลองอยู่เหมือนกันครับ

เรื่องนี้ผมให้ 7/10 ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5185 เมื่อ: 20/11/13, [20:15:13] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?

ถูกต้องครับ

The Expendables 2 โคตรคนทีมเอ็กซ์เพนเดเบิ้ล

หลังจากในภาคแรกได้ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน หรือที่เรารู้จักกันในนาม แรมโบ้ มารวมเพื่อนๆชื่อดังอย่าง วิลลิส , ชวาร์เซเน็กเกอร์ , สเตทแธม , ลี และอีกมากมาย ที่ทำเงินทั่วโลกไปถึง 266 ล้านเหรียญ เพราะฉะนั้นไม่แปลกที่หนังจะมีภาค 2 ตามมาอย่างรวดเร็วภายในเวลา 2 ปี กับทีมที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม

The Expendables 2 เล่าเรื่องหลังจากทำลายแผนการของ มิสเตอร์ เชิร์ช ในภาคที่แล้ว ทีม ?ดิ เอ็กซ์เพนเอเบิลส์? ที่นำโดย เบอร์นี่ย์ โรส ก็ต้องพบกับผลกระทบที่ตามมา เมื่อ บิลลี่ เพื่อนใหม่ของเขาถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม โดยทีมคู่แข่งที่นำโดย ฌอง วิเลน (ฌอง-คล็อด แวน แดมม์) ที่มีระเบิดลูกยักษ์เตรียมจะทำลายล้างโลก ?ดิ เอ็กซ์เพนเดเบิลส์? ต้องบุกเข้าไปในรังของศัตรู พร้อมกับสมาชิกใหม่อย่าง บุคเกอร์ (ชัค นอร์ริส) และ แม็กกี้ (หยู นาน) พร้อมด้วยสหายเก่าอย่าง เทรนซ์ และ เชิร์ช เพื่อหยุดยั้งแผนการชั่วร้ายและแก้แค้นให้กับการตายของมิตรสหายหน้าใหม่ ด้วยการรวมทีมโคตรมหากาฬความมันส์ครั้งนี้ให้สิ้น

The Expendables ในภาคนี้ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ได้ทิ้งหน้าที่ผู้กำกับ โดยทำการส่งมอบต่อให้กับ ไซม่อน เวสต์ ผู้กำกับที่คอหนังแอ็คชั่นคงรู้จักกันดีในนามของผู้กำกับ ข้าวโพดตากลม อย่าง Con Air และล่าสุดที่เพิ่งรีเมคหนัง ช่างฆ่าอุบัติเหตุ อย่าง The Mechanic ไป ซึ่งมาคราวนี้นอกจากผู้กำกับจะสามารถรวมทีมสหายดาราแอ็คชั่นจากภาคเก่าได้เกือบครบทีมแล้ว หนังยังมีการเสริมทัพด้วยดาราคอแอ็คชั่นอีกมากมายไม่ว่าจะเป็น เทพเจ้า ชัค นอร์ริส , สาวแอ็คชั่นเอเชีย อย่าง หยู นาน และ เลียม เฮมเวิร์ท น้องชายของ เทพเจ้าสายฟ้า โดยใครที่ได้ดู The Expendables ในภาคแรกกันไปแล้ว ก็คงรู้กันเลยว่า หนังประเภทนี้ ทำขึ้นมาเพื่อดูเอามันส์เท่านั้น เพราะถ้าหากใครได้ดูภาคแรกแล้วบ่นอุบอิบมากมายว่า บทหนัง ทำออกมาค่อนข้างเชย และ ขาดความแปลกใหม่มากพอควร

เพราะฉะนั้นผมจึงต้องขอบอกก่อนเลยว่า คุณก็จะไม่ได้อะไรมากไปกว่านั้นในภาค 2 เพราะดูเหมือนสิ่งที่จะยังไม่ก้าวหน้าอย่างเดียวในภาคนี้คงหนีไม่พ้นด้านบทหนัง ที่ตัวเรื่องทำออกมาค่อนข้างเชยอารมณ์ประมาณหนังยุค 80 และเรียกได้ว่าคนดูเราสามารถเดากันได้ทุกจังหวะย่างก้าวของตัวละคร แต่ว่าเดี๋ยวก่อน นี่เราพูดถึงหนังแอ็คชั่นที่รวมทีมดาราอยู่นะ เพราะฉะนั้นคำแนะนำจากผมก่อนไปดูหนังเรื่องนี้คือ ลืมเรื่องด้านของ บทหนัง ที่ผมพูดไปเมื่อกี้ซะให้หมด และไปเต็มอิ่มกับความมันส์ที่ยกมาทั้งฉากระเบิดเว่อร์ๆ , การต่อสู้แบบมือเปล่าตัวต่อตัวที่เหล่าตัวเอกไม่ได้รับบาดแผลใดๆ และมุกกัดจิกตัวละครที่เคยโด่งดังในอดีต

เพราะนั้นดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่หนังภาคต่อเรื่องนี้พัฒนาแบบเข้าขั้นก้าวกระโดดเลยก็ว่าได้ ซึ่งหลังจากใครเคยดูในภาคแรกที่เป็นการกำกับของ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน แล้วรู้สึกว่า ฉากแอ็คชั่น ดูไม่ค่อยสมจริง มีดีแค่การรวมดารามากหน้าหลากตามาโลดเล่นเต้นโผนให้ดูเท่านั้น ก็ขอให้คุณมาพิสูจน์กับภาคนี้ได้เลย เพราะนอกจากฉากแอ็คชั่นใน The Expendables 2 จะออกมาค่อนข้างมีความมันส์ไม่น้อยไปกว่า Con Air ในแบบฉบับของผู้กำกับ ไซม่อน เวสต์ ที่ขนมาทั้งฉากระเบิดระเบ้อ เว่อแบบไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว หนังยังสามารถพัฒนาด้านของ มุกตลกกัดจิก ออกมาได้ฮาแบบขี้แตกขี้แตนอีกด้วย เพราะใครที่ได้ดูภาคแรกคงเห็นได้ว่า สตอลโลน ได้ใส่มุกแนวกัดจิกตัวละครที่เคยโด่งดังของคนในทีมออกมามากมาย แต่ว่าในภาคนั้นเหมือนจะเป็นแค่ ออเดิร์ฟ เท่านั้น

เพราะใน The Expendables 2 นี่เรียกได้ว่าเป็น อาหารหลัก ที่ ผู้กำกับ ไซม่อน เวสต์ ได้ดันส่วนของ มุกตลกกัดจิก เหล่านั้นให้มามีความโดดเด่นเทียบเคียงไม่แพ้กับ ฉากแอ็คชั่น ของหนังเลยก็ว่าได้ ซึ่งถ้าหากใครเป็นแฟนเดนตายของหนังแอ็คชั่นในยุคของพระเอกลุยเดี่ยวอย่าง ชัค นอร์ริส , คนอึดตายยากบุกตึกอย่าง บรูซ วิลลิส , คนเหล็กที่จะกลับมาอย่าง อาร์โนลด์ ชวาร์เซเน็กเกอร์ หรือแม้แต่ นายทหารแรมโบ้อย่าง สตอลโลน ก็มีสิทธิ์ที่จะเก็ทมุกในหนังมากพอสมควร โดยเฉพาะในช่วงไคล์แมกซ์ของหนังที่สามารถจัดเต็มทั้งฉากแอ็คชั่นสุดมันส์ และ มุกตลกสุดกวน จึงไม่แปลกที่ภาคนี้จะเป็นภาคต่อที่กว่าภาคแรก

โดยสรุปแล้ว The Expendables 2 จึงเป็นหนังแอ็คชั่นที่พูดได้เต็มปากว่า เข้าไปดูเพื่อความบันเทิงเท่านั้น และจงล้างสมองลืมทุกอย่าง โดยการอย่าคิดฉลาดเกินเลยกว่าหนัง (ถึงแม้ว่าเราจะรู้อยู่แล้ว) และจงสนุกสนานไปกับฉากแอ็คชั่นมันส์ๆ ที่มาพร้อมกับมุกตลกกวนๆที่ดีกว่าภาคแรกพอสมควรเลยทีเดียวครับ

เรื่องนี้ผมให้ 8/10 ครับ
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5186 เมื่อ: 20/11/13, [20:17:08] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5187 เมื่อ: 20/11/13, [20:17:28] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5188 เมื่อ: 20/11/13, [20:17:51] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
จอมใจไร้รัก ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #5189 เมื่อ: 20/11/13, [20:18:10] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



เรื่องอะไรครับ ?
หน้า: 1 ... 171 172 173 174 175 ... 201   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: