Aqua.c1ub.net
*
  Thu 04/Dec/2025
หน้า: 1 2   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: มาระดมความคิดเห็น เรื่องตะไคร่กัน  (อ่าน 32865 ครั้ง)
qDocomOp ออฟไลน์
Club Member
« เมื่อ: 20/07/11, [17:57:44] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

CO2 ช้วยทำให้ไม่เกิดตะไคร่ ได้เหรอครับ แบบ ว่าควบคุมให้เกิดน้อย อะไรประมาณนี้อ่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21/07/11, [15:59:29] โดย qDocomOp »
toontoon ออฟไลน์
Club Veteran
« ตอบ #1 เมื่อ: 20/07/11, [19:50:40] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

CO2 ช้วยทำให้ไม่เกิดตะไคร่ ได้เหรอครับ แบบ ว่าควบคุมให้เกิดน้อย อะไรประมาณนี้อ่ะ

  ตารางนี้สรุปสาเหตุและวิธีป้องกันการเกิดตะไคร่ชนิดต่างๆของ Tom Barr



ฺBlack out คือปิดตู้ให้มืดจากแสง/WC คือการเปลี่ยนน้ำ/add catfish คือให้ใส่ปลากินตะไคร่ เช่น อ๊อตโต้/RO water คือ น้ำที่ผ่านการกรองโดยระบบ Reverse Osmosis/ Excess Silicate คือมีสารซิลิเกตในน้ำมากเกิน เป็นสารที่อยู่ในน้ำตามธรรมชาติ


     คาร์บอนสามารถป้องกันการเกิดตะไคร่ได้ตามรูปต่อไปนี้คับ






    Tom Barr แนะนำให้ใส่มอสบอลลงตู้เพื่อป้องกันการเกิดตะไคร่เนื่องจากมีแร่ธาตุในน้ำมากเกินไป เพราะเจ้ามอสบอลชอบฟอสเฟสเป็นพิเศษ




   ตารางการทดลองปัจจัยอื่นๆที่ทำให้เกิดตะไคร่



 สรุปได้ว่า ค่า ไนเตรต, GH และ KH มีผลต่อการเกิดตะไคร่

 สัตว์น้ำที่ผมแนะนำให้ใช้เป็นตัวกำจัดตะไคร่ในตู้

ซัคเกอร์หนวดแคระ โตได้ 3-5 นิ้ว โตช้ามาก กินตะไคร่ จุดเขียวได้ดี เหมาะกับตู้ 36 นิ้วขึ้นไป
อ๊อตโต้ กินตะไคร่น้ำตาล
กุ้งยาโมโตะ กินตะไคร่เส้นผม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20/07/11, [20:10:52] โดย toontoon »
NP ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #2 เมื่อ: 20/07/11, [21:01:05] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

เรื่องฟอสเฟตเนี่ย ทอม บาร์ ก็ไม่ถือว่าเป็นตัวที่ทำให้เกิดตะไคร่นะ
บางรูปในโพสต์ข้างบนบางส่วนก็ไม่ใช่มาจากทอม บาร์
หลักของทอม บาร์คือ อย่าให้พืชอดสารอาหาร, CO2
และคุมแสงอย่าให้มากเกินไป

เคยมีคนเถียงทอมว่า อ้าว คุณไม่เห็นรายงานของพวกนักบำบัดแหล่งน้ำเหรอ
เขาบอกกันทั้งนั้นว่า ไนเตรทกับฟอสเฟต ทำให้ตะไครบลูม (คนที่เถียงนี้คง
ไม่รู้มาก่อนว่า ทอมมีงานประจำเป็นอาจารย์ชีววิทยา และทำงานบำบัดแหล่งน้ำด้วย)

ทอมก็ตอบไปว่า แล้วในแหล่งน้ำที่ว่า มีพืชน้ำหรือเปล่าล่ะ ถ้าไม่มีพืชน้ำ
ตะไคร่มันก็บลูมอยู่แล้ว

แต่ถ้ามีพืชน้ำ เวลามีปุ๋ยจากพื้นที่เกษตรชะลงมา ก็ต้องปวดหัวทุกที
เพราะพืชน้ำพวกนี้จะโตระบาดจนขวางทางน้ำ ไม่เห็นมีตะไคร่บลูม

นี่คงเป็นฐานของคอนเซ็ปท์ของเขา ที่ว่า อย่าให้พืชอดสารอาหาร
อย่าให้พืชขาดแคลน CO2 คุมแสงให้พอดี แล้วพืชน้ำจะสมบูรณ์
และชนะตะไคร่

แต่ทำไมตะไคร่ถึงหายไปเวลาพืชน้ำสมบูรณ์เนี่ย เขายอมรับว่า
ไม่รู้เหมือนกัน

มันไม่ใช่ว่า พอพืชน้ำสมบูรณ์แล้วจะดูดเอา ธาตุอาหารจากน้ำจนตะไคร่อดตายนะ
ไม่ใช่เลย (ตะไคร่ต้องการธาตุอาหารน้อยกว่าพืชมาก) และเขาก็ยังคงใส่ปุ๋ยมากตามปกติ

และไม่ใช่สารกำจัดตะไคร่ที่พืชปล่อยออกมาด้วย เพราะเขาพยายามตรวจหา แต่ก็ไม่เคยเจอ
บริษัท Tropica ก็เคยพยายามหา แต่ก็ไม่เจอ  นอกจากนี้ เขายังให้ความเห็นว่า
มันไม่น่าจะมีสารประเภทนี้ในพืชน้ำนะ เพราะถึงสมมุติว่ามี เวลาปล่อยมันออกมา
มันก็ถูกกระแสน้ำพัดพาไปอยู่ดี ไม่มีประโยชน์คุ้มกันตัวมันเองเลย

วิธีหรือสูตรการเลี้ยงไม้น้ำมันมีหลายวิธีมาก และต่างก็มีหลักบางข้อที่ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง
ชวนสับสน ไม่รู้ว่าใครถูก

ซึ่งจนบัดนี้ก็ยังไม่มีเห็นว่ามีใครถูกทั้งหมดสักคน แต่ผมสังเกตเห็นอย่างนึงที่คนเก่งๆ
พวกนี้มีเหมือนกัน คือ ความสะอาดของตู้

ขี้ปลา รวมทั้งของเสียที่ซึมออกจากพืช (มีนะ) สารอินทรีย์พวกนี้พอสะสมมากๆ ตะไคร่ก็มา
ถึงน้ำจะยังดูใสก็ตาม จนบางคนคิดว่ามันกระตุ้นตะไคร่ เพราะมันเลียนแบบสภาพตามธรรมชาติ
ยามหน้าฝน ที่น้ำฝนชะหน้าดินที่เต็มไปด้วยสารอินทรย์ลงแหล่งน้ำ สปอร์ตะไคร่ก็จะถูกกระตุ้นให้งอก
เพื่อเตรียมกินธาตุอาหารที่เกิดจากการย่อยสลายของสารอินทรีย์พวกนั้น

ทอม บาร์ รักษาความสะอาดมาก

อามาโน่ ถึงกับทำชุดเทสต์ COD ออกมาให้ใช้ ซึ่งบริษัทอื่นที่อยู่ในธุรกิจ Aquarium ไม่ค่อยทำกัน
(แสดงถึงความจุกจิกเรื่องความสะอาด)

George Farmer นี่ก็ประเภท "ตู้อนามัย" คนนึง

Oliver Knott ก็น่าจะใช่ด้วย (มั้ง)


แต่ก็นั่นแหละ ตู้ตามวิธีของ Diana Walstad เนี่ย พึ่งสารอินทรีย์ในตู้ช่วยสร้าง CO2 เลย มาแหวกแนว
กว่าใคร

งงพอแล้วยัง  ้hahaha

อย่าถามความเห็นผมนะ ผมไม่รู้  emb01
NP ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #3 เมื่อ: 20/07/11, [21:36:09] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

อ้อ ยังมีอีกนิด อันนี้ผมก็เพิ่งรู้

ตู้เก่าของผมเนี่ย มีอยู่ช่วงนึงตะไคร่บลูมมาก เลยแอบลองวิธี PMDD
ที่บอกว่า ตะไคร่เนี่ย ถ้าคุณลดฟอสเฟตลงให้เหลือต่ำมากๆ แต่ธาตุอาหารอื่น
ให้ตามปกติ ตะไคร่จะหายไป

ผมลองทำดู มันก็เวิร์กอะ

แต่หลังจากนั้น ผมก็ลองกลับมาโดสฟอสเฟตตามปกติ ก็ไม่มีตะไคร่

ก็เลยถามทอม ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า

----
วิธี PMDD ความจริงมันก็ไม่เลวนะ แต่ตะไคร่ไม่ได้หายไปเพราะฟอสเฟตหรอก
ตะไคร่มันหายไปเพราะสุขภาพของพืชดีขึ้น โดยเฉพาะในตู้ที่มี CO2 ไม่พอ
หรือกระแสน้ำในตู้ไหลเวียนไม่ดี แจกจ่าย CO2 ไม่ทั่วถึง

เพราะถ้าหากพืชได้รับสารอาหารครบถ้วน แต่ CO2 ไม่พอ พืชจะมีสุขภาพแย่
เพราะแสงบังคับให้พืชโต แต่กลับไม่มีคาร์บอนให้ใช้สร้างลำต้น เป็นสภาพที่พืชรับมือได้ลำบาก
ตะไคร่ก็เลยได้โอกาสโตแทน

ทีนี้พอมีการลดฟอสเฟต พืชก็จะโตช้าลงเพราะมีฟอสเฟตน้อย ทำให้ไม่จำเป็น
ต้องได้รับ CO2 มากนัก พืชมีสุขภาพดีขึ้น เพราะพืชรับมือกับการขาดฟอสเฟตได้ดีกว่า
การขาดคาร์บอน เมื่อพืชมีสุขภาพดีขึ้น ตะไคร่ก็เลยถอย

แต่เขาก็ไม่เชียร์ PMDD เพราะคิดว่า ถ้าคุณจัดการปริมาณ CO2 ให้มีเพียงพอได้
คุณก็สามารถโดสฟอสเฟตในปริมาณที่สูงขึ้นได้ และพืชจะยิ่งโตดีขึ้นไปอีก

นอกจากนั้น ถ้าฟอสเฟตเหลือน้อยเกินไป ก็มักจะมีปัญหาตะไคร่ชนิดที่เรียกว่า
Green Spot Algae (GSA) หรือตะไคร่จุดเขียว (ที่เป็นจุดเล็กๆ บนกระจกกับใบพืช
คนละอย่างกับ "ตะไคร่ฝุ่นเขียว" หรือ Green Dust Algae นะ) (ยังไม่มีใครรู้
ว่าทำไมตะไคร่ตัวนี้ชอบโผล่มาเวลาฟอสเฟตเหลือน้อยๆ)

และถ้าใครกลัวพืชโตเร็วเกินไป ก็ควรหันไปลดไฟแทนการลดฟอสเฟต
----

ก็มีเหตุมีผลเข้าท่าดีนะ



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20/07/11, [21:42:35] โดย NP »
fargo ออฟไลน์
Club Follower
« ตอบ #4 เมื่อ: 20/07/11, [21:40:39] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

อ้อ ยังมีอีกนิด อันนี้ผมก็เพิ่งรู้

ตู้เก่าของผมเนี่ย มีอยู่ช่วงนึงตะไคร่บลูมมาก เลยแอบลองวิธี PMDD
ที่บอกว่า ตะไคร่เนี่ย ถ้าคุณลดฟอสเฟตลงให้เหลือต่ำมากๆ แต่ธาตุอาหารอื่น
ให้ตามปกติ ตะไคร่จะหายไป

ผมลองทำดู มันก็เวิร์กอะ

แต่หลังจากนั้น ผมก็ลองกลับมาโดสฟอสเฟตตามปกติ ก็ไม่มีตะไคร่

ก็เลยถามทอม ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่า

----
วิธี PMDD ความจริงมันก็ไม่เลวนะ แต่ตะไคร่ไม่ได้หายไปเพราะฟอสเฟตหรอก
ตะไคร่มันหายไปเพราะสุขภาพของพืชดีขึ้น โดยเฉพาะในตู้ที่มี CO2 ไม่พอ
หรือกระแสน้ำในตู้ไหลเวียนไม่ดี แจกจ่าย CO2 ไม่ทั่วถึง

เพราะถ้าหากพืชได้รับสารอาหารครบถ้วน แต่ CO2 ไม่พอ พืชจะมีสุขภาพแย่
เพราะแสงบังคับให้พืชโต แต่กลับไม่มีคาร์บอนให้ใช้สร้างลำต้น เป็นสภาพที่พืชรับมือได้ลำบาก
ตะไคร่ก็เลยได้โอกาสโตแทน

ทีนี้พอมีการลดฟอสเฟต พืชก็จะโตช้าลงเพราะมีฟอสเฟตน้อย ทำให้ไม่จำเป็น
ต้องได้รับ CO2 มากนัก พืชมีสุขภาพดีขึ้น เพราะพืชรับมือกับการขาดฟอสเฟตได้ดีกว่า
การขาดคาร์บอน เมื่อพืชมีสุขภาพดีขึ้น ตะไคร่ก็เลยถอย

แต่เขาก็ไม่เชียร์ PMDD เพราะคิดว่า ถ้าคุณจัดการปริมาณ CO2 ให้มีเพียงพอได้
คุณก็สามารถโดสฟอสเฟตในปริมาณที่สูงขึ้นได้ และพืชจะยิ่งโตดีขึ้นไปอีก

และถ้าใครกลัวพืชโตเร็วเกินไป ก็ควรหันไปลดไฟแทนการลดฟอสเฟต
----

ก็มีเหตุมีผลเข้าท่าดีนะ




ฟอตเฟสนี่มาจากไหนบ้างครับ

คำถามโง่ไปไหมครับนี่ [on_065]
NP ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #5 เมื่อ: 20/07/11, [21:48:07] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ฟอสเฟต หรือที่เขียนกันสั้นๆ สะดวกๆ ว่า PO4 ก็คือฟอสฟอรัส มีอยู่ในอาหารปลาครับ
ในน้ำประปาก็มีอยู่นิดหน่อย นัยว่าเพื่อป้องกันการกัดกร่อนในท่อน้ำ

ในตู้ไม้น้ำที่สมบูรณ์มากๆ ฟอสเฟตมักจะไม่พอ ต้องใส่ปุ๋ยที่มีฟอสเฟต

ปุ๋ยไม้น้ำที่มีฟอสเฟตก็มี Aqua Shade ของ Ferka, Flourish Phosphorus ของ Seachem,
Tropica ขวดเขียว

อ้อ ปุ๋ย Step ต่างๆ ของ ADA ก็มีฟอสเฟต
ขอแก้นะ: พวก Step ไม่มีฟอสเฟตครับ ต้องเป็น Green Brighty Special SHADE
กับ Green Brighty Special LIGHTS ถึงจะมี


แต่บางคนก็จะใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 0-52-34 หรือเรียกกันในเว็บต่างประเทศว่า KH2PO4
(มันเป็นสูตรเคมีของปุ๋ยตัวนี้น่ะ) เพราะมันประหยัดกว่า


แต่ดูเหมือนคำถามจะมุ่งไปทางอยากลดฟอสเฟตมากกว่านะ  ้hahaha
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28/07/11, [23:25:18] โดย NP »
fargo ออฟไลน์
Club Follower
« ตอบ #6 เมื่อ: 20/07/11, [21:50:23] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ฟอสเฟต หรือที่เขียนกันสั้นๆ สะดวกๆ ว่า PO4 ก็คือฟอสฟอรัส มีอยู่ในอาหารปลาครับ
ในน้ำประปาก็มีอยู่นิดหน่อย นัยว่าเพื่อป้องกันการกัดกร่อนในท่อน้ำ

ในตู้ไม้น้ำที่สมบูรณ์มากๆ ฟอสเฟตมักจะไม่พอ ต้องใส่ปุ๋ยที่มีฟอสเฟต

ปุ๋ยไม้น้ำที่มีฟอสเฟตก็มี Aqua Shade ของ Ferka, Seachem, Tropica ขวดเขียว

อ้อ ปุ๋ย Step ต่างๆ ของ ADA ก็มีฟอสเฟต

แต่บางคนก็จะใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 0-52-34 หรือเรียกกันในเว็บต่างประเทศว่า KH2PO4
(มันเป็นสูตรเคมีของปุ๋ยตัวนี้น่ะ) เพราะมันประหยัดกว่า
ขอบคุณครับ
toontoon ออฟไลน์
Club Veteran
« ตอบ #7 เมื่อ: 20/07/11, [21:57:55] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

เรื่องฟอสเฟตเนี่ย ทอม บาร์ ก็ไม่ถือว่าเป็นตัวที่ทำให้เกิดตะไคร่นะ
บางรูปในโพสต์ข้างบนบางส่วนก็ไม่ใช่มาจากทอม บาร์
หลักของทอม บาร์คือ อย่าให้พืชอดสารอาหาร, CO2
และคุมแสงอย่าให้มากเกินไป

เคยมีคนเถียงทอมว่า อ้าว คุณไม่เห็นรายงานของพวกนักบำบัดแหล่งน้ำเหรอ
เขาบอกกันทั้งนั้นว่า ไนเตรทกับฟอสเฟต ทำให้ตะไครบลูม (คนที่เถียงนี้คง
ไม่รู้มาก่อนว่า ทอมมีงานประจำเป็นอาจารย์ชีววิทยา และทำงานบำบัดแหล่งน้ำด้วย)

ทอมก็ตอบไปว่า แล้วในแหล่งน้ำที่ว่า มีพืชน้ำหรือเปล่าล่ะ ถ้าไม่มีพืชน้ำ
ตะไคร่มันก็บลูมอยู่แล้ว

แต่ถ้ามีพืชน้ำ เวลามีปุ๋ยจากพื้นที่เกษตรชะลงมา ก็ต้องปวดหัวทุกที
เพราะพืชน้ำพวกนี้จะโตระบาดจนขวางทางน้ำ ไม่เห็นมีตะไคร่บลูม

นี่คงเป็นฐานของคอนเซ็ปท์ของเขา ที่ว่า อย่าให้พืชอดสารอาหาร
อย่าให้พืชขาดแคลน CO2 คุมแสงให้พอดี แล้วพืชน้ำจะสมบูรณ์
และชนะตะไคร่

แต่ทำไมตะไคร่ถึงหายไปเวลาพืชน้ำสมบูรณ์เนี่ย เขายอมรับว่า
ไม่รู้เหมือนกัน

มันไม่ใช่ว่า พอพืชน้ำสมบูรณ์แล้วจะดูดเอา ธาตุอาหารจากน้ำจนตะไคร่อดตายนะ
ไม่ใช่เลย (ตะไคร่ต้องการธาตุอาหารน้อยกว่าพืชมาก) และเขาก็ยังคงใส่ปุ๋ยมากตามปกติ

และไม่ใช่สารกำจัดตะไคร่ที่พืชปล่อยออกมาด้วย เพราะเขาพยายามตรวจหา แต่ก็ไม่เคยเจอ
บริษัท Tropica ก็เคยพยายามหา แต่ก็ไม่เจอ  นอกจากนี้ เขายังให้ความเห็นว่า
มันไม่น่าจะมีสารประเภทนี้ในพืชน้ำนะ เพราะถึงสมมุติว่ามี เวลาปล่อยมันออกมา
มันก็ถูกกระแสน้ำพัดพาไปอยู่ดี ไม่มีประโยชน์คุ้มกันตัวมันเองเลย

วิธีหรือสูตรการเลี้ยงไม้น้ำมันมีหลายวิธีมาก และต่างก็มีหลักบางข้อที่ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง
ชวนสับสน ไม่รู้ว่าใครถูก

ซึ่งจนบัดนี้ก็ยังไม่มีเห็นว่ามีใครถูกทั้งหมดสักคน แต่ผมสังเกตเห็นอย่างนึงที่คนเก่งๆ
พวกนี้มีเหมือนกัน คือ ความสะอาดของตู้

ขี้ปลา รวมทั้งของเสียที่ซึมออกจากพืช (มีนะ) สารอินทรีย์พวกนี้พอสะสมมากๆ ตะไคร่ก็มา
ถึงน้ำจะยังดูใสก็ตาม จนบางคนคิดว่ามันกระตุ้นตะไคร่ เพราะมันเลียนแบบสภาพตามธรรมชาติ
ยามหน้าฝน ที่น้ำฝนชะหน้าดินที่เต็มไปด้วยสารอินทรย์ลงแหล่งน้ำ สปอร์ตะไคร่ก็จะถูกกระตุ้นให้งอก
เพื่อเตรียมกินธาตุอาหารที่เกิดจากการย่อยสลายของสารอินทรีย์พวกนั้น

ทอม บาร์ รักษาความสะอาดมาก

อามาโน่ ถึงกับทำชุดเทสต์ COD ออกมาให้ใช้ ซึ่งบริษัทอื่นที่อยู่ในธุรกิจ Aquarium ไม่ค่อยทำกัน
(แสดงถึงความจุกจิกเรื่องความสะอาด)

George Farmer นี่ก็ประเภท "ตู้อนามัย" คนนึง

Oliver Knott ก็น่าจะใช่ด้วย (มั้ง)


แต่ก็นั่นแหละ ตู้ตามวิธีของ Diana Walstad เนี่ย พึ่งสารอินทรีย์ในตู้ช่วยสร้าง CO2 เลย มาแหวกแนว
กว่าใคร

งงพอแล้วยัง  ้hahaha

อย่าถามความเห็นผมนะ ผมไม่รู้  emb01

 ขอบคุณ คุณ NP ที่ช่วยแก้ให้ จริงๆแล้วการใช้มอสบอลป้องกันตะไคร่ ไม่ใช่คำแนะนำของ Tom barr (ของTom barr คือตารางแรก สาเหตุและการป้องกันตะไคร่) แต่เป็นของคุณ Aziz Dhanani   เขาแนะนำว่าให้ใส่มอสบอลลงตู้ เพราะ Moss Ball Heavy Eaters

   Japanese Marimo  moss ball are high consumers of phosphates. As the moss ball grows, it out competes algae for phosphates and other nutrients. With limited phosphates available in the water column, algae is observed to have a difficult time gaining a foothold in the planted aquarium.

  ก็ไม่รู้ว่าของใครถูกกันแน่ที่ว่า ฟอสเฟส มีผลการเกิดตะไคร่จริงๆหรือไม่ เพราะ มีทฤษฎีมากมายในการเลี้ยงไม้น้ำ  และจนถึงทุกวันนี้ก็ไม่มีใครสรุปได้จริงๆไม่รู้ว่าใครถูก แต่ถ้ามีคนแนะเรามา ให้เราใช้มอสบอลเป็นตัวช่วยป้องกันตะไคร่และฟอสเฟสจะเป็นตัวทำให้เกิดตะไคร่ก็ไม่ได้แปลว่าจะผิดจริงไหมคับ แต่ก็ขอขอบคุณสำหรับข้อมูลอีกด้านหนึ่ง ทำให้เราได้คบคิดกันต่อไป  
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20/07/11, [22:03:49] โดย toontoon »
NP ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #8 เมื่อ: 20/07/11, [22:10:31] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ขอบคุณ คุณ NP ที่ช่วยแก้ให้ จริงๆแล้วการใช้มอสบอลป้องกันตะไคร่ ไม่ใช่คำแนะนำของ Tom barr (ของTom barr คือตารางแรก สาเหตุและการป้องกันตะไคร่) แต่เป็นของคุณ Aziz Dhanani   เขาแนะนำว่าให้ใส่มอสบอลลงตู้ เพราะ Moss Ball Heavy Eaters --

ขอคอมเมนต์นิดนึง เรื่องตารางของทอม บาร์นะครับ
คำว่า WC คือ Water Change

ส่วนคำว่า Nutrients เนี่ย อย่างตรงตะไคร่เส้นผม เกิดจาก Excess Nutrients ซึ่งถ้าแปลไม่ละเอียด
มันจะขัดกับคอนเซ็ปท์ของเขาเองที่ว่า ธาตุอาหารที่ให้เกินความต้องการของพืช (เพื่อจะได้ชัวร์ว่า
พืชไม่ขาด) ไม่ใช่ตัวการให้เกิดตะไคร่

คำว่า Nutrients ในที่นี้ หมายถึงสารอินทรีย์ครับ คือ สารอาหารที่ยังไม่ถูกย่อยสลายจนอยู่ในรูป
ของแร่ธาตุที่เสถียร (ก็พวกขี้ปลา, อาหารปลาที่กินไม่หมด ฯลฯ)

ธาตุอาหารที่ "ดี" สำหรับพืชในความเห็นของทอมจะเป็นแร่ธาตุที่ค่อนข้างเสถียรแล้ว (คือ ไม่บูดเน่าต่อ
ได้อีก) เช่น ไนเตรท, ฟอสเฟต, โปแตสเซียม, แมกนีเซียม, อะไรพวกนี้

ส่วนสารอาหารที่ "ไม่ค่อยดี" และอาจทำให้เกิดตะไคร่ก็เช่น แอมโมเนีย

ปล. ผมก็ไม่ได้เชียร์ว่าไอเดียไหนถูกต้องนะ แต่พอจะรู้แนวทางและวิธีคิดของแต่ละคน โดยเฉพาะ
ทอม บาร์ ก็เลยคอมเม้นท์ส่วนที่อาจจะอ่านดูแล้วไม่เคลียร์ หรือขัดแย้งกันเองทั้งที่เป็นไอเดีย
จากคนคนเดียวกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20/07/11, [22:18:21] โดย NP »
qDocomOp ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #9 เมื่อ: 20/07/11, [22:11:13] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ขอบคุณอย่างมาก ความรู้แน่นมาก ไปนอนปวกหัวกันละครับ [on_007]
toontoon ออฟไลน์
Club Veteran
« ตอบ #10 เมื่อ: 20/07/11, [22:31:36] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ขอคอมเมนต์นิดนึง เรื่องตารางของทอม บาร์นะครับ
คำว่า WC คือ Water Change

ส่วนคำว่า Nutrients เนี่ย อย่างตรงตะไคร่เส้นผม เกิดจาก Excess Nutrients ซึ่งถ้าแปลไม่ละเอียด
มันจะขัดกับคอนเซ็ปท์ของเขาเองที่ว่า ธาตุอาหารที่ให้เกินความต้องการของพืช (เพื่อจะได้ชัวร์ว่า
พืชไม่ขาด) ไม่ใช่ตัวการให้เกิดตะไคร่

คำว่า Nutrients ในที่นี้ หมายถึงสารอินทรีย์ครับ คือ สารอาหารที่ยังไม่ถูกย่อยสลายจนอยู่ในรูป
ของแร่ธาตุที่เสถียร (ก็พวกขี้ปลา, อาหารปลาที่กินไม่หมด ฯลฯ)

ธาตุอาหารที่ "ดี" สำหรับพืชในความเห็นของทอมจะเป็นแร่ธาตุที่ค่อนข้างเสถียรแล้ว (คือ ไม่บูดเน่าต่อ
ได้อีก) เช่น ไนเตรท, ฟอสเฟต, โปแตสเซียม, แมกนีเซียม, อะไรพวกนี้

ส่วนสารอาหารที่ "ไม่ค่อยดี" และอาจทำให้เกิดตะไคร่ก็เช่น แอมโมเนีย

ปล. ผมก็ไม่ได้เชียร์ว่าไอเดียไหนถูกต้องนะ แต่พอจะรู้แนวทางและวิธีคิดของแต่ละคน โดยเฉพาะ
ทอม บาร์ ก็เลยคอมเม้นท์ส่วนที่อาจจะอ่านดูแล้วไม่เคลียร์ หรือขัดแย้งกันเองทั้งที่เป็นไอเดีย
จากคนคนเดียวกัน

 กำลังอ่านที่คุณ NP เขียน (อ่านหลายรอบมาก เพราะน่าสนใจ แต่แอบงงนิดๆ ) อยากจะถามเพิ่ม "ส่วนสารอาหารที่ "ไม่ค่อยดี" และอาจทำให้เกิดตะไคร่ก็เช่น แอมโมเนีย"  นอกจาก แอมโมเนียแล้ว ยังมีตัวอื่นอีกไหมคับที่เป็นสาเหตุการเกิดตะไคร่ และในตู้ที่พึ่งตั้งตู้ ค่าแอมโมเนียจะขึ้นสูง เพราะระบบกรองยังไม่เซ็ตตัวดี แต่ที่ผมสังเกตุทำไมตะไคร่กลับยังไม่มี ต้องผ่านไปประมาณ 2-3 สัปดาห์ถึงเริ่มมีและช่วงนั้นเป็นช่วงที่ระบบกรองเซ็ตตัวดีแล้ว และทำไมตู้ที่สมบูรณ์ส่วนใหญ่แล้วจะต้องขาดฟอสเฟต
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20/07/11, [22:43:07] โดย toontoon »
wsquare ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #11 เมื่อ: 20/07/11, [22:39:05] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ตอนเข้ามาอ่านตอนแรก เอ๊ะทำไมมันไม่เกี่ยวกับCO2 หว่า แต่อ่านเพลินเลยครับ ขอบคุณทุกคนเลย ความรู้ทั้งนั้นเลยครับ จริงๆน่าเปลี่ยนชื้อกระทู้ครับ

คุณ NP แจ๊วจริงๆครับได้คุยกับ Mr. Barr ด้วย [เจ๋ง]

ผมสรุปของผมเองแบบนี้ได้มั๊ยครับว่า Phosporus พวกนึงชอบให้มีแต่น้อย พวกนึงใส่ไปแล้วรีเซ็ทระบบด้วยการเปลี่ยนนำ้จำนวนมาก หลักๆคือป้องระวังให้ดีอย่าให้มีในระบบมากและนานจนเกินแก้ ใช่ไม๊ครับ [งง]
NP ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #12 เมื่อ: 20/07/11, [22:47:47] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

นอกจากแอมโมเนียแล้ว

ไม่รู้ครับ  ้hahaha

ทอม บาร์เองก็ไม่รู้ แถมยังไม่กล้าฟันธงว่า ถ้าใส่แอมโมเนียลงตู้แล้วตะไคร่มาชัวร์
แค่บอกว่า "น่าจะ"

ยังไม่มีใครรู้แบบจริงๆ ทำซ้ำได้ทุกครั้งสำหรับทุกคน ว่า ตะไคร่บลูมเพราะอะไร
และตะไคร่หายไปเพราะอะไร

ทีเห็นมีวิธีโน้นวิธีนี้ เป็นเพียงสิ่งที่รวบรวมจากประสบการณ์ของแต่ละคน ยังไม่มีใคร
บริษัทไหนรู้สาเหตุจริงๆ ครับ งานวิจัยเรื่องนี้ก็มีน้อย เพราะเรื่องนี้มันทำเงินได้ไม่มากเท่าไหร่
ธุรกิจเรื่องไม้น้ำ เป็นธุรกิจที่เล็กมากเมื่อเทียบกับธุรกิจที่เกี่ยวกับตู้ปลาสวยงาม

ตู้ที่สมบูรณ์มากๆ มักจะต้องการฟอสฟอรัสมากกว่าที่มากับน้ำประปาหรืออาหารปลาครับ
ผมไม่ได้ตั้งใจบอกว่า "มันต้องขาดฟอสเฟต ตู้ถึงจะสมบูรณ์" นะ

ก็เลยต้องมีการใส่ปุ๋ยที่มีฟอสเฟตช่วยอีกทาง

อ้อ คนที่ใช้ดิน ในดินอาจจะมีฟอสเฟตพออยู่แล้วจนไม่ต้องโดสฟอสเฟตเพิ่มก็ได้
ใช้ดินก็ได้เปรียบตรงนี้แหละ
toontoon ออฟไลน์
Club Veteran
« ตอบ #13 เมื่อ: 20/07/11, [22:51:11] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

นอกจากแอมโมเนียแล้ว

ไม่รู้ครับ  ้hahaha

ทอม บาร์เองก็ไม่รู้ แถมยังไม่กล้าฟันธงว่า ถ้าใส่แอมโมเนียลงตู้แล้วตะไคร่มาชัวร์
แค่บอกว่า "น่าจะ"

ยังไม่มีใครรู้แบบจริงๆ ทำซ้ำได้ทุกครั้งสำหรับทุกคน ว่า ตะไคร่บลูมเพราะอะไร
และตะไคร่หายไปเพราะอะไร

ทีเห็นมีวิธีโน้นวิธีนี้ เป็นเพียงสิ่งที่รวบรวมจากประสบการณ์ของแต่ละคน ยังไม่มีใคร
บริษัทไหนรู้สาเหตุจริงๆ ครับ งานวิจัยเรื่องนี้ก็มีน้อย เพราะเรื่องนี้มันทำเงินได้ไม่มากเท่าไหร่
ธุรกิจเรื่องไม้น้ำ เป็นธุรกิจที่เล็กมากเมื่อเทียบกับธุรกิจที่เกี่ยวกับตู้ปลาสวยงาม

ตู้ที่สมบูรณ์มากๆ มักจะต้องการฟอสฟอรัสมากกว่าที่มากับน้ำประปาหรืออาหารปลาครับ
ผมไม่ได้ตั้งใจบอกว่า "มันต้องขาดฟอสเฟต ตู้ถึงจะสมบูรณ์" นะ

ก็เลยต้องมีการใส่ปุ๋ยที่มีฟอสเฟตช่วยอีกทาง

อ้อ คนที่ใช้ดิน ในดินอาจจะมีฟอสเฟตพออยู่แล้วจนไม่ต้องโดสฟอสเฟตเพิ่มก็ได้
ใช้ดินก็ได้เปรียบตรงนี้แหละ

 เคลียมาก ขอบคุณคับ [เจ๋ง]
NP ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #14 เมื่อ: 20/07/11, [23:04:51] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ตอนเข้ามาอ่านตอนแรก เอ๊ะทำไมมันไม่เกี่ยวกับCO2 หว่า แต่อ่านเพลินเลยครับ ขอบคุณทุกคนเลย ความรู้ทั้งนั้นเลยครับ จริงๆน่าเปลี่ยนชื้อกระทู้ครับ

อ๊ะ ก็เกี่ยวกับ CO2 นะ แต่มันต้องปูพื้นก่อน แล้วเลี้ยวเข้า CO2 (ที่ผมพูดถึง PMDD ไง)  cryingrun

อ้างถึง
คุณ NP แจ๊วจริงๆครับได้คุยกับ Mr. Barr ด้วย [เจ๋ง]

ใครก็คุย/ถามเขาได้นะที่เว็บ barrreport.com

อ้างถึง
ผมสรุปของผมเองแบบนี้ได้มั๊ยครับว่า Phosporus พวกนึงชอบให้มีแต่น้อย พวกนึงใส่ไปแล้วรีเซ็ทระบบด้วยการเปลี่ยนนำ้จำนวนมาก หลักๆคือป้องระวังให้ดีอย่าให้มีในระบบมากและนานจนเกินแก้ ใช่ไม๊ครับ [งง]

ผมว่าใช่นะ

พวกนึงให้แต่น้อย แล้วใช้ชุดทดสอบน้ำคอยวัดดูว่า น้อยไป หรือมากไป

ส่วนอีกพวก ใส่ลงไปเลย ไม่ต้องวัด แล้วเปลี่ยนน้ำทุกอาทิตย์เพื่อรีเซ็ตแทน
qDocomOp ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #15 เมื่อ: 21/07/11, [08:55:09] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

เปลียนชื่อกระทู้หน่อยครับ
OBARON ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #16 เมื่อ: 21/07/11, [09:20:35] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

โอยย ข้อมูลเยอะ ตาลาย [on_007] [on_007]

ไว้อากาศดีๆ จะมาอ่าน [on_007]
Coffman ออฟไลน์
Sponsor
« ตอบ #17 เมื่อ: 21/07/11, [12:07:22] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

หัวข้อต้องแก้เป็น "ถกเถียง" แต่ส่วนตัวผมชอบคำว่า "มาระดมความคิดเห็น เรื่องตะไคร่กัน" ดีกว่าไหม?

เอ้าข้อมูลทะลักทลายแล้ว  ้hahaha

CO2 ช้วยทำให้ไม่เกิดตะไคร่ ได้เหรอครับ แบบ ว่าควบคุมให้เกิดน้อย อะไรประมาณนี้อ่ะ
การให้ CO2 เกี่ยวข้องกับสภาพตู้ ปัจจัยแวดล้อมอื่นของตู้ด้วย
ต้องทำความเข้าใจว่าทำไมเราต้องให้ CO2 ในระบบการเลี้ยงแบบปิดก่อนครับ
    -การเลี้ยงไม้น้ำในตู้  CO2 เป็นปัจจัยหนึ่งเลยที่ขาดแคลน บางคงอาจแย้งผมว่า เหอๆ ในอากาศมี CO2 น้อยกว่าในน้ำ ตั้ง 3 เท่าแล้วไม้น้ำจะขาด CO2 ได้ยังไง? ถ้าเอาปริมาณเทียบกันตรงๆ แบบนี้ก็ต้องเข้าใจแบบนี้แน่นอนครับ แต่อย่าลืมว่าการที่ CO2 จะละลายในน้ำได้ยากเย็นทุกข์เข็ญกว่าละลายในอากาศมาก ถึงประมาณ 10000เท่า ซึ่งก็เป้นความลำบากยากยิ่งที่ทำไม คนเลี้ยงไม้น้ำจึงต้องหาอุปกรณ์ อย่างดีที่สุดมากระจาย CO2 พูดถึงตรงนี้หัวดิฟล้างกันเป็นประจะทุก 1-2 เดือนก็ดีนะครับ  asspain
     การที่ CO2 ละะลายในน้ำยากยิ่ง จนพอให้มีสต๊อคเหลือเฟือให้ใบไม้น้ำในตู้ได้กินใช้สม่ำเสมอตลอดระยะเวลาที่เปิดไฟจึงเป็นเรื่องสำคัญและละเอียดอ่อนในการให้ CO2 บางท่านเปิด 24 ชั่วโมง บางท่านเปิดพร้อมเปิดไฟ บางท่านเปิดก่อนเปิดไฟ อันนี้ต้องแล้วแต่สูตรใครสูตรมันล่ะครับ ผมเลือกใช้วิธีเปิดก่อนเปิดไฟ 1 ชั่วโมง ด้วยเหตุผลของความห่างไกลจุดเติมCO2 และนโยบายแปลง CO2 ให้เป็นทุนของภรรยา

ระบบการให้ CO2 ที่นิยม
      -CO2 ยีสต์ จึงเป็นการให้ตามดีตามเกิด ตามสูตร ของแต่ละท่าน จากที่ผมใช้มาเป็นแค่การประคองให้รอด วันใดที่ CO2 มีอัตราผลิตน้อยลง หายนะของไม้หน้าตู้ ไม้ข้อก็มาเยือนได้ใน 2-3 วันครับ
     -CO2 ถัง ดีที่สุด เหมาะสม สม่ำเสมอในการเลี้ยงระยะยาว แต่ไม่เหมาะในสภาวะกระเป๋าเบื้องต้น หาเก็บของมือ 2 ดีๆ หายากกว่า  n032

       ข้อมูลที่สำคัญยิ่งคืออัตราการสังเคราะห์แสง เกี่ยวกันกันโดยตรงกับระดับ CO2 ในตู้!!
ถ้าเราคิดว่าตู้ไม้น้ำก็เหมือนอ่างใบหนึ่งที่ใส่สาหร่ายหางกระรอกเต็ม การสังเคราะห์แสงจะมีมากที่สุดตอนสายๆ และลดต่ำลงจากอัตราการสังเคราะห์สูงสุด น้อยกว่า 40% ในช่วงบ่าย ปัจจัยควบคุมก็คือสต๊อค CO2 หมดแล้วนั่นเอง เมื่อCO2 ถูกดึงไปจากน้ำ ตรงๆ แนวโน้มของน้ำใช่วงบ่ายๆ ในอ่างก็จะสูงขึ้นด้วย(CO2 ถูกเปลี่ยนไปทางด่าง ไบคาร์บอเนต) จากนั้นไม้น้ำไม่ทุกประเภทหรอกครับที่จะใช้ไบคาร์บอเนตในน้ำ เอามาแทน CO2 ได้ ไม้น้ำที่ใช้ไม่ได้จึงหยุดโต
      
      CO2 จากแหล่งอื่นๆในตู้ไม้น้ำ มีมาจาก อาหารปลาและสารอินทรีย์ในดิน วัสดุปลูกที่ย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์ที่ใช้อากาศ ใช้เลี้ยงไม้น้ำได้เช่นเดียวกันแต่ต้องถูกออกแบบให้มีการย่อยสลายเพียงพอ และมสัมพันธ์กับไม้ในตู้
อ้างถึง
แต่ก็นั่นแหละ ตู้ตามวิธีของ Diana Walstad เนี่ย พึ่งสารอินทรีย์ในตู้ช่วยสร้าง CO2 เลย มาแหวกแนว
กว่าใคร
คนนี้ของคุณ NP นั้นหล่ะครับ
            
ในความคิดผม CO2 มากตะไคร่จะลดลงมันอยู่ที่ว่า
1.KH alkaliity(Carbonate hardness (KH) = bicarbonate (HCO3-)+carbonate (CO3--) ions) ของน้ำมันมากไปหรือน้อยไปด้วย เพราะถ้า KH สูงมากไป CO2 ที่เร่งฉีดเข้าไปตอนแรก จะถูกใช้ในการลด(สะเทิน) KH   ก่อน พอ pH ลดลงถึงระดับที่ มี CO2 มากพอ ต้นไม้ถึงจะดูดซับไว้ได้ ตรงนี้ผมเคยเจอผู้เลี้ยงหลายท่านที่น้ำ KH สูงๆ เลี้ยงไม้น้ำไม่ค่อยสำเร็จเพราะ ให้ CO2 เยอะนะครับแต่ไม้โทรม เพราะ KH สูงเกินไปนี่เอง(KH ควรอยู่ที่ 3-4)
 


2.พรรณไม้ที่ใช้ พอเร่งความเร็ว CO2 แล้วใช้ CO2 อย่างคุ่มค่าไหม? ลองคิดเทียบดูว่าเราเร่ง CO2 สุดขีดดรอปเช็ค จนปลาลาตายหมดตู้ อนูเบียสกิ่งเดียว หรือเพิลหวีดที่พึ่งปักไปเมื่อวาน!! ปัญหาตะไคร่ก็คงยังไม่หมดไป เพราะ Free CO2 ที่ให้กับตู้ไม่มีใครเอาไปใช้  [on_007]
 
มาถึงสรุป ที่ผมพิมพ์ ยืดยาว
การเร่ง CO2 ก็ขึ้นกับตู้เองด้วยหล่ะครับ ไม่ใช่อะไรๆ ก็เร่งๆๆ

ในเมื่อหัวข้อกระทู้นี้เปลี่ยน สู่การหลุดพ้นตะไคร่ในตู้ไม้น้ำ แนวทางที่ผมเห็นด้วยและทำตาม มีสรุปแบบนี้ครับ
1. ใช้ดินปลูกไม้น้ำไปเลยครับ เสียน้อยเสียยาก ตู้แรกเอากรวดเลยมันท้อใจครับ เพราะดินมันช่วยหลายอย่างครับ ทั้งคุมปุ๋ยที่ปลดปล่อย ลด pH Gh KH ให้ สารอินทรีย์มีอย่าพอเหมาะ

2. ไม่ลดจำนวนไฟ แต่ คุมปริมาณชั่วโมงไฟ จากน้อยไปหามาก 4 6 8 10 12 ชั่วโมง/วัน เป้าหมายเอาไว้ให้พิชิตครับ ตะไคร่ก็เหมือนไม้น้ำครับ ลดไฟ ไม่สังเคราะห์แสง กดลดจำนวนลงเอง แต่ที่ไม้น้ำยังอยู่เพราะมีระบบรากที่คอยดูดซึมอาหาร และยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ในช่วงควบคุมไฟ
ที่ผมบอกไม่ลดจำนวนไฟ ไฟแรงก็ให้แรงไว้อย่างนั้น เพราะแท้จริงตะไคร่ส่วนใหญ่ไม่ชอบไฟแรงครับ (อาจอยู่ได้แต่ไม่โตมากขึ้นเท่าไหร่) ตะไคร่เขียวที่เราเห็นส่วนใหญ่ (Chlorophyta)เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการแสงน้อยครับ มีอัตราการเจริญสูงสุดที่ 211 μmole/m2/s คือแสงที่มีความเข้มกลางๆ เที่ยบกับแสงแดดจัดกลางวันที่ 2000 μmole/m2/s ช่วงคุมไฟผมมักไม่ลดจำนวนไฟ แต่ลดจำนวนชั่วโมงที่เปิดไฟ เหลือ 5-6 ชั่วโมงต่อวัน ประมาณ 2 สัปดาห์ บางตำราอาจมีแย้งว่าถ้าตะไคร่ไม่ชอบแสงแล้วทำไมในอ่างถึงตะไคร่บานล่ะคะ การที่แสงมากจากดวงอาทิตย์ อาจเกี่ยวข้องกับปฏิกริยาเคมี "iron photoreduction" ครับ

3.รักษาความสะอาดในตู้ รวมถึงการให้อาหารปลา (การให้อาหารปลามากๆไม่ต่างอะไรกับ ท้าทายระบบกรองในตู้ ตะไคร่บูมดั่งการการเทปุ๋ยน้ำ  overdose ลงไปในตู้ครับ) และเปลี่ยนน้ำ ตามระยะ

4.สัตว์น้ำคุมตะไคร่ ที่เหมาะ และปริมาณเหมาะและมากพอ

5.ปริมาณไม้น้ำต้องมากพอ หากช่วงแรกในตู้มีแต่ไม้โตช้า ลอยจอก(จอกมาเลย์ ผมใช้กับตู้ที่ตะไคร่น้ำเขียวได้ผลดีมาก)แหน หรือ ใช้ไม้น้ำโตไวควบคุมปุ๋ย มีผลการทดลองในบ่อที่มีจำนวนตะไคร่น้ำเขียว ลดลงจาก 6600 เซลล์ต่อ มล. ลงเหลือแค่ 430 เซลล์ต่อ มล.เมื่อใช้ไม้น้ำ elodea candensis บำบัด


6. ยากำจัดตะไคร่คือคำตอบท้ายสุด หนทางที่เลือกยา มักแฝงมาด้วยการสูญเสีย ทำตามคำแนะนำบนฉลากสอบถามผู้ขายทุกครั้งที่เป็นยาแปลกใหม่ โดสที่ใช้ ต่อปริมาณน้ำต้องแม่นยำครับ ขนาดตู้ ก*ย*ล*16.4 หัก หิน ดิน การใช้ยาใช้ต่ำกว่าหรือเท่ากับโดสเสมอ


 ขอบคุณทุกท่านครับ คุณ  NP toontoon wsquare ข้อมูลแน่นๆเน้นๆ บางอย่างก็ไม่เคยรู้  [mo_001]

Albert Einstein
"We can't solve problems by using the same kind of thinking we used when we created them."

 ไม้น้ำก็เช่นกัน ข้อมูลแบบนี้กระทู้มีประโยชน์ครับ เสพๆๆๆๆๆๆ [เจ๋ง] [เจ๋ง]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21/07/11, [16:21:35] โดย coffman »
Yoda ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #18 เมื่อ: 21/07/11, [13:09:32] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

เข้ามาเก็บความรู้ครับ  [ไอ้แว่น] [ไอ้แว่น] ขอบคุณครับ

CO2 ช้วยทำให้ไม่เกิดตะไคร่ ได้เหรอครับ แบบ ว่าควบคุมให้เกิดน้อย อะไรประมาณนี้อ่ะ

ควบคุมให้เกิดน้อย จขกท เข้าใจถูกต้องแล้วครับ การใช้ CO2 ในตู้ไม้น้ำเท่าที่พวกผมเข้าใจแบบบ้านๆน่าจะแค่ช่วยให้ต้นไม้มีความสมบูรณ์และเจริญเติบโตเร็วกว่าตะไคร่ แย่งอาหารตะไคร่จนตะไคร่มันไม่มีอะไรกินแล้วก็ตาย หายไปเองครับ (ปัจจัยอื่นๆที่มีผล..ตามทุกท่านด้านบนเลยครับ)......แต่ CO2 ช่วยทำให้ไม่เกิดตะไคร่เนี่ย....มันโชว์ขึ้นตรงดิฟเลยนะครับ  n032 n032
 
ส่วนตัวเน้นวิชามาร.....ไม่เน้นวิชาการครับ  ้hahaha ้hahaha
wsquare ออฟไลน์
Club Leader
« ตอบ #19 เมื่อ: 21/07/11, [14:11:21] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

หัวข้อต้องแก้เป็น "ถกเถียง" แต่ส่วนตัวผมชอบคำว่า "มาระดมความคิดเห็น เรื่องตะไคร่กัน" ดีกว่าไหม?

เอ้าข้อมูลทะลักทลายแล้ว  ้hahaha
การให้ CO2 เกี่ยวข้องกับสภาพตู้ ปัจจัยแวดล้อมอื่นของตู้ด้วย
ต้องทำความเข้าใจว่าทำไมเราต้องให้ CO2 ในระบบการเลี้ยงแบบปิดก่อนครับ
    -การเลี้ยงไม้น้ำในตู้  CO2 เป็นปัจจัยหนึ่งเลยที่ขาดแคลน บางคงอาจแย้งผมว่า เหอๆ ในอากาศมี CO2 น้อยกว่าในน้ำ ตั้ง 3 เท่าแล้วไม้น้ำจะขาด CO2 ได้ยังไง? ถ้าเอาปริมาณเทียบกันตรงๆ แบบนี้ก็ต้องเข้าใจแบบนี้แน่นอนครับ แต่อย่าลืมว่าการที่ CO2 จะละลายในน้ำได้ยากเย็นทุกข์เข็ญกว่าละลายในอากาศมาก ถึงประมาณ 10000เท่า ซึ่งก็เป้นความลำบากยากยิ่งที่ทำไม คนเลี้ยงไม้น้ำจึงต้องหาอุปกรณ์ อย่างดีที่สุดมากระจาย CO2 พูดถึงตรงนี้หัวดิฟล้างกันเป็นประจะทุก 1-2 เดือนก็ดีนะครับ  asspain
     การที่ CO2 ละะลายในน้ำยากยิ่ง จนพอให้มีสต๊อคเหลือเฟือให้ใบไม้น้ำในตู้ได้กินใช้สม่ำเสมอตลอดระยะเวลาที่เปิดไฟจึงเป็นเรื่องสำคัญและละเอียดอ่อนในการให้ CO2 บางท่านเปิด 24 ชั่วโมง บางท่านเปิดพร้อมเปิดไฟ บางท่านเปิดก่อนเปิดไฟ อันนี้ต้องแล้วแต่สูตรใครสูตรมันล่ะครับ ผมเลือกใช้วิธีเปิดก่อนเปิดไฟ 1 ชั่วโมง ด้วยเหตุผลของความห่างไกลจุดเติมCO2 และนโยบายแปลง CO2 ให้เป็นทุนของภรรยา

ระบบการให้ CO2 ที่นิยม
      -CO2 ยีสต์ จึงเป็นการให้ตามดีตามเกิด ตามสูตร ของแต่ละท่าน จากที่ผมใช้มาเป็นแค่การประคองให้รอด วันใดที่ CO2 มีอัตราผลิตน้อยลง หายนะของไม้หน้าตู้ ไม้ข้อก็มาเยือนได้ใน 2-3 วันครับ
     -CO2 ถัง ดีที่สุด เหมาะสม สม่ำเสมอในการเลี้ยงระยะยาว แต่ไม่เหมาะในสภาวะกระเป๋าเบื้องต้น หาเก็บของมือ 2 ดีๆ หายากกว่า  n032

       ข้อมูลที่สำคัญยิ่งคืออัตราการสังเคราะห์แสง เกี่ยวกันกันโดยตรงกับระดับ CO2 ในตู้!!
ถ้าเราคิดว่าตู้ไม้น้ำก็เหมือนอ่างใบหนึ่งที่ใส่สาหร่ายหางกระรอกเต็ม การสังเคราะห์แสงจะมีมากที่สุดตอนสายๆ และลดต่ำลงจากอัตราการสังเคราะห์สูงสุด น้อยกว่า 40% ในช่วงบ่าย ปัจจัยควบคุมก็คือสต๊อค CO2 หมดแล้วนั่นเอง เมื่อCO2 ถูกดึงไปจากน้ำ ตรงๆ แนวโน้มของน้ำใช่วงบ่ายๆ ในอ่างก็จะสูงขึ้นด้วย(CO2 ถูกเปลี่ยนไปทางด่าง ไบคาร์บอเนต) จากนั้นไม้น้ำไม่ทุกประเภทหรอกครับที่จะใช้ไบคาร์บอเนตในน้ำ เอามาแทน CO2 ได้ ไม้น้ำที่ใช้ไม่ได้จึงหยุดโต
      
      CO2 จากแหล่งอื่นๆในตู้ไม้น้ำ มีมาจาก อาหารปลาและสารอินทรีย์ในดิน วัสดุปลูกที่ย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์ที่ใช้อากาศ ใช้เลี้ยงไม้น้ำได้เช่นเดียวกันแต่ต้องถูกออกแบบให้มีการย่อยสลายเพียงพอ และมสัมพันธ์กับไม้ในตู้คนนี้ของคุณ NP นั้นหล่ะครับ
            
ในความคิดผม CO2 มากตะไคร่จะลดลงมันอยู่ที่ว่า
1.KH alkaliity(Carbonate hardness (KH) = bicarbonate (HCO3-)+carbonate (CO3--) ions) ของน้ำมันมากไปหรือน้อยไปด้วย เพราะถ้า KH สูงมากไป CO2 ที่เร่งฉีดเข้าไปตอนแรก จะถูกใช้ในการลด(สะเทิน) KH   ก่อน พอ pH ลดลงถึงระดับที่ มี CO2 มากพอ ต้นไม้ถึงจะดูดซับไว้ได้ ตรงนี้ผมเคยเจอผู้เลี้ยงหลายท่านที่น้ำ KH สูงๆ เลี้ยงไม้น้ำไม่ค่อยสำเร็จเพราะ ให้ CO2 เยอะนะครับแต่ไม้โทรม เพราะ KH สูงเกินไปนี่เอง(KH ควรอยู่ที่ 3-4)
 


2.พรรณไม้ที่ใช้ พอเร่งความเร็ว CO2 แล้วใช้ CO2 อย่างคุ่มค่าไหม? ลองคิดเทียบดูว่าเราเร่ง CO2 สุดขีดดรอปเช็ค จนปลาลาตายหมดตู้ อนูเบียสกิ่งเดียว หรือเพิลหวีดที่พึ่งปักไปเมื่อวาน!! ปัญหาตะไคร่ก็คงยังไม่หมดไป เพราะ Free CO2 ที่ให้กับตู้ไม่มีใครเอาไปใช้  [on_007]
 
มาถึงสรุป ที่ผมพิมพ์ ยืดยาว
การเร่ง CO2 ก็ขึ้นกับตู้เองด้วยหล่ะครับ ไม่ใช่อะไรๆ ก็เร่งๆๆ

ในเมื่อหัวข้อกระทู้นี้เปลี่ยน สู่การหลุดพ้นตะไคร่ในตู้ไม้น้ำ แนวทางที่ผมเห็นด้วยและทำตาม มีสรุปแบบนี้ครับ
1. ใช้ดินปลูกไม้น้ำไปเลยครับ เสียน้อยเสียยาก ตู้แรกเอากรวดเลยมันท้อใจครับ เพราะดินมันช่วยหลายอย่างครับ ทั้งคุมปุ๋ยที่ปลดปล่อย ลด pH Gh KH ให้ สารอินทรีย์มีอย่าพอเหมาะ

2. ไม่ลดจำนวนไฟ แต่ คุมปริมาณชั่วโมงไฟ จากน้อยไปหามาก 4 6 8 10 12 ชั่วโมง/วัน เป้าหมายเอาไว้ให้พิชิตครับ ตะไคร่ก็เหมือนไม้น้ำครับ ลดไฟ ไม่สังเคราะห์แสง กดลดจำนวนลงเอง แต่ที่ไม้น้ำยังอยู่เพราะมีระบบรากที่คอยดูดซึมอาหาร และยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ในช่วงควบคุมไฟ
ที่ผมบอกไม่ลดจำนวนไฟ ไฟแรงก็ให้แรงไว้อย่างนั้น เพราะแท้จริงตะไคร่ส่วนใหญ่ไม่ชอบไฟแรงครับ (อาจอยู่ได้แต่ไม่โตมากขึ้นเท่าไหร่) ตะไคร่เขียวที่เราเห็นส่วนใหญ่ (Chlorophyta)เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการแสงน้อยครับ มีอัตราการเจริญสูงสุดที่ 211 μmole/m2/s คือแสงที่มีความเข้มกลางๆ เที่ยบกับแสงแดดจัดกลางวันที่ 2000 μmole/m2/s ช่วงคุมไฟผมมักไม่ลดจำนวนไฟ แต่ลดจำนวนชั่วโมงที่เปิดไฟ เหลือ 5-6 ชั่วโมงต่อวัน ประมาณ 2 สัปดาห์ บางตำราอาจมีแย้งว่าถ้าตะไคร่ไม่ชอบแสงแล้วทำไมในอ่างถึงตะไคร่บานล่ะคะ การที่แสงมากจากดวงอาทิตย์ อาจเกี่ยวข้องกับปฏิกริยาเคมี "iron photoreduction" ครับ

3.รักษาความสะอาดในตู้ รวมถึงการให้อาหารปลา (การให้อาหารปลามากๆไม่ต่างอะไรกับ ท้าทายระบบกรองในตู้ ตะไคร่บูมดั่งการการเทปุ๋ยน้ำ  overdose ลงไปในตู้ครับ) และเปลี่ยนน้ำ ตามระยะ

4.สัตว์น้ำคุมตะไคร่ ที่เหมาะ และปริมาณเหมาะและมากพอ

5.ปริมาณไม้น้ำต้องมากพอ หากช่วงแรกในตู้มีแต่ไม้โตช้า ลอยจอก(จอกมาเลย์ ผมใช้กับตู้ที่ตะไคร่น้ำเขียวได้ผลดีมาก)แหน หรือ ใช้ไม้น้ำโตไวควบคุมปุ๋ย มีผลการทดลองในบ่อที่มีจำนวนตะไคร่น้ำเขียว ลดลงจาก 6600 เซลล์ต่อ มล. ลงเหลือแค่ 430 เซลล์ต่อ มล.เมื่อใช้ไม้น้ำ elodea candensis บำบัด


6. ยากำจัดตะไคร่คือคำตอบท้ายสุด หนทางที่เลือกยา มักแฝงมาด้วยการสูญเสีย ทำตามคำแนะนำบนฉลากสอบถามผู้ขายทุกครั้งที่เป็นยาแปลกใหม่ โดสที่ใช้ ต่อปริมาณน้ำต้องแม่นยำครับ ขนาดตู้ ก*ย*ล*16.4 หัก หิน ดิน การใช้ยาใช้ต่ำกว่าหรือเท่ากับโดสเสมอ


 ขอบคุณทุกท่านครับ คุณ  NP toontoon wsquare ข้อมูลแน่นๆเน้นๆ บางอย่างก็ไม่เคยรู้  [mo_001]

นิยามของคนเสียสติ  
"คือคนที่คิดจะเปลี่ยนแปลงโลก แต่ทำอะไรซ้ำเดิมอยู่ทุกวันๆ"

 ไม้น้ำก็เช่นกัน ข้อมูลแบบนี้กระทู้มีประโยชน์ครับ เสพๆๆๆๆๆๆ [เจ๋ง] [เจ๋ง]

กำลังคิดถึงเลยครับ ว่าทำไมยังไม่มา

ผมไม่มีฟามรู้อะไรหรอกครับ  asspain ทำหน้าที่ได้แค่ผู้ดำเนินรายการครับ 036
Unity NoN ออฟไลน์
Club Veteran
« ตอบ #20 เมื่อ: 21/07/11, [14:39:55] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ทอม บาร์ มีงานประจำเป็นอาจารย์ชีววิทยา และทำงานบำบัดแหล่งน้ำด้วย

หัวข้อต้องแก้เป็น "ถกเถียง" แต่ส่วนตัวผมชอบคำว่า "มาระดมความคิดเห็น เรื่องตะไคร่กัน" ดีกว่าไหม?

เอ้าข้อมูลทะลักทลายแล้ว  ้hahaha
การให้ CO2 เกี่ยวข้องกับสภาพตู้ ปัจจัยแวดล้อมอื่นของตู้ด้วย
ต้องทำความเข้าใจว่าทำไมเราต้องให้ CO2 ในระบบการเลี้ยงแบบปิดก่อนครับ
    -การเลี้ยงไม้น้ำในตู้  CO2 เป็นปัจจัยหนึ่งเลยที่ขาดแคลน บางคงอาจแย้งผมว่า เหอๆ ในอากาศมี CO2 น้อยกว่าในน้ำ ตั้ง 3 เท่าแล้วไม้น้ำจะขาด CO2 ได้ยังไง? ถ้าเอาปริมาณเทียบกันตรงๆ แบบนี้ก็ต้องเข้าใจแบบนี้แน่นอนครับ แต่อย่าลืมว่าการที่ CO2 จะละลายในน้ำได้ยากเย็นทุกข์เข็ญกว่าละลายในอากาศมาก ถึงประมาณ 10000เท่า ซึ่งก็เป้นความลำบากยากยิ่งที่ทำไม คนเลี้ยงไม้น้ำจึงต้องหาอุปกรณ์ อย่างดีที่สุดมากระจาย CO2 พูดถึงตรงนี้หัวดิฟล้างกันเป็นประจะทุก 1-2 เดือนก็ดีนะครับ  asspain
     การที่ CO2 ละะลายในน้ำยากยิ่ง จนพอให้มีสต๊อคเหลือเฟือให้ใบไม้น้ำในตู้ได้กินใช้สม่ำเสมอตลอดระยะเวลาที่เปิดไฟจึงเป็นเรื่องสำคัญและละเอียดอ่อนในการให้ CO2 บางท่านเปิด 24 ชั่วโมง บางท่านเปิดพร้อมเปิดไฟ บางท่านเปิดก่อนเปิดไฟ อันนี้ต้องแล้วแต่สูตรใครสูตรมันล่ะครับ ผมเลือกใช้วิธีเปิดก่อนเปิดไฟ 1 ชั่วโมง ด้วยเหตุผลของความห่างไกลจุดเติมCO2 และนโยบายแปลง CO2 ให้เป็นทุนของภรรยา

ระบบการให้ CO2 ที่นิยม
      -CO2 ยีสต์ จึงเป็นการให้ตามดีตามเกิด ตามสูตร ของแต่ละท่าน จากที่ผมใช้มาเป็นแค่การประคองให้รอด วันใดที่ CO2 มีอัตราผลิตน้อยลง หายนะของไม้หน้าตู้ ไม้ข้อก็มาเยือนได้ใน 2-3 วันครับ
     -CO2 ถัง ดีที่สุด เหมาะสม สม่ำเสมอในการเลี้ยงระยะยาว แต่ไม่เหมาะในสภาวะกระเป๋าเบื้องต้น หาเก็บของมือ 2 ดีๆ หายากกว่า  n032

       ข้อมูลที่สำคัญยิ่งคืออัตราการสังเคราะห์แสง เกี่ยวกันกันโดยตรงกับระดับ CO2 ในตู้!!
ถ้าเราคิดว่าตู้ไม้น้ำก็เหมือนอ่างใบหนึ่งที่ใส่สาหร่ายหางกระรอกเต็ม การสังเคราะห์แสงจะมีมากที่สุดตอนสายๆ และลดต่ำลงจากอัตราการสังเคราะห์สูงสุด น้อยกว่า 40% ในช่วงบ่าย ปัจจัยควบคุมก็คือสต๊อค CO2 หมดแล้วนั่นเอง เมื่อCO2 ถูกดึงไปจากน้ำ ตรงๆ แนวโน้มของน้ำใช่วงบ่ายๆ ในอ่างก็จะสูงขึ้นด้วย(CO2 ถูกเปลี่ยนไปทางด่าง ไบคาร์บอเนต) จากนั้นไม้น้ำไม่ทุกประเภทหรอกครับที่จะใช้ไบคาร์บอเนตในน้ำ เอามาแทน CO2 ได้ ไม้น้ำที่ใช้ไม่ได้จึงหยุดโต
       
      CO2 จากแหล่งอื่นๆในตู้ไม้น้ำ มีมาจาก อาหารปลาและสารอินทรีย์ในดิน วัสดุปลูกที่ย่อยสลายด้วยจุลินทรีย์ที่ใช้อากาศ ใช้เลี้ยงไม้น้ำได้เช่นเดียวกันแต่ต้องถูกออกแบบให้มีการย่อยสลายเพียงพอ และมสัมพันธ์กับไม้ในตู้คนนี้ของคุณ NP นั้นหล่ะครับ
             
ในความคิดผม CO2 มากตะไคร่จะลดลงมันอยู่ที่ว่า
1.KH alkaliity(Carbonate hardness (KH) = bicarbonate (HCO3-)+carbonate (CO3--) ions) ของน้ำมันมากไปหรือน้อยไปด้วย เพราะถ้า KH สูงมากไป CO2 ที่เร่งฉีดเข้าไปตอนแรก จะถูกใช้ในการลด(สะเทิน) KH   ก่อน พอ pH ลดลงถึงระดับที่ มี CO2 มากพอ ต้นไม้ถึงจะดูดซับไว้ได้ ตรงนี้ผมเคยเจอผู้เลี้ยงหลายท่านที่น้ำ KH สูงๆ เลี้ยงไม้น้ำไม่ค่อยสำเร็จเพราะ ให้ CO2 เยอะนะครับแต่ไม้โทรม เพราะ KH สูงเกินไปนี่เอง(KH ควรอยู่ที่ 3-4)
 


2.พรรณไม้ที่ใช้ พอเร่งความเร็ว CO2 แล้วใช้ CO2 อย่างคุ่มค่าไหม? ลองคิดเทียบดูว่าเราเร่ง CO2 สุดขีดดรอปเช็ค จนปลาลาตายหมดตู้ อนูเบียสกิ่งเดียว หรือเพิลหวีดที่พึ่งปักไปเมื่อวาน!! ปัญหาตะไคร่ก็คงยังไม่หมดไป เพราะ Free CO2 ที่ให้กับตู้ไม่มีใครเอาไปใช้  [on_007]
 
มาถึงสรุป ที่ผมพิมพ์ ยืดยาว
การเร่ง CO2 ก็ขึ้นกับตู้เองด้วยหล่ะครับ ไม่ใช่อะไรๆ ก็เร่งๆๆ

ในเมื่อหัวข้อกระทู้นี้เปลี่ยน สู่การหลุดพ้นตะไคร่ในตู้ไม้น้ำ แนวทางที่ผมเห็นด้วยและทำตาม มีสรุปแบบนี้ครับ
1. ใช้ดินปลูกไม้น้ำไปเลยครับ เสียน้อยเสียยาก ตู้แรกเอากรวดเลยมันท้อใจครับ เพราะดินมันช่วยหลายอย่างครับ ทั้งคุมปุ๋ยที่ปลดปล่อย ลด pH Gh KH ให้ สารอินทรีย์มีอย่าพอเหมาะ

2. ไม่ลดจำนวนไฟ แต่ คุมปริมาณชั่วโมงไฟ จากน้อยไปหามาก 4 6 8 10 12 ชั่วโมง/วัน เป้าหมายเอาไว้ให้พิชิตครับ ตะไคร่ก็เหมือนไม้น้ำครับ ลดไฟ ไม่สังเคราะห์แสง กดลดจำนวนลงเอง แต่ที่ไม้น้ำยังอยู่เพราะมีระบบรากที่คอยดูดซึมอาหาร และยังมีชีวิตรอดอยู่ได้ในช่วงควบคุมไฟ
ที่ผมบอกไม่ลดจำนวนไฟ ไฟแรงก็ให้แรงไว้อย่างนั้น เพราะแท้จริงตะไคร่ส่วนใหญ่ไม่ชอบไฟแรงครับ (อาจอยู่ได้แต่ไม่โตมากขึ้นเท่าไหร่) ตะไคร่เขียวที่เราเห็นส่วนใหญ่ (Chlorophyta)เป็นสิ่งมีชีวิตที่ต้องการแสงน้อยครับ มีอัตราการเจริญสูงสุดที่ 211 μmole/m2/s คือแสงที่มีความเข้มกลางๆ เที่ยบกับแสงแดดจัดกลางวันที่ 2000 μmole/m2/s ช่วงคุมไฟผมมักไม่ลดจำนวนไฟ แต่ลดจำนวนชั่วโมงที่เปิดไฟ เหลือ 5-6 ชั่วโมงต่อวัน ประมาณ 2 สัปดาห์ บางตำราอาจมีแย้งว่าถ้าตะไคร่ไม่ชอบแสงแล้วทำไมในอ่างถึงตะไคร่บานล่ะคะ การที่แสงมากจากดวงอาทิตย์ อาจเกี่ยวข้องกับปฏิกริยาเคมี "iron photoreduction" ครับ

3.รักษาความสะอาดในตู้ รวมถึงการให้อาหารปลา (การให้อาหารปลามากๆไม่ต่างอะไรกับ ท้าทายระบบกรองในตู้ ตะไคร่บูมดั่งการการเทปุ๋ยน้ำ  overdose ลงไปในตู้ครับ) และเปลี่ยนน้ำ ตามระยะ

4.สัตว์น้ำคุมตะไคร่ ที่เหมาะ และปริมาณเหมาะและมากพอ

5.ปริมาณไม้น้ำต้องมากพอ หากช่วงแรกในตู้มีแต่ไม้โตช้า ลอยจอก(จอกมาเลย์ ผมใช้กับตู้ที่ตะไคร่น้ำเขียวได้ผลดีมาก)แหน หรือ ใช้ไม้น้ำโตไวควบคุมปุ๋ย มีผลการทดลองในบ่อที่มีจำนวนตะไคร่น้ำเขียว ลดลงจาก 6600 เซลล์ต่อ มล. ลงเหลือแค่ 430 เซลล์ต่อ มล.เมื่อใช้ไม้น้ำ elodea candensis บำบัด


6. ยากำจัดตะไคร่คือคำตอบท้ายสุด หนทางที่เลือกยา มักแฝงมาด้วยการสูญเสีย ทำตามคำแนะนำบนฉลากสอบถามผู้ขายทุกครั้งที่เป็นยาแปลกใหม่ โดสที่ใช้ ต่อปริมาณน้ำต้องแม่นยำครับ ขนาดตู้ ก*ย*ล*16.4 หัก หิน ดิน การใช้ยาใช้ต่ำกว่าหรือเท่ากับโดสเสมอ


 ขอบคุณทุกท่านครับ คุณ  NP toontoon wsquare ข้อมูลแน่นๆเน้นๆ บางอย่างก็ไม่เคยรู้  [mo_001]

นิยามของคนเสียสติ 
"คือคนที่คิดจะเปลี่ยนแปลงโลก แต่ทำอะไรซ้ำเดิมอยู่ทุกวันๆ"

 ไม้น้ำก็เช่นกัน ข้อมูลแบบนี้กระทู้มีประโยชน์ครับ เสพๆๆๆๆๆๆ [เจ๋ง] [เจ๋ง]

^
^
^
ในที่สุดผมก็พบกับ ทอม บาร์ เมืองไทยแล้วครับ  [ปิ๊งๆๆ]
พี่กบ ออฟไลน์
Sponsor
« ตอบ #21 เมื่อ: 21/07/11, [14:47:29] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ทอม บาร์ มีงานประจำเป็นอาจารย์ชีววิทยา และทำงานบำบัดแหล่งน้ำด้วย
 
^
^
^
ในที่สุดผมก็พบกับ ทอม บาร์ เมืองไทยแล้วครับ  [ปิ๊งๆๆ]
เขาเรียก  ทอม  เก่ง   ต่างหาก [on_055]
qDocomOp ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #22 เมื่อ: 21/07/11, [16:10:32] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

อ่านเพลินมากมาย ดีกว่าอ่านหนังสือเรียนอีก [on_007] ว่าไปนั้น [on_026] ขอบคุณทุกคนที่มาขยายความของการใช้ CO2 ครับเข้าใจอะไรหลายๆอย่างมากขึ้น แต่ก่อนปลูกโดย คาบอน ยีส แต่เดียวนี้เปลียนมาเป็นถัง ก็เลยมาถามนิดหน่อย พอดีอ่านเจอ บางกระทู้เข้า แต่ก็เข้าใจได้เลยว่า ถังมันดีกว่า ขวด จริงๆ แต่เนื่องจากซื้อถังไปแล้ว ถึงกับทำให้การเงินเป็นอัมพาตไปเลย 1 เดือน  [on_024]
ขอ ขอบคุณอีกครั้ง กับทุกความคิดเห็นครับ  [on_066]
MPOWER ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #23 เมื่อ: 21/07/11, [16:37:25] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

แปะไว้ก่อนถ้าว่างเดี๋ยวมาอ่าน เยอะเกิน
toontoon ออฟไลน์
Club Veteran
« ตอบ #24 เมื่อ: 21/07/11, [16:49:11] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

เข้ามาเก็บความรู้ครับ  [ไอ้แว่น] [ไอ้แว่น] ขอบคุณครับ

ควบคุมให้เกิดน้อย จขกท เข้าใจถูกต้องแล้วครับ การใช้ CO2 ในตู้ไม้น้ำเท่าที่พวกผมเข้าใจแบบบ้านๆน่าจะแค่ช่วยให้ต้นไม้มีความสมบูรณ์และเจริญเติบโตเร็วกว่าตะไคร่ แย่งอาหารตะไคร่จนตะไคร่มันไม่มีอะไรกินแล้วก็ตาย หายไปเองครับ (ปัจจัยอื่นๆที่มีผล..ตามทุกท่านด้านบนเลยครับ)......แต่ CO2 ช่วยทำให้ไม่เกิดตะไคร่เนี่ย....มันโชว์ขึ้นตรงดิฟเลยนะครับ  n032 n032
 
ส่วนตัวเน้นวิชามาร.....ไม่เน้นวิชาการครับ  ้hahaha ้hahaha

   ของผมก็ขึ้นตรงหัวดิฟเหมือนกันคับ แต่ที่น่าสังเกตุ คือ ตะไคร่ขนดำจะขึ้นและระบาดเร็วในตู้ที่ไม่ได้ใส่คาร์บอน ส่วนตู้ที่เปิดคาร์บอน 3 ฟองต่อวิขึ้นไป ตะไคร่ขนดำขึ้นเหมือนกันคับ แต่เหมือนโตได้ไม่เต็มที่ คือ ขนจะสั้นมากๆและบางกอจะฝ่อไปเอง และแพร่กระจายได้ช้ากว่ามากๆ ข้อมูลนี้มาจากตู้ผมเองนะคับ

    ตะไคร่จุดเขียวยังคงขึ้นเหมือนเดิมในตู้ที่ใส่และไม่ใส่คาร์บอน ใส่ ADA spacial light แล้วก็ยังคงขึ้นเหมือนเดิม

    ตะไคร่น้ำตาล ก็ขึ้นเหมือนกัน ทั้งๆที่เติมน้ำ RO ลงตู้แล้ว แต่น้อยลงไปเยอะ ตอนหลังใส่ปลาอ๊อตโต้สบายเลย
    
    ตะไคร่ขนเขียว นี้เห็นผลมากๆ เมื่อใส่ UV filter  

 
    
    
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21/07/11, [17:04:59] โดย toontoon »
toontoon ออฟไลน์
Club Veteran
« ตอบ #25 เมื่อ: 21/07/11, [16:57:42] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

           
ในความคิดผม CO2 มากตะไคร่จะลดลงมันอยู่ที่ว่า
1.KH alkaliity(Carbonate hardness (KH) = bicarbonate (HCO3-)+carbonate (CO3--) ions) ของน้ำมันมากไปหรือน้อยไปด้วย เพราะถ้า KH สูงมากไป CO2 ที่เร่งฉีดเข้าไปตอนแรก จะถูกใช้ในการลด(สะเทิน) KH   ก่อน พอ pH ลดลงถึงระดับที่ มี CO2 มากพอ ต้นไม้ถึงจะดูดซับไว้ได้ ตรงนี้ผมเคยเจอผู้เลี้ยงหลายท่านที่น้ำ KH สูงๆ เลี้ยงไม้น้ำไม่ค่อยสำเร็จเพราะ ให้ CO2 เยอะนะครับแต่ไม้โทรม เพราะ KH สูงเกินไปนี่เอง(KH ควรอยู่ที่ 3-4)


   นอกประเด็นนิดนึงนะคับ คือ อยากสอบถามคุณ Coffman หน่อยคับ คือ ประโยคนี้ หมายความว่า คาร์บอนที่เราใส่ในตู้ จะไปช่วยทำให้ KH ลงมาหรอคับ อันนี้ผมเข้าใจถูกหรือเปล่า? แล้วมีวิธีไหนบ้างที่ทำให้ KH ในน้ำลง นอกจากเติมน้ำ RO หรือ เติมสารละลายที่ขายตามท้องตลาดลงตู้
L a k e I o n . ออฟไลน์
Club Champion
« ตอบ #26 เมื่อ: 21/07/11, [17:39:03] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ



สนุกครับ  ทั้งคุณ toontoon และคุณ NP  ชอบๆๆ   โดยเฉพาะตอนนี้  โดนใจคนมีตะไคร่เต็มๆ


 
Coffman ออฟไลน์
Sponsor
« ตอบ #27 เมื่อ: 21/07/11, [17:42:55] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

  นอกประเด็นนิดนึงนะคับ คือ อยากสอบถามคุณ Coffman หน่อยคับ คือ ประโยคนี้ หมายความว่า คาร์บอนที่เราใส่ในตู้ จะไปช่วยทำให้ KH ลงมาหรอคับ อันนี้ผมเข้าใจถูกหรือเปล่า? แล้วมีวิธีไหนบ้างที่ทำให้ KH ในน้ำลง นอกจากเติมน้ำ RO หรือ เติมสารละลายที่ขายตามท้องตลาดลงตู้

คุณ NP แตกฉานกว่าผมครับ ได้อธิบายไว้แล้วในกระทู้ด้านบน
การที่ KH มันลดจาก CO2 เป็นการลดแบบเสมือนครับ ปฎิกริยา วกกลับไปมาได้ในตู้ที่มี buffer(สารต้านการเปลี่ยน pH)

วิธีที่จะลด KH ได้จริงคือเติมกรดเกลือครับ (hydrochloric  acid) ลงชัวร์ๆ
H+ + HCO3- --> H2CO3 --> H2O + CO2.
คำนวณ KH GH ตามนี้เลยครับ http://www.thekrib.com/Plants/CO2/hcl.html

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21/07/11, [17:45:40] โดย coffman »
NP ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #28 เมื่อ: 21/07/11, [20:57:32] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ


คุณ NP แตกฉานกว่าผมครับ ได้อธิบายไว้แล้วในกระทู้ด้านบน

แหม ไม่ขนาดนั้นหรอก ผมแค่เอามาเล่าก่อน ไม่ได้แตกฉานอะไร  emb01



Art_of_Nature ออฟไลน์
Club Champion
« ตอบ #29 เมื่อ: 21/07/11, [21:32:34] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

กระทู้ความรู้แบบนี้พออ่านได้เพลินๆ รู้บ้างงงบ้างก็ยังไหว ้hahaha

หลักการน้อย หลักกูเข้าช่วย ชอบไฟแบบบ้าพลังอัดเต็ม เปิดที10ช.ม.
    แต่สิ่งที่เน้นคือทำให้ระบบในตู้สมบูรณ์ เปลี่ยนถ่ายน้ำอย่างสม่ำเสมออาทิตย์ละอย่างน้อย1ครั้ง  คาร์บอน3ฟองต่อวิสำหรับตู้24  ปุ๋ยก็พอประมาณ
   ใช้วิธีการนี้มาตลอดหลายปี แทบไม่ค่อยพบเจอปัญหาเรื่องตะไคร่มารบกวน (ยกเว้นอย่างเดียวตอนตั้งตู้ใหม่ดินใหม่เจอทุกรอบแต่พอผ่าน3-4เดือนจะค่อยๆหายไป)
หน้า: 1 2   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: