สำหรับขั้นตอนการทำ DIY LED ด้วยต้นเองไม่ได้มีความยากอะไรมากนัก ในตัวอย่างนี้ผมจะขอยกตัวอย่างของโคมไฟเลี้ยงก้นตู้ตัวต้นแบบที่มีชื่อว่า EHL Optimus มีหลอดทั้งหมด 50 หลอด แบบ Full Spectrum กำลังขับเต็ม 150w พรัอมด้วยระบบ Timer ตั้งเวลาเปิดปิดตัวเองอัตโนมัติ และ Temp-Control สำหรับควบคุมการทำงานของพัดลมโดยแปรผันกับอุณหภูมิ
มาเริ่มต้นด้วยการปูพื้นความรู้สักนิดหนึ่ง จากลายมือที่อ่านยากสักนิด ซึ่งผมได้เขียนอธิบายหลักการต่อวงจรอนุกรมและวงจรขนาน พรัอมวิธีคำนวณอย่างง่ายสำหรับท่านที่ต้องการนำหลอดไปต่อกับ Power Supply ของคอมพิวเตอร์ หรือ Power Switching โดยปกติหลอด LED 3w แบบแท้ๆ ไม่ใช่แบบเทียมที่กำลังไม่เต็มจะกินไฟอยู่ที่ เฉลี่ย 3v 700mA ซึ่งบางหลอดอาจจะมีโวลต์มีมากกว่าหรือต่ำกว่าได้ แต่ในการคำนวณให้สำคัญที่กระแสคือ 700mA หรือ 0.7A ซึ่งรูปแบบการต่อสามารถดูได้จาก 3 ภาพนี้
แต่ถ้าหากใครเลือกใช้วงจรขับหลอด 3w จากทาง EasyHomeLED.com ก็ให้ต่ออนุกรมได้ตั้งแต่ 6-10 หลอด (ภาพเก่าต่อได้ 5-9 หลอด ให้ยึดตามวงจรแบบใหม่ครับ) โดยให้ต่อหลอดแบบวงจรอนุกรมโดย + ชน ชน + ชน แบบนี้ต่อกันไปเรื่อยๆ โดยสายไฟเส้นสีแดงที่ออกจากวงจรขับหลอดให้ต่อเข้าที่ขั้วบวกของหลอดแรก และสายไฟสีขาวที่ออกจากวงจรขับให้ต่อเข้ากับขั้วลบของหลอดสุดท้าย ไม่ว่าจะอนุกรมกัน 6 หลอด 8 หลอด หรือ 10 หลอด ก็ไม่แตกต่างกันครับ เพราะวงจรเหล่านี้ถูกออกแบบมาปรับแรงดันให้เหมาะสมกับจำนวนหลอดที่ต่อเข้าไปในวงจร นี่คือข้อดีของวงจรขับหลอดที่ง่ายกว่าการใช้ Power Supply ของคอมพิวเตอร์ หรือ Power Switching และที่สำคัญคือ หากหลอดใดหลอดหนึ่งในวงจรเกิดขาด เราสามารถเอาสายไฟบัดกรีข้ามหลอดนั้นๆ ชั่วคราวก่อนได้ แล้ววันหลังจึงหาหลอดมาเปลี่ยนใหม่
ปูพื้นกันมาพอสมควรแล้ว เรามาเข้าเรื่อง การทำโคม LED DIY จากหลอด LED 3w กันเลยดีกว่า โดยให้พระเอกของงานนี้คือ โคมไฟเลี้ยงก้นตู้ตัวต้นแบบที่มีชื่อว่า EHL Optimus มีหลอดทั้งหมด 50 หลอด แบบ Full Spectrum โดยด้านล่างนี้จะแสดงแผนผังการวางหลอด และจำนวนหลอดแต่ละชนิดที่ต้องใช้
ปล. 120 และ 90 คือองศาของเลนส์ที่จะใส่เข้าไป แต่พอถึงเวลาใช้งานจริง ไม่ได้ใส่เลนส์เข้าไป ถ้าต้องการผสมแสงให้เสมอกันก็ไม่ควรใส่เลนส์ เพราะปกติแล้วตัวหลอดเองจะมีมุมกระจายแสงที่ 140-180 องศา การเข้าไปใส่เป็นการจำกัดขอบเขตการกระจายแสงของหลอด LED มุมยิ่งแคบการกระจายแสงยิ่งลด ความเข้มต่อพื้นที่ยิ่งมากขึ้น การใส่เลนส์ช่วยให้แสงส่องลงลึกขึ้นครับ จะใส่ก็ต่อเมื่อระดับมีความลึกเกิน 20 นิ้วขึ้นไป ถามว่าลึกมากเท่าไร อันนี้ต้องอาศัยการคำนวณตรีโกณมิติ + อัตราการหักเหของช่วงคลื่นกับผิวน้ำครับ เพื่อให้ได้คำตอบอย่างละเอียด หลักๆแล้วเริ่มต้นที่ 120 สำหรับปกติทั่วไป แต่ถ้าน้ำลึกเกิน 20 นิ้ว ต้องใช้ 90 หรือ 60 แล้วแต่ตามกรณีไปครับ ข้อเสียของการใส่เลนส์คือจะทำให้การกระจายสีและพื้นที่การส่องแสงลดลงครับ
อุปกรณ์หลักที่ต้องมีสำหรับการสร้างโคมไฟมีดังภาพนี้ครับ
1.) คีมปากจิ้งจก สำหรับนำมาใช้ตัดสายไฟ นอกจากในภาพก็ควรมี ไขขวงทั้งปากแบนและแฉก
2.) ที่ดูดตะกั่ว สำหรับดูดตะกั่ว เวลาที่เราบัดกรีผิด หรือต้องการย้ายอุปกรณ์ออกจากวงจร
3.) ขดตะกั่ว ขดละไม่กี่บาท สำหรับเชื่อมบัดกรี ถ้าหาแบบไรสารตะกั่วก็มีแต่แพงหน่อย
4.) ฟลักสำหรับบัดกรีตลับสีเหลืองๆ เอาไว้ป้ายจุดที่ต้องการบัดกรี ช่วยให้บัดกรีง่ายขึ้นมากๆ
5.) หัวแรงบัดกรี ถ้ามือใหม่เอาวัตต์ไม่สูงมากก็พอ แต่ถ้ามืออาชีพเอาวัตต์สูงได้ แต่ต้องไวสักหน่อย
ส่วนอุปกรณ์งานช่างอื่นๆ ก็สุดแล้วแต่ว่าใครจะมีอะไร ถ้าหา มัลติมิเตอร์ไว้สักตัวสำหรับทดสอบไฟในวงจรก็ดี หรือถ้าใครจะเล่นออสซิโลสโคปวัดกันให้ละเอียดกันไปข้างนึง ก็ไม่มีใครว่าครับ พวกสว่านต้องมีด้วย สำหรับเจาะรูต่างๆ แล้วก็นอตเบอร์ต่างๆ สต๊อกไว้หลายๆ ขนาดจะดีมากๆ
ส่วนตัวโคมแล้วแต่ว่าใครจะใช้อะไร สามารถใช้ได้ทั้ง กล่องอลูมิเนียม หรือ รางอลูมิเนียม ที่ใช้ทำพวกหน้าต่างหรือประตูก็ได้ แต่จะต้องติดพัดลมมากตัวหน่อย เพราะระบายความร้อนได้ไม่ดีนัก บางท่านจึงเอาวงจรขับที่กระแสต่ำกว่า 700mA มาใช้ เพื่อให้ความร้อนลดลง ซึ่งเป็นวิธีที่ผิด การใช้กระแสที่ต่ำกว่าไม่ใช่ทางเลือกที่ถูกต้อง นอกจากจะทำให้สเปกตรัมผิดเพี้ยนแล้ว ก็ไม่ช่วยยืดอายุการใช้งานหลอดให้ยาวนานขึ้น การยืดอายุหลอดให้ยาวนานขึ้น ทางเลือกที่ถูกต้องคือ การระบายความร้อนให้ดี ติดตั้งพัดลมให้เหมาะสม และคุมอุณหภูมิให้ไม่สูงเกิน 40 องศาเซลเซียส ผมจึงเลือกใช้ Heatsink เนื่องจากมีครีบจำนวนมาก ทำให้พื้นที่สัมผัสกับอากาศมีมาก ช่วยให้การนำพาความร้อนเกิดประสิทธิภาพดีกว่า ขนาดของ Heatsink สามารถเลือกได้ตามความต้องการ สามารถหาซื้อได้ที่ร้านอะไหล่อิเล็กทรอนิกส์ หรือร้านอะไหล่เครื่องเสียง และสามารถเลือกขนาดพัดลมตามต้องการให้เหมาะกับ Heatsink ในตัวอย่างนี้ผมเลือกขนาด 5*10*2.5 นิ้ว จากนั้นให้เราวัดระยะโดยใช้ไม้บรรทัด ขีดเส้นด้วยดินสอ เพื่อกำหนดจุดวางหลอดครับ
จากนั้นมาถึงขันตอนวางแผ่นฐานหลอดติดกับ Heatsink ในที่นี้ผมจะเลือกใช้แผ่นฐานหลอดแบบเดี่ยว เพราะง่ายต่อการจัดวางตำแหน่งหลอด แต่มีข้อเสียตรงที่จะต้องใช้ทักษะการเดินสายไฟพอสมควร โดยปกติแล้วการวางแผ่นฐานหลอดนั้นจะต้องเจาะรูเพื่อยึดแผ่นฐานหลอดให้ติดแน่นกับ Heatsink เพื่อลดขั้นตอนความยุ่งยาก ผมขอแนะนำ Heatsink Plastter หรือกาวแปะหลอดนั้นเอง ซึ่งอาจจะหาซื้อได้ยากกว่าซิลิโคนระบายความร้อน จุดเด่นของพลาสเตอร์ตัวนี้คือ มีคุณสมบัติการระบายความร้อนดีเหมือนซิลิโคน แต่มีสามารถยึดติดแน่นได้เหมือนกาว เพียงแค่บีบเม็ดเล็กเท่าถั่วเขียว ป้ายหลังแผ่นฐานหลอด จากนั้นวางแผ่นฐานหลอดลงบน Heatsink จากนั้นใช้มือกดให้เสมอทั่วทุกด้านครับ กาวจะแห้งเองภายใน 5-30 นาที แล้วแต่ความหนา และคุณภาพของกาวครับ
จากนั้นทำนองเดียวกัน ให้เราเอาพลาสเตอร์ทาด้านหลังเม็ดหลอด LED และแปะลงไปบนแผ่นฐานหลอดดังภาพด้านบน แล้วก็ก่อนแปะทุกครั้ง จำฟลักสำหรับบัดกรีตลับสีเหลืองๆ ที่ผมกล่าวถึงได้ไหม? ให้เอาขาหลอดป้ายแว๊กมานิดหน่อยกับขาทั้ง 2 ด้าน เพื่อในเวลาบัดกรีหลอดจะได้ง่ายและรวดเร็วมากขึ้น สำหรับการดูขั่วหลอดนั้น ถ้าเป็นหลอดจาก EasyHomeLED.com สังเกตที่ขาหลอด ขาข้างที่มีขีดเล็กๆ จะเป็นขั้วบวก ส่วนขาอีกข้างหนึ่งจะเป็นขั้วลบ แต่ถ้าหากเป็นหลอด LED ของเจ้าอื่นๆ ก็ต้องสอบถามวิธีดูขั้วอีกที หรือวิธีที่ง่ายที่สุดคือ ไปหารางถ่าน AA 2 ก้อนมาแล้วใส่ถ่าน เอาถ่าน 3 โวลต์ จิ้มเลย เช็คง่ายที่สุด หรือจะเอามัลติมิเตอร์วัดก็ได้เช่นกัน
อุปกรณ์ที่ผมหามาเพิ่มเติมสำหรับงานนี้คือ
1.) พัดลมที่มีขนาดเหมาะกับ Heatsink ผมเลือกใช้พัดลม 5 นิ้วแบบ 220V ต่อเข้าไฟบ้านได้เลยโดยไม่ต้องแปลงไฟ หรือถ้าใครจะเลือกใช้พัดลม 12V ก็ได้นะครับ แต่ท่านก็ต้องหา Power Switching 12V มาจ่ายไฟเลี้ยงพัดลมแยก
2.) Temp-Control สำหรับควบคุมการทำงานของพัดลมตามที่เราตั้งโปรแกรมไว้ ซึ่งทีแรกกะจะให้พัดลททำงานเป็นระยะ ก็คือร้อนถึงจะติด เย็นถึงจะหยุด แต่ปรากฏว่าความร้อนลดลงไม่มาก พัดลมเลยติดตลอดเวลาที่หลอดติด แต่มีข้อดีคือ เมื่อหลอดดับหมดแล้ว พัดลมจะยังติดเพื่อระบายความร้อนที่สะสมไว้จนเย็นตัวลง
3.) Digital Timer หัวใจหลักของงานนี้ ด้วยคุณสมบัติการตั้งโปรแกรมเปิดปิดตัวเองได้ 21 โปรแกรมต่อวัน และเราสามารถเลือกแต่ละวันในสัปดาห์ให้แตกต่างกันได้ แล้วก็ไม่มีปัญหาหากไฟดับ เพราะมี Battery ในตัว เรียกง่ายๆ Auto กันทั้งระบบ
4.) สายไฟสำหรับเดินวงจร ผมเลือกใช้สายไฟเบอร์ AWG 22 หรือ 24 ก็ได้ มันเป็นเบอร์ทำไม่ใหญ่และไม่เล็กจนเกิดไป สามรถใช้กับไฟ 220V ได้ด้วย หรือจะหายสายไฟแบบไหนมาใช้ก็ได้ครับ แต่อย่าเลือกขนาดเล็กจนเกินไป
5.) กล่องสำหรับใส่อุปกรณ์ต่างๆ ตามร้านอิเล็กทรอนิกส์มีเยอะแยะ แต่ถ้าหากสะดวกใช้พวกกล่องกันน้ำของระบบไฟก็ได้ครับ พวกกล่องใส่สายไฟหรือปลั๊กไฟแบบนอกอาคาร
6.) สายไฟและปลั๊กไฟ ขาดไม่ได้เลยสำหรับ 2 สิ่งนี้ เอาแบบธรรมดามาก็ได้ แต่ของผมเลือกใช้แบบมีสายดิน ต่อไว้กันเหนียวนิดหน่อย
มาเริ่มติดพัดลมกันดีกว่า พระเอกของงานนี้คือ สว่านเจาะ เจาะรูเพื่อหาที่ยึดพัดลม แนะนำให้ใช้ดอกสว่านแบบหัวสีทอง เนื่องจากตัวเหล็กที่ใช้ทำดอกสว่านว่าความแข็งแรงกว่าดอกธรรมดา แต่ราคาก็แพงขึ้นไปอีกนิด ส่วนวิธียึดพัดลมก็แล้วแต่เลย ในภาพจะมีเหล็กฉากกองๆ อยู่ ใช้แบบนั้นก็ได้ครับ หรือจะใช้ขอบฉากอลูมิเนียมที่หาซื้อได้มาทำ แต่ในที่นี่ผมขอใช้สลักทองเหลืองที่ใช้รัดสายไฟตามผนังก็แล้วกัน เนื่องจากไม่ได้ซื้อขอบฉากอลูมิเนียมเอาไว้ ในภาพจะมีนอตหลายขนาด ซื้อเผื่อไว้ไม่เสียหาย
หลังจากติดพัดลมแล้ว ก็ใช้สว่านเจาะรูสำหรับยึดกล่องสำหรับใส่อุปกรณ์ต่างๆ ติดตั้งตามที่เราได้ออกแบบเอาไว้ ในภาพนี้ผมไม่ได้ถ่ายวิธีการติดไว้ให้นะครับ หลายๆท่านลองประยุกต์เอาเอง จะเล่นท่าง่ายท่ายากก็ว่ากันไป ในรูปแรกผมเอาของมากองรวมกันเตรียมกะแล้วว่าจะเอาอะไรใส่ตรงไหน ระหว่างนี้ก็เสียบพัดลมทดสอบไปก่อน ในขั้นตอนนี้สามารถเดินสายไฟภายในก่อนได้เลย ผมได้เดินเผื่อเอาไว้หลายจุดสำหรับโยงไประบบต่างๆ ถ้าสายที่ออกมาข้างนอกมันเกะกะ ให้ใช้ท่อหดหุ้มไว้ได้เลย ส่วนตามจุดต่อต่างๆ บัดกรีด้วยตะกั่ว และหุ้มด้วยท่อหด หรือใครจะถัดกระดูกงู หรือเทปพัดสายไฟก็ตามสะดวกครับ เมื่อเดินสายไฟเรียบร้อยแล้ว เราก็จัดการใส่ Digital Timer และโยงสายเพื่อไปต่อกับวงจรขับหลอด ส่วน Temp-Control ก็ต่อเข้าพัดลมที่เราติดตั้งไว้ จากนั้นก็เสียบไฟเพื่อทดสอบระบบ
มาถึงในส่วนของวงจรขับ ผมเลือกใช้วงจรแบบเปลือยมาลงกล่อง โดยสีดำๆ ที่หุ้มอยู่คือท่อหด หาซื้อได้ตามร้านอิเล็กทรอนิกส์ ผมใช้วงจรขับทั้งหมด 6 ตัว เพื่อแยกชุดไฟให้ลงตัวโดยฝั่งสายสีแดงและขาวจะโยงไปหาหลอด ส่วนสายไฟสีขาวจะโยงเข้ากับ Digital Timer ทั้ง 2 ตัว โดยตัวนึงจะคุมวงจรขับ 3 ชุดสำหรับชุดหลอดขาว และอีกตัวหนึงจะคุมวงจรขับ 3 ชุดสำหรับชุดหลอดน้ำเงิน โดยการทำงานจะแยกอิสระจากกัน เว้นแต่ในส่วนของพัดลมที่ต่อผ่าน Temp-Control จะต่อเข้ากับ Digital Timer ของชุดหลอดสีน้ำเงิน เพราะว่าชุดนี้จะดับหลังสุดครับ ส่วนวงจรเล็กๆสีฟ้า เป็น Power Supply สำหรับต่อพัดลมเล็ก เพื่อระบายอากาศให้กับวงจรขับ เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้น การเจาะรูพัดลมให้หาเลื่อยฟันวงกลมที่ต่อเข้ากับสว่านเจาะรูหน้ากล่อง เมื่อเราเดินสายไฟและตรวจสอบความเรียบร้อยก็ปิดฝาดังรูปสุดท้าย
เสร็จเรียบร้อยสำหรับระบบวงจรต่างๆ ขอแปะโลโก้โคมสักนิดนึง ทางขาวมือเป็นชุดสายไฟที่ผมพูดถึงข้างในมีประมาณ 6 - 8 เส้น ผมจึงใช้ท่อหดหุ้มเอาไว้ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย
ขอบพระคุณ คุณ หลุยส์ BATMAN ที่ช่วยเขียน Circuit Diagram มาให้ หนึ่งในลูกค้าที่สั่งหลอดไปทำโคมเอง แล้วเข้าใจการทำงานของโคมแบบทุกอณู พอดีตัวผมเองไม่ได้ร่างแบบเอาไว้ คิดอะไรออกจากหัวก็ทำเลย ดูภาพนี้เป็นแนวทางในการเดินสายนะครับ
ถึงจุดที่เรียบว่าโหดสุดในงานนี้แล้ว คือการเดินสายไฟนั้นเอง ให้โยงสายไฟไปแต่ละหลอด โดยให้ต่อหลอดแบบวงจรอนุกรมโดย + ชน ชน + ชน แบบนี้ต่อกันไปเรื่อยๆ โดยสายไฟเส้นสีแดงที่ออกจากวงจรขับหลอดให้ต่อเข้าที่ขั้วบวกของหลอดแรก และสายไฟสีขาวที่ออกจากวงจรขับให้ต่อเข้ากับขั้วลบของหลอดสุดท้าย ขันตอนนี้ต้องอาศัยความชำนาญ และความช่างสังเกตพอสมควร เพราะสายไฟอาจจะเยอะแยะไปหน่อยจนดูวุ่นวาย ถ้าจะให้ง่ายเอากระดาษมาเขียนไว้ก่อนก็ได้ว่าจะต่ออะไรเข้าตรงไหน ออกตรงไหน จากนั้นก็บัดกรีลงสายไฟกันต่อไป ขออภัยที่ไม่ได้ถ่ายไว้ละเอียด หรือถ้าใครต้องการให้ง่ายขึ้น อาจจะใช้แผ่นฐานหลอดแบบรวมหลายๆหลอดก็ได้ ข้อดีเดินสายไฟน้อยกว่า แต่ข้อเสียคือ สูญเสียพื้นที่การวางหลอด และก็ยากต่อการจัดหลอดให้ตรงใจเรา
เกือบจะพลาดขั้นตอนการติดตั้งตัว เซนเซอร์วัดอุณหภูมิแล้ว ให้ติดตัวเซนเซอร์ไว้หน้าแผงหลอดเลย หลายท่านสงสัยว่า ทำไมไม่ติดไว้แถว Heatsink คำตอบคือ จุดที่มีอุณหภูมิสูงที่สุดคือบริเวณหน้าหลอดและแผ่นฐานหลอด การติดตั้งเซนเซอร์จากจุดนี้ทำให้วัดอุณหภูมิได้ดีที่สุด ทำให้พัดลมติดก่อนที่อุณหภูมิจะขึ้นสูงจุดถึงขีอันตราย
ละอองน้ำว่าอันตรายแล้ว ไอเกลือนี่แหละอันตรายยิ่งกว่า เพื่อให้หลอดอยู่กับเรานานหลายปี วิธีปกป้องหลอดมี 2 วิธีคือ ใช้เลนส์ชนิด Waterproof ครอบหน้าหลอดไปเลย หรือจะทำแผ่นอาคิริคมาครอบหน้าหลอดแบบที่ผมทำก็ได้ นั่งตัดนั่งหักกันไป แล้วก็ใช้น้ำยาเชื่อมอาคิริคมาทาตามรอบต่อและมุมต่างๆ ส่วนด้านข้างเราก็พ่นสี แปะเทปอลูมิเนียมเพื่อกันแสงไม่ให้สาดออกมาในระดับสายตา สุดท้ายก็เจาะรูใส่นอต ยึดกับแท่งเสาโลหะที่เราเจารูยึดนอกเอาไว้ ครอบอาคิริคลงไปเป็นอันเสร็จสิ้น และในรูปสุดท้าย เห็ยนอตที่ยื่นออกมาทางขาวมือ นั้นคือจุดสำหรับแขวนสลิงครับ เล่นกันง่ายๆ ถึงจะเห็นนอตตัวเล็ก แต่สามารถรับแรงได้หลายพันนิวตัน หรือน้ำหนักหลายสิบกิโลกรัม ให้ทำแบบนี้อย่างน้อย 4 มุมของตัวโคมนะครับ หรือใครมีวิธีหาจุดแขวนที่ดีกว่านี้ก็จัดไป
เมื่อประกอบทุกอย่างเข้าที่หมดแล้ว เราก็เสียบปลั๊กไฟ เพื่อทดสอบโคมไฟขั้นสุดท้าย หลอดทุกหลอดติดและทำงานดี พัดลมทำงานดี ไม่มีกลิ่นไหม้แสดงว่าทุกอย่างถูกต้อง จากนั้นให้ตั้งโปรแกรม Digital Timer ให้ชุดหลอดแต่ละชุดเปิดปิดตัวเองตามช่วงเวลาที่เราต้องการ (โอ้ว ทำได้เหมือนโคมไฟสำเร็จเลย) แล้วก็ตั้ง Temp-Control สำหรับคุมพัดลมว่าจะให้เริ่มหมุนและดับเมื่อไร ของผมตั้งไวที่ เริ่มหมุนที่ 38 องศาเซลเซียส และดับตัวเองเมื่อลดต่ำถึง 30 องศาเซลเซียส
โหมดหลอดขาวปกติ ติดทุกด้วยยกเว้นกลุ่มสีน้ำเงิน ซึ่งโคมจะติดหลอดกลุ่มนี้ตามโปรแกรมที่ได้ตั้งไว้ล่วงหน้าอัตโนมัติ ซึ่งผมได้ตั้งโปรแกรมเวลาให้อยู่ในช่วงเช้าจนถึงประมาณ 10 โมง เสมือนแสงแดดอ่อนๆ กำลังสาดส่องลงมาสู่ปะการังภายในตู้ โดยกลุ่มแสงขาวนี้จะส่องสว่าง และเติมช่วง Spectrum ให้กลุ่มปะการัง แต่ยังไม่กระตุ้นการสังเคราะห์แสงโดยตรง อารมณ์เหมือนแสงแดดส่องหน้ายามตื่นนอน
โหมดแสงปกติ หลอด 50 หลอด ติดทุกดวง กลุ่มหลอดขาวและสีน้ำเงินจะติดในช่วงเวลาตั้งแต่ 11 โมง จนถึง 4 โมงเย็น โดยแสงกลุ่มนี้จะกระตุ้นให้ปะการังสังเคราะห์แสงเต็มที่ โดยมีกำลังวัตต์สูงสุด เสมือนแสงแดงตอนเที่ยงจนถึงช่วงบ่าย ช่วงนี้พัดลมจะทำงานตลอดเวลา เพราะความร้อนระบายออกมามากที่สุด โดยเฉลี่ยอุณหภูมิประมาณ 38-45 องศาเซลเซียส
โหมด Moonlight หรือแสงจันทร์ยามค่ำคืน แสงสีน้ำเงินฟ้าอ่อนๆ เสมือนแสงจันทร์ในท้องทะเล หลังจากกลุ่มหลอดขาวได้ดับตามโปรแกรมเวลาที่ตั้งไว้ จะมีเพียงกลุ่มหลอดน้ำเงินที่ติดอยู่ ซึ่งผมได้ตั้งโปรแกรมให้หลอดชุดนี้ติดจนถึงเวลา 4 ทุ่มโดยประมาณ เมื่อถึงเวลาดังกล่าว หลอดจะดับเองทั้งหมด เว้นแต่พัดลมที่ยังทำงานอยู่ เพื่อระบายความร้อนที่ยังคงค้างอยู่ จนกว่าอุณหภูมิจะลดลงจนถึง 30 องศาเซลเซียส ระบบทั้งหมดจะปิดตัวลง รอเวลาจนถึงช่วงเช้าของอีกวันหนึ่ง
เสร็จสมบูรณ์ไปสู่ตู้ทะเลของจริง ขอขอบคุณเพื่อนอย่างยิ่งที่ได้ให้รูปถ่ายมาประกอบบทความนี้ เชิญชมผลงานของผมได้เลยครับ กับ โคมไฟเลี้ยงก้นตู้ตัวต้นแบบที่มีชื่อว่า EHL Optimus มีหลอดทั้งหมด 50 หลอด แบบ Full Spectrum ทุกท่านสามารถนำไปเป็นแนวทางสำหรับทำโคม LED DIY ได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องทำระบบซับซ้อนแบบผมก็ได้ ทำเองใช้เอง ประหยัดค่าใช้จ่าย ลงหลอดได้ตามความต้องการเรา
หากใครมีข้อสงสัย หรือต้องการพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ สามารถโพสต์ในนี้ หรือจะติดต่อไปยังเพจร้านโดยตรง ซึ่งจะตอบได้ไวกว่า ได้ที่ https://www.facebook.com/easyhomeTU อย่าลืมแชร์ผลงานของตัวท่านเองที่ทำ และกดไลค์เพจด้วยนะครับ หากท่านใดส่งภาพการทำโคม DIY มาให้ผม ผมยินดีที่จะแชร์บนเพจร้านให้นะครับ
ถึงผมจะไม่มีตู้ทะเลเป็นของตัวเอง แต่ก็สามารถทำไฟให้ตู้หลายๆท่าน ได้เลี้ยงปะการังอย่างสวยงาม เพราะผมค้นคว้าตำราวิชาการ และเอกสารงานวิจัย และได้นำองค์ความรู้เหล่านี้ มาประมวลจนเกิดเป็นไฟ LED ที่ใช้งานได้จริง