เค้าว่าไว้อย่างงั้น ปีนี้ไม่ได้วางโปรแกรมอะไรไว้เลย รอจังหวะที่ว่างกันก็เดินทาง บางครั้งก็ไม่ได้ไปใหนไกลๆด้วยความที่ว่างานชุกทั้งปี
เดินทางบ่อยครับแต่ไม่ค่อยได้เดินทางกับลิง แอบสัญญาไว้ในใจว่าต้องพาเค้าไปเที่ยวด้วยบ้างเมื่อเค้าโตพอแล้ว
ดูแลตัวเองได้แล้ว

วันหยุดสามวันที่ผ่านมาเลยได้โอกาสเพราะว่าลิงหยุดเรียนวันนึงก่อนหยุดยาวเป็นหยุดสี่วัน อยากไปเชียงคาน อยากไปเงียบๆมั่ง
แต่ว่าก่อนหน้านี้คุยกับพี่ชายเห็นว่าเค้าจะขึ้นภูทับเบิกกันในวันหยุดจะพาแม่ไปนอนบนนั้นด้วย
อยากไปเจอแม่มั่งเลยออกเดินทางแต่เที่ยงเพื่อจะไปเชียงคานก่อนหนึ่งวันแล้วค่อยมานอนที่ทับเบิกอีกคืน
พอออกเดินทางได้หน่อยนึง ก็โทรไปหาพี่ชายว่าเป็นไง ได้รับข่าวร้าย แม่หนีไปเที่ยว สิบสองปันนาเมือคืนแล้ว อ้าวววว
แล้วไม่ได้จัดโปรแกรมอะไรพี่ชายยังทำงานอยู่ที่กำแพงเพชรอีกต่างหาก เอาแระ งานนี้ไม่ต้องวางแผนกันจริงๆด้วย
เลยบอกว่าเด๋วคุยกันอีกที ออกจากปราจีนมามีเบอร์โทร ที่พักอยู่ที่เดียว โทรไปไม่รับจนเกือบถึงสระบุรี บอกว่าที่พักเต็มเลยวางหูไป
เส้นทางที่ไปออกไปทางสระบุรี ออกไป ชัยบาดาล เข้าเมืองมะขามหวานออกไปอ.ที่หนาวที่สุดของประเทศไทย
ไปเลยเข้าเชียงคาน ห้าร้อยกว่ากิโล ทางโล่งดีมากแต่ไปขึ้นเขาตั้งแต่ออกจากหล่มสักไป เขาคดเคี้ยวมาก
ระหว่างทางก็โทรกลับไปที่โฮมสเตย์เดิมฝากเค้าให้หาที่พักให้ด้วย ไม่ผิดหวังครับ คนเมืองเชียงคานมีน้ำใจ ไปหาเบอร์ที่
พักพร้อมชื่อมาให้เลยโทรไปจองได้บ้านอาจารย์ท่านนึงอยู่บนถนนสายริมโขง เหลือห้องแอร์ โถ.....ห้องแอร์ เอาว่ะยังดี
มีที่พักแล้วแน่ๆ ขับไปน้ำมันจะหมดไปถึงภูเรือหาเติมน้ำมันและแวะกินบะหมี่หน้าอำเภอภูเรือ 20 องศาเอง ไม่ได้เย้นอะไรนัก
หลังจากนั้นก็พากันวิ่งผ่านขุนเขาที่สุดคดเคี้ยวไปเชียงคานกัน ลิงเกือบหลับแต่บอกว่าให้ไปถึงก่อนจะหลับ
ว่าเสร็จก็ปีนไปหลังรถบอก หนูนอนแระ อ้าวววไอ่ลิงตัวนี้เว้ย

ไปถึงเชียงคานเงียบดี วนหาซอย 19 ไม่ยาก เราก็หาว่าใหนซอยมันแปลกๆ
มีชื่อซอยเดียวกันสองฝั่ง...
แบบว่ามาถนนเส้นที่เค้าตัดใหม่อะ

ถนนริมโขงมันเส้นเก่า
เค้าตัดคู่ขนานมันก็ไปตัดซอยต่างๆที่มีมาเดิมทำให้สองข้างมันชื่อซอยเดียวกัน

เข้าพักเสร็จก็ไม่ได้ออกไปใหนจับลิงอาบน้ำแล้วก็อาบน้ำเองด้วยหมดแรง พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน

ตื่นเช้ามาพร้อมเสียงระฆังจากวัดข้างๆหกโมง
ลิงยังนอนอุตุแต่อากาศเย็นนิดหน่อย แล้วก็ไม่ได้ไปตัวบาตรข้าวเหนียว ว่ะฮ่าๆๆๆๆ ไม่เป็นไร ยังได้มาอีกหลายรอบพระไม่หนีไปใหน เชียงคานยังอยู่ที่เดิมไม่หนีเราไปใหนเหมือนกัน
พอลิงตื่นก็อาบน้ำแม่เจ้า กุงเกงขาวยาวลิงที่ใช้อยู่มันกลายเป้นแบบ สี่ส่วนอย่างอัตโนมัติ เอาว่ะยังดี ได้ใส่ไว้เพราะว่าน่าจะไม่ได้อาบน้ำอีกสองวันแน่ๆ
พออาบน้ำลิงเรียบร้อยก็อาบมั่งออกมาแต่งตัว ลิงหาย เอาแระ

เดินหาลิงรอบตลาด(ไม่ใหญ่แต่เหนื่อยน่ะเฟ้ย) เดินไปเดินมาพักนึง กลับมาที่พักเจอกินโอวัลตินอยู่
เจ้าของที่พักพาไปเดินเล่น โห...ลืมอะ

คือลูกชายตะโกนบอกตั้งแต่เราเข้าส้วมอยู่เสียงอู้อี้ๆ ไม่ชัด นึกว่าไปทำไรเค้าเสียหรือไรซักอย่างเนี่ยแหละ เฮ้อ..

เชียงคานเป็นเมืองที่เก่าและแก่ด้วย

เดิมทีเดียวนั้นไม่ได้เจริญอะไรขนาดนั้น

เอาประวัติมาให้อ่านก่อน อู้ อะ รู้จักไม๊ อู้อะ
เมืองเชียงคานเดิมตั้งอยู่ที่เมืองชะนะคาม ประเทศลาว ซึ่งสร้างโดยขุนคาน โอรสของขุนคัวแห่งอาณาจักรล้านช้าง
เมื่อประมาณ พ.ศ. 1400 ต่อมาประมาณ พ.ศ. 2250 อาณาจักรล้านช้างแยกออกเป็นสองอาณาจักรคือ อาณาจักรหลวงพระบาง
ซึ่งมีพระเจ้ากีสราชเป็นกษัตริย์ และอาณาจักรเวียงจันทน์ ซึ่งมีพระเจ้าไชยองค์เว้เป็นกษัตริย์ โดยกำหนดอาณาเขตให้ดินแดนเหนือแม่น้ำเหืองขึ้นไป
เป็นอาณาเขตหลวงพระบาง และใต้แม่น้ำเหืองลงมาเป็นอาณาเขตเวียงจันทน์

ต่อมาทางหลวงพระบางได้สร้างเมืองปากเหืองซึ่งอยู่ฝั่งขวาของแม่น้ำโขงเป็นเมืองหน้าด่านและทางเวียงจันทน์ได้ตั้งเมืองเชียงคาน
เดิมเป็นเมืองหน้าด่านเช่นกัน ต่อมา พ.ศ. 2320 พระเจ้ากรุงธนบุรี โปรดให้เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกกับพระสุรสีห์ ยกทัพไปตีกรุงเวียงจันทน์
ตีเวียงจันทน์ได้จึงได้อันเชิญพระแก้วมรกต กลับมายังกรุงธนบุรี แล้วได้รวมอาณาจักรล้านช้างเข้าด้วยกันและให้เป็นประเทศราชของไทย
และได้กวาดต้อนผู้คนพลเมืองมาอยู่เมืองปากเหืองมากขึ้น แล้วโปรดเกล้าฯ ให้เมืองปากเหืองไปขึ้นกับเมืองพิชัย ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 เจ้าอนุวงศ์
เจ้าเมืองเวียงจันทน์ คิดกอบกู้เอกราชเพื่อแยกเป็นอิสระจากไทยโดยยกกำลังจากเวียงจันทน์มายึดเมืองนครราชสีมา แต่ในที่สุดเจ้าอนุวงค์ถูกจับขังจนสิ้นชีวิต
กองทัพไทยที่ยกมาปราบเจ้าอนุวงศ์ที่นครราชสีมาได้ยกทัพไปกวาดต้อนผู้คนจากฝั่งซ้ายของลำน้ำโขงมายังเมืองปากเหืองมากขึ้น
และโปรดเกล้าฯ ให้พระอนุพินาศ (กิ่ง ต้นสกุลเครือทองศรี) เป็นเจ้าเมืองปากเหืองคนแรก แล้วพระราชทานชื่อเมืองใหม่ว่า เมืองเชียงคาน
ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พวกจีนฮ่อได้ยกทัพมาตีเมืองเวียงจันทน์ เมืองหลวงพระบางและ
ได้เข้าปล้นสะดมเมืองเชียงคานเดิมที่อยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง ชาวเชียงคานเดิมจึงอพยพผู้คนไปอยู่เมืองเชียงคานใหม่ (เมืองปากเหือง)
เป็นจำนวนมาก ครั้งต่อมา เห็นว่าชัยภูมิเมืองเชียงคานใหม่ (เมืองปากเหือง) ไม่เหมาะสม ผู้คนส่วนใหญ่จึงอพยพไปอยู่ที่บ้านท่านาจันทร์ซึ่งใกล้
กับที่ตั้งของอำเภอเชียงคานปัจจุบัน แล้วตั้งชื่อใหม่ว่า เมืองใหม่เชียงคาน ต่อมาไทยได้เสียดินแดนฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้กับฝรั่งเศส
ทำให้เมืองปากเหืองตกเป็นของฝรั่งเศส คนไทยที่อยู่เมืองปากเหืองจึงอพยพมาอยู่เมืองใหม่เชียงคานหรืออำเภอเชียงคานปัจจุบันโดยสิ้นเชิง
แล้วได้เปลี่ยนชื่อเมืองเป็นเมืองเชียงคานใหม่ ได้ตั้งที่ทำการอยู่บริเวณวัดธาตุ เรียกว่าศาลาเมืองเชียงคาน ต่อมาได้ย้ายไปอยู่บริเวณวัดโพนชัย
จนกระทั่งปี พ.ศ. 2452 เมืองเชียงคานซึ่งมีพระยาศรีอรรคฮาด (ทองดี ศรีประเสริฐ) ได้รับตำแหน่งนายอำเภอเชียงคานคนแรก ต่อมาปี 2548
ได้ย้ายที่ว่าการอำเภอเชียงคานมาอยู่ ณ ที่อยู่ปัจจุบันตราบเท่าทุกวันนี้
อู้รอบแรก เรายังอู้ต่อได้อีก



เห็นบ้านหลังนี้แล้วก็รู้ทันทีว่าเจ้าของจะต้องมีอันจะกินพอดูในสมัยนั้น บ้านปูนมันของคนระดับเจ้าสัวเชียวแหละ คนจนอยู่บ้านไม้กัน

จาก www.chiangkhan.com
บ้านหลังนี้น่าจะโดนอนุรักษ์โดยด่วน ก่อนที่จะเสื่อมสลายไปกับสายลม และ การก่อสร้าง.....

โดยน่าจะ
๑. ให้นายก หรือ นายอำเภอ ติดต่อเจ้าของบ้าน แจงเจตนาว่าอยากอนุรักษ์ รักษา บ้านหลังนี้ โดยคงสภาพเดิม เหตุผลต้องหนักแน่นนำไปปฏิบัติได้
๒. ขอให้เจ้าของบ้าน บริจาคหรือ อุทิศเพื่อส่วนรวมไม่เป็นของใคร เป็นของเมืองเชียงคาน เพื่อ ทางเทศบาล หรืออำเภอหางบประมาณ มาบูรณะ ทำให้แข็งแรง ไม่ใช่เปลี่ยนแปลงหรือ เปลี่ยนสภาพ
๓. ขอขึ้นทะเบียนกับกรมศิลปากร เพื่อให้เป็นของเก่า ที่ต้องดูแล
๔. จัดเจ้าหน้าที่มาดูแล ทำความสะอาด ทั้งในและนอก
๕. ทำเป็น พิพิธภัณฑ์ ประวัติเมืองเชียงคาน
๖. เป็นศูนยข้อมูลนักท่องเที่ยว โดยมีข้อมูลต่างๆที่เป็นประโยขน์ ในการเที่ยว ข้อควรระวัง การเที่ยวแบบอนุรักษ์
๗. หรือให้ภาคประชาชน ชาวเชียงคานดูแลกันเอง โดยเป็นประชาชนเข้มแข็ง ไม่แสวงหาผลกำไร
ประมาณนี้ครับ บ้านหลังนี้จะได้อยู่คู่เชียงคาน
(ลอกมาจาก Blog pitakchai จาก www.chiangkhan.com)

มุมมองต่อเมืองท่องเทียวเชิงอนุรักษ์ ที่มีกระแสค่อนข้างรุนแรง

แทบจะไม่ยอมให้มีสิ่งปลูกสร้างที่ทรงแปลกปลอมเกิดขึ้น คือ อยากเก็บไว้ให้ลูกหลานได้เห็นกันว่าเดิมเค้าอยู่กันอย่างไร และมันได้ผล มีคนมากมายอยากหายใจแบบเชียงคานเดิมๆ อย่าง
ล้นหลาม แทบจะไม่มีที่พักให้จนเกิดไอเดียร์บ้านพักแบบโฮมสเตย์เป็นดอกเห็ด ที่นี่มีโรงแรมน้อยมาก

ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้อยู่บนถนนสายอนุรักษ์ เว้นโรงแรมนี้

เส้นทางในตลาดก็ง่ายๆไม่ซับซ้อน ขนาดเด็กห้าหกขวบไม่หลงแต่คนแก่อาจจะเมื่อยหน่อยด้วยที่ว่ามันยาว

ของหลายๆอย่างก็เอายั่วคนชอบของเก่าแบบร่วมสมัย

หากต้องการกลิ่นอายแห่งเชียงคานก็ไปกันเลยครับที่เชียงคาน


ชอบโคมไฟอันนี้จังไม่ได้เห็นตอนกลางคืน


การก่อสร้างยังคงมีอยู่แต่ด้วยรูปแบบที่เดิมๆมากที่สุดเท่านี่จะทำได้

ผู้คนน่ารักครับ ชอบอัธยาศัยคนที่นี่จริงๆเลย






ของกินก็ได้รับอิทธิพลมาจากเพื่อนบ้านพอควร


บ้านเมืองเงียบๆดีครับ ถ้าไม่มีใครเข้าไปเที่ยวก็อยู๋กันอย่างงี้






ริมน้ำโขงที่เดินเล่นเนี่ยห้ามรถวิ่งครับ จริงๆเป็นหลังบ้านเค้า




อย่างไรเสีที่นี่ก็ต้องเจริญขึ้นครับ คนมามากมายเข้ามาทำกินจับจองพื้นที่

เมื่อท้องหิวก็ยังต้องการอาหารต้องทำมาหากินครับเราคงได้แค่แวะเข้าไปเยือนบ้างเมื่อโหยหาบรรยากาศนั้นอีก




แล้วเราคงได้พบกันอีกครับที่ภูทับเบิก









