Aqua.c1ub.net
*
  Sun 29/Jun/2025
หน้า: 1   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ความรู้ดี ๆ มอบให้พ่อคนแม่คนในเวบทุกคนจ้า  (อ่าน 1914 ครั้ง)
นางฟ้าไร้ใจ ออฟไลน์
Club Brother
« เมื่อ: 02/01/11, [11:25:52] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

บทเรียนราคาแพง... ลูกเป็นออทิสติกเพราะ ”ทีวี”

โดย: เดือนวารี

เรื่อง เล่าจากทางบ้านฉบับนี้เป็นประสบการณ์จากคุณแม่ที่ได้รู้ว่าลูกเป็นเด็กออ ทิสติกจากการเลี้ยงดูของเธอเอง ซึ่งสุดท้ายเธอก็สามารถปรับวิธีการเลี้ยงลูกจนพัฒนาการของลูกดีขึ้นค่ะ

ลูก 1 ขวบ 6 เดือนแล้วยังไม่พูด

ฉัน ไปเดินเล่นในงานลดราคาสินค้าเด็ก ได้พบคุณหมอจากโรงพยาบาลจุฬาฯ ที่บรรยายเรื่องเกี่ยวกับการพัฒนาการของเด็ก ฉันไม่ทันได้ฟังการบรรยายตั้งแต่ต้น แต่ก็มีโอกาสได้สอบถามคุณหมอสั้นๆ เกี่ยวกับลูกชายที่ยังไม่พูด คุณหมอฟังเรื่องราว จึงแนะนำให้รีบพบแพทย์
ฉัน รู้สึกตกใจมาก เพราะคุณหมอบอกว่า ปัจจุบันนี้มีโรคที่เกี่ยวข้องกับเด็กที่พูดช้าอยู่หลายอย่าง อย่านิ่งนอนใจ หลังจากวันนั้นฉันกังวลมาก อยากพาลูกไปพบคุณหมอเพื่อตรวจอาการตามที่ได้รับคำแนะนำ แต่สามีไม่เห็นด้วย เนื่องจากเขาคิดว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่ลูกยังพูดไม่ได้ในวัยเพียงแค่ 1 ขวบ 6 เดือน แต่ด้วยความเป็นแม่ ฉันอยู่อย่างกังวลใจอย่างนี้ไม่ได้แน่ๆ

ฉัน เริ่มเครียดและวิตกมากขึ้น พยายามหาข้อมูลเกี่ยวข้องกับกรณีการพูดช้าของเด็ก แต่ยิ่งอ่านหรือรู้มากเท่าไหร่ความเครียดก็ยิ่งเพิ่มพูนมากเท่านั้น
ฉัน เริ่มรู้สึกว่า ลูกมีพฤติกรรมหลายอย่าง คล้ายๆ กับเด็กที่เป็นโรค ออทิสติก เพราะลูกชอบดูโลโก้ บางครั้งเดินเป็นวงกลม เวลาเรียกมักไม่ค่อยหัน เหมือนได้ยิน แต่ทำเป็นไม่สนใจ ฉันบอกสามีว่า ถึงเวลาที่เราจะต้องไปพบคุณหมอแล้ว แต่สามีก็ยังคงคัดค้าน และเห็นว่าเป็นเรื่องตลก แต่ที่สุดเมื่อฉันได้ปรึกษาคุณแม่ ก็ตัดสินใจแอบสามี ไปพบคุณหมอด้านพัฒนาการเด็กโดยตรงแห่งหนึ่ง คุณหมอสอบถามข้อมูล ลักษณะพฤติกรรมของลูก ประวัติของลูกชายและบุคคลอื่นในครอบครัวอย่างคร่าวๆ คุณหมอพูดคุยกับลูกชายพร้อมทั้งหยิบของเล่นไม้มาเล่นไปเรื่อยประมาณ 3-4 ชิ้น ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง พร้อมกับให้บทสรุปว่า ลูกชายเป็นออทิสติก

หัวใจฉันเหมือนหยุดนิ่ง

น้ำตา ของฉันและคุณแม่ไหลไม่หยุด หัวใจของฉันเหมือนหยุดนิ่ง สมองคิดไปต่างๆ นานาพร้อมกับคำถามโง่ๆ ฉันถามคุณหมอไปว่า “แล้วไม่ทราบว่า คุณหมอเคยวินิจฉัยผิดบ้างไหมคะ” คำตอบที่ได้กลับมาคือ “ไม่มี” น้ำตาของฉันเหมือนเปิดก๊อกเลย ฉันยิ่งกลัวมากขึ้น กอดลูกอย่างแน่น “แม่ขอโทษ..”

คุณหมอแนะนำว่า ให้พยายามพูดกับลูกมากขึ้น ชัดๆ ช้าๆ เมื่อลูกต้องการอะไร ให้นำของสิ่งนั้นมาวางอยู่ข้างๆ มุมปาก และพูดว่าสิ่งนั้นคืออะไร ช้าๆ ชัดๆ บ่อยๆ เล่นของเล่นให้เป็นชิ้นๆ โดยเฉพาะของเล่นฝึกพัฒนาการ คุณหมอยังแนะนำอีกว่า ควรให้เด็กได้รับการฝึกพูดจากนักฝึกพูดโดยตรงด้วย

ฉันผิดที่การเลี้ยงดู

วัน นั้น ฉันขับรถกลับบ้านอย่างไม่เป็นสุข กลับมาเล่าให้พี่สาวและสามีฟัง ไม่มีใครเชื่อ ฉันจึงพาลูกชายไปหาคุณหมออีก 3 แห่ง คุณหมอแต่ละแห่งมีวิธีการตรวจที่แตกต่างกัน แต่โดยส่วนใหญ่ก็จะใช้การพูดคุยกับลูกเพื่อสังเกตพฤติกรรมสลับกับการเล่น เป็นหลักเหมือนๆ กัน

คำตอบที่ฉันได้จากคุณหมออีก 3 แห่ง คือ ลูกชายฉันเป็นแค่เด็กพูดช้า หรืออาจเป็น ออทิสติกเทียม ที่เกิดจากการเลี้ยงดูที่ผิดของตัวฉัน เพราะฉันเริ่มให้ลูกดูทีวีตั้งแต่อายุประมาณ 8 เดือน วันละประมาณ 2-3 ชั่วโมง เนื่องจากฉันเห็นลูกยิ้มและหัวเราะ ดูเขามีความสุข เมื่ออยู่กับทีวี ไม่ทันได้คิดว่าความเข้าใจผิดของฉันมันจะส่งผลกระทบอะไร มารู้ภายหลังว่าเป็นความคิดที่ผิดอย่างมาก คุณหมอแนะนำว่า ยังไม่ควรให้เด็กเล็กดูทีวี เพราะทีวีคือการสื่อสารทางเดียว (one way communication) เด็กที่ดูทีวีมากๆ จะทำให้เขามีพัฒนาการด้านภาษาช้า และการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นไม่ดีนัก เนื่องจากเด็กไม่ต้องตอบโต้กับใคร ทีวีมีแต่ภาพและเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทำให้เด็กขาดพัฒนาการ รวมถึงการที่ฉันให้ลูกเล่นของเล่นพร้อมกันหลายๆ ชิ้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะจะทำให้เด็กสับสน วิธีที่ถูกคือ ควรให้ลูกเล่นของเล่นทีละอย่าง ซึ่งจะทำให้เด็กมีสมาธิเพิ่มขึ้น

บท เรียนราคาแพงนี้ ฉันอยากให้คุณพ่อ คุณแม่ ที่เคยมีพฤติกรรมคล้ายๆ กับที่ฉันเคยทำ หรือใครที่กำลังจะให้ทีวีเป็นเพื่อนคู่กายลูก อย่าเลยนะคะ เพราะมันอาจทำให้เด็กปกติคนนึง เกิดความผิดปกติด้านใดด้านหนึ่งได้ ซึ่งคุณพ่อ คุณแม่ คนที่รักเขามากที่สุด จะกลายเป็นผู้ที่หยิบยื่นความผิดปกตินี้ให้กับลูกของคุณเอง

ขอบคุณ คุณหมอทุกท่าน ที่ให้คำแนะนำในการเลี้ยงลูกดีๆ มากมาย ขอบคุณกำลังใจทุกวินาทีจากคุณแม่ คุณน้า พี่สาว และสามี ให้ฉันต่อสู้ ขอบคุณคุณหมอท่านแรก แม้คำวินิจฉัยของท่านจะไม่ถูกต้อง แต่ก็เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่สุดสำหรับฉัน เพราะข้อสรุปในวันนั้น คือแรงผลักดันที่สำคัญที่สุด ให้ฉันและสามี เปลี่ยนแปลงและปรับวิธีการเลี้ยงดูลูกไปในทางที่ถูกต้อง

วันนี้.. ลูกพูดเยอะมากแล้ว ถามทุกอย่าง ฉันอยากบอกเขาว่า คุณแม่ดีใจจังที่หนูพูดได้แล้ว แม้จะมากไปหน่อยก็ตาม...คุณแม่รักหนูที่สุดในโลกเลย OWNER

จากนิตยสารรักลูกค่ะ
อู๋ @ ขอนแก่น ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #1 เมื่อ: 02/01/11, [21:42:47] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ได้ความรู้มาประดับสมองเพิ่มขึ้นอีกแล้ว ขอบคุณมากครับ  [on_abe]
Coffman ออฟไลน์
Sponsor
« ตอบ #2 เมื่อ: 02/01/11, [23:31:33] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

อ้างถึง
ยังไม่ควรให้เด็กเล็กดูทีวี เพราะทีวีคือการสื่อสารทางเดียว (one way communication) เด็กที่ดูทีวีมากๆ จะทำให้เขามีพัฒนาการด้านภาษาช้า และการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นไม่ดีนัก เนื่องจากเด็กไม่ต้องตอบโต้กับใคร ทีวีมีแต่ภาพและเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทำให้เด็กขาดพัฒนาการ รวมถึงการที่ฉันให้ลูกเล่นของเล่นพร้อมกันหลายๆ ชิ้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะจะทำให้เด็กสับสน วิธีที่ถูกคือ ควรให้ลูกเล่นของเล่นทีละอย่าง ซึ่งจะทำให้เด็กมีสมาธิเพิ่มขึ้น

พูดง่ายทำยากเด็กกับทีวีมันสร้างมาคู่กัน  ถึงจะไม่ให้ดูยังไง เด็กมันก็ต้องดูเพราะเราดู

ลูกผมดูทีวี ตั้งแต่ 1 ขวบ มามากกว่า 3 ปี จนตอนนี้ 4 ขวบ เปิดทีวีทิ้งไว้แล้วไม่ดูแล้ว เบื่อไปเอง (แต่มีข้อแม้ว่าไม่มีทีวีในห้องนอน)
บางเรื่องผมก็ซื้อมาดูกับลูกครับ อย่าง Toy3  ดูกับลูกผมก็ดูด้วย หัวเราะด้วยกัน อธิบายกันไป
จริงๆ ข้อเสียของการดูทีวีนานๆอย่างเดียวคือกล้ามเนื้อขาไม่แข็งแรง

ลูกสาวผมเล่นของเล่นทีละ 100 ชิ้น เต็มถุงเลยครับเอามาเป็นพวกกัน

ผมว่าอยู่ที่พ่อแม่ด้วยว่า "ปล่อย" เด็กเล่นเอง หรือ เล่นกับลูก
หรือ
"ปล่อย" เด็กดูเอง หรือ ดูกับลูก

การเอาใจใส่ช่วงปฐมวัยสำคัญมากครับ ผมกับลูกเจอกันวันละไม่กี่ชั่วโมง เพราะส่วนใหญ่ผมทำงาน
แต่เวลาเล่นผมให้เวลาเขาเต็มที่  ก็สนิทกันดี

ก่อนไปหาหมอเด็กเกี่ยวกับจิตวิทยา ผมมักถามหมอ หมอมีครอบครัวหรือยัง? (จริงๆจะถามว่ามีลูกไหม) ถ้ามีก็เข้าใจเด็กมากขึ้น กว่ากุมารแพทย์ที่จบใหม่ ถามๆไปเขียน Flowchart ยังกับท่องไปสอบ สรุปสุดท้ายมั่วเองหมด

ลูกผมปัจจุบันอ่านออกเขียนได้ เจอใครพูดๆๆๆ ถามๆๆๆ ไม่พบความผิดปกติด้านพัฒนาการจากการประเมินใดๆของโรงเรียน

ด้วยความเคารพในวิชาแพทย์ แต่บางข้อมันสรุปตามวิชาการ พอเอามาใช้จริงเชื่อได้ว่า ไม่จริงทั้งหมด
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02/01/11, [23:38:28] โดย coffman »
นางฟ้าไร้ใจ ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #3 เมื่อ: 03/01/11, [20:56:36] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

แต่ในความเป็นจริง  พ่อแม่  ชอบวางลูกไว้หน้าทีวี แล้วไปทำธุระอย่างอื่น แล้วบางคนก็ลืมลูกไปเลยค่ะ  [on_007]
นางฟ้าไร้ใจ ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #4 เมื่อ: 03/01/11, [20:59:28] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

อีกสักเรื่อง

ลูกคุณมีสารตะกั่วสะสมหรือไม่
 
หากคุณพ่อคุณแม่สงสัยว่าร่างกายลูกมี สารตะกั่วสะสมหรือไม่นั้น สามารถพาลูกไปพบคุณหมอเพื่อตรวจเลือดและวัดปริมาณสารตะกั่วที่อยู่ในเลือด ได้ หากมีสารตะกั่วเกิน 100 ไมโครกรัมในร่างกายก็ถือว่าผิดปกติแล้วค่ะ
 
 
สารตะกั่วคืออะไร
สาร ตะกั่วคือโลหะหนัก เป็นมีพิษทางสิ่งแวดล้อมที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อเด็กแม้จะได้รับในปริมาณ น้อย มักผสมอยู่ในสีทาบ้าน หมึก ท่อน้ำ เครื่องประดับที่มีการเคลือบสี ภาชนะใส่อาหาร ของเล่น ดินน้ำมัน
สารตะกั่วสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ 3 ทาง คือ                           
              การสูดดม ผงฝุ่น ผงแป้งบางชนิที่มีสารตะกั่วปน
              การเคี้ยว อม ของเล่นหรือภาชนะใส่อาหารที่มีสีเจือปนอยู่
              การสัมผัส ผลิตภัณฑ์หรือน้ำมันที่มีสารตะกั่วปนอยู่
 
เมื่อลูกได้รับสารตะกั่ว
เด็ก สามารถได้รับสารตะกั่วตั้งแต่อยู่ในท้องของคุณแม่ โดยหากคุณได้รับสารตะกั่วในปริมาณมากขณะตั้งครรภ์อาจเกิดการแท้ง คลอดก่อนกำหนด ลูกจะมีน้ำหนักน้อยกว่าปกติค่ะ

เด็กที่ร่างกายมีการ สะสมสารตะกั่วเป็นเวลานาน จะส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะลำใส้ ทำให้ลูกมีการเบื่ออาหาร ท้องผูก ปวดท้องผิดปกติ ปวดท้องบ่อยๆ และมีเลคไลน์ (Lead Line) คือแนวเส้นตะกั่ว มีสีน้ำเงิน-ดำบริเวณเหงือกและไรฟัน

หากร่าง กายได้รับสารตะกั่วมากเกินปกติอาจทำให้ลูกชนผิดปกติ อยู่ไม่นิ่ง หรือมีอาการซึมผิดปกติ เล่นน้อยลง นอกจากนั้นสารตะกั่วยังมีผลเสียต่อสมอง เมื่อลูกได้รับและสะสมในปริมาณมาก อาจทำให้สมองบวม พัฒนาการทางสมองช้า ทำให้ IQ ลดลง การเรียนรู้ลดลง อาจถึงขั้นชัก หมดสติ และเสียชีวิตได้ค่ะ
 
 
ป้องกันลูกรักจากสารตะกั่ว
หาก ลูกมาอาการผิดปกติเพราะได้รับสารตะกั่ว วิธีการรักษาคือการให้ยาเพื่อเข้าไปขับสารตะกั่วให้ออกจากร่างการ แต่ทางที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้ลูกได้รับสารตะกั่วโดย...
           ล้างมือสม่ำเสมอ ให้ลูกล้างมือก่อนรัปทานอาหาร และก่อนเข้านอน
           หลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะอาหารที่มีสีสัน โดยเฉพาะอาหารที่มีฤทธิ์เป็นกรด
           เลือก ซื้อของเล่นที่ปลอดภัย มีมาตรฐาน มองหาสัญลักษณ์ความปลอดภัย เช่น มอก. โดยสำนักงาน        มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุสาหกรรม ASTM (American Society for Testing and Materials) โดยหน่วยงานทดสอบความปลอดภัยของเล่นแห่งสหรัฐอเมริกา ST(Safe Toys) โดย the Japan Toy Association(JTA)
เครื่องหมาย ASTM เครื่องหมาย มอก.

หมั่น ทำความสะอาดบ้าน ตรวจสอบเครื่องใช้ที่มีสีพ่นหุ้มเหล็กสีทาบ้าน หากพบว่ามีการหลุดร่อนควรเปลี่ยนใหม่หรือนำไปซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพปกติ เด็กอาจได้รับอันตรายโดยการปนเปื้อน
 
ดูแลและใส่ใจในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของเล่นที่ปลอดภัย ช่วยให้ลูกรักห่างไกลจากสารตะกั่วได้ค่ะ

ข้อมูลจาก : นิตยสาร สุขภาพลูกรัก / ฉบับที่ เดือน ต.ค.53
ผู้เขียน พิชญกานต์ / เรียบจากบทสัมภาษณ์ พญ.ศุภรัตนา คุณานุสนธิ์ กุมารแพทย์ โรงพยาบาลเวชธานี   
 ที่มา http://www.vejthani.com/web-thailand/Healthcare-lead.php
Rapee ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #5 เมื่อ: 03/01/11, [21:10:37] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ลองไปถามหมอดูว่ามีวิธีเลี้ยงลูกให้เป็นคนมั๊ย.....หมอสิบคนบอกได้ไม่ตรงกัน แต่ถ้าถามว่าลูกคุณเป้นคนมั๊ย..ทุกคนตอบได้  เค้าต้องการเราอย่าให้เค้าเรียนรู้อะไรด้วยตนเองเว้นเสียแต่ว่าคุณยังไม่เคยรู้เรื่องเหล่านั้นเลย...
นางฟ้าไร้ใจ ออฟไลน์
Club Brother
« ตอบ #6 เมื่อ: 03/01/11, [22:23:20] »
ตอบโดยอ้างถึงข้อความ

ถึงเอามาให้ได้เรียนรู้ไงป๋า
หน้า: 1   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: