Aqua.c1ub.net
*
  Sun 28/Dec/2025
หน้า: 1   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องของแบคทีเรีย (จุลินทรีย์) สำหรับกุ้ง  (อ่าน 21451 ครั้ง)
SM ออฟไลน์
Club Brother
« เมื่อ: 28/08/10, [13:24:12] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ไปอ่านเจอมาน่าสนใจดีครับเผื่อจะเอามา apply กับตู้ red bee
น่าจะเป็นหลักการเดียวกันครับ บทความนี้เป็นบทความเกี่ยวกับการเลี้ยงกุ้งอุตสาหกรรมครับ
๑ ทำไมต้องเติมจุลินทรีย์บ่อยๆ (web เราเรียก แบคทีเรีย)
๒ ทำไมต้องทำให้จุลินทรีย์หิวก่อนเติม จะใช้งาน
๓ จุลินทรีย์น้ำ กับ จุิลินทรีย์ผงมันต่างกันยังไง
๔ จุลินทรีย์ มันทำงานอย่างไรได้บ้าง

ถ้าสนใจตามหัวข้อลองอ่านดูครับ มันยาว
ผมอ่านแล้วเข้าใจเลยว่าทำไม เพื่อนๆ บางคนต้องเติม แบคทีเรีย บ่อยๆ

๙๙๙๙๙๙๙

นักจุลชีวะ ขยายผลการใช้จุลินทรีย์ให้เกิดประสิทธิผล

ต้องยอมรับว่า ในปัจจุบัน จุลินทรีย์เข้ามามีบทบาทกับการเลี้ยงกุ้งมากพอสมควร โดยเฉพาะเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า ที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการเลี้ยงจากการใช้สารเคมีเต็มรูปแบบ มาเป็นการเลี้ยงในแนวทางชีวภาพ

แต่จากการที่ยังมีเกษตรกรบางส่วน ยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้จุลินทรีย์อย่างมีประสิทธิภาพ หลงเชื่อตามคำโฆษณา หรือคำแนะนำจากพนักงานขาย ในการตัดสินใจเลือกใช้ ทำให้ผลของการใช้ บางครั้งก็ได้ผล บางครั้งก็ไม่ได้ผล หรือได้ผลไม่เต็มที่

เกี่ยวกับการใช้จุลินทรีย์ในบ่อ เลี้ยงกุ้งนี้ ทางทีมงานได้มีโอกาสพูดคุยกับ ดร.ปราโมทย์ ศิริโรจน์ หัวหน้าภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ถึงแนวทางและวิธีการใช้ จุลินทรีย์อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งพอจะสรุปรวมความได้ดังนี้

การใช้จุลินทรีย์ในบ่อกุ้งอย่าง มีประสิทธิภาพ

เรื่องการใช้จุลินทรีย์ในบ่อเลี้ยง กุ้ง ดร.ปราโมทย์ ให้ความเห็นว่า จากที่ได้ติดตามการสัมมนาของนักวิชาการ เกี่ยวกับเทคนิคการใช้จุลินทรีย์ในบ่อกุ้ง ตามสถานที่ต่างๆ ที่มีการนำเสนอในหลายปีที่ผ่านมา ยังไม่ชัดเจนเท่าที่ควร

การเติมจุลินทรีย์ลงไปในบ่อเลี้ยง กุ้ง เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในการย่อยของเสีย เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งเองต้องทำความเข้าใจก่อนว่า จะต้องมีการเตรียมจุลินทรีย์ให้มีความพร้อม ทั้งปริมาณและความว่องไว (active) เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายขึ้น ขอใช้คำว่า “ต้องทำให้เขา (จุลินทรีย์) หิว” คือทำให้จุลินทรีย์หิวเต็มที่ก่อน เมื่อเวลาที่เกษตรกรใส่ลงไปในบ่อแล้ว สามารถทำงานได้ทันทีอย่างมีประสิทธิภาพ

ต้องนึกถึงหลักความจริงที่ว่า คนเราถ้าให้มีแรงทำงาน เราก็ต้องกินอาหารให้อิ่มก่อน ร่างกายเมื่อได้รับสารอาหารแล้วก็จะมีแรงทำงานได้ แต่ถ้าเป็นกรณีจุลินทรีย์ต้องกลับกัน เพราะว่าการกินอาหาร (ย่อยสลายของเสียต่างๆ) ก็คืองานที่เราต้องการให้เขาทำงานอย่างมากๆ นั่นเอง ดังนั้น เมื่อรู้หลักการพื้นๆ นี้แล้ว ก็จะไม่มีการมาบ่นว่า เอ๊ะ! ทำไมใช้ที่นี่ได้ผล แต่ที่โน่นไม่ได้ผล ทั้งๆ ที่เป็นจุลินทรีย์ชนิดเดียวกัน

“จุลินทรีย์ที่หมักใช้เองโดย เกษตรกร ถ้าหมักถูกวิธีจะมีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากจุลินทรีย์ที่หมักเองจะพร้อมทำงาน (ย่อยสลาย) ได้ดี สำหรับจุลินทรีย์ที่อยู่ในกระป๋อง หรือในถังแกลลอนที่ซื้อมา พูดตามภาษาชาวบ้านคือว่า เขาอยู่ระยะพักตัว (นอนหลับอยู่) หรืออยู่ในรูปสปอร์ ก็มีความหมายที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งเมื่อใส่ลงไปในบ่อกุ้ง เขาก็ต้องปรับตัว ขยายตัว ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ทันที”

ซึ่งทั้งจุลินทรีย์ในรูปของเหลว และจุลินทรีย์ในรูปผงก็ดี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเพิ่มปริมาณแล้ว ก็จะต้องมีการนำไปขยายตัว แล้วก็จะต้องทำให้จุลินทรีย์หิวเต็มที่เสียก่อน จึงจะนำไปใช้ได้ผลเต็มที่

วิธีการ สำหรับจุลินทรีย์ผง (มักจะเป็น Bacillus subtilis) ก็ให้ใส่จุลินทรีย์ผงลงไปในสารละลายกากน้ำตาลประมาณ 1-2% เพื่อใช้เป็นอาหาร เติมอากาศ และปล่อยไว้ประมาณ 2 วัน วันที่ 3 หรือ 4 ก็ สามารถนำไปใช้ได้

จุลินทรีย์ในรูปของของเหลว ให้ ใส่ลงในถังที่มีกากน้ำตาลละลายอยู่ 1-2% หมักปิดฝาถังให้มิดชิดประมาณ 3 วัน วันที่ 4 ก็สามารถนำไปใช้ได้

ทำไมต้องหมักนาน 2 วันหรือ 3 วัน? นานกว่านี้ได้ไหม

“การทำงานของจุลินทรีย์ เราต้องรู้ใจเขา ถ้าเราต้องการให้เขาหิวเต็มที่ เราต้องทำอย่างไรบ้าง ซึ่งหากเขาอยู่ในระยะพักตัว เขานอนหลับ อาจจะอยู่ในรูปน้ำ หรืออยู่ในรูปสปอร์ (ผง) ต้องทำให้เขางอกออกมาเป็นตัวอ่อน พร้อมกับให้กินอาหารด้วยกากน้ำตาล 1-2% หมักไว้ 2 หรือ 3 วันแล้วแต่ชนิด (ชอบอากาศหรือไม่ชอบอากาศ) ของจุลินทรีย์

ขอยกตัวอย่างกรณีของจุลินทรีย์ ในรูปของของเหลว ซึ่งมักจะเป็นพวกที่ไม่ชอบอากาศ ทำไมต้องหมักไว้ 3 วัน เพราะว่าวันที่หนึ่ง เราให้เขากินอาหาร แล้วจะได้แบ่งตัว เพิ่มตัวมากขึ้น พอถึงวันที่สอง เซลล์ของจุลินทรีย์ยังคงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พอวันที่สาม อาหารหมด ตอนนี้จุลินทรีย์เริ่มแบ่งตัวลดลง การเพิ่มเซลล์ของเขาเริ่มคงที่ หลังจากวันที่สาม อาหารหมดแล้ว เขาเริ่มหิว (ความหิวของจุลินทรีย์คือความต้องการของเรา) พอวันที่สี่ ตัวเอาจุลินทรีย์ที่หมักนี้ไปสาดลงในบ่อกุ้ง เขาก็จะไปกินสารอินทรีย์ในบ่อดินของเราอย่างรวดเร็ว

นี่คือหลักการสำคัญซึ่งคนทั่วไป ไม่รู้ หรือแม้แต่นักวิชาการซึ่งรู้อยู่แล้ว แต่ไม่ได้นำหลักการมาใช้กับการเตรียมจุลินทรีย์ในงานนี้”

ดร.ปราโมทย์ ยังกล่าวต่อว่า การโฆษณาโดยเน้นถึงปริมาณของจุลินทรีย์เป็นสำคัญ (109-1012 CFU หรือสูงกว่านี้) นั่นทางปฏิบัติไม่จำเป็นเลย มีเพียงแค่ 105 หรือ 108 CFU ก็เพียงพอ เพราะเราต้องนำมาขยายเชื้ออยู่แล้ว ควรคำนึงถึงหลักการสำคัญก็คือ “จุลินทรีย์หิวจึงจะทำงานได้ดี”

การใช้จุลินทรีย์กระตุ้นให้การ กินอาหาร

การใช้จุลินทรีย์น้ำคลุกในอาหาร จะยังมีประโยชน์ของการเป็นโปรไบโอติกอีกด้วย คือ จุลินทรีย์จะไปช่วยย่อยอาหารในส่วนของลำไส้กุ้ง ทำให้กุ้งย่อยอาหารได้ง่าย และสามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้น ในกลุ่มของจุลินทรีย์ที่ไม่ชอบอากาศ จะมีกลุ่มของยีสต์อยู่ด้วย ซึ่งในยีสต์เองจะมีวิตามินบีหลายชนิด มีประโยชน์คือ ทำให้เกิดความหิว ความอยากกิน และเป็นตัวกระตุ้นให้กุ้งกินอาหาร

“อย่างในคนที่เกิดอาการเบื่อ อาหาร ผอมแห้ง เขาก็จะให้กินวิตามินบีรวม ซึ่งสกัดมาจากยีสต์เป็นส่วนใหญ่ ในจุลินทรีย์พวกชีวภาพ ก็จะมียีสต์เป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย พอคลุกกับอาหารให้กุ้งกิน กุ้งก็ได้วิตามินบีรวมเข้าไปด้วย ก็จะกระตุ้นให้มันกินอาหารได้มากขึ้น”

ชนิดของจุลินทรีย์ที่ใช้

ในส่วนของชนิดของจุลินทรีย์ที่ใช้ ดร.ปราโมทย์ แนะนำว่า ควรเป็นจุลินทรีย์หลายชนิดรวมกันจะดีกว่า สำหรับกลุ่มของจุลินทรีย์ที่ใช้อากาศชนิดที่สำคัญ คือ บาซิลลัส ซับติลิส (Bacillus subtilis) ซึ่งจะมีคุณสมบัติการ ย่อยสลายอินทรีย์ที่ดี และมีประสิทธิภาพในการย่อยสูงมาก สามารถย่อยได้ทั้งโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต

สำหรับกลุ่มจุลินทรีย์ที่ไม่ใช้ อากาศ ชนิดที่สำคัญได้แก่ บาซิลลัส ไรเคนนิฟอมิส (Bacillus licheniformis) ซึ่งจุลินทรีย์ตัวนี้จะทำงานได้เหมือน บาซิลลัส ซับติลิส ทุกอย่าง เพียงแต่จะเป็นจุลินทรีย์ที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพที่ไม่มีอากาศ ดังนั้น การใช้ บาซิลลัส ซับติลิส คู่กับ บาซิลลัส ไรเคนนิฟอมิส จะทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงมาก

กลุ่มยีสต์ชนิดที่สำคัญได้แก่ แซคคาโรไมซิส ซึ่งจะมีวิตามินบีรวมอยู่ นอกจากนี้ ก็คงมีกลุ่มแบคทีเรียสังเคราะห์แสง พวกคลอโรเบี่ยม (Chlorobium sp.) ซึ่งจะเป็นแบคทีเรียที่สังเคราะห์แสงชนิดตัวสีเขียว มีประโยชน์คือ แบคทีเรียตัวนี้จะช่วยย่อยสลายสารประกอบซัลเฟอร์ ไปใช้เป็นแหล่งพลังงานของตัวมันเอง ทำให้ช่วยป้องกันการเกิดสารพิษไฮโดรเจนซัลไฟด์ และอื่นๆ ในบ่อกุ้งได้

แนวทางการใช้จุลินทรีย์ให้เหมาะ สมภายในบ่อกุ้ง

เริ่มต้นจะต้องมีการดูถึงสภาพบ่อ และสภาพน้ำเสียก่อน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากดินในบ่อเป็นกรดจัด การมีเลนที่พื้นบ่อจะเป็นบัฟเฟอร์อย่างดี ในการป้องกันไม่ให้กรดละลายออกมา ดังนั้น การใช้จุลินทรีย์ลงไปบำบัด ปรับสภาพเลนพื้นบ่อ โดยไม่ต้องมีการกำจัดเลนออก ก็จะช่วยป้องกันความเป็นกรด และกำจัดสารพิษในเลนได้

สำหรับจุลินทรีย์ที่ใช้ในการเตรียม บ่อเตรียมน้ำ จะใช้ทั้งชนิดชอบอากาศและไม่ชอบอากาศรวมกันก็ได้ หรือใช้ บาซิลลัส ซับติลิส ตัวเดียวก็ได้ แล้วแต่พื้นที่และความสะดวก

ควรใส่ขี้ไก่อบแห้งเพื่อสร้าง สัตว์หน้าดิน ตรงนี้ ดร.ปราโมทย์ย้ำว่าควรจะเป็นขี้ไก่อบแห้ง ไม่ควรใช้ขี้ไก่ตากแห้งหรือขี้ไก่สด เนื่องจากในขี้ไก่อบแห้ง เชื้อซาลโมเนลล่ามักตายหมด แต่หากเป็นขี้ไก่ตากแห้ง หรือขี้ไก่สด อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อซาลโมเนลล่าได้ ถ้าการตากแดดนั้นเกลี่ยขี้ไก่ไม่สม่ำเสมอ

เมื่อสร้างสัตว์หน้าดินพร้อมแล้ว จึงนำลูกกุ้งมาปล่อย ตรงนี้หากเตรียมสัตว์หน้าดินได้อย่างสมบูรณ์ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องให้อาหารลูกกุ้งในช่วง 1 เดือนแรกของการเลี้ยงเลย หลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนที่สองเป็นต้นไป ต้องมีการระวังเรื่องการให้อาหาร ต้องให้อย่างพอดี อย่าให้มากเกินไปหรือน้อยไป รวมถึงต้องมีการใส่จุลินทรีย์ลงไปเป็นระยะๆ

สาเหตุที่ต้องใส่จุลินทรีย์ลงไป เป็นระยะๆ อาจารย์ปราโมทย์กล่าวว่า “จุลินทรีย์หมักที่ใช้กันทั่วไป จะไปข่มจุลินทรีย์ท้องถิ่นที่อยู่ในบ่อ ให้หยุดหรือลดกิจกรรมลง ซึ่งจุลินทรีย์ท้องถิ่นที่อยู่ในบ่อทั่วๆ ไป ถ้ามีสารอินทรีย์เข้ามา แล้วอยู่ในสภาพไร้ออกซิเจน จะย่อยสลายในกระบวนการ ทำให้เกิดมีเทน ไฮโดรเจนซัลไฟด์ แอมโมเนีย เป็นต้น

แต่ถ้าเป็นจุลินทรีย์น้ำหรือ จุลินทรีย์ที่หมัก เมื่อใส่ลงไป มันจะไปตัดตอน ไม่ให้จุลินทรีย์ท้องถิ่นเปลี่ยนสารอินทรีย์เป็นสารพิษ โดยจะเปลี่ยนเป็นสารอินทรีย์อื่น วิตามิน และคาร์บอนไดออกไซด์แทน นี่คือสาเหตุที่เราต้องใส่จุลินทรีย์ในบ่อเป็นระยะ เพราะถ้าไม่มีการใส่ลงไป จุลินทรีย์ท้องถิ่นภายในบ่อก็จะทำให้เกิดสารพิษ พวกไฮโดรเจนซัลไฟด์ หรือ แอมโมเนีย กลับขึ้นมา”

นอกจากนี้ ถ้าหากใช้จุลินทรีย์แบบชอบอากาศ ซึ่งได้แก่ บาซิลลัส ซับติลิส จะต้องมีการตีน้ำด้วย เนื่องจากจุลินทรีย์จะไปดึงออกซิเจนจากน้ำในกระบวนการย่อยสารอินทรีย์ ซึ่งอาจทำให้กุ้งในบ่อขาดออกซิเจนได้ ในตอนกลางคืนหรือใกล้สว่าง

การใช้จุลินทรีย์ในบ่อกุ้ง จะต้องมีการใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ค่อนข้างเจือจาง ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ในปริมาณสูง การใช้จุลินทรีย์ในปริมาณสูงเกินไป มีข้อเสียคือ

1. สิ้นเปลืองเงิน
2. ทำให้น้ำหนืด
3. กุ้งเครียด
4. แย่งปริมาณออกซิเจนกับกุ้งในบ่อ

ที่ผ่านมา เกษตรกรส่วนใหญ่มักจะตัดสินใจเลือกใช้จุลินทรีย์ที่มีปริมาณมากๆ สิบยกกำลังสิบ หรือสิบยกกำลังยิ่งมากก็คิดว่ายิ่งดี รวมถึงต้องมีจุลินทรีย์ตัวนั้นหรือตัวนี้อยู่ถึงจะดี ถ้าไม่มีอยู่ไม่ดี บางครั้งการตัดสินใจก็ควรปรึกษานักวิชาการในเรื่องที่เกี่ยวข้องก่อนก็จะดี ดังเช่น การใช้จุลินทรีย์ในปริมาณสูง ทำให้เกิดผลเสียดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

สำหรับรายชื่อจุลินทรีย์ที่ แสดงอยู่ข้างกระป๋องว่ามีอยู่หลายชนิด แต่เมื่อวิเคราะห์ดูแล้ว บางชนิดก็ไม่มีประโยชน์ ไม่จำเป็นต้องใช้ บางตัวก็มีประสิทธิภาพต่ำ ยกตัวอย่าง แบคทีเรียกลุ่มไนโตรแบคเตอร์ หรือไนโตรโซโมแนส ซึ่งใช้ย่อยสารประกอบไนเตรท ไนไตรท์ พวกแอมโมเนีย ซึ่งแบคทีเรียกลุ่มนี้ อัตราการเจริญเติบโตจะช้า การย่อยสลายก็จะช้าไปด้วย ถ้ายกตัวอย่างเปรียบเทียบกับจุลินทรีย์ชนิดอื่น การใช้ บาซิลลัส ซับติลิส ชนิดเดียวก็ย่อยได้ดีกว่าอยู่แล้ว

ดังนั้น การจะใช้จุลินทรีย์ในการเลี้ยงกุ้งให้ได้ผล สรุปก็คือ จะต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้น (สดๆ) ทำให้จุลินทรีย์หิวเต็มที่พร้อมเต็มที่ มีการใส่ลงไปในปริมาณที่พอเหมาะ เป็นระยะ ด้วยชนิดของจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพสูง จะทำให้กระบวนการย่อยสลายสมบูรณ์ขึ้น

"ง่ายไหมครับ ท่านผู้อ่าน"

ที่มา: นิตยสารสัตว์น้ำ ฉบับกันยายน 2545
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28/08/10, [15:28:14] โดย SM »
Coffman ออฟไลน์
Sponsor
« ตอบ #1 เมื่อ: 28/08/10, [15:13:27] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ


ไปอ่านเจอมาน่าสนใจดีครับเผื่อจะเอามา apply กับตู้ red bee
น่าจะเป็นหลักการเดียวกันครับ บทความนี้เป็นบทความเกี่ยวกับการเลี้ยงกุ้งอุตสาหกรรมครับ
๑ ทำไมต้องเติมจุรินทรีย์บ่อยๆ (web เราเรียก แบคทีเรีย)
๒ ทำไมต้องทำให้จุรินทรีย์หิวก่อนเติม จะใช้งาน
๓ จุรินทรีย์น้ำ กับ จุรินทรีย์ผงมันต่างกันยังไง
๔ จุรินทรีย์ มันทำงานอย่างไรได้บ้าง

ถ้าสนใจตามหัวข้อลองอ่านดูครับ มันยาว
ผมอ่านแล้วเข้าใจเลยว่าทำไม เพื่อนๆ บางคนต้องเติม แบคทีเรีย บ่อยๆ
ขอแก้ไขเป็น จุลินทรีย์ ครับ
๙๙๙๙๙๙๙

นักจุลชีวะ ขยายผลการใช้จุลินทรีย์ให้เกิดประสิทธิผล

ต้องยอมรับว่า ในปัจจุบัน จุลินทรีย์เข้ามามีบทบาทกับการเลี้ยงกุ้งมากพอสมควร โดยเฉพาะเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า ที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการเลี้ยงจากการใช้สารเคมีเต็มรูปแบบ มาเป็นการเลี้ยงในแนวทางชีวภาพ

แต่จากการที่ยังมีเกษตรกรบางส่วน ยังขาดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้จุลินทรีย์อย่างมีประสิทธิภาพ หลงเชื่อตามคำโฆษณา หรือคำแนะนำจากพนักงานขาย ในการตัดสินใจเลือกใช้ ทำให้ผลของการใช้ บางครั้งก็ได้ผล บางครั้งก็ไม่ได้ผล หรือได้ผลไม่เต็มที่

เกี่ยวกับการใช้จุลินทรีย์ในบ่อ เลี้ยงกุ้งนี้ ทางทีมงานได้มีโอกาสพูดคุยกับ ดร.ปราโมทย์ ศิริโรจน์ หัวหน้าภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ถึงแนวทางและวิธีการใช้ จุลินทรีย์อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งพอจะสรุปรวมความได้ดังนี้

การใช้จุลินทรีย์ในบ่อกุ้งอย่าง มีประสิทธิภาพ

เรื่องการใช้จุลินทรีย์ในบ่อเลี้ยง กุ้ง ดร.ปราโมทย์ ให้ความเห็นว่า จากที่ได้ติดตามการสัมมนาของนักวิชาการ เกี่ยวกับเทคนิคการใช้จุลินทรีย์ในบ่อกุ้ง ตามสถานที่ต่างๆ ที่มีการนำเสนอในหลายปีที่ผ่านมา ยังไม่ชัดเจนเท่าที่ควร

การเติมจุลินทรีย์ลงไปในบ่อเลี้ยง กุ้ง เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในการย่อยของเสีย เกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งเองต้องทำความเข้าใจก่อนว่า จะต้องมีการเตรียมจุลินทรีย์ให้มีความพร้อม ทั้งปริมาณและความว่องไว (active) เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจได้ง่ายขึ้น ขอใช้คำว่า “ต้องทำให้เขา (จุลินทรีย์) หิว” คือทำให้จุลินทรีย์หิวเต็มที่ก่อน เมื่อเวลาที่เกษตรกรใส่ลงไปในบ่อแล้ว สามารถทำงานได้ทันทีอย่างมีประสิทธิภาพ

ต้องนึกถึงหลักความจริงที่ว่า คนเราถ้าให้มีแรงทำงาน เราก็ต้องกินอาหารให้อิ่มก่อน ร่างกายเมื่อได้รับสารอาหารแล้วก็จะมีแรงทำงานได้ แต่ถ้าเป็นกรณีจุลินทรีย์ต้องกลับกัน เพราะว่าการกินอาหาร (ย่อยสลายของเสียต่างๆ) ก็คืองานที่เราต้องการให้เขาทำงานอย่างมากๆ นั่นเอง ดังนั้น เมื่อรู้หลักการพื้นๆ นี้แล้ว ก็จะไม่มีการมาบ่นว่า เอ๊ะ! ทำไมใช้ที่นี่ได้ผล แต่ที่โน่นไม่ได้ผล ทั้งๆ ที่เป็นจุลินทรีย์ชนิดเดียวกัน

“จุลินทรีย์ที่หมักใช้เองโดย เกษตรกร ถ้าหมักถูกวิธีจะมีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากจุลินทรีย์ที่หมักเองจะพร้อมทำงาน (ย่อยสลาย) ได้ดี สำหรับจุลินทรีย์ที่อยู่ในกระป๋อง หรือในถังแกลลอนที่ซื้อมา พูดตามภาษาชาวบ้านคือว่า เขาอยู่ระยะพักตัว (นอนหลับอยู่) หรืออยู่ในรูปสปอร์ ก็มีความหมายที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งเมื่อใส่ลงไปในบ่อกุ้ง เขาก็ต้องปรับตัว ขยายตัว ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ทันที”

ซึ่งทั้งจุลินทรีย์ในรูปของเหลว และจุลินทรีย์ในรูปผงก็ดี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเพิ่มปริมาณแล้ว ก็จะต้องมีการนำไปขยายตัว แล้วก็จะต้องทำให้จุลินทรีย์หิวเต็มที่เสียก่อน จึงจะนำไปใช้ได้ผลเต็มที่

วิธีการ สำหรับจุลินทรีย์ผง (มักจะเป็น Bacillus subtilis) ก็ให้ใส่จุลินทรีย์ผงลงไปในสารละลายกากน้ำตาลประมาณ 1-2% เพื่อใช้เป็นอาหาร เติมอากาศ และปล่อยไว้ประมาณ 2 วัน วันที่ 3 หรือ 4 ก็ สามารถนำไปใช้ได้

จุลินทรีย์ในรูปของของเหลว ให้ ใส่ลงในถังที่มีกากน้ำตาลละลายอยู่ 1-2% หมักปิดฝาถังให้มิดชิดประมาณ 3 วัน วันที่ 4 ก็สามารถนำไปใช้ได้

ทำไมต้องหมักนาน 2 วันหรือ 3 วัน? นานกว่านี้ได้ไหม

“การทำงานของจุลินทรีย์ เราต้องรู้ใจเขา ถ้าเราต้องการให้เขาหิวเต็มที่ เราต้องทำอย่างไรบ้าง ซึ่งหากเขาอยู่ในระยะพักตัว เขานอนหลับ อาจจะอยู่ในรูปน้ำ หรืออยู่ในรูปสปอร์ (ผง) ต้องทำให้เขางอกออกมาเป็นตัวอ่อน พร้อมกับให้กินอาหารด้วยกากน้ำตาล 1-2% หมักไว้ 2 หรือ 3 วันแล้วแต่ชนิด (ชอบอากาศหรือไม่ชอบอากาศ) ของจุลินทรีย์

ขอยกตัวอย่างกรณีของจุลินทรีย์ ในรูปของของเหลว ซึ่งมักจะเป็นพวกที่ไม่ชอบอากาศ ทำไมต้องหมักไว้ 3 วัน เพราะว่าวันที่หนึ่ง เราให้เขากินอาหาร แล้วจะได้แบ่งตัว เพิ่มตัวมากขึ้น พอถึงวันที่สอง เซลล์ของจุลินทรีย์ยังคงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พอวันที่สาม อาหารหมด ตอนนี้จุลินทรีย์เริ่มแบ่งตัวลดลง การเพิ่มเซลล์ของเขาเริ่มคงที่ หลังจากวันที่สาม อาหารหมดแล้ว เขาเริ่มหิว (ความหิวของจุลินทรีย์คือความต้องการของเรา) พอวันที่สี่ ตัวเอาจุลินทรีย์ที่หมักนี้ไปสาดลงในบ่อกุ้ง เขาก็จะไปกินสารอินทรีย์ในบ่อดินของเราอย่างรวดเร็ว

นี่คือหลักการสำคัญซึ่งคนทั่วไป ไม่รู้ หรือแม้แต่นักวิชาการซึ่งรู้อยู่แล้ว แต่ไม่ได้นำหลักการมาใช้กับการเตรียมจุลินทรีย์ในงานนี้”
เป็นกราฟช่วงชีวิตของจุลินทรีย์โดยทั่วไปมีเกิดแก่เจ็บตายครับ ส่วนที่เราจะใช้คือช่วง ที่จุลินทรีย์เป็นวัยรุ่นกินเก่ง แข็งแรงที่สุดนั่นเอง


ดร.ปราโมทย์ ยังกล่าวต่อว่า การโฆษณาโดยเน้นถึงปริมาณของจุลินทรีย์เป็นสำคัญ (109-1012 CFU(ขอแก้เป็น colony forming unit  1,000,000,000 พันล้านตัวต่อซีซี ถึง 1,000,000,000,000 ล้านล้านตัวต่อซีซี) หรือสูงกว่านี้) นั่นทางปฏิบัติไม่จำเป็นเลย มีเพียงแค่ 105 หรือ 108 CFU ขอแก้เป็น 100,000 หนึ่งแสนตัวต่อซีซี ถึง 100,000,000 หนึ่งร้อยล้านตัวต่อซีซี ก็เพียงพอ เพราะเราต้องนำมาขยายเชื้ออยู่แล้ว ควรคำนึงถึงหลักการสำคัญก็คือ “จุลินทรีย์หิวจึงจะทำงานได้ดี” 
เพราะในบทความเป็นเลขยกกำลัง ลงwebboard แล้วไม่สามารถแสดงผลได้จึงมองเป็น 109-1012 ตัว)

การใช้จุลินทรีย์กระตุ้นให้การ กินอาหาร

การใช้จุลินทรีย์น้ำคลุกในอาหาร จะยังมีประโยชน์ของการเป็นโปรไบโอติกอีกด้วย คือ จุลินทรีย์จะไปช่วยย่อยอาหารในส่วนของลำไส้กุ้ง ทำให้กุ้งย่อยอาหารได้ง่าย และสามารถดูดซึมสารอาหารได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนั้น ในกลุ่มของจุลินทรีย์ที่ไม่ชอบอากาศ จะมีกลุ่มของยีสต์อยู่ด้วย ซึ่งในยีสต์เองจะมีวิตามินบีหลายชนิด มีประโยชน์คือ ทำให้เกิดความหิว ความอยากกิน และเป็นตัวกระตุ้นให้กุ้งกินอาหาร

“อย่างในคนที่เกิดอาการเบื่อ อาหาร ผอมแห้ง เขาก็จะให้กินวิตามินบีรวม ซึ่งสกัดมาจากยีสต์เป็นส่วนใหญ่ ในจุลินทรีย์พวกชีวภาพ ก็จะมียีสต์เป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย พอคลุกกับอาหารให้กุ้งกิน กุ้งก็ได้วิตามินบีรวมเข้าไปด้วย ก็จะกระตุ้นให้มันกินอาหารได้มากขึ้น”

ชนิดของจุลินทรีย์ที่ใช้

ในส่วนของชนิดของจุลินทรีย์ที่ใช้ ดร.ปราโมทย์ แนะนำว่า ควรเป็นจุลินทรีย์หลายชนิดรวมกันจะดีกว่า สำหรับกลุ่มของจุลินทรีย์ที่ใช้อากาศชนิดที่สำคัญ คือ บาซิลลัส ซับติลิส (Bacillus subtilis) ซึ่งจะมีคุณสมบัติการ ย่อยสลายอินทรีย์ที่ดี และมีประสิทธิภาพในการย่อยสูงมาก สามารถย่อยได้ทั้งโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต

สำหรับกลุ่มจุลินทรีย์ที่ไม่ใช้ อากาศ ชนิดที่สำคัญได้แก่ บาซิลลัส ไรเคนนิฟอมิส (Bacillus licheniformis) ซึ่งจุลินทรีย์ตัวนี้จะทำงานได้เหมือน บาซิลลัส ซับติลิส ทุกอย่าง เพียงแต่จะเป็นจุลินทรีย์ที่เจริญเติบโตได้ดีในสภาพที่ไม่มีอากาศ ดังนั้น การใช้ บาซิลลัส ซับติลิส คู่กับ บาซิลลัส ไรเคนนิฟอมิส จะทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงมาก

กลุ่มยีสต์ชนิดที่สำคัญได้แก่ แซคคาโรไมซิส ซึ่งจะมีวิตามินบีรวมอยู่ นอกจากนี้ ก็คงมีกลุ่มแบคทีเรียสังเคราะห์แสง พวกคลอโรเบี่ยม (Chlorobium sp.) ซึ่งจะเป็นแบคทีเรียที่สังเคราะห์แสงชนิดตัวสีเขียว มีประโยชน์คือ แบคทีเรียตัวนี้จะช่วยย่อยสลายสารประกอบซัลเฟอร์ ไปใช้เป็นแหล่งพลังงานของตัวมันเอง ทำให้ช่วยป้องกันการเกิดสารพิษไฮโดรเจนซัลไฟด์ และอื่นๆ ในบ่อกุ้งได้

แนวทางการใช้จุลินทรีย์ให้เหมาะ สมภายในบ่อกุ้ง

เริ่มต้นจะต้องมีการดูถึงสภาพบ่อ และสภาพน้ำเสียก่อน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากดินในบ่อเป็นกรดจัด การมีเลนที่พื้นบ่อจะเป็นบัฟเฟอร์อย่างดี ในการป้องกันไม่ให้กรดละลายออกมา ดังนั้น การใช้จุลินทรีย์ลงไปบำบัด ปรับสภาพเลนพื้นบ่อ โดยไม่ต้องมีการกำจัดเลนออก ก็จะช่วยป้องกันความเป็นกรด และกำจัดสารพิษในเลนได้

สำหรับจุลินทรีย์ที่ใช้ในการเตรียม บ่อเตรียมน้ำ จะใช้ทั้งชนิดชอบอากาศและไม่ชอบอากาศรวมกันก็ได้ หรือใช้ บาซิลลัส ซับติลิส ตัวเดียวก็ได้ แล้วแต่พื้นที่และความสะดวก

ควรใส่ขี้ไก่อบแห้งเพื่อสร้าง สัตว์หน้าดิน ตรงนี้ ดร.ปราโมทย์ย้ำว่าควรจะเป็นขี้ไก่อบแห้ง ไม่ควรใช้ขี้ไก่ตากแห้งหรือขี้ไก่สด เนื่องจากในขี้ไก่อบแห้ง เชื้อซาลโมเนลล่ามักตายหมด แต่หากเป็นขี้ไก่ตากแห้ง หรือขี้ไก่สด อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อซาลโมเนลล่าได้ ถ้าการตากแดดนั้นเกลี่ยขี้ไก่ไม่สม่ำเสมอ

เมื่อสร้างสัตว์หน้าดินพร้อมแล้ว จึงนำลูกกุ้งมาปล่อย ตรงนี้หากเตรียมสัตว์หน้าดินได้อย่างสมบูรณ์ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องให้อาหารลูกกุ้งในช่วง 1 เดือนแรกของการเลี้ยงเลย หลังจากนั้นเมื่อเข้าสู่ช่วงเดือนที่สองเป็นต้นไป ต้องมีการระวังเรื่องการให้อาหาร ต้องให้อย่างพอดี อย่าให้มากเกินไปหรือน้อยไป รวมถึงต้องมีการใส่จุลินทรีย์ลงไปเป็นระยะๆ

สาเหตุที่ต้องใส่จุลินทรีย์ลงไป เป็นระยะๆ อาจารย์ปราโมทย์กล่าวว่า จุลินทรีย์หมักที่ใช้กันทั่วไป จะไปข่มจุลินทรีย์ท้องถิ่นที่อยู่ในบ่อ ให้หยุดหรือลดกิจกรรมลง ซึ่งจุลินทรีย์ท้องถิ่นที่อยู่ในบ่อทั่วๆ ไป ถ้ามีสารอินทรีย์เข้ามา แล้วอยู่ในสภาพไร้ออกซิเจน จะย่อยสลายในกระบวนการ ทำให้เกิดมีเทน ไฮโดรเจนซัลไฟด์ แอมโมเนีย เป็นต้น

แต่ถ้าเป็นจุลินทรีย์น้ำหรือ จุลินทรีย์ที่หมัก เมื่อใส่ลงไป มันจะไปตัดตอน ไม่ให้จุลินทรีย์ท้องถิ่นเปลี่ยนสาร“อินทรีย์เป็นสารพิษ โดยจะเปลี่ยนเป็นสารอินทรีย์อื่น วิตามิน และคาร์บอนไดออกไซด์แทน นี่คือสาเหตุที่เราต้องใส่จุลินทรีย์ในบ่อเป็นระยะ เพราะถ้าไม่มีการใส่ลงไป จุลินทรีย์ท้องถิ่นภายในบ่อก็จะทำให้เกิดสารพิษ พวกไฮโดรเจนซัลไฟด์ หรือ แอมโมเนีย กลับขึ้นมา” [เจ๋ง]

นอกจากนี้ ถ้าหากใช้จุลินทรีย์แบบชอบอากาศ ซึ่งได้แก่ บาซิลลัส ซับติลิส จะต้องมีการตีน้ำด้วย เนื่องจากจุลินทรีย์จะไปดึงออกซิเจนจากน้ำในกระบวนการย่อยสารอินทรีย์ ซึ่งอาจทำให้กุ้งในบ่อขาดออกซิเจนได้ ในตอนกลางคืนหรือใกล้สว่าง

การใช้จุลินทรีย์ในบ่อกุ้ง จะต้องมีการใช้ในปริมาณที่เหมาะสม ค่อนข้างเจือจาง ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ในปริมาณสูง การใช้จุลินทรีย์ในปริมาณสูงเกินไป มีข้อเสียคือ

1. สิ้นเปลืองเงิน
2. ทำให้น้ำหนืด
3. กุ้งเครียด
4. แย่งปริมาณออกซิเจนกับกุ้งในบ่อ


ที่ผ่านมา เกษตรกรส่วนใหญ่มักจะตัดสินใจเลือกใช้จุลินทรีย์ที่มีปริมาณมากๆ สิบยกกำลังสิบ หรือสิบยกกำลังยิ่งมากก็คิดว่ายิ่งดี รวมถึงต้องมีจุลินทรีย์ตัวนั้นหรือตัวนี้อยู่ถึงจะดี ถ้าไม่มีอยู่ไม่ดี บางครั้งการตัดสินใจก็ควรปรึกษานักวิชาการในเรื่องที่เกี่ยวข้องก่อนก็จะดี ดังเช่น การใช้จุลินทรีย์ในปริมาณสูง ทำให้เกิดผลเสียดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

สำหรับรายชื่อจุลินทรีย์ที่ แสดงอยู่ข้างกระป๋องว่ามีอยู่หลายชนิด แต่เมื่อวิเคราะห์ดูแล้ว บางชนิดก็ไม่มีประโยชน์ ไม่จำเป็นต้องใช้ บางตัวก็มีประสิทธิภาพต่ำ ยกตัวอย่าง แบคทีเรียกลุ่มไนโตรแบคเตอร์ หรือไนโตรโซโมแนส ซึ่งใช้ย่อยสารประกอบไนเตรท ไนไตรท์ พวกแอมโมเนีย ซึ่งแบคทีเรียกลุ่มนี้ อัตราการเจริญเติบโตจะช้า การย่อยสลายก็จะช้าไปด้วย ถ้ายกตัวอย่างเปรียบเทียบกับจุลินทรีย์ชนิดอื่น การใช้ บาซิลลัส ซับติลิส ชนิดเดียวก็ย่อยได้ดีกว่าอยู่แล้ว

ดังนั้น การจะใช้จุลินทรีย์ในการเลี้ยงกุ้งให้ได้ผล สรุปก็คือ จะต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้น (สดๆ) ทำให้จุลินทรีย์หิวเต็มที่พร้อมเต็มที่ มีการใส่ลงไปในปริมาณที่พอเหมาะ เป็นระยะ ด้วยชนิดของจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพสูง จะทำให้กระบวนการย่อยสลายสมบูรณ์ขึ้น [เจ๋ง]

"ง่ายไหมครับ ท่านผู้อ่าน"

ที่มา: นิตยสารสัตว์น้ำ ฉบับกันยายน 2545


เพิ่มเติมให้นิดหน่อยครับมีบางที่ที่ผิดในเนื้อหา
บทความดีมากครับ ขอบคุณคุณ SM มากครับ  [เจ๋ง]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28/08/10, [15:15:15] โดย coffman »
Fibo ออฟไลน์
Club Champion
« ตอบ #2 เมื่อ: 28/08/10, [17:30:27] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

 [เจ๋ง] Thank ครับ
dernero ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #3 เมื่อ: 28/08/10, [17:45:49] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ขอบคุณครับ ที่นำมาเผยแพร่และอธิบายอย่างเข้าใจง่ายๆ  [เจ๋ง] [เจ๋ง]
bokk ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #4 เมื่อ: 28/08/10, [21:48:42] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ขอบคุณครับ  [on_055]
-poom ออฟไลน์
Club Follower
« ตอบ #5 เมื่อ: 29/08/10, [12:44:03] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

 [เจ๋ง] เก็บเกี่ยวๆ
yamatomo ออฟไลน์
Club Member
« ตอบ #6 เมื่อ: 29/08/10, [18:41:17] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

สุดยอด [กู้ดครับ!]
หน้า: 1   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: