วันหนึ่งผมไปเดินตลาดขายส่งปลาสวยงาม เห็นปลาที่เขาขายยกถุง ถุงหนึ่งนับสิบนับร้อยมากมายก่ายกองสารพัดชนิด ตลาดค้าส่งยังไงก็ยังมีสภาพแบบตลาดค้าส่ง นั่นคือ ยุ่ง วุ่นวาย และไม่ค่อยจะสะอาด ตรงนี้ไม่ได้ต่อว่านะครับ เพียงแต่พูดตามที่ได้พบเห็น แผงขายปลาบางแผงตั้งห่างจากกองขยะนิดเดียวเอง แถมขยะก็เป็นชนิดสด มีทั้งเศษอาหาร ซากปลาตาย อะไรต่อมิอะไรทั้งหลายแหล่ที่ดูแล้วชวนสยอง กลิ่นนั้นฉุนกึ้ก แยงเข้ามาในจมูกจนหน้าเหยเก แต่เห็นร้านแถวนั้นก็ค้าขายกันไปตามปกติ ไม่เห็นมีบ่นว่าอะไร คงด้วยเพราะชินนั่นเอง
ข้อดีของตลาดค้าส่งก็คือ ของถูก เป็นแหล่งรวมปลาจากฟาร์มรอบๆ กรุงเทพฯ เช่น นครปฐม ราชบุรี กาญจนบุรี สมุทรปราการ คนเดินตลาดมีหนาแน่นพลุกพล่าน ส่วนใหญ่เป็นบรรดาร้านขายปลีก หรือไม่ก็ร้านใหญ่จากจังหวัดไกลๆ มารับเพื่อไปขายส่งต่อให้ร้านย่อยอีกทีหนึ่ง การค้าเช่นนี้เป็นระบบดี ไม่สับสนวุ่นวาย พ่อค้าแม่ค้าก็เรียกราคากันไปตามสมควร ซึ่งดูแล้วไม่แพงเลย ออกจะถูกด้วยซ้ำ เพียงแค่ต้องซื้อมีจำนวนสักหน่อย จะมาเอาแค่ตัวสองตัวคงไม่ได้ หรือถ้าได้ราคาก็จะเป็นอีกแบบ คือแพงกว่าหน่อย
การเดินดูปลาในตลาดส่งแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน คือได้รู้ความเป็นไปของกระแสการเลี้ยงปลาสวยงามในบ้านเรา ว่าเดี๋ยวนี้เป็นอย่างไร ปลาอะไรกำลังเป็นที่นิยม ปลาอะไรที่น่าจับตามอง ยิ่งเฉพาะใครที่คิดทำฟาร์มปลาอยู่ด้วยแล้วต้องพยายามพาตัวเองเข้าแหล่งค้าส่งให้บ่อยหน่อย จะได้ไม่ตกยุคสมัยเพาะปลาออกมาขายไม่ออก เพราะตลาดไม่นิยมกันแล้ว
นอกเหนือจากได้รู้ "เทรนด์" ของการเลี้ยงปลาแล้ว ยังได้เปิดโลกทัศน์ให้กับหลายๆ คนที่รู้จักปลาอยู่เพียงไม่กี่อย่าง พอไปเห็นเข้าก็ลานตาน่าตื่นใจ มีปลาหน้าแปลกประหลาดไม่เคยพบเคยเห็นให้เลือกดูจุใจ บางคนไปแล้วไม่กลับมือเปล่า หิ้วถุงปลาพะรุงพะรังเอากลับมาเลี้ยงที่บ้านอีก เพราะทั้งราคาถูกและแปลกใหม่ดี แต่ขอเตือนไว้สักนิดสำหรับมือใหม่ เนื่องจากปลาที่เขานำมาขายส่งนั้นมีปริมาณมากอัดแน่นอยู่ในถุง เพราะฉะนั้นปลาย่อมเกิดความเครียด ทั้งเบียดเสียดแออัดและทั้งเดินทางมาไกล รถวิ่งก็เหวี่ยงซ้ายเหวี่ยงขวามึนหัวตัวเซ ลักษณะแบบนี้ปลาค่อนข้างจะติดโรคได้ง่าย เมื่อนำมาเลี้ยงแล้วทำไม่เป็นก็ทยอยกันตายวันละสองสามตัว เผลอเช้ามาลอยหงายยกตู้ส่งกลิ่นพะอืดพะอม ร้านขายปลีกเขามีประสบการณ์ เมื่อได้ปลากลับไปแล้วส่วนใหญ่จะยังไม่ขายในทันที ต้องนำมาพักปรับน้ำปรับสภาพกันให้แข็งแรงดีเสียก่อน แต่ละร้านก็มีเทคนิคแตกต่างกันไป และมักเป็นความลับ เพราะตรงนี้แหละคือหัวใจของการทำกำไร ร้านใหม่ๆลงปลาไม่เป็น เอามาขายเท่าไหร่ก็ขาดทุน ลองถามเจ้าของร้านปลามาหลายเจ้าแล้ว ว่าทำไมปลาเฮียแข็งแรงดีจัง เอามาลงเยอะๆ นี่ไม่ตายบ้างเหรอ เฮียยิ้มมุมปากแบบมีความลับชนิดไม่ยอมแพร่งพราย ทำหน้าอินโนเซ้นท์แล้วบอกว่า โอ้ย! ไม่เห็นต้องทำอะไรซักอย่าง อั๊วก็ลงส่งๆ ไปอย่างงั้นเอง น้ำก็ไม่ได้ปรับ ยาก็ไม่ได้ใส่ นี่แหละครับ ตอแหลทั้งเพ
คนบางคนอยากได้ของถูก สู้อุตส่าห์ขับรถไปตลาดค้าส่ง ยอมจ่ายค่าทางด่วน ค่าน้ำมันอันแสนแพง แถมยังที่จอดรถที่ไม่เห็นมันจะสะดวกซักที ไปซื้อปลาหางนกยูงมาหนึ่งถุง ราคาส่งตกตัวละไม่กี่บาท ขากลับอาจมีของแถมคือรอยขีดข่วนข้างรถ เพราะบรรดารถเข็นเอย คนงานส่งตู้ปลาเอย เดินเบียดแทรกตัวขูดไปขูดมา (ผมเคยโดนร่มแม่ค้าขายชาเขียวโออิชิล้มใส่ข้างรถ ยังเป็นรอยอยู่จนทุกวันนี้ เพราะขี้เกียจไปทำสี) พอเอามาถึงบ้านก็ลงปลาด้วยหัวใจปรีเปรมปนหอบแฮ่กๆ เพราะเหนื่อยบวกร้อนโคตร ภูมิอกภูมิใจว่าได้ของถูกสุดๆ (ลืมคิดต้นทุนในการเดินทาง) วันรุ่งขึ้นปลาลอยตายเป็นแพ ที่ยังพอมีชีวิตอยู่ก็โซเซเหมือนคนเมายาบ้า แล้วสุดท้ายก็ตายอยู่ดี การตายแบบนี้หลายท่านไม่ทราบสาเหตุก็ไปโทษฟาร์มปลาว่าวางยาเอาไว้ กะว่าให้ตายเพื่อจะได้ไปซื้อใหม่ จริงๆแล้วไม่ใช่ครับ สาเหตุก็มาจากที่ผมบอกไปนั่นแหละ
หากมีโอกาสได้ไปเดินเที่ยวตลาดค้าส่งปลาสวยงาม แล้วนึกอยากซื้อติดไม้ติดมือมาสักร้อยสองร้อยตัวก็สามารถทำได้นะครับ เพียงแค่ที่บ้านต้องมีสถานที่เตรียมไว้สำหรับพักปลาเสียก่อน ที่สำคัญอาจต้องใช้ยาบางอย่างมาช่วยปรับสภาพให้ปลาแข็งแรง ถ้าซื้อปลามามากควรแยกใส่ในภาชนะอย่าให้หนาแน่นจนเกินไป เพราะปลาจะยิ่งเพิ่มความเครียดและขับสิ่งสกปรกออกมาเพิ่มเชื้อโรคในน้ำ ตู้หรือภาชนะควรโล่งไม่ต้องใส่หินหรือทราย แต่อาจมีที่หลบซ่อนสำหรับปลาบางอย่างที่ต้องการ เช่น ปลาหมู หรือปลากดบางชนิด อุปกรณ์กรองน้ำไม่ต้องให้วุ่นวาย เอาแบบง่ายๆ อย่างกรองโฟมหรือกรองกระป๋องก็โอเคแล้ว ที่สำคัญ อย่าลืมหาฝามาปิดกันไว้ ปลามาใหม่ๆ ไม่คุ้นน้ำมักกระโดดดึ๋งดั๋ง เช้ามาปลานอนตายแห้งข้างตู้เป็นสิบตัว น้ำสำหรับใส่ในตู้ปลาต้องไม่ใช่น้ำใหม่นะครับ ควรพักน้ำไว้หลายวันหน่อย เปิดออกซิเจนทิ้งไว้ ไม่จำเป็นต้องให้แสงสว่าง พักปลาในสถานที่แบบนี้หลายๆ วัน จนมั่นใจว่าปลาใหม่แข็งแรงดี ว่ายน้ำกันร่าเริงและกินอาหารได้ก็ค่อยนำขึ้นเลี้ยงในตู้ใหญ่ต่อไป
การใส่ปลาใหม่ลงไปรวมในตู้ปลาเก่าเลยไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่งครับ เพราะหากปลาใหม่มีโรคแอบแฝงมาก็อาจพาติดไปทั่วจนตายเกลี้ยงทั้งปลาเก่าปลาใหม่
วันนี้ตั้งใจเขียนเรื่องความเข้าใจผิดบางประการของการเลี้ยงปลาสวยงาม ไหงพาเข้ารกเข้าพงไปเรื่องน้ำเรื่องตู้ได้หนอ อ๋อ!...ใช่แล้ว เพราะว่าผมไปเดินดูปลาในตลาดค้าส่งไง เลยได้ข้อคิดมาเขียนบทความนี้
หาโอกาสมานานแล้วสำหรับเขียนเคลียร์ข้อมูลที่เห็นผิดๆพลาดๆหลายอย่าง จริงอยู่ที่การเลี้ยงปลาไม่ใช่เรื่องจริงจังคอขาดบาดตาย แต่ไหนๆจะเลี้ยงกันทั้งที รู้เอาไว้ก็ไม่เสียหาย จริงไหมครับ ข้อมูลหลายๆอย่างคนส่วนใหญ่รู้กันแล้ว แต่ผมก็ยังอุตส่าห์ดันทุรังเขียน เพื่อที่นักเลี้ยงปลาบางท่านซึ่งอาจยังไม่ทราบ เพราะเพิ่งเริ่มต้นเลี้ยงหรือเลี้ยงแบบไม่ได้สนใจ
ว่ากันด้วยเรื่องของชื่อปลาก่อน
ปลาหลายชนิดเลยครับ เห็นเขียนชื่อที่ตู้หรือถุงปลาไม่ค่อยจะถูกต้องกันเท่าไหร่ เข้าใจว่าคงเป็นเพราะเรื่องของภาษา ชื่อปลาบางชนิดเป็นภาษาละติน บางชนิดเป็นภาษาอังกฤษ เกษตรกรนักเพาะพันธุ์บ้านเราไม่ค่อยให้ความสนใจเรื่องนี้มากนัก ด้วยเพราะเทใจไปกับการผลิตซึ่งเป็นหัวใจสำคัญมากกว่า แต่ที่นี้ร้านค้าเมื่อรับปลามาขายแล้วก็ไม่ทันได้ดู เขาว่ามาอย่างไรก็ว่าไปตามนั้น คนซื้อซื้อไปจึงได้ชื่อผิดๆถูกๆมาเรียกขานกัน พอเจอใครเรียกชื่อจริงๆเข้า ก็หัวเราะก๊ากใหญ่แล้วแถมยังสอนเขาให้เรียกเสียใหม่ ด้วยชื่อที่ตนจำมาผิดๆต่อไปอีกแน่ะ
ยกตัวอย่าง เช่น ปลาเซลฟิน ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Poecilia velifera อันนี้ช่างมันเถอะ ไม่ค่อยมีใครเรียกด้วยชื่อวิทย์เท่าไหร่นักหรอก ส่วนภาษาอังกฤษคือ Sailfin Molly เรียกสั้นๆ ว่า "เซลฟิน" ซึ่งแปลว่า "ครีบที่เหมือนใบเรือ" เหตุที่เรียกชื่อนี้ก็เพราะปลาชนิดนี้โดยเฉพาะตัวผู้จะมีครีบกระโดงหลังตั้งสูงชันเสมอกัน คล้ายใบของเรือใบ แต่ตามที่ไปเดินดูมาตามตลาดและร้านค้าปลีก มักเรียกชื่อปลาตัวนี้ด้วยชื่อต่างกันออกไป เช่น ปลาซันฟิน ปลาซันฟิล ปลาซันฟิช
ปลาหางดาบ (Xiphophorus helleri) ชื่อภาษาอังกฤษคือ Swordtail ถ้ามีสีแดงก็เรียก "เรดสอร์ดเทล" ถ้ามีสีเขียวอมเหลืองฟ้าก็จะเรียก "กรีนสอร์ดเทล" คำว่า "สอร์ด" แปลว่า "ดาบ" เนื่องจากปลาชนิดนี้ในตัวผู้จะมีปลายหางด้านล่างเหยียดยาวแหลมออกมามากคล้ายดาบ หลายท่านมักเข้าใจว่าปลาตัวนี้ชื่อ "สอด" บางทีก็เรียกซ้ำซ้อนไปว่า "ปลาสอดหางดาบ" ผมเคยได้ยินหลายคนพูดว่า เพราะปลาตัวนี้มาจากแม่สอด ถึงได้ชื่อว่าปลาสอด นี่ก็อีกตัวอย่างของความสับสน
ปลาแพล็ตตี้ (Xiphophorus maculatus) โดยเฉพาะตัวที่มีชื่อภาษาอังกฤษว่า "Red Wag Platy" เป็นปลาในกลุ่มปลาออกลูกเป็นตัว (Livebearer) เหมือนกับปลาหางดาบและปลาเซลฟิน ลักษณะเกือบคล้ายปลาหางดาบแต่จะอ้วนป้อมสั้นกว่า และหางตัดเป็นรูปพัดไม่ยื่นแหลม มีสีแดงตลอดทั้งลำตัวและมีครีบหางครีบกระโดงเป็นสีดำ ปลาตัวนี้เรียกทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า ปลาแพล็ตตี้ แต่แล้วไปๆมาๆฟาร์มก็บัญญัติชื่อใหม่กลายเป็น "ปาร์ตี้" ผมเห็นชื่อทีแรกนึกว่าชื่อขนมขบเคี้ยวเสียอีก
ปลาโรซี่บาร์บ (Puntius conchonius) ชื่อภาษาอังกฤษ "Rosy Barb" เป็นปลาบาร์บขนาดเล็กที่มีสีเหลือบเหลืองทองสวยงาม ปลาที่คัดสายพันธุ์ในชั้นหลังๆ มีสีอมแดงส้มคล้ายกลีบกุหลาบ(โรซี่) ร้านปลาส่วนใหญ่มักเรียกปลาตัวนี้ผิดๆ ว่า "ลูซี่บาร์บ"
ปลาบาร์บทอง (Puntius sachsi) ชื่อภาษาอังกฤษคือ "Golden Barb" ลักษณะคล้ายๆ กับโรซี่บาร์บ แต่ตัวเรียวกว่าและผิวเกล็ดไม่เงาแวววาวเหมือนโรซี่บาร์บ ออกจะเป็นสีเหลืองสด ส่วนโคนหางมีปานดำ ผู้นำเข้าสมัยก่อนเคยเรียกชื่อปลาชนิดนี้ว่า "โกลเดนบาร์บ" ทับศัพท์ภาษาอังกฤษ แต่ไหงหลังๆ กลายเป็น "ปลาบูบทอง" ไปได้ก็ไม่รู้ ฟังผิวเผินคล้ายปลาบู่ทองพิกล
ปลาหมอบัลซานิอาย (Gymnogeophagus balzanii) ชื่อภาษาอังกฤษอาจเรียกว่า "Balzanii" ทับชื่อวิทยาศาสตร์ไปเลย หรือ "Paraguay Eartheather" ก็ได้ ปลาหมอบัลซานิอายมีถิ่นฐานอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ ลักษณะคล้ายปลาหมอสุรินัมเอนสิส (Geophagus surinamensis) แต่ตัวเล็กและป้อมกลมกว่า ตัวผู้เมื่อโตเต็มที่บนหน้าผากจะมีไขมันสะสมดูคล้ายวุ้นโหนกขึ้นมา บางคนเลยเรียกปลาหมอตัวนี้ว่า "ปลาหมอหัววุ้น" ปัจจุบันไปตามร้านขายปลา น้อยรายนักจะเรียกชื่อบัลซานิอายถูก โดยมากมักกลายเป็น "บราวน์ซันนี่" ไปเฉยเลย
ปลาหมอเทรตโตเซฟาลัส (Neolamprologus tretocephalus) ปลาหมอกลุ่มนีโอแลมโพรโลกัสจากทะเลสาบทังกันยิกา ที่มีลวดลายคล้ายกับปลาหมอฟรอนโตซ่า (เคยเห็นเหยื่อหลายรายอ้างว่า โดนร้านค้าหลอกว่าเป็นฟรอนโตซ่าจิ๋ว ขายให้ราคาตัวเป็นร้อย ทั้งที่จริงไม่กี่สิบบาท ไม่รู้ร้านไหน) ผมเคยเห็นฟาร์มที่เขาเพาะปลาชนิดนี้เขียนแปะข้างถุงขณะวางขายว่า "ปลาหมอเทคโต้" หรือ "ปลาหมอเต๊บโต้" อืมม์ มันเป็นไปได้ถึงเพียงนี้
ปลาซัคเกอร์ (Hypostomus plecostomus) หรือเรียกอีกชื่อว่า "ปลาเทศบาล" ปลาตัวนี้ผมว่านักเลี้ยงปลามือใหม่ๆ ชอบเลี้ยงกันนัก เพราะเชื่อว่ามันเก็บเศษอาหารและขี้ปลากิน แถมยังช่วยดูดตะไคร่ที่เกาะข้างตู้ให้หมดจดเกลี้ยงเกลาอีกต่างหาก ซึ่งจริงๆแล้วความสามารถของมันอาจทำได้บางอย่าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมดที่คิดกันหรอกนะครับ ที่สำคัญปลาชนิดนี้เมื่อโตเต็มที่แล้วมีความยาวถึง60เซนติเมตร พอเลี้ยงๆไปปลาโตคับตู้ หลายคนจึงนำไปปล่อยในแหล่งน้ำธรรมชาติ กลายเป็นปัญหาทางระบบนิเวศวิทยาอีกต่อไปไม่จบสิ้น ในต่างประเทศเรียกชื่อปลาตัวนี้ว่า "Sucker Mouse" หรือ "Sailfin Plecostomus" บ้านเราแรกๆก็เรียกทับศัพท์ว่า "ปลาซัคเกอร์" แต่หลังๆเริ่มเพี้ยน กลายเป็น "ปลาซ็อคเกอร์" บ้าง หรือ "ปลาช็อคเกอร์" บ้าง เมื่อไม่กี่วันก่อนที่ไปเดินดูตามร้านขายปลา เห็นเขียนว่า "ปลาชัคเกอร์" สรุป เรียกไม่ถูกกันสักที่เลย
|