ธาตุอาหารรอง
ธาตุรองมีอยู่ด้วยกัน 3 ธาตุคือ แคลเซียม (Ca), แมกนีเซียม (Mg) และกำมะถัน (S) แต่ถึงจะถูกจัดให้เป็นธาตุรอง ทว่าธาตุอาหารในกลุ่มนี้พืชต้องการในปริมาณมากเช่นกัน แต่ในดินส่วนใหญ่มักจะมีอยู่เพียงพอต่อความต้องการของพืช เราถึงชอบเข้าใจเอาเองว่าธาตุอาหารในกลุ่มนี้เป็นธาตุที่พืชต้องการในปริมาณที่น้อย แต่ถึงจะเป็นส่วนน้อยโดยปกติจะมีความจำเป็นสำหรับพืชมากที่สุดถึงกับขาดไม่ได้เลย
จากที่นั่งมึนมาจึงสรุปได้ว่า ธาตุอาหารหลักเป็นธาตุที่พืชต้องการมากเพราะในดินมีธาตุอาหารหลักได้แก่ N P และ K ในปริมาณนี้ที่น้อยจึงต้องหมั่นให้ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอ ส่วนธาตุอาหารรอง ธาตุรองเป็นธาตุที่มีความสำคัญถัดรองลงมาจากธาตุหลัก (แต่ไม่ได้หมายความว่าความสำคัญจะน้อยลงไป) เพียงแต่ว่าธาตุอาหารรอง Ca , Mg และ S จะไม่ค่อยมีปัญหาขาดแคลนมากนักในดินเมื่อเทียบกับธาตุอาหารหลัก
คราวนี้มาดูบทบาทและหน้าที่ของธาตุรองแต่ละธาตุกันครับ
Ca หรือ แคลเซียม
แคลเซียมช่วยให้รากและใบเจริญเติบโตแข็งแรงและมีสุขภาพดี ช่วยต่อต้านจากการถูกทำร้ายจากภายนอก หลักการทำงานก็เหมือนกับยาสีฟันที่เราๆใช่กันทุกวันนี้แหละครับ มีแคลเซียมผสมด้วยทั้งนั้น เพราะจะช่วยทำให้ฟันแข็งแรง ไม่ผุกร่อนได้ง่าย กับต้นไม้เช่นกันจะช่วยให้ลำต้นและความต้านทานภายนอกของต้นไม้แข็งแรงขึ้น แคลเซียมยังช่วยในเรื่องเพิ่มการดูดซึมของสารอาหารอื่น ๆ โดยรากส่วนหนึ่งจะทำการควบคุมการเจริญเติบโตของพืช ทั้งระบบเอ็นไซม์ช่วยเปลี่ยนไนเตรตเป็นไนโตรเจน และมีส่วนจำเป็นในการสร้างโปรตีนรวมถึงการสร้างผนังเซลล์และการแบ่งเซลล์ของพืช มีผลก่อให้เกิดความต้านทานโรคที่ดีขึ้น แคลเซี่ยมแมกนีเซียมและโพแทสเซียมจขะทำงานร่วมกันเพื่อปรับสภาพกรดที่เหมาะสมในสารอินทรีย์ (ในดิน) ที่จะมีผลระหว่างการเผาผลาญอาหารในพืช
หน้าที่สำคัญของธาตุแคลเซียมในพืช
-มีหน้าที่โดยตรงเกี่ยวกับโครงสร้างของผลไม้
-ช่วยเสริมสร้างเซลล์และการแบ่งเซลล์ของพืช ซึ่งพืชต้องการอย่างต่อเนื่อง
-ช่วยในการสร้างเซลล์และโครงสร้างของเซลล์ของพืช
-ช่วยให้เซลล์ติดต่อกัน และจะช่วยเชื่อมผนังเซลล์ให้เป็นรูปร่าง และขนาดให้เป็นไปตามลักษณะของพืช
-ช่วยเพิ่มการติดผล
-ช่วยให้สีเนื้อและสีผิวของผลสดใส
-ช่วยลดการเกิดเนื้อของผลแข็งกระด้าง และเนื้อแฉะ
-ช่วยป้องกัน ผลร่วง ผลแตก
-มีบาทบาทที่สำคัญในระยะการเจริญเติบโตและการออกดอกของพืช
-มีบทบาทเกี่ยวข้องกับการย่อยธาตุไนโตรเจน
-เป็นตัวช่วยลดการหายในของพืช
-เป็นตัวช่วยเคลื่อนย้ายน้ำตาลจากใบไปสู่ผล
การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุแคลเซียม
-ใบอ่อนที่แตกออกมาใหม่จะหดสั้นและเหี่ยว แม้ว่าใบเก่าจะมีธาตุแคลเซียมอยู่ เนื่องจากธาตุแคลเซียมไม่เคลื่อนย้ายจากใบเก่าสู่ใบใหม่
-ใบอ่อนที่ขาดธาตุแคลเซียมจะมีสีเขียวแต่ปลายใบจะเหลือง และเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและจะตายในที่สุด
-ถ้าขาดธาตุแคลเซียมที่บริเวณขั้วหรือข้อต่อของผลจะทำให้เกิดแก๊สเอธีลีน(Ethylene) ทำให้ผลร่วง
-พืชหลายชนิดที่ขาดธาตุแคลเซียม เช่น มะเขือเทศ แตงโม พริก แตงกวา จะเกิดการเน่าที่ส่วนล่างผล,
-ในผักขึ้นฉ่ายจะแสดงอาการไส้ดำ, ในแครอดจะแสดงอาการฟ่ามที่หัว, ในแอปเปิลจะมีรสขม,
-ในมันฝรั่งจะแสดงอาการเป็นสีน้ำตาลบริเวณกลางหัว,
-ในพืชลงหัวต่าง ๆ เช่น ผักกาดหัว(หัวไชเท้า) หอม กระเทียม จะแสดงอาการไม่ลงหัว หรือลงหัวแต่หัวจะไม่
สมบูรณ์
-ในพืชไร่ ต้นจะแตกเป็นพุ่มแคระเหมือนพัด แสดงอาการที่ราก คือ รากจะสั้น โตหนามีสีน้ำตาล ดูดอาหาร
ไม่ปกติ
-ในระยะพืชออกดอก ติดผล ถ้าพืชขาดธาตุแคลเซียม ตาดอกและกลีบดอกจะไม่พัฒนา ดอกและผลจะร่วง
สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุแคลเซียม
-ในดินที่มีค่าของความเป็นกรดเป็นด่าง(pH) ระหว่าง 4.0-7.0 และ 8.5 ขึ้นไป
-เมื่อให้ธาตุไนโตรเจนมาก
-เมื่อให้ธาตุโพแทสเซียมมาก
-เมื่อพืชแตกใบอ่อน แม้ว่าใบแก่จะมีธาตุแคลเซียม ทั้งนี้เนื่องจากธาตุแคลเซียมไม่เคลื่อนย้ายในพืช
-เมื่อพืชแตกใบอ่อนต้องให้ธาตุแคลเซียมอยู่เสมอ
-ธาตุแคลเซียมจะมีความสมดุลกับธาตุโบรอนและธาตุแมกนีเซียมในพืช ถ้าไม่มีความสมดุลระหว่างธาตุทั้ง
3 ชนิด พืชจะแสดงอาการผิดปกติ
-ธาตุแคลเซียมจะสูญเสียไปในดิน กลายเป็นแคลเซียมคาร์บอเนต ซึ่งพืชไม่สามารถดูดไปใช้ได้
-ในดินที่เป็นกรด จะตรึงธาตุแคลเซียมไว้ ทำให้พืชไม่สามารถดูดไปใช้ได้
Mg หรือ แมกนีเซียม
แมกนีเซียม มีบทบาทในการเจริญเติบโตของพืช เและยังป็นอะตอมกลางในคลอโรฟิล รับผิดชอบในการสังเคราะห์แสงและกระบวนการที่พืชเปลี่ยนแสงแดดและสารอาหารในการเจริญเติบโต เป็นธาตุอาหารที่พบมากที่สุดในสารสีเขียวของพืชก็คือคลอโรฟิลเช่นเดียวกับฟอสฟอรัส และหน้าที่สำคัญอีกอย่างของแมกนีเซียมก็คือมันจะมีหน้าที่ย้ายตัวเองจากใบเก่าๆแก่ๆของพืชเพื่อไปสร้างการเจริญเติบโตให้กับใบที่แตกออกมาใหม่ นี่ถึงเป็นเหตุผลอีกอย่างว่าการที่ใบอ่อนเจริญเติบโตช้า ก็เพราะเกิดจากการที่ขาดธาตุแมกนีเซียมด้วยเช่นกันครับ เราจะสังเกตุการขาดธาตุตัวนี้ได้อีกอย่างคือสังเกตุจากการดูสีและเส้ยใยของใบ ถ้าพืชขาดแมกนีเซียมใบที่แก่แล้วจะมีสีเทา สีเหลือง หรือ สีแดงในขณะที่เส้นใบเป็นสีเขียว
หน้าที่สำคัญของธาตุแมกนีเซียมในพืช
-เป็นตัวจักรสำคัญในการช่วยเสริมสร้างสารคลอโรฟีลล์ หรือความเขียวในพืช ช่วยให้พืชปรุงอาหารได้ดีขึ้
-ช่วยในการเคลื่อนย้ายธาตุฟอสฟอรัสได้ดีขึ้น
-มีส่วนสำคัญในการสังเคราะห์แสง
-มีส่วนสำคัญเกี่ยวกับการสุกการแก่ของผลผลิต
-ช่วยให้พืชเพิ่มการใช้ธาตุเหล็กมากยิ่งขึ้น
-เป็นตัวกระตุ้นการทำงานของน้ำย่อยต่าง ๆ ของพืช เคลื่อนย้ายภายในพืชได้ดี
-ช่วยเสริมสร้างให้พืชไม่ชะงักการเจริญเติบโตในช่วงที่มีอากาศหนาวเย็น
-ช่วยเสริมสร้างให้พืช มีความต้านทานต่อโรคพืชต่าง ๆ
-พืชอาหารสัตว์ ถ้าขาดธาตุแมกนีเซียม จะเป็นสาเหตุของพืชอาหารสัตว์เป็นพิษ
การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุแมกนีเซียม
-จะทำให้ต้นเล็กแคระแกรน ใบเหลือง
-ในใบแก่จะมีสีซีดจาง ไม่เขียวสดใส และเมื่อแตกใบอ่อนก็จะมีสีซีดจางเช่นเดียวกัน และธาตุแมกนีเซียม
สามารถเคลื่อนย้ายในพืชได้
-เมื่อใบแก่ขาดธาตุแมกนีเซียม ใบอ่อนที่แตกออกมาใหม่ก็จะขาดด้วย ใบจะเป็นสีเหลืองและเปลี่ยนเป็นสี
น้ำตาลและตายไปในที่สุด
-ผลจะสุกแก่ช้ากว่าปกติ
-ในพืชตระกูลถั่วจะทำให้พืชไม่ค่อยจะลงฝัก และจะทำให้แบคทีเรียที่รากถั่ว ไม่จับธาตุไนโตรเจนไว้ได้ดีเท่า
ที่ควร
-ในพืชอาหารสัตว์จะให้ผลผลิตต่ำ และทำให้พืชอาหารสัตว์เป็นพิษ
สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุแมกนีเซียม
-ในดินที่มีค่าของความเป็นกรดเป็นด่าง(pH) ระหว่าง 4.0-7.0 และ 8.5 ขึ้นไป
-ในดินที่มีปริมาณของธาตุแมกนีเซียมต่ำ
-ในดินที่มีธาตุแคลเซียม โพแทสเซียม และโซเดียมมาก
-ในดินที่มีปริมาณของเกลือมาก เช่น พวกเกลือโซเดียม
-ในช่วงที่มีอากาศหนาวเย็น ดินเย็น หรือมีอุณหภูมิต่ำ
-ในระยะที่พืชแตกใบอ่อน
-ในระยะที่พืชดูดใช้ธาตุไนโตรเจนมาก
S หรือ ซัลเฟอร์ (กำมะถัน)
กำมะถันเป็นสิ่งสำคัญในการผลิตกรดอะมิโนซึ่งเป็นหน่วยการสร้างของโปรตีนที่พบในสิ่งมีชีวิตทั้งหมด และจำเป็นมากในพืชที่มีลักษณะเป็น หัว หรือ เหง้าที่อยู่ใต้ดินและยังมีผลกระทบกับกลิ่นและรูปร่างลักษณะด้วย
หน้าที่สำคัญของธาตุกำมะถัน
-ธาตุกำมะถันเป็นส่วนประกอบของกรดอะมิโน(Amino acids) พืชต้องการธาตุกำมะถันเพื่อสังเคราะห์กรดอะ
มิโนที่สำคัญ 3 ชนิด คือ ซีสตีน(Cystine) ซีสเตอีน(Cysteine) และเมทธิโอนีน(Methionine) ดังนั้นจึงมี
ส่วนสำคัญในการสร้างโปรตีน, กรดอะมิโนเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตของพืช รวมทั้งคน
และสัตว์ด้วย
-ธาตุกำมะถันจะช่วยในการควบคุม ชนิดและโครงสร้างของเม็ดสีคลอโรพลาสต์ ซึ่งภายในประกอบด้วย
คลอโรฟีลล์เป็นแหล่งที่พบกำมะถันสะสมอยู่มาก เมื่อพืชขาดธาตุกำมะถันปริมาณของคลอโรฟีลล์จะลดลง
ทำให้พืชมีสีเหลืองซีด
-ช่วยส่งเสริมความแข็งแรงในการเจริญเติบโตของพืช ช่วยให้พืชทนทานต่ออุณหภูมิที่เย็น และต้านทานต่อ
โรคพืชหลายชนิด
-ช่วยสนับสนุนการเกิดปมที่รากของพืชตระกูลถั่วและกระตุ้นการสร้างเมล็ด
-มีส่วนสำคัญในการเกิดน้ำมันพืชและสารระเหยให้หัวหอมและกระเทียม
การแสดงอาการของพืชที่ขาดธาตุกำมะถัน
-พืชจะแคระแกรนหยุดการเจริญเติบโต
-ใบอ่อนมีสีเขียวจางลง รวมทั้งเส้นใบจะมีสีจางลงด้วย แต่ในใบแก่จะยังคงมีสีเขียวเข้ม
-ถ้าพืชขาดธาตุกำมะถันมาก พืชจะพัฒนาการเจริญเติบโตได้ช้า
-ลำต้นพืชจะสั้นและแคบเข้า ใบยอดจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
-ในพืชตระกูลถั่ว การตรึงธาตุไนโตรเจนที่ปมรากจะลดลงทั้งขนาดและจำนวนปม
สภาพแวดล้อมที่พืชขาดธาตุกำมะถัน
-ในดินที่มีของความเป็นกรดเป็นด่าง (pH) 4.0-6.0
-ในดินที่มีค่าอินทรีย์วัตถุต่ำกว่า 1%อินทรีย์วัตถุเป็นแหล่งสำรองของธาตุกำมะถัน ได้แก่ ซากพืช ซากสัตว์
-ผลจากการหักล้างถางพงป่ามาเป็นพื้นที่เพาะปลูกการเกษตรจะทำให้ดินสูญเสียอินทรีย์วัตถุเร็วขึ้น
-การใช้ปุ๋ยสูตรที่มีความเข้มข้นของธาตุอาหารสูง จะทำให้เกิดการขาดธาตุกำมะถัน เช่น ปุ๋ยแอมโมเนียม
ฟอสเฟต (MAP) ไดแอมโมเนียมฟอสเฟต(DAP) หรือ ทริปเปิลซูเปอร์ฟอสเฟต(TSP)
จากรูปถังไม้จะเป็นตัวแทนของธาตุอาหารในดิน
จะสังเกตุได้ว่าปุ๋ยที่ทำออกมาส่วนมากจะไม่มีธาตุกำมะถัน (S) ขึ้นอยู่กับสภาวะของดินในแต่ละที่และการใช้งานที่แตกต่างไป ส่วนธาตุแมกนีเซียม (Mg) จะลดปริมาณลง แต่จะเน้นแคลเซียมและเหล็กเพิ่มขึ้น เนื่องจากสภาพแวดล้อมปัจจุบันมีผลเกี่ยวเนื่องกับการที่ก่อให้เกิดซัลเฟอร์ (S) ได้มากขึ้นกว่าอดีต การผลิตปุ๋ยจึงต้องมีการคำนวณค่าความต้องการของพืชให้เหมาะสมก่อนถึงเวลาการนำไปใช้งาน ไม่เช่นนั้นคงจะเกิดผลเสียตามมาแน่นอนครับ ยกตัวอย่างง่ายๆกับการเลี้ยงไม้น้ำคือ ถ้าเราใส่ปุ๋ยมากเกินความจำเป็น หรือมากเกินกว่าที่พืชจะสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันสิ่งที่ตามมาคงหนีไม่พ้นตะไคร่แน่นอนครับ
แผนภูมิแสดงหน้าที่และการทำงานของธาตุต่างๆ
รูปภาพแสดงวัฏจักรการเกิดธาตุอาหารและการทำงานของระบบธรรมชาติ
บทความอ้างอิงและเอกสารอ้างอิง
- http://www.fertilizer101.org/science/?seq=10
- http://www.ipni.net/ipniweb/portal.nsf/0/5BFE7B077DCF57FD8525721700774B7F
- http://www.indoor-gardening-guide.com/articles/plant-care/Plant-Nutrient-Primary-secondary-and-micro-nutrients.html
- http://turfgrass.cas.psu.edu/education/turgeon/Modules/05_PrimaryPractices/Nutrition/VC_text02.html
- www.back-to-basics.net/efu/pdfs/Secondary_Nutrients.pdf
- http://www.sikkimagrisnet.org/General/en/Agriculture/mineral_nutrition_manures.aspx
- http://www.bcgrasslands.org/grasslands/ecosystemprocesses.htm
สีสันหน้าตารวมถึงรูปภาพประกอบจะตามมาทีหลังนะครับ ต้องปรับแต่งอีกเยอะ ตึ๊บๆ