
" ในหลวง " เกิดจากคำที่ชาวเหนือใช้เรียกพระบาทสมเด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า
" นายหลวง " ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็น ในหลวง
" ปีหนึ่งๆ " ในหลวงทรงเบิก " ดินสอ " แค่ 10 แท่ง ใช้เดือนละแท่งจนกระทั่งกุด
" การนั่งรถหารสอง " ทรงรับสั่งกับข้าราชบริพารเสมอว่า การนั่งรถคนละคันเป็นการสิ้นเปลืองจึงให้นั่ง
รวมกัน ไม่โปรดให้มีขบวนรถยาวเหยียดผ่านมา
" ทรงเสวยข้าวกล้อง " เป็นพระกระยาหารหลัก
" ทรงไม่เสวยปลานิล " เพราะทรงเป็นผู้เลี้ยงปลานิลคนแรกในประเทศไทย โดยใช้ " สระว่ายน้ำ " ใน
พระตำหนักสวนจิตรลดาเป็นบ่อเลี้ยง และแจกจ่ายพันธุ์ไปให้กรมประมง
" เครื่องประดับ " ในหลวงไม่ทรงโปรดเครื่องประดับ! โดยพระองค์จะทรงใส่เพียงนาฬิกาข้อมือ
" หลอดยาสีพระทนต์ " ทรงใช้จนแบนราบเรียบคล้ายแผ่นกระดาษ โดยเฉพาะบริเวณคอหลอด
ยังปรากฎรอยบุ๋มลึกลงไปบริเวณจนถึงเกลียวคอหลอด ซึ่งเป็นผลจาการใช้
ด้ามแปรงพระทนต์ช่วยรีด และกดเป็นรอยบุ๋ม
" ครั้งหนึ่งทรงเรือใบ " ได้ทรงลงแข่งขันเรือใบ ทรงเรือใบออกจากฝั่งไปได้ไม่นาน ก็ทรงแล่นกลับฝั่ง
และตรัสกับผู้คอยมาเฝ้าว่า ที่แล่นกลับเข้าฝั่งเพราะเรือแล่นไปโดนทุ่นเข้า ซึ่ง
ในกติกาการแข่งขันเรือใบถือว่า " ฟาวส์ " ทั้งๆที่ไม่มีใครเห็นว่าท่านทรงแล่นเรือ
ไปชนทุ่น
" หลังอภิเษกสมรส " ทรง ฮันนีมูน ที่ " หัวหิน "
" ของใช้ส่วนพระองค์ " ของใช้ส่วนพระองค์ไม่ต้องแพงและแบรนด์เนม ของอันใดที่ได้มาจากน้ำใจ
พระองค์จะทรงใช้ทั้งนั้น...
" พระเกศาที่ทรงตัดแล้ว " ส่วนหนึ่งจะเก็บไว้ที่ธงชัยเฉลิมพลเพ่อมอบให้แก่ทหาร
" โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ " ปัจจุบันมีทั้งสิ้นกว่า 3000 โครงการ
" ในหลวงทรงงานเองทุกอย่าง " แม้กระทั่งการถ่ายเอกสารเพื่อจะนำมาให้ข้าราชการที่เข้าเฝ้าฯถวายงาน
" แผนที่ที่พระองค์นำไปทุกครั้งที่เสด็จ " ทรงทำขึ้นเอง ตัดต่อเอง ปะกาวเอง
" เก็บร่ม " ครั้งหนึ่งที่ในหลวงเสด็จฯเยี่ยมโครงการห้วยสัตว์ใหญ่ ปรากฎว่าฝนตกลงมา
อย่างหนัก ข้าราชการและราษฎรที่เข้าแถวรอรับเปียกฝนกันทุกคน
เมื่อทรงเห็นดังนั้น จึงมีรับสั่งให้องครักษ์เก็บร่มส่วนพระองค์
และทรงเยี่ยมราษฎรท่ามกลางสายฝน....
" โครงการส่วนพระองค์ " เริ่มต้นขึ้นจากเงินส่วนพระองค์จำนวน 32,866 บาท 73 สตางค์
" เวลามีพระราชอาคันตุกะ " เสด็จมาเยี่ยมโครงการฯสวนจิตรลดา ในหลวงจะเสด็จมาอธิบายด้วย
พระองค์เอง เนื่องจากทรงรู้ทุกรายละเอียด !
" ห้องทรงงานในหลวง " กว้างเพียง 3x4 เมตร
" ทรงฟัง จส.100 " เคยโทรศัพท์ไปรายงานสถานการณ์ต่างๆใน กทม. โดยใช้พระนามแฝง
" พระราชทานปริญญา " เสด็จพระราชทานปริญญาบัตร 450 ครั้ง ประทับครั้งละ 3 ชม. ทรงยื่น
พระหัตถ์พระราชทาน 470,000 ครั้ง น้ำหนักปริญญาบัตรฉบับละ 3 ขีด
รวมน้ำหนักทั้งหมด 141 ตัน!
( เมื่อเราได้ปริญญามาแล้ว เราทำอะไรให้แก่ประเทศชาติ คุ้มค่ากับที่พ่อหลวงทรงทำเพื่อพวกเราบ้างหรือเปล่า )
" ทรงนึกถึงแต่ประชาชน " ในวันทีี่พระองค์ทรงเข้ารับการผ่าตัดกระดูกสันหลังในอีก 5 ชั่วโมง ยังทรงรับ
สั่งให้ข้าราชบริพารไปติดตั้งจอคอมพิวเตอร์เดินสายออนไลน์ เพราะกำลังจะ
มีพายุเข้าประเทศไทย พระองค์จะได้ทอดพระเนตรมอนิเตอร์ " เผื่อน้ำท่วม "
จะได้ช่วยเหลือประชาชนทัน
อยากให้ " นักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย " พวกผู้ใหญ่ค้ำฟ้าที่คิดว่าตัวเองไม่ตาย ที่คิดได้แต่ผลประโยชน์
ได้มาอ่าน.... ว่าความยิ่งใหญ่นั้น.... ไม่ได้เศษเสี้ยวผงธุลี ของความยิ่งใหญ่แห่งความดี
ที่เป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆ ที่พ่อหลวงทรงกระทำเป็นตัวอย่างให้แก่พวกเรา...

เครดิต http://www.oknation.net/blog/print.php?id=595562
				


				




