Aqua.c1ub.net

Shrimp Club => กุ้งเครฟิช => ข้อความที่เริ่มโดย: pk80887 ที่ 11/10/11, [16:01:50]



หัวข้อ: --ประโยชน์ของ KRILL--
เริ่มหัวข้อโดย: pk80887 ที่ 11/10/11, [16:01:50]
วาฬเป็นสัตว์เลือดอุ่น  ดังนั้นนั่นย่อมหมายความว่ามันไม่สามารถปรับอุณหภูมิของร่างการไปตามอุณหภูมิของน้ำที่อยู่รอบตัวมันได้  ดังนั้นวาฬจึงต้องใช้พลังงาน มหาศาลในการปรับสภาพร่างกายอุณหภูมิร่างกายของมันให้คงที่ไม่ว่ามันจะว่ายอยู่ในสภาพน้ำที่หนาวเย็นแค่ไหน  แหล่งพลังงานที่วาฬพึงจะหาได้จากกลางทะเลลึกอันหนาวเหน็บแบบนั้นก็คงมีแต่อาหารเท่านั้น  แต่มันเป็นอาหารแบบไหนกันเล่า  เรื่องนี้เคยเป็นข้อสงสัยแก่นักวิทยาศาสตร์จนกระทั่งในที่สุดจึงพบว่า  แหล่งพลังงานของวาฬเหล่านั้น  ส่วนมากแล้วจะเป็นพวก crustacean ขนาดเล็กๆ ที่อุดมไปด้วยโปรตีน กรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว กรดอะมิโน และแร่ธาตุที่สำคัญสำหรับการดำรงชีวิตท่ามกลางสภาพอัน   ทุรกันดารแบบนั้น    หลายๆคนคงเคยรู้กันบ้างแล้วว่าวาฬกินอะไรเป็นอาหาร  แต่อีกหลายๆคนคงยังไม่รู้      บางคนคิดว่าวาฬกินปลาเล็กปลาน้อยเป็นอาหาร  บางคนคิดว่าวาฬกินแพลงตอนเป็นอาหาร  แต่ที่จริงแล้ววาฬเลือกที่จะกินกุ้งคริลล์ ( Krill )มากที่สุด  การกินอาหารของวาฬอย่างวาฬสีน้ำเงินแต่ละครั้งนั้น ย่อมมีความหมายอย่างยิ่ง  มันหมายถึงพลังงานจากแหล่งอาหารที่ได้จากการกินนั้นจะต้องมากพอที่จะนำไปในการดำรงชีวิตของมันทีเดียว  เคยมีการบันทึกไว้ว่าวาฬสีน้ำนั้นกินอาหารอิ่มนึงต้องมีน้ำหนักมากถึง 3 ตันทีเดียว  และในบรรดาอาหารที่สำรวจพบในกระเพาะเกือบทั้งหมดจะเป็นกุ้งชนิดหนึ่งที่เราเรียกกันว่ากุ้งคริลล์( Krill )    นั่นหมายความว่ากุ้งคริลล์ ( Krill )เป็นแหล่งอาหารอย่างเดียวที่ทำให้วาฬแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางผืนน้ำอันหนาวเหน็บเกินกว่าสัตว์เลือดอุ่นประเภทต่างๆจะอยู่ได้  

      กุ้งคริลล์( Krill ) เป็นที่มีลักษณะคล้ายกุ้งแต่มีขนาดเล็กไม่มีกรี  ตัวมีสีแดงไส  ว่าไปแล้วถ้าเปรียบกับบ้านเรา ถ้าดูแบบเผินๆก็ดูหน้าตาคล้ายๆตัวเคยที่เรานำมาทำกะปิ  กุ้งคริลล์( Krill )และตัวเคยเป็นสัตว์ในตะลเดียวกันแต่ต่างกันที่อยู่คนละ Suborder   กุ้งคริลล์ ( Krill )อยู่ใน Suborder Euphausiacea  ในขณะที่ตัวเคยอยู่ใน Suborder Mysidacea  กุ้งคริลล์( Krill )นับว่าเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญชนิดหนึ่งของสัตว์น้ำในมหาสมุทรเลยทีเดียว  คำว่ากุ้งคริลล์( Krill ) นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษาของชาวนอเวย์ซึ่งมีความหมายว่า ปลาขนาดเล็กและแพลงตอลสัตว์  แต่โดยปกติแล้วจะมีความหมายว่า สัตว์ขนาดเล็กที่มีลักษณะหน้าตาคล้ายกุ้ง  Phosphorescent crustacean  โดยเฉพาะพวกที่อยู่ใน genus Euphausia ( order : Euphausiacea)   โดยที่จะมีสายพันธุ์ใหญ่ๆอยู่ 2 สายพันธุ์ได้แก่

          1.) Euphausia superb  
                2.) Euphausia Pacifica    
 
   กุ้งคริลล์( Krill )ที่เรามักกจะคุ้นเคยกันทั่วไปที่เราเรียกว่า Antarctic Krill นั้น  จะประกอปไปด้วยกุ้งคริลล์( Krill )ต่างspecies กันถึง 85 species แต่กว่า 35%ของspeciesเหล่านี้จะจัดอยู่ใน Family ของ Euphausiidae  และตัวที่มักจะกล่าวถึงกันส่วนมากจะได้แก่ Euphausia Superba   ซึ่งจะเป็นสายพันธุ์ที่พบในเขตน้ำเย็นบริเวญขั้วโลกใต้  โดยจะยังสามารถพบได้ในเขตน่านน้ำระหว่างเส้น รุ้งที่ 50 องศาใต้ของทวีปอเมริกาใต้และทวีบแอฟริกา       ในธรรมชาตินั้นเราสามารถพบกุ้งคริลล์( Krill )   Euphausia Superba ที่มีขนาดตั้งแต่ 1.5 ถึง 6.0 เซนติเมตร  โดยที่ตัวเต็มวัยนั้นจะมีน้ำหนักตั้งแต่ 1.0 ถึง 1.5 กรัม          Euphausia Superba มักจะอาศัยอยู่ในบริเวณผิวน้ำแต่ไม่ลึกไปกว่า 100 เมตร   อาหารของ Euphausia Superba  ส่วนมากจะได้แก่แพลงตอนพืชและสัตว์ ที่ลอยอยู่ในน้ำทะเล  ในฤดูหนาวนั้นอาหารของกุ้งคริลล์( Krill) จะได้แก่สาหร่ายเซลเดียวที่เกาะติดอยู่บนผิวน้ำแข็งที่จมอยู่ใต้ผิวน้ำ

ส่วนในฤดูร้อนนั้นเราจะพบว่ากุ้งคริลล์( Krill )ปะปนที่อยู่อย่างหนาแน่นในพื้นที่ๆมีการพบการ
Bloom ของแพลงตอนพืช   ในธรรมชาตินั้นกุ้งคริลล์( Krill )สามารถมีชีวิตยืนยาวถึง 6-8 ปี และสามารถขยายพันธุ์ได้หลังจากอายุประมาณ 3-4 ปี  โดยไข่ที่ได้ผสมพันธุ์แล้วจะจมลงสู่ก้นมหาสมุทรที่มีความลึงถึง 1000-2000  เมตรเลยทีเดียว  โดยลูกกุ้งที่เกิดใหม่จะอาศัยถุงไข่แดงที่ติดมาเพื่อใช้ในการดำรงชีวิตในระยะเริ่มแรก  จากนั้นลูกกุ้งจะใช้เวลาหากินที่ระดับความลึกต่างๆและพัฒนารูปร่างไปเรื่อยๆตามระยะเวลาและระดับความลึก แล้วจะค่อยๆลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ       จนในที่สุดจะมีลักษณะเหมือนพ่อ-แม่เมื่อมันเจริญเติบโตเต็มที่และเริ่มขึ้นมาหากินที่ผิวน้ำในที่สุด   กุ้งคริลล์( Krill ) ได้ถูกนำมาใช้เป็นแหล่งโปรตีนของระบบการเพราะเลี้ยงสัตว์น้ำโดยเฉพาะปลาสวยงามอันเนื่องมากจากคุณสมบัติที่โดดเด่นหลายด้านเช่น  กลิ่นที่หอมชวนน่ากิน(สำหรับปลา)สามารถในการดึงดูดปลาให้เข้ามาหาอาหารได้อย่างดี   มี Beta-Caroteneที่อยู่ในรูปของ Astaxanthineในปริมาณที่สูง  มีปริมาณแร่ธาตุ   Lipid  ไคตินและส่วนของไคโตซานที่พอเหมาะ   กุ้งคริลล์(Krill )ที่ดีโดยส่วนมากนั้นจะถูกจับจากแหล่งธรรมชาติในแถบทะเลลึกอย่างเช่น Artic และ Antartic ที่ห่างไกลจากสิ่งที่เป็นมลพิษ ดังนั้นกุ้งคริลล์( Krill ) จึงเป็นแหล่งโปรตีนที่บริสุทธิ์ไร้สาร Dioxen และโลหะหนัก

Beta-Carotene ที่อยู่ในรูปของ Astaxanthineนั้น เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปในวงการโภชนาการของสัตว์น้ำว่า เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันซึ่งสามารถเพิ่มความสามารถในการต้านทานโรคของปลาได้เป็นอย่างดี  โดยยังช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตของปลาได้อีกด้วย    Chitinจากเปลือกที่มากถึง 2-4% นี้จะช่วยเป็นตัวกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันโรคของปลา   ไขมันที่พบในเนื้อของกุ้งคริลล์(Krill)นั้นประกอบไปด้วยกรดไขมัน Omega -3,6 ซึ่งเป็นไขมันที่ปลาไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้

         ไขมัน( Lipid ) นั้นนับว่าเป็นแหล่งพลังงานสำหรับสัตว์น้ำที่สำคัญอย่างหนึ่ง  โดยเรายังพบว่าไขมันเป็นส่วนองประกอบที่สำคัญของเยื้อหุ้มเซลล์( Biomembrane )  ไขมันพวกนี้จะได้แก่ไขมันประเภท ฟอสโฟไลพิด(Phospholilid)นั่นเอง ซึ่งองค์ประกอบของกรดไขมันในฟอสโฟไลพิด(Phospholilid)นี้จะประกอบด้วย กรดไขมันที่มีความไม่อิ่มตัวสูง ( Polyunsaturated  Fatty Acid  หรือ PUFA )  การที่ฟอสโฟไลพิด(Phospholilid)ในเนื้อปลามีไขมันที่ไม่อิ่มตัว(PUFA)มาก   ก็ยิ่งมีผลทำให้เนื้อปลามีความยึดหยุ่นมากเท่านั้น  และเนื่องจากกรดไขมันOmega-3 นั้นจัดได้ว่ามีความไม่อิ่มตัวมากที่สุด  จึงทำให้เนื้อเยื่อปลายืดหยุ่นได้มากที่สุด  นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เนื้อปลามีกรดไขมันประเภท Omega-3 อยู่ในเนื้อเยื่อมากว่ากรดไขมันOmega-6นั่นเอง  

   ถ้าจะว่าไปแล้วคุณสมบัติโภชนาการที่กุ้งคริลล์( Krill )ที่โดดเด่นกว่าแหล่งโภชนาการแหล่งอื่นๆนั้นเห็นจะได้แก่กรดไขมัน Omega-3 ที่อยู่ในรูปของฟอสโฟไลพิด(Phospholilid)นี้นี่เอง ซึ่งโดยปกติแล้วนั้นกรดไขมันOmega-3 ที่ปลาจะได้รับจากแหล่งอาหารแหล่งโดยทั่วไปนั้นมักจะอยู่ในรูปของไตรกรีเซอไรด์( Triglycerlide )เสียส่วนมาก  ซึ่งในระบบย่อยอาหารของปลานั้นจำเป็นต้องใช้น้ำดี ( Bile salt) เพื่อช่วยในการย่อยไขมัน(Lipid)ที่มีขนาดใหญ่ให้เปลี่ยนรูปให้อยู่ในรูป emulsion เสียก่อน  จากนั้นไตรกรีเซอไรด์( Triglycerlide )ที่อยู่ในรูปของโมโนกรีเซอไรด์( Momoglycerlide)จึงจะสามารถถูกดูดซึมเข้าสู่ผนังลำไส้ได้ต่อไป  แต่ในกรณีของ Omega-3จากกุ้งคริลล์(Krill)ที่อยู่ในรูปของฟอสโฟไลพิด(Phospholilid)นั้น  เมื่อเข้าสู่ระบบลำไส้ของปลาแล้วนั้น จะถูกดูดซึมเข้าสู่ผนังลำไส้ได้ง่ายกว่าโดยไม่ต้องใช้น้ำดี ( Bile salt)เข้าช่วยเลย   ดังนั้นจึงช่วยอวัยวะและระบบการย่อยอาหารของปลาทำงานน้อยลงมาก  ช่วยให้ปลาสามารถดูดซึมสารอาหารและใช้สารอาหารจากอาหารได้อย่างเต็มที่ ทำให้ปลามีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น  

   ดังนั้นเราจึงจะเห็นได้ว่าอาหารปลาที่ดีๆ มีคุณภาพสูงหรือชนิดพรีเมี่ยมนั้นจะมีส่วนผสมของกุ้งคริลล์( Krill )เป็นส่วนประกอบเสมอๆ  แต่จากข้อมูลที่ผมลองดูจากท้องตลาดในบ้านเรานั้น หาอาหารปลาที่ผสมกุ้งคริลล์( Krill )ได้น้อยจริงๆ จะมีแต่ก็ของที่นำเข้ามาจากทางต่างประเทศเสียส่วนใหญ่ ซึ่งก็จะมีจากประเทศญี่ปุ่นและจากยุโรปเท่านั้นครับ ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะครับ   [on_066]


เครดิต www.nicaonline.com


หัวข้อ: Re: --ประโยชน์ของ KRILL--
เริ่มหัวข้อโดย: unbasket ที่ 11/10/11, [16:55:16]
สาระดีๆบวก1ครับ


หัวข้อ: Re: --ประโยชน์ของ KRILL--
เริ่มหัวข้อโดย: pk80887 ที่ 11/10/11, [18:01:49]
ขอบคุณครับ พอดีจะซื้อเลยลองศึกษาดูครับ เห็นมีประโยชน์เลยแบ่งปันครับ [on_035]


หัวข้อ: Re: --ประโยชน์ของ KRILL--
เริ่มหัวข้อโดย: Crayfish & All Shrimp Shop by ( TiE & AA ) ที่ 12/10/11, [02:01:19]
 [เจ๋ง]